หลิงอวี๋จ้องมองหลิงหว่านอย่างดุ ๆ เวลานี้มิใช่เวลามาซักถาม ทำได้เพียงต้องไปคุยกับพวกหมอเรื่องโรคระบาดก่อนหมอเหล่านี้ล้วนมาจากโรงหมอหลายแห่งมีหมอเฝิงจากในวัง หมอเฉินจากโรงหุยชุน หมอหานจากโรงไป๋เฉ่า และอีกสามคนเป็นหมอจากโรงหมอต่าง ๆ ในเขตหลินหลิงอวี๋ไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อโรงหุยชุนนัก แต่หมอเฉินดูมิน่ารังเกียจเหมือนหมอจางกับจางเจ๋อ หมอเฉินผู้นี้อยู่ในวัยสี่สิบต้น ๆ และดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันเขาก็ไม่พูดแทรกมากนัก แสดงความคิดเห็นของตนในช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งยังมีท่าทีสุภาพเรียบร้อยอีกด้วยชื่อของโรงไป๋เฉ่าก่อนหน้านี้หลิงอวี๋ก็เคยได้ยินมาบ้างว่า ครั้นเมื่อร้านค้าถูกไฟไหม้โรงไป๋เฉ่าก็ส่งคนไปช่วยเหลือและบริจาคเงินด้วยโดยปกติแล้วก็ไม่เคยได้ยินใครว่าโรงไป๋เฉ่าสร้างภาพหลอกลวงผู้ป่วย ดังนั้นหลิงอวี๋จึงให้ความเคารพแพทย์ที่โรงไป๋เฉ่ามากหมอหานอายุประมาณห้าสิบปี ดูอารมณ์ดี และพูดจาก็สุภาพคนที่ค่อนข้างจะเย่อหยิ่งก็คือหมอเฝิงที่มาจากในวัง เขาก็อายุสี่สิบกว่าเช่นกัน รูปร่างปานกลางและมีหน้าอวบอิ่มเล็กน้อยเขาออกมาในครั้งนี้ด้วยความคิดที่ว่า ไม่ว่าอย่างไรตนก็จะ
พอหลิงอวี๋ได้ยินว่าหมอหลายคนเห็นด้วย คิด ๆ ดูแล้วก็มิสามารถไปทำลายความกระตือรือร้นของหมอเหล่านี้ได้ จึงเอ่ย“เช่นนั้นทำตามที่พวกท่านบอกแล้วกัน! ข้าจะตั้งกฎ ไม่ว่าใครจะรับช่วงต่อผู้ป่วยคนใดคนไหน ก็จะต้องบันทึกอาการของผู้ป่วยอย่างซื่อสัตย์และต้องเก็บตำรับยาไว้ด้วย!”“เราจะมีประชุมกันทุกเช้าเพื่อแจ้งสถานะการรักษาให้รู้ซึ่งกันและกัน! ทำเช่นนี้หากตำรับยาของผู้ใดได้ผลก็จะช่วยส่งเสริมได้โดยเร็วที่สุด!”คำพูดนี้ทำให้หมอหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าหมอจางจะไม่พอใจนัก แต่จะค้านกับหลิงอวี๋อย่างเปิดเผยเกินไปก็มิดี“เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้! ข้าจะให้องครักษ์ทำความสะอาดห้องรักษาให้พวกท่านก่อน!”หลิงอวี๋กำชับเล็กน้อยแล้วเดินออกไปหลิงหว่านอยู่ในห้องรักษาของหลิงอวี๋ จากนั้นหลิงอวี๋ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้งหลิงหว่านเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทหารตัวน้อยแล้ว เมื่อเห็นหลิงอวี๋เข้ามาก็ยิ้มพลางเอ่ย“ท่านพี่ อย่าโกรธเลยนะ ข้ามิได้แอบออกมาจริง ๆ!”“ท่านแม่ของข้ากับเสี่ยวเยี่ยนจื่อจัดการที่อยู่อาศัยเรียบร้อยแล้ว! ท่านแม่ของข้าก็รู้เรื่องที่ข้าออกมาเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋ขมวดคิ้วมองนาง “จริงหรือ?”“อื้ม ๆ เ
