“นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร? หมายความว่าพระชายาอ๋องอี้มิใช่คนไร้การศึกษาไร้ความสามารถเลย!”ฮูหยินที่อยู่ข้าง ๆ นางหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ย “มิใช่คนไร้การศึกษาไร้ความสามารถ แต่กลับมีชื่อเสียงแพร่ออกไปแย่มาก...ช่างน่าสนใจจริง ๆ!”“ไม่สิ ไม่แน่อาจเป็นหวางซือเองก็ได้ที่เผยแพร่ข่าวออกไป! มิฉะนั้นใครจะรู้ว่าพระชายาอ๋องอี้ไร้การศึกษาและความสามารถเล่า!”“แม่เลี้ยงก็คือแม่เลี้ยง เพื่อลูก ๆ ของตนแล้วคงมิลังเลที่จะทำลายชื่อเสียงของพระชายาอ๋องอี้!”พวกฮูหยินมองหน้ากัน พลางยิ้มอย่างรู้กันหลังจากที่หวางซือได้ยินอยู่ไม่ไกลนัก นางก็ยิ่งโกรธมากอีกด้านหนึ่ง หลิงหว่านก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างตื่นเต้น นางรับอุปกรณ์อักษรศิลป์และวาดภาพ แล้วก็ขึ้นไปกับอันซิน“ท่านพี่หลิงหลิง ท่านพี่สุดยอดยิ่ง! ข้ายังกังวลแทนท่านพี่อยู่ข้างล่างอยู่เลย มิคิดเลยว่าท่านพี่จักทำให้ข้าประหลาดใจ!”หลิงหว่านรู้แล้วว่าทักษะการเล่นดนตรีกับหมากล้อมของหลิงอวี๋นั้น ได้เรียนรู้อย่างจริงจังหลังจากที่เซียวหลินเทียนเมินเฉยนางนางรู้สึกว่าหลิงอวี๋สามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง เปลี่ยนมุมมองของทุกคนที่มีต่อนางได้ นางเองก็ต้องเรียนรู้จากหล
รองประมุขเฉินกับประมุขซุนประกาศว่าการแข่งขันทั้งสองรายการจะแข่งขันในเวลาเดียวกันหลิงอวี๋กับอันซินยอมรับมันอย่างมีความสุขแต่จูเหวินกับลั่วอวี้จูกลับตะโกนอย่างไม่พอใจ“องค์หญิงหก หากการแข่งขันทั้งสองรายการจะจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน เราก็มิได้ว่ากระไร แต่จะนับการลงโทษเยี่ยงไรเล่า? หากอันดับสุดท้ายดื่มสุราลงโทษเพียงสามจอกมันจะเบาเกินไปกระมัง!”เซียวทงรู้ดีว่าพวกนางกลัวว่าหากหลิงอวี๋แพ้แล้วจะได้ดื่มสุราลงโทษเพียงสามจอก ไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงเต้นรำ นางจึงยิ้มพลางเอ่ย“ในเมื่อการแข่งขันทั้งสองจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน เช่นนั้นบทลงโทษก็ย่อมมิใช่แค่ดื่มสุราลงโทษสามจอกแล้ว ตามกฎเมื่อครู่ คนที่ได้อันดับสุดท้ายบทลงโทษจะเพิ่มเป็นสองเท่า และต้องสวมชุดกระโปรงนั้นเต้นรำด้วย!”ลั่วอวี้จูเหลือบมองพวกองค์ชายที่ขึ้นมาดูหมากล้อมบนเวทีเมื่อครู่แล้วยังไม่ลงจากเวที โดยเฉพาะเซียวหลินเทียนพลางเอ่ย“องค์หญิง ในเมื่อเป็นกฎ เช่นนั้นผู้แพ้จะไม่สามารถหาข้อแก้ตัวเพื่อหลบหนีการลงโทษได้นะ!”เมื่อฮูหยินลั่วแม่ของลั่วอวี้จูเห็นสิ่งนี้ ก็อยากจะกอบกู้ที่บุตรีของตนทำให้เสียหน้าก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างคลุมเครือเช่นกัน
