รองประมุขเฉินกับประมุขซุนประกาศว่าการแข่งขันทั้งสองรายการจะแข่งขันในเวลาเดียวกันหลิงอวี๋กับอันซินยอมรับมันอย่างมีความสุขแต่จูเหวินกับลั่วอวี้จูกลับตะโกนอย่างไม่พอใจ“องค์หญิงหก หากการแข่งขันทั้งสองรายการจะจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน เราก็มิได้ว่ากระไร แต่จะนับการลงโทษเยี่ยงไรเล่า? หากอันดับสุดท้ายดื่มสุราลงโทษเพียงสามจอกมันจะเบาเกินไปกระมัง!”เซียวทงรู้ดีว่าพวกนางกลัวว่าหากหลิงอวี๋แพ้แล้วจะได้ดื่มสุราลงโทษเพียงสามจอก ไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงเต้นรำ นางจึงยิ้มพลางเอ่ย“ในเมื่อการแข่งขันทั้งสองจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน เช่นนั้นบทลงโทษก็ย่อมมิใช่แค่ดื่มสุราลงโทษสามจอกแล้ว ตามกฎเมื่อครู่ คนที่ได้อันดับสุดท้ายบทลงโทษจะเพิ่มเป็นสองเท่า และต้องสวมชุดกระโปรงนั้นเต้นรำด้วย!”ลั่วอวี้จูเหลือบมองพวกองค์ชายที่ขึ้นมาดูหมากล้อมบนเวทีเมื่อครู่แล้วยังไม่ลงจากเวที โดยเฉพาะเซียวหลินเทียนพลางเอ่ย“องค์หญิง ในเมื่อเป็นกฎ เช่นนั้นผู้แพ้จะไม่สามารถหาข้อแก้ตัวเพื่อหลบหนีการลงโทษได้นะ!”เมื่อฮูหยินลั่วแม่ของลั่วอวี้จูเห็นสิ่งนี้ ก็อยากจะกอบกู้ที่บุตรีของตนทำให้เสียหน้าก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างคลุมเครือเช่นกัน
องค์ชายสามรุ่ยเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เขามิได้โดดเด่นมากนักในบรรดาองค์ชาย เห็นได้ชัดว่าดูธรรมดามากเพราะองค์ชายสามมิได้มีแม่เป็นฮองเฮาเว่ยเยี่ยงองค์ชายใหญ่ และไม่ได้มีภูมิหลังทางครอบครัวร่ำรวยเยี่ยงพระชายาเส้าแม่ขององค์ชายสอง!เบื้องหลังขององค์ชายห้าก็มีพระสนมฮุ่ย หรือแม้แต่เซียวหลินเทียน แม้ว่าพระสนมอวิ๋นจะตายไปแล้ว แต่เพราะก่อนตายพระสนมอวิ๋นเฟยเป็นที่โปรดปรานจักรพรรดิอู่อัน เซียวหลินเทียนจึงอยู่ในสายตาของจักรพรรดิอู่อันมาโดยตลอด!มีเพียงองค์ชายสามเท่านั้นที่ไม่มีภูมิหลังทางครอบครัวและไม่มีผู้อยู่เบื้องหลัง!เพราะว่าแม่ของเขาไม่มีแม้แต่ตำแหน่งพระสนม นางเป็นสตรีธรรมดาสามัญที่ดูโดดเด่นคนหนึ่งที่จักรพรรดิอู่อันตกหลุมรักเมื่อเขาออกไปข้างนอกจักรพรรดิอู่อันพานางกลับมาที่วัง แต่ในวังมีสตรีงดงามโดดเด่นอยู่มากมาย ทันทีที่ความรู้สึกแปลกใหม่หมดไป จักรพรรดิอู่อันก็ลืมนางไปแม่ขององค์ชายสามให้กำเนิดเขาได้ไม่กี่ปี ก็เสียชีวิตเพราะเศร้าหมองจากการมิได้รับความโปรดปรานหากมิใช่เพราะการไหว้บรรพบุรุษประจำปีกับงานเลี้ยงในวังที่องค์ชายสามจะต้องเข้าร่วม แม้แต่จักรพรรดิอู่อันเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเขายังมี
หลิงอวี๋เหลือบมองนางกำนัลอย่างไม่แยแส ยิ้มเย็นชา และยังคงไม่ลงมือทุกคนด้านล่างเห็นดังนั้นก็พูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ “มิใช่ว่าพระชายาอ๋องอี้มิรู้การเขียนอักษรศิลป์กับวาดภาพจริง ๆ หรอกกระมัง! เวลามีเพียงธูปดอกเดียวเท่านั้นเอง หากนางมิลงมือก็มิทันแล้ว!”พวกคุณชายตระกูลจ้าวก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกันมีคนเอ่ยขึ้นมา “พระชายาคังลูกพี่ลูกน้องของข้าเริ่มเรียนดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก จนถึงวันนี้ยังไม่มีสตรีใดเก่งเกินนางได้เลย!”“พระชายาอ๋องอี้ผู้นี้เมื่อครู่ก็แค่มีโชคถึงเอาชนะนางได้ พอเอาเข้าจริงก็ขี้ขลาด!”อีกคนเอ่ยขึ้นมาอีก “พระชายาอ๋องอี้มิเคยเรียนอักษรศิลป์และการวาดภาพจากผู้ใดเลย ยังกล้ามาแสดงฝีมือต่อหน้าผู้ที่เชี่ยวชาญอีก ช่างน่าขำเสียจริง!”“การเรียนอักษรศิลป์และการวาดภาพต้องจิตใจสงบ หากมิสั่งสมมาเป็นสิบปีก็เขียนได้มิดีหรอก!”“พวกเจ้าลองนึกดูสิว่าช่วงหลายปีมานี้พระชายาอ๋องอี้ทำสิ่งใด นางใช้เวลาทั้งหมดไปกับการไล่ตามบุรุษ และจับจ่ายซื้ออาภรณ์เครื่องประดับ นางจักเขียนอักษรศิลป์และวาดภาพได้เยี่ยงไรกัน!”“ฮ่า ๆ...”พอคุณชายตระกูลจ้าวพูด คุณชายหลายคนก็
“หว่านเอ๋อร์ มิต้องหรอก เจ้ารีบวาดเถิด ข้าแก้ไขได้!”หลิงอวี๋ไม่อยากถ่วงเวลาของหลิงหว่าน จึงทำท่าทางให้กำลังใจนาง“หว่านเอ๋อร์สู้ ๆ เรามาพยายามไปด้วยกันนะ!”เมื่อเห็นธูปเผาไหม้ไปอย่างไร้ความปรานี หลิงหว่านก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วรีบก้มหน้าวาดภาพคนตระกูลหลิงจะแพ้ทุกอย่างไม่ได้ อย่างไรนางก็จะต่อสู้เพื่อตระกูลหลิง!“ขอโทษพระชายาอ๋องอี้ เมื่อครู่บ่าวมือลื่นเจ้าค่ะ!”นางกำนัลเห็นว่าหลิงอวี๋เปลี่ยนกระดาษไม่ได้ก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วจะฝนหมึกให้หลิงอวี๋อีกครั้งเซียวหลินเทียนเห็นภาพนี้ก็หัวเราะออกมาทันที แต่รอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นอยู่เลย“เหอะ ๆ… นางกำนัลของน้องหกนี่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจริง ๆ!”“วันนี้มือลื่นทำลายกระดาษของพระชายาอ๋องอี้ได้ วันข้างหน้าก็มือลื่นฆ่าน้องหกได้กระมัง… นางกำนัลเช่นนี้มิต้องมีหรอก ลู่หนาน หักมือของนางเสีย!”ยังมิทันที่องค์หญิงหกจะได้โต้ตอบ ลู่หนานก็พุ่งเข้าไป ยกมือไปบีบข้อมือของนางกำนัลแล้วทันใดนั้น คนที่วาดภาพอยู่บนเวทีทั้งหมดก็ได้ยินเสียงกระดูกของนางกำนัลหัก“พี่… พี่สี่… ผู้ใดให้พี่มาแตะต้องนางกำนัลของข้า!”เซียวทงกระโดดขึ้นด้วยความโกรธเซียวหล