ก่อนหน้านี้เผยอวี้ยังคิดว่าหลิงหว่านไม่เป็นอะไร ทำให้ลำบากก็ไม่มีทางร้องไห้ออกมา!พอตอนนี้ได้ยินนางร้องไห้เสียใจกับพระชายาอ๋องอี้ถึงเพียงนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่า มิใช่ว่าหลิงหว่านมิร้องไห้ แต่นางมิเปิดเผยด้านที่อ่อนแอของนางให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกันเช่นเขาได้เห็นต่างหาก!นี่มันต่างไปจากพวกคุณหนูที่เขาเคยเจอมาอย่างสิ้นเชิงเลย!พวกเพื่อนของน้องสาวตน มีใครบ้างที่จะไม่บอบบางอ่อนแอ บอบช้ำนิดหน่อยก็อยากให้ทุกคนในใต้หล้าเห็นใจนางกันหมดแล้ว!“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว! เช็ดน้ำตาเสีย ข้ามีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็ช่วยข้าทำงาน! ไปถามแม่ทัพเผยหน่อยว่าทางเขายังมีหน้ากากอยู่หรือไม่?”พอเผยอวี้ได้ยินที่หลิงอวี๋พูดก็รีบเดินออกไปวนรอบ ๆ นอกก่อนจะแสร้งทำเป็นเดินกลับมาหลิงหว่านกำลังจะออกไปตามหาเขาพอดี พอเห็นเผยอวี้จึงเอ่ย“แม่ทัพเผย พระชายาอ๋องอี้ให้ข้ามาถามท่าน ทางท่านยังมีหน้ากากอยู่หรือไม่?”“ข้ากำลังจะคุยเรื่องนี้กับพระชายาอ๋องอี้อยู่พอดี หน้ากากที่นางให้เกิ่งเสี่ยวหาวเตรียมไว้ให้พวกเรา เมื่อครู่ตอนที่ขนของข้าไปดูแล้วไม่เห็นมีอยู่ในรถม้าเลย!”เผยอวี้ได้ยินเซียวหลินเทียนพูดถึงความสำคัญขอ
เซียวหลินเทียนเห็นว่าชายผู้นี้เป็นผู้นำในการขัดขวางอีกก็ทนไม่ไหวแล้ว“ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนรู้หนังสือ เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้ถึงเหตุผลที่ต้องอ่านหนังสือแล้วทำความเข้าใจ! ไก่เหล่านี้ ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่พวกมันวิ่งอยู่ข้างนอกตลอดทั้งวัน ติดเชื้อโรคได้มากมายเชียวล่ะ!”“เชื้อโรคเหล่านี้แพร่กระจายทางอากาศ หากพวกเจ้าสูดดมเชื้อโรคบนตัวของพวกมันเข้าไปก็จะติดโรคระบาดไปด้วย!”“พูดจาไร้สาระ กระหม่อมว่าพวกท่านแค่อยากกินเนื้อไก่เนื้อเป็ดก็เลยคิดหาเหตุผลไร้สาระขึ้นมามากกว่า!”หยางซงตะคอกด้วยความโกรธ “วันนี้กระหม่อมจะไม่มอบไก่เหล่านี้ให้ หากท่านทำได้ก็จับกระหม่อมเข้าคุกเลย!”เมื่อเห็นว่าหยางซงดื้อรั้นเช่นนี้ ความอดทนของเซียวหลินเทียนก็หายไปทันที พลางตะคอกเสียงแข็ง“เฉาอี้ เข้าไปจับให้หมด ใครกล้าขัดขวาง ให้ถือเป็นการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่!”เฉาอี้โบกมือ จากนั้นพวกองครักษ์ก็บุกเข้าไป“พวกท่านยังเห็นแก่กฎหมายกันอยู่หรือไม่? ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะไปฟ้องร้องพวกท่าน!”หยางซงรีบวิ่งเข้ามาขวางไว้ แต่แค่องครักษ์คนหนึ่งโบกมือก็ทำเอาเขากระเด็นออกไปได้แล้วหยางซงล้มลงกับพื