องค์ชายสามรุ่ยเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เขามิได้โดดเด่นมากนักในบรรดาองค์ชาย เห็นได้ชัดว่าดูธรรมดามากเพราะองค์ชายสามมิได้มีแม่เป็นฮองเฮาเว่ยเยี่ยงองค์ชายใหญ่ และไม่ได้มีภูมิหลังทางครอบครัวร่ำรวยเยี่ยงพระชายาเส้าแม่ขององค์ชายสอง!เบื้องหลังขององค์ชายห้าก็มีพระสนมฮุ่ย หรือแม้แต่เซียวหลินเทียน แม้ว่าพระสนมอวิ๋นจะตายไปแล้ว แต่เพราะก่อนตายพระสนมอวิ๋นเฟยเป็นที่โปรดปรานจักรพรรดิอู่อัน เซียวหลินเทียนจึงอยู่ในสายตาของจักรพรรดิอู่อันมาโดยตลอด!มีเพียงองค์ชายสามเท่านั้นที่ไม่มีภูมิหลังทางครอบครัวและไม่มีผู้อยู่เบื้องหลัง!เพราะว่าแม่ของเขาไม่มีแม้แต่ตำแหน่งพระสนม นางเป็นสตรีธรรมดาสามัญที่ดูโดดเด่นคนหนึ่งที่จักรพรรดิอู่อันตกหลุมรักเมื่อเขาออกไปข้างนอกจักรพรรดิอู่อันพานางกลับมาที่วัง แต่ในวังมีสตรีงดงามโดดเด่นอยู่มากมาย ทันทีที่ความรู้สึกแปลกใหม่หมดไป จักรพรรดิอู่อันก็ลืมนางไปแม่ขององค์ชายสามให้กำเนิดเขาได้ไม่กี่ปี ก็เสียชีวิตเพราะเศร้าหมองจากการมิได้รับความโปรดปรานหากมิใช่เพราะการไหว้บรรพบุรุษประจำปีกับงานเลี้ยงในวังที่องค์ชายสามจะต้องเข้าร่วม แม้แต่จักรพรรดิอู่อันเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเขายังมี
หลิงอวี๋เหลือบมองนางกำนัลอย่างไม่แยแส ยิ้มเย็นชา และยังคงไม่ลงมือทุกคนด้านล่างเห็นดังนั้นก็พูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ “มิใช่ว่าพระชายาอ๋องอี้มิรู้การเขียนอักษรศิลป์กับวาดภาพจริง ๆ หรอกกระมัง! เวลามีเพียงธูปดอกเดียวเท่านั้นเอง หากนางมิลงมือก็มิทันแล้ว!”พวกคุณชายตระกูลจ้าวก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกันมีคนเอ่ยขึ้นมา “พระชายาคังลูกพี่ลูกน้องของข้าเริ่มเรียนดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก จนถึงวันนี้ยังไม่มีสตรีใดเก่งเกินนางได้เลย!”“พระชายาอ๋องอี้ผู้นี้เมื่อครู่ก็แค่มีโชคถึงเอาชนะนางได้ พอเอาเข้าจริงก็ขี้ขลาด!”อีกคนเอ่ยขึ้นมาอีก “พระชายาอ๋องอี้มิเคยเรียนอักษรศิลป์และการวาดภาพจากผู้ใดเลย ยังกล้ามาแสดงฝีมือต่อหน้าผู้ที่เชี่ยวชาญอีก ช่างน่าขำเสียจริง!”“การเรียนอักษรศิลป์และการวาดภาพต้องจิตใจสงบ หากมิสั่งสมมาเป็นสิบปีก็เขียนได้มิดีหรอก!”“พวกเจ้าลองนึกดูสิว่าช่วงหลายปีมานี้พระชายาอ๋องอี้ทำสิ่งใด นางใช้เวลาทั้งหมดไปกับการไล่ตามบุรุษ และจับจ่ายซื้ออาภรณ์เครื่องประดับ นางจักเขียนอักษรศิลป์และวาดภาพได้เยี่ยงไรกัน!”“ฮ่า ๆ...”พอคุณชายตระกูลจ้าวพูด คุณชายหลายคนก็