หลิงอวี๋กำลังยุ่งอยู่กับการวาดภาพ ทุกคนเห็นเพียงว่าประเดี๋ยวนางก็ฝนหมึก ประเดี๋ยวนางก็ใช้พู่กันที่หักมาวาดภาพเซียวหลินเทียนมิกล้ามอง เขาเลิกหวังว่าหลิงอวี๋จะเป็นผู้ชนะแล้ว เขาแค่คิดว่าอีกประเดี๋ยวจะช่วยหลิงอวี๋แก้ไขปัญหาเรื่องสวมกระโปรงนั้นได้เยี่ยงไร!ฮูหยินลั่วรู้สึกภูมิใจ แล้วยิ้มให้ฮูหยินที่อยู่รอบ ๆ พลางเอ่ย“พระชายาอ๋องอี้ผู้นี้นี่จริง ๆ เลย แพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสียสิ เหตุใดจึงต้องทนยื้อต่อไปเล่า!”“น่าสงสารนางกำนัลผู้นั้น นางก็มิได้ตั้งใจ แต่ถูกท่านอ๋องอี้หักมือไปแล้ว… ท่านอ๋องอี้คงจะแพ้ไม่เป็นจึงได้กริ้ว!”มีฮูหยินคนหนึ่งมิกล้าพูดวาจาไม่ดีกับท่านอ๋องอี้ จึงเออออตามไป“พระชายาอ๋องอี้ไม่รู้ตัวเอง มิเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องอี้ คาดว่าท่านอ๋องอี้คงมิอยากให้นางทำให้พระองค์อับอาย!”พระสนมหรงได้ยินคำพูดของทั้งสองคนก็หัวเราะเยาะพลางเอ่ย“เทียนเอ๋อร์ของข้าถูกหลิงอวี๋ทำลายชื่อเสียงไปมากแล้ว พวกเจ้าอย่าเอาพวกเขาไปเหมารวมกันเลย เทียนเอ๋อร์ก็คือเทียนเอ๋อร์ นางก็คือนาง!”ฮูหยินลั่วมองพระสนมหรง แล้วจู่ ๆ ดวงตาก็เป็นประกายประเดี๋ยวหากหลิงอวี๋แพ้ก็ต้องสวมกระโปรงเช่นนั้นเต้นรำแล้วทำใ
ประมุขซุนเดินตามรองประมุขเฉินไปรอบ ๆ แต่ประมุขซุนค่อนข้างสงบมากกว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแสดงออกแบบเดียวกันกับภาพวาดของทุกคนเลยจ้าวเจินเจินสังเกตการแสดงออกของประมุขซุนแล้วก็มีความมั่นใจมากขึ้นเพื่อความยุติธรรม ก่อนหน้านี้ได้มีการตัดสินใจให้คณะกรรมการตัดสินทุกคนทำการลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสินผู้ชนะหลังจากที่ประมุขซุนกับรองประมุขเฉินดูเสร็จ คณะกรรมการตัดสินก็ขึ้นไปตรวจดูทีละคนตอนเซียวหลินเทียนเห็นภาพวาดของจ้าวเจินเจิน หัวใจของเขาก็ตึงเครียด เขามองมันอย่างว่างเปล่า ด้วยความรู้สึกผสมปนเปในใจทักษะการวาดภาพกับอักษรศิลป์ของจ้าวเจินเจินนั้นดีกว่าตอนนั้นที่ใกล้ชิดกับตนนักเห็นได้ว่าจ้าวเจินเจินมิได้ขี้เกียจเลย หลายปีที่ผ่านมาพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเขามองที่ภาพวาดของหลิงอวี๋โดยมิหวังแล้ว จากนั้นเซียวหลินเทียนก็ละสายตาไปทางอื่นมิได้แล้วจู่ ๆ หัวใจของเขาก็เป็นราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ นี่… นี่มันเป็นไปได้เยี่ยงไร!หลิงหว่านสังเกตสายตาของคณะกรรมการตัดสินอยู่ตลอด และคำนวณเวลาที่พวกเขาอยู่หน้าภาพวาดแต่ละภาพนางมั่นใจในภาพวาดของตนมาก และนางก็เป็นห่วงหลิงอวี๋!นางแค่หวังว่าหลิงอวี๋จะมิได้แย่ถึงเ