แต่เฉาอี้ตีลงมาอีกหลายครั้ง ร่างเล็ก ๆ ของหยางซงมีหรือจะทนไหว เขาจึงส่งเสียงร้องออกมาพอหญิงชราได้ยินเสียงร้องของลูกชาย ก็ปวดใจพลางตะโกนอย่างไม่สนใจสิ่งใดแล้ว“ท่านอ๋อง หยุดตีเถิดเพคะ… พวกท่านเอาไก่ออกไปให้หมดเลย! เราไม่ต้องการแล้ว… ได้โปรดปล่อยลูกชายของหม่อมฉันเถิด!”“หม่อมฉันจะจับไปพวกมันให้เอง...”หญิงชราพุ่งไปที่เล้าไก่และรีบจับไก่เอาไว้เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นสิ่งนี้ ก็ส่งสัญญาณให้เฉาอี้หยุดเขาหันกลับไปพูดกับพวกคนที่ดูอยู่ “ชาวบ้านทุกคน ข้ารู้ว่าการเลี้ยงไก่กับเป็ดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไก่กับเป็ดเหล่านี้มีเชื้อโรคที่พวกเจ้ามองไม่เห็น หากมิฆ่าพวกมันแล้วยังใช้ชีวิตอยู่กับพวกมันต่อ ไม่ช้าก็เร็วทุกคนจะติดโรคระบาดกันหมด!”“เมื่อเทียบกับชีวิตหนึ่งชีวิตแล้ว พวกเจ้าต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่าสิ่งใดสำคัญกว่า!”“หากกังวลว่ากองทัพของข้าจะเอาไก่กับเป็ดพวกนี้ไปกิน พวกเจ้าก็ตามข้าไปดูตรงทางเข้าหมู่บ้านได้ว่าข้ายักยอกพวกมันไปหรือไม่!”พวกชาวบ้านตกใจกับการกระทำของเซียวหลินเทียนจึงมิกล้าต่อต้านอีกต่อไป พวกเขาจ้องมองพวกเฉาอี้กับกลุ่มองครักษ์ขนไก่ เป็ด และหมูในครอบครัวขึ้นรถม้าไปที่ทางเข้าหมู
ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนได้ยินมาว่าหยางต้าหู่ปฏิเสธมิให้เข้าหมู่บ้านกระทั่งคนที่หลี่เจิ้งพามาเมื่อเห็นฝูงชนที่อยู่ด้านหลังหยางต้าหู่ เซียวหลินเทียนก็ยิ้มอย่างเย็นชา นี่มีการเตรียมพร้อมมาแล้ว!“หยางต้าหู่ ข้ามิใช่คนไร้เหตุผล แต่ที่พวกเจ้ามิให้เข้าไปฆ่าพวกสัตว์ปีก นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวเจ้าต้องการหรือเป็นสิ่งที่ทุกคนคิด?”หยางต้าหู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องอี้ นี่เป็นการตัดสินใจที่เราทุกคนได้หารือร่วมกันแล้ว!”เซียวหลินเทียนยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ย “หยางต้าหู่ เจ้ามีเหตุผลเช่นนี้ ช่วยข้าลดภาระงานไปได้ทีเดียว ข้ารู้สึกซาบซึ้งมาก!”“แต่ข้ามากำจัดโรคระบาดตามคำสั่งของราชสำนัก มันเป็นหน้าที่รับผิดชอบของข้า บางคำพูดก็จำต้องพูดให้ชัดเจน!”หยางต้าหู่เอ่ยด้วยความเคารพ “เชิญท่านอ๋องอี้บอกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพร้อมฟังแล้ว!”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างเย็นชา “ราชสำนักมีเครื่องยาสมุนไพรที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยโรคระบาดอย่างจำกัด ข้าทำงานอย่างหนักเพราะอยากจะป้องกันการแพร่กระจายของโรคระบาด และลดจำนวนผู้ป่วยลง เพื่อที่เครื่องยาสมุนไพรที่มีจำกัดจะได้ใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด!”“หยางต้าหู่ ข้าเข้าใจพวกเจ้า แต