“หว่านเอ๋อร์ มิต้องหรอก เจ้ารีบวาดเถิด ข้าแก้ไขได้!”หลิงอวี๋ไม่อยากถ่วงเวลาของหลิงหว่าน จึงทำท่าทางให้กำลังใจนาง“หว่านเอ๋อร์สู้ ๆ เรามาพยายามไปด้วยกันนะ!”เมื่อเห็นธูปเผาไหม้ไปอย่างไร้ความปรานี หลิงหว่านก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วรีบก้มหน้าวาดภาพคนตระกูลหลิงจะแพ้ทุกอย่างไม่ได้ อย่างไรนางก็จะต่อสู้เพื่อตระกูลหลิง!“ขอโทษพระชายาอ๋องอี้ เมื่อครู่บ่าวมือลื่นเจ้าค่ะ!”นางกำนัลเห็นว่าหลิงอวี๋เปลี่ยนกระดาษไม่ได้ก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วจะฝนหมึกให้หลิงอวี๋อีกครั้งเซียวหลินเทียนเห็นภาพนี้ก็หัวเราะออกมาทันที แต่รอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นอยู่เลย“เหอะ ๆ… นางกำนัลของน้องหกนี่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจริง ๆ!”“วันนี้มือลื่นทำลายกระดาษของพระชายาอ๋องอี้ได้ วันข้างหน้าก็มือลื่นฆ่าน้องหกได้กระมัง… นางกำนัลเช่นนี้มิต้องมีหรอก ลู่หนาน หักมือของนางเสีย!”ยังมิทันที่องค์หญิงหกจะได้โต้ตอบ ลู่หนานก็พุ่งเข้าไป ยกมือไปบีบข้อมือของนางกำนัลแล้วทันใดนั้น คนที่วาดภาพอยู่บนเวทีทั้งหมดก็ได้ยินเสียงกระดูกของนางกำนัลหัก“พี่… พี่สี่… ผู้ใดให้พี่มาแตะต้องนางกำนัลของข้า!”เซียวทงกระโดดขึ้นด้วยความโกรธเซียวหล
หลิงอวี๋กำลังยุ่งอยู่กับการวาดภาพ ทุกคนเห็นเพียงว่าประเดี๋ยวนางก็ฝนหมึก ประเดี๋ยวนางก็ใช้พู่กันที่หักมาวาดภาพเซียวหลินเทียนมิกล้ามอง เขาเลิกหวังว่าหลิงอวี๋จะเป็นผู้ชนะแล้ว เขาแค่คิดว่าอีกประเดี๋ยวจะช่วยหลิงอวี๋แก้ไขปัญหาเรื่องสวมกระโปรงนั้นได้เยี่ยงไร!ฮูหยินลั่วรู้สึกภูมิใจ แล้วยิ้มให้ฮูหยินที่อยู่รอบ ๆ พลางเอ่ย“พระชายาอ๋องอี้ผู้นี้นี่จริง ๆ เลย แพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสียสิ เหตุใดจึงต้องทนยื้อต่อไปเล่า!”“น่าสงสารนางกำนัลผู้นั้น นางก็มิได้ตั้งใจ แต่ถูกท่านอ๋องอี้หักมือไปแล้ว… ท่านอ๋องอี้คงจะแพ้ไม่เป็นจึงได้กริ้ว!”มีฮูหยินคนหนึ่งมิกล้าพูดวาจาไม่ดีกับท่านอ๋องอี้ จึงเออออตามไป“พระชายาอ๋องอี้ไม่รู้ตัวเอง มิเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องอี้ คาดว่าท่านอ๋องอี้คงมิอยากให้นางทำให้พระองค์อับอาย!”พระสนมหรงได้ยินคำพูดของทั้งสองคนก็หัวเราะเยาะพลางเอ่ย“เทียนเอ๋อร์ของข้าถูกหลิงอวี๋ทำลายชื่อเสียงไปมากแล้ว พวกเจ้าอย่าเอาพวกเขาไปเหมารวมกันเลย เทียนเอ๋อร์ก็คือเทียนเอ๋อร์ นางก็คือนาง!”ฮูหยินลั่วมองพระสนมหรง แล้วจู่ ๆ ดวงตาก็เป็นประกายประเดี๋ยวหากหลิงอวี๋แพ้ก็ต้องสวมกระโปรงเช่นนั้นเต้นรำแล้วทำใ
ประมุขซุนเดินตามรองประมุขเฉินไปรอบ ๆ แต่ประมุขซุนค่อนข้างสงบมากกว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแสดงออกแบบเดียวกันกับภาพวาดของทุกคนเลยจ้าวเจินเจินสังเกตการแสดงออกของประมุขซุนแล้วก็มีความมั่นใจมากขึ้นเพื่อความยุติธรรม ก่อนหน้านี้ได้มีการตัดสินใจให้คณะกรรมการตัดสินทุกคนทำการลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสินผู้ชนะหลังจากที่ประมุขซุนกับรองประมุขเฉินดูเสร็จ คณะกรรมการตัดสินก็ขึ้นไปตรวจดูทีละคนตอนเซียวหลินเทียนเห็นภาพวาดของจ้าวเจินเจิน