ประมุขซุนเห็นรองประมุขเฉินดื้อดึงไม่ยอมรับผิด จึงไม่อยากมากความเช่นกัน พลันกล่าวเย็นชา“โปรดแสดงภาพวาดของพระชายาคังและพระชายาอ๋องอี้ให้ทุกท่านชมเสีย!”นางกำนัลสี่คนเดินไปข้างหน้าพลางนำภาพวาดของหลิงอวี๋กับจ้าวเจินเจินมาแสดงอยู่หน้าเวทีคุณหนู คุณชายที่เข้าใจภาพเขียนทั้งหลายพลันออกันที่ข้างหน้าภาพของจ้าวเจินเจินคือภาพทัศนาจรในฤดูใบไม้ผลิ โดยมีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ไกล ๆ ดอกท้ออยู่ใกล้ ๆ ลำธารทอดยาวคดเคี้ยวหลั่งไหล และมีปลาว่ายเล่นในน้ำภายในศาลาระหว่างทางขึ้นภูเขา มีภาพสตรีผู้หนึ่งกำลังชมลำธารอยู่ที่ไกล ๆผลงานภาพทั้งภาพช่างล้ำเลิศละเมียดละไมและเหมือนจริงอย่างยิ่งถึงแม้สตรีจะไม่เผยโฉม แต่ภาพอันโดดเดี่ยวนั้นกลับโดนใจทุกคน…เมื่ออันเจ๋อเห็นภาพวาดนี้ก็เหลือบมองเซียวหลินเทียนโดยไม่รู้ตัว และเริ่มลังเลในใจเป็นครั้งแรกตนควรลงคะแนนให้จ้าวเจินเจินเลยหรือไม่?ครั้นเห็นภาพนี้ อันเจ๋อก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงอวี๋ทำลายบุพเพสันนิวาสของเซียวหลินเทียนกับจ้าวเจินเจินหรือว่าสตรีในภาพจะพรรณนาตามจริงที่จ้าวเจินเจินรอคอยเซียวหลินเทียนสี่ปี?ตั้งตาคอยอย่างคาดหวัง ทว่าเรือผ่านไปนับพันลำ(1)ล้ว
แล้วภาพวาดแบบใดคือภาพที่ดีเล่า?มันเป็นภาพวาดที่ทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนประสบมากับตัวและยากจะลืมตั้งแต่แวบแรก!ภาพวาดของหลิงอวี๋ไร้เสียง แต่ก็มีเสียงชวนให้คนรู้สึกถึงเสียงหัวเราะที่อุดมไปด้วยความหลงใหล และเสียงโห่ร้องอันยินดี!ภาพวาดของหลิงอวี๋ไม่เคลื่อนไหว แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา…ทำให้คนเห็นถึงความซุกซนของลูกแมว ความมาดมั่นในการแข่งขันของจิ้งหรีด และความขัดแย้งของท่านอดีตเสนาบดีกับเหลนชายในเรื่องแพ้ชนะของจิ้งหรีด!หากภาพเช่นนี้ยังเรียกว่าภาพชิ้นเอกมิได้ เช่นนั้นก็ไม่มีภาพชิ้นเอกอยู่บนใต้หล้านี้แล้ว!“เจ้าลูกแมวจอมซนตัวนี้ หากกระโจนไปแบบนั้นจะทำให้เด็กตกใจหรือไม่?”มีสาวน้อยผู้หนึ่งอดทักขึ้นไม่ได้ขณะกำลังเชยชมคุณชายคนหนึ่งชี้ยังจิ้งหรีดตัวนั้นที่เด็กหยอกล้อ พลางร้องทักอย่างตื่นเต้น “ข้าชอบจิ้งหรีดตัวนี้ ช่างดูเก่งการสู้รบนัก หากนำไปต่อสู้ต้องได้เป็นราชาแน่นอน!”“ขาของท่านอดีตเสนาบดีหายหรือยัง?”คุณชายผู้หนึ่งถามอย่างเป็นห่วง “ก่อนหน้าได้ยินว่าท่านอดีตเสนาบดีล้มป่วย ข้ายังนึกว่าฉินตะวันตกจะสูญเสียนักรบมีฝีมือไปอีกคน ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านอดีตเสนาบดีจักฟื้นตัวในเร็ววัน!”