วันนี้หลิงอวี๋ไม่ได้พักผ่อนสักเท่าใด นางเขียนตำรับยาให้บรรดาผู้ป่วยของตนเอง แล้วให้หลิงซวนไปต้มยาให้พวกเขาดื่มปู่หยางกับหยางต้ายาก็เป็นผู้ป่วยของหลิงอวี๋ และยังมีภรรยาของหยางซงอีกด้วยแม่นางหยางตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว ตามร่างกายมีแผลพุพอง นางเป็นไข้หวัดนก หลิงอวี๋ต้องให้ยานางอย่างระมัดระวังและรอบคอบมาก เพราะกลัวว่ายาจะมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ของนางหลิงอวี๋กับแม่นางหยางคุยกันเรื่องผลกระทบจากโรคระบาดที่อาจกระทบต่อเด็กในครรภ์แม่นางหยางเอ่ยอย่างกังวล “เช่นนั้นข้าไม่กินยาเจ้าค่ะ! สักพักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างอดทน “โรคชนิดนี้ถึงพักไปก็มิสามารถหายได้หรอก! แม่นางหยาง หากเจ้ามิกินยา อาการก็อาจจะแย่ลง!”“ข้ากินยามิได้… กว่าจะท้องลูกคนนี้ข้าลำบากมาก ก่อนหน้านี้แม่สามีให้เจ้าอาวาสวัดทำนายให้ ลูกคนนี้ต้องเป็นเด็กผู้ชายแน่นอนเจ้าค่ะ!”“ข้าจะต้องให้กำเนิดเขา!”แม่นางหยางเอ่ยอย่างกังวล “พระชายาอ๋องอี้ ท่านบอกว่าท่านเป็นหมอชั้นเซียนมิใช่หรือ? ท่านไม่มียาที่ช่วยให้ลูกของข้าเกิดมาอย่างแข็งแรงหรือเจ้าคะ?”“ขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีสามส่วนที่เป็นพิษ ข้ามิกล้าสามารถรับปร
หลิงอวี๋ได้ยินแล้วก็ถอนหายใจโล่งอกพลางเอ่ย “เรากำลังตรวจสอบว่าตำรับยาใดที่ใช้ได้ผลกับโรคระบาดนี้ ขอเพียงได้ผล ก็จะเร่งผลักดันโดยเร็วที่สุด!”“อืม! เจ้าพยายามทำให้ดีที่สุดก็พอ! อย่าให้ตัวเองเหนื่อยล้ามากนัก ดูแลสุขภาพด้วย!”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างใส่ใจหลิงอวี๋เงยหน้าขึ้นมองเขา นางคุ้นเคยกับเซียวหลินเทียนที่นั่งอยู่บนรถเข็น พอลุกขึ้นได้เช่นนี้ นางถึงได้พบว่าเขาสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรเลย กดความสูงของตนไปหมดสิ้นเลยทีเดียว!ชุดเกราะสีดำของเซียวหลินเทียนดูสง่างามมาก แม้ว่าเขาจะสวมหน้ากาก แต่คิ้วหล่อเหลาของเขาที่พ้นออกมานอกหน้ากากก็ดูดีจับตามาก ๆหลิงอวี๋ยกกำปั้นขึ้น พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านก็สุขภาพของตัวเองด้วย! เรามาสู้ไปด้วยกันแล้วกำจัดโรคระบาดให้ได้โดยเร็วที่สุดกันเถิดเพคะ!”“ท่าทางเช่นนี้หมายถึงการให้กำลังใจหรือ?”เซียวหลินเทียนมองเห็นเพียงดวงตาของหลิงอวี๋ เขาจึงคาดเดาสีหน้าของนางภายใต้หน้ากาก คิ้วโค้งงอนั่น คงกำลังยิ้มอยู่สินะ!“เพคะ! แล้วก็ท่านี้… หมายถึงชัยชนะ!”หลิงอวี๋ทำสัญลักษณ์ชูสองนิ้วมุมปากของเซียวหลินเทียนยกขึ้น คิดว่าน่าสนใจมาก จึงทำตามหลิงอวี๋อีกครั้ง“เช่นนั้นเรา