หัวใจของเขาก็ตึงเครียด เขามองมันอย่างว่างเปล่า ด้วยความรู้สึกผสมปนเปในใจทักษะการวาดภาพกับอักษรศิลป์ของจ้าวเจินเจินนั้นดีกว่าตอนนั้นที่ใกล้ชิดกับตนนักเห็นได้ว่าจ้าวเจินเจินมิได้ขี้เกียจเลย หลายปีที่ผ่านมาพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเขามองที่ภาพวาดของหลิงอวี๋โดยมิหวังแล้ว จากนั้นเซียวหลินเทียนก็ละสายตาไปทางอื่นมิได้แล้วจู่ ๆ หัวใจของเขาก็เป็นราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ นี่… นี่มันเป็นไปได้เยี่ยงไร!หลิงหว่านสังเกตสายตาของคณะกรรมการตัดสินอยู่ตลอด และคำนวณเวลาที่พวกเขาอยู่หน้าภาพวาดแต่ละภาพนางมั่นใจในภาพวาดของตนมาก และนางก็เป็นห่วงหลิงอวี๋!นางแค่หวังว่าหลิงอวี๋จะมิได้แย่ถึงเ
ประมุขซุนเห็นรองประมุขเฉินดื้อดึงไม่ยอมรับผิด จึงไม่อยากมากความเช่นกัน พลันกล่าวเย็นชา“โปรดแสดงภาพวาดของพระชายาคังและพระชายาอ๋องอี้ให้ทุกท่านชมเสีย!”นางกำนัลสี่คนเดินไปข้างหน้าพลางนำภาพวาดของหลิงอวี๋กับจ้าวเจินเจินมาแสดงอยู่หน้าเวทีคุณหนู คุณชายที่เข้าใจภาพเขียนทั้งหลายพลันออกันที่ข้างหน้าภาพของจ้าวเจินเจินคือภาพทัศนาจรในฤดูใบไม้ผลิ โดยมีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ไกล ๆ ดอกท้ออยู่ใกล้ ๆ ลำธารทอดยาวคดเคี้ยวหลั่งไหล และมีปลาว่ายเล่นในน้ำภายในศาลาระหว่างทางขึ้นภูเขา มีภาพสตรีผู้หนึ่งกำลังชมลำธารอยู่ที่ไกล ๆผลงานภาพทั้งภาพช่างล้ำเลิศละเมียดละไมและเหมือนจริงอย่างยิ่งถึงแม้สตรีจะไม่เผยโฉม แต่ภาพอันโดดเดี่ยวนั้นกลับโดนใจทุกคน…เมื่ออันเจ๋อเห็นภาพวาดนี้ก็เหลือบมองเซียวหลินเทียนโดยไม่รู้ตัว และเริ่มลังเลในใจเป็นครั้งแรกตนควรลงคะแนนให้จ้าวเจินเจินเลยหรือไม่?ครั้นเห็นภาพนี้ อันเจ๋อก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงอวี๋ทำลายบุพเพสันนิวาสของเซียวหลินเทียนกับจ้าวเจินเจินหรือว่าสตรีในภาพจะพรรณนาตามจริงที่จ้าวเจินเจินรอคอยเซียวหลินเทียนสี่ปี?ตั้งตาคอยอย่างคาดหวัง ทว่าเรือผ่านไปนับพันลำ(1)ล้ว
หลิงอวี๋เอ่ยออกไปอย่างเยาะเย้ย “นี่ยังมิทันได้เริ่มการประลอง แต่ละคนก็โจมตีข้าราวกับกลัวว่าข้าจะชนะเสียแล้ว โจมตีข้าก็มิเป็นไรหรอก แต่ยังจะโจมตีอาจารย์ของข้าอีก!”“ไยเล่า จากความคิดสกปรกของพวกเจ้า ขอเพียงแค่รับศิษย์ที่เป็นสตรีก็คือมีเจตนามิดีแล้วรึ เช่นนั้นปรมาจารย์ไป่หลี่ ศิษย์ที่ท่านรับมีมากกว่าอาจารย์ของข้าสองเท่ากระมังเจ้าคะ!”“ศิษย์ที่เป็นสตรีก็มีมากกว่าอาจารย์ของข้า หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ของพวกท่านมิปกติกันหนอ? บางทีศิษย์ของท่านอาจจะเห็นท่านทำเรื่องเช่นนั้น ดังนั้นจึงได้ใช้ความคิดสกปรกเช่นนี้ไปตัดสินผู้อื่น!”ไป่หลี่ไห่โกรธจนตัวสั่น แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างโมโห “เจ้าพูดไร้สาระอะไร! หากกล้าใส่ร้ายข้าอีก ข้าจะมิปล่อยเจ้าไปแน่!”หลิงอวี๋หัวเราะออกมา “ปรมาจารย์ไป่หลี่ร้อนใจเสียแล้วหรือเจ้าคะ ท่านเป็นแบบอย่างของอาจารย์ ศิษย์ของท่านใส่ร้ายอาจารย์ของข้า ท่านมิเห็นจะห้ามปราม!”“แล้วเหตุใดเล่า ข้าเพียงเปรียบเทียบท่านก็ร้อนใจแล้วหรือ? หรือว่าข้าพูดถูกจริง ๆ ดังนั้นท่านจึงอับอายจนโกรธ?”“ท่านก็อายุปูนนี้แล้ว มิรู้หลักการที่ว่า ตนมิชอบสิ่งใดก็จงอย่าทำกับผู้อื่นหรือ?”หลง
ไป่หลี่ไห่เผชิญกับความดูถูกของหลิงอวี๋ แต่สีหน้าก็ยังคงมิเปลี่ยนแปลง“สิงอวี๋ เจ้าต้องรู้ว่าการประลองของข้ากับเจ้านั้นแตกต่างจากการประลองอื่น คนที่เข้าใจเครื่องยาสมุนไพรต่างก็รู้กันดีว่ายามีทั้งคุณและโทษ เมื่อกินยาพิษเข้าไป อาจจะเกิดผลข้างเคียงได้แม้ว่าจะแก้พิษไปแล้วก็ตาม!”“ดังนั้นหากเจ้ากลัว ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง!”“ขอเพียงเจ้ายอมรับผิดต่อหน้าธารกำนัล แล้วมอบยาแก้พิษให้เหมียวหยาง การประลองวันนี้ก็จะจบลงตรงนี้!”“ถึงอย่างไรเจ้าก็ได้เห็ดหยกไปแล้ว เมื่อมีโอกาสก็ควรหยุดก่อนจะสาย!”ไป่หลี่ไห่จ้องมองบีบบังคับหลิงอวี๋ด้วยสายตาดุร้าย เขามิเชื่อว่าหลิงอวี๋จะโง่เขลาทั้งที่เห็นอยู่ว่าตาเฒ่าประหลาดแห่งวังเทียนซูและสามีภรรยาตระกูลเจียวยืนอยู่ข้างตน แล้วจะยังต้องการประลองกับตนโดยมิรู้ว่าจะเป็นหรือตายหลิงอวี๋มองไป่หลี่ไห่แล้วยิ้มอย่างเย็นชานี่ไป่หลี่ไห่กำลังชี้แจงเรื่องยาพิษของเขาล่วงหน้าอยู่หรือไร?หลังจากนี้หากเขาวางยาพิษตนจนตาย ก็สามารถพูดได้ว่าเขาเตือนตนไปแล้ว!นางจึงเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “ปรมาจารย์ไป่หลี่ นับตั้งแต่ข้าเข้ามาในสำนักศึกษาชิงหลง ข้าก็ปฏิบัติต่อท่านดังเช่นอาจารย์ของข้า
บุรุษผู้นี้เมินเฉยต่อทุกสิ่งรอบตัวแล้วเดินตามเจ้าสำนักศึกษาจินตรงไปข้างหน้าเมื่อตาเฒ่าประหลาดเทียนซูและเจียวหัวกับภรรยาเห็นเจ้าสำนักศึกษาจินปรากฏตัวก็ลุกยืนขึ้น เจ้าสำนักศึกษาจินเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งยวดในเมืองหลวงแดนเทพ และพวกเขาทั้งสามคนก็มิจำเป็นต้องไปทำให้เจ้าสำนักศึกษาจินขุ่นเคืองทั้งสามคนทักทายเจ้าสำนักศึกษาจิน สายตามองไปทางบุรุษที่สวมหน้ากากด้วยความสงสัย และรอฟังคำแนะนำจากเจ้าสำนักศึกษาจินเจ้าสำนักศึกษาจินเอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียวเท่านั้น “เขาเป็นสหายของข้า พวกเจ้าเรียกเขาว่าท่านซ่งก็แล้วกัน!”ท่านซ่ง?ตาเฒ่าประหลาดเทียนซูดึงเปียเล็ก ๆ ที่เคราของตนอย่างมิพอใจ เขาก็แก่แล้ว ยังต้องเรียกบุรุษแปลกหน้าว่าท่านอีกหรือนี่?หรือว่าบุรุษผู้นี้อายุมากกว่าตน?เจียวหัวเองก็รู้สึกมิค่อยพอใจเช่นกัน ถึงอย่างไรตนก็เป็นเจ้าวังคนหนึ่ง เมื่อออกมาข้างนอกก็เป็นที่เคารพนับถือของทุกคน แต่บุรุษผู้นี้แม้แต่หน้าตาก็มิเปิดเผย จะให้ตนเรียกเขาว่าท่านหรือ?แต่ทั้งสองคนคิดแล้วคิดอีกก็ยังคิดมิออกว่าในเมืองหลวงแดนเทพนี้มีผู้ที่มีความสามารถแก่กล้าที่สกุลซ่งด้วยหรือรองเจ้าสำนักศึกษาต่งเฉิงและเจ้า
บุรุษผู้นี้ประณีตเกินไปแล้ว!ขณะที่หลิงอวี๋กำลังคิดอยู่นั้น เจียวหัวก็เดินผ่านพวกนางไปข้างหน้าแล้ว หลิงอวี๋สังเกตเห็นจากหางตาว่ามือเรียวยาวของเขายกขึ้นแล้วซ่อนไว้ในแขนเสื้อกว้างแต่ในช่วงเวลานี้ หลิงอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าเล็บของเขาถูกทาสีเป็นสีแดงเลือดเช่นกันสีนั้นตัดกับมือขาว ๆ ของเขา เมื่อดูไปแล้วก็งดงามยิ่งนัก ทว่าหากเป็นสตรีที่ทาสีเล็บ หลิงอวี๋ก็คงมิรู้สึกแปลกใจแต่เมื่อเป็นเจียวหัว ความรู้สึกแรกของหลิงอวี๋ก็คือแปลกประหลาด!นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงอวี๋เห็นบุรุษทาสีเล็บในเมืองหลวงแดนเทพ!เหตุใดบุรุษผู้นี้จึงมีลักษณะไปทางสตรีกันนะ?ส่วนเฟิงหลานนั้นดูปกติมาก เนื่องจากดูแลตัวเองเป็นอย่างดีนางจึงมีรูปลักษณ์ที่งดงามนางสวมชุดกระโปรงสีแดงกุหลาบซึ่งช่วยขับให้ผิวของนางดูผ่องใสดวงตาหงส์คู่นั้นดูแวววาวเป็นประกายระยิบ มองไปแล้วดูมีเสน่ห์เหลือหลายคนกลุ่มนี้มาด้วยกัน และเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งมาก เมื่อเทียบกับฝั่งของหลิงอวี๋แล้วก็คือกลุ่มที่มีความเหนือกว่าเถาจื่อเหงื่อตกแทนหลิงอวี๋ ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายเช่นนี้ ฮองเฮาของนางควรจะรับมืออย่างไรดีเล่า!เย่ซื
สิ่งที่เถาจื่อคิดได้ จงเจิ้งเฟยก็คิดได้เช่นกัน นางห้ามมิให้เถาจื่อพูดต่อก็เพราะกังวลว่าหลิงอวี๋จะกลัวหากเป็นเช่นนี้ยังมิทันได้เริ่มการประลอง ขวัญกำลังใจของหลิงอวี๋คงได้ตกต่ำลงไปก่อนแล้วถึงอย่างไรการประลองครั้งนี้ก็มิสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นก็พูดให้น้อยลงหลิงอวี๋จะได้กังวลน้อยลงกลุ่มพวกนางจึงล้อมรอบหลิงอวี๋ไว้แล้วเดินไปทางหอปรุงโอสถหอปรุงโอสถมีคนเบียดเสียดกันจนเต็มพื้นที่ มิเพียงแต่คนของหอปรุงโอสถเท่านั้นที่มาชม แต่คนของหออื่น ๆ ก็มากันทั้งหมดเป็นดังที่เย่หรงคาดเอาไว้ พ่อแม่ของเหมียวหยางก็มาเช่นกัน ทั้งยังใช้เกี้ยวแบกเหมียวหยางเข้ามาด้วยเมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋มาแล้วเหล่าบัณฑิตของหอโอสถไป๋เป่าก็ด่าทอขึ้นมา“สิงอวี๋ เหตุใดเจ้าจึงโหดร้ายเช่นนี้ เจ้าดูเสีย เจ้าทำให้ศิษย์พี่ของข้าทรมานจนเป็นอย่างไรไปแล้ว?”“ร่างกายของเขาเน่าเปื่อยไปหมด มีไข้สูงอยู่ตลอด ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้วเจ้าก็ยังมิยอมให้ยาแก้พิษแก่เขา จิตใจช่างชั่วร้ายนัก!”เกี้ยวที่เหมียวหยางนั่งอยู่เปิดม่านขึ้น เขาเอนตัวนั่งพิง ตุ่มน้ำที่เต็มใบหน้านั้นก็เน่าเปื่อยจนมองมิเห็นถึงสภาพในอดีตแล้วฮูหยินเหมียวอยู
เช้าวันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ตื่นขึ้นมาและกำลังคิดว่าจะไปทำอาหารเช้า แต่ไป๋อวี้ดันวิ่งออกมาพร้อมรอยยิ้มแล้วก็เอ่ยขึ้นมา “แม่นางสิง มิต้องทำอาหารเช้าแล้ว ท่านหญิงบอกว่านางจะส่งอาหารเช้ามาให้!”เป็นดังที่คาด ไป๋อวี้ยังพูดมิทันจบก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วไป๋อวี้จึงวิ่งไปเปิดประตู และเมื่อหลิงอวี๋เห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ตกตะลึงไปมิเพียงแต่หลงเพ่ยเพ่ยเท่านั้นที่มา เหลยเหวิน จงเจิ้งเฟย อู่เถาและคนอื่น ๆ ล้วนมากันทั้งหมด“ศิษย์พี่หญิง พวกเรามากินอาหารเช้ากับเจ้า กินเสร็จแล้วเราก็ไปสำนักศึกษาชิงหลงด้วยกันเลยเถิด!”พวกเหลยเหวินพากันเดินเข้าไปพร้อมกับกล่องอาหารเรื่องการประลองพวกนางมิสามารถช่วยหลิงอวี๋ได้ พวกนางจึงใช้วิธีนี้เพื่อบอกกับหลิงอวี๋ว่านางมิได้ตัวคนเดียวหลิงอวี๋เผยยิ้มเล็กน้อย นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนักนางมิได้ตัวคนเดียว นางยังมีสหาย!“สิงอวี๋ ข้าซื้ออาหารเช้าจากภัตตาคารที่ดังที่สุดในเมืองหลวงแดนเทพมาให้เจ้าทั้งหมดเลย รับน้ำใจไว้เถิด กินให้มาก ๆ นะ!”หลงเพ่ยเพ่ยเองก็จัดเตรียมอาหารเช้าออกมาอย่างกระตือรือร้นไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องการประลอง แล้วก็แย่งกันส่งชามและตะเกียบให้หลิง
หา!เย่ซื่อฝานตกตะลึง ตกใจกับคำพูดของท่านผู้เฒ่าเย่จนพูดมิออกหลิงอวี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่หัวใจกลับสงบลงทันทีเจ้าวังเทียนจีก็คืออาจารย์ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย หลงอิงและแม้กระทั่งเฉียวเค่อ จุดประสงค์ในการลงจากภูเขาของพวกเขามิแน่ว่าจะมาเพื่อช่วยไป่หลี่ไห่!พวกเขามาเพื่อหลิงอวี๋ต่างหาก!แต่หลิงอวี๋ก็คือตนเอง!สิ่งนี้ไป ๆ มา ๆ ก็ล้วนมาเพื่อจัดการกับตนกันทั้งนั้น ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือตอนนี้พวกเขายังมิรู้ว่าเป้าหมายที่พวกเขาต้องการจัดการนั้นคือคนคนเดียวกัน!ส่วนทางท่านผู้เฒ่าเย่ เนื่องจากความสัมพันธ์ของหลงอิงและจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเขาจึงเข้าใจผิดคิดว่าคนของวังเทียนจีมาเพื่อช่วยเหลือไป่หลี่ไห่“ใต้หล้านี้เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เหตุใดจึงเต็มไปด้วยคนที่ไร้ยางอายมากถึงเพียงนี้!”ท่านผู้เฒ่าเย่ทั้งกังวลทั้งโกรธ ต่อหน้าหลิงอวี๋มิอาจพูดออกไปได้ ทว่าก็แอบบ่นอยู่ในใจนี่สวรรค์ต้องการทำลายตระกูลเย่หรือไร?“ท่านพ่อ ท่านบอกว่าเชิญคนมาเพื่อดูแลเรื่องความยุติธรรมมิใช่หรือ?”เย่ซื่อฝานเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความหวัง“ข้าไปเชิญแล้วแต่เขามิอยู่ ข้าจึงทิ้งข้อความไว้ หากเขาได้รับข้อความ วันพรุ่งเขาก็คงจะมา!
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อคิดได้ว่าหลิงอวี๋อาจจะเข้าร่วมในเรื่องนี้ เผยอวี้กับฉินซานก็ล้วนมิรู้สึกว่าจะมีอะไรผิดปกติแม้ว่าหลิงอวี๋จะสูญเสียความทรงจำไป แต่นางก็มิได้สูญเสียความมีเหตุผล ความฉลาดและความใจดีไปด้วย ในเมื่อนางสนับสนุนเย่หรง เช่นนั้นพวกเขาก็จะเห็นแก่นางและช่วยเย่หรงเช่นกันเซียวหลินเทียนก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เรื่องที่หลิงอวี๋ทำล้วนมีเหตุผลของนาง หากนางเข้าร่วมแผนการแหกคุกของเย่หรง เช่นนั้นเขาก็ต้องปกป้องคนเหล่านี้ให้ปลอดภัย“ให้สือหรงไปทำความเข้าใจการจัดการคุกน้ำที่สระเก้ามังกรมาให้ละเอียด การประลองของหลิงอวี๋กับไป่หลี่ไห่ในวันมะรืนนี้จะต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน… ข้ารู้สึกว่าหลิงอวี๋จะมิอยู่ในเมืองหลวงแดนเทพอีกต่อไปแล้ว!”“ก่อนที่นางจะไป นางจะต้องคิดวิธีช่วยเย่หรงช่วยท่านแม่ของเขาออกมาเป็นแน่ พวกเราจะปล่อยให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมิได้!”“พ่ะย่ะค่ะ!”เผยอวี้และฉินซานต่างรู้สึกได้ว่าพายุใกล้เข้ามาแล้ว การประลองครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งที่จะตัดสินว่า พวกเขาจะไปหรือจะอยู่ จะรอดหรือจะตายหลังจากที่ทั้งสองคนไปแล้ว เซียวหลินเทียนก็ตกสู่ห้ว
ฉินซานรู้สึกสนใจขึ้นมา “หืม มีผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ด้วยหรือ หลังจากนี้หากมีโอกาสก็แนะนำให้ข้ารู้สึกหน่อยสิ!”เซียวหลินเทียนต้องการคนที่มีความสามารถในเมืองหลวงแดนเทพจำนวนมาก หากมีผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ แล้วแนะนำให้เขา เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ“วันหลังเจ้าก็จะได้พบกับนาง!”เย่หรงยังคงต้องการความช่วยเหลือจากฉินซานเรื่องช่วยท่านแม่ ถึงเวลานั้นค่อยแนะนำเสี่ยวชีให้เขารู้จักทั้งสองคนคุยเรื่องรายละเอียดกันอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ แล้วพวกเขาก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปดำเนินการฉินซานกลับไปที่คฤหาสน์อู่ และบอกเรื่องความคิดของเย่หรงให้เซียวหลินเทียนกับเผยอวี้ฟังเผยอวี้กำหมัดชกมืออีกข้างหนึ่งของตนอย่างตื่นเต้น แล้วตะโกนขึ้นมา “สวรรค์… หากเย่หรงผู้นี้มิไปเป็นโจรก็ช่างน่าเสียดายจริง ๆ!”“มีความกล้าหาญมีกลอุบาย ทั้งยังคิดแผนการได้เหนือความคาดหมายเช่นนี้ หากทำมิสำเร็จก็คงจะรู้สึกผิดต่อเขาแล้ว!”ความสนใจของเซียวหลินเทียนอยู่ที่ประโยคสุดท้ายที่ฉินซานกับเย่หรงคุยกัน“เย่หรงบอกว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากคนผู้หนึ่งมาหรือ?”ฉินซานพยักหน้าอย่างมิรู้ตัว “เขาบอกเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”มุมปากของเ