นางรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวเสียงเครือว่า “ขอรายงานพระชายาเจ้าค่ะ หลิงหลานมิได้กลับมาสองวันแล้วเจ้าค่ะ! พี่เหวินซวงบอกให้นางไปไถ่ถอนตัวเอง… แต่บ่าวรู้สึกว่ามีบางอย่างวมิชอบมาพากลเจ้าค่ะ!”“อ้อ มิชอบมาพากลเช่นไร?” หลิงอวี๋ถามนางรับใช้คนนั้นก้มศีรษะเอ่ยเสียงแผ่ว “ก่อนที่หลิงหลานออกไปข้างนอกกับบ่าว นางใช้เงินห้าตำลึงซื้อสร้อยข้อมือ หากนางจักไถ่ตัวคงมิทิ้งสร้อยข้อมือมีราคาแบบนี้ไว้หรอกเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋เอ่ยทันควัน “พาข้าไปดูห้องหลิงหลานที!”นางรับใช้คนนั้นรีบพาหลิงอวี๋เข้าประตูไปทันที เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่าหลิงหลานมีเสื้อผ้าสภาพดีหลายชิ้น และเป็นของใหม่ร้อยละแปดสิบที่ไม่ได้เอาไปด้วย“ผู้ใดพบหลิงหลานเป็นคนสุดท้าย?”หลิงอวี๋ถามนางรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวเสียงต่ำ “น่าจะเป็นบ่าวเจ้าค่ะ! เมื่อคืนหลิงหลานไปห้องพี่เหวินซวง ต่อมาก็ไม่เห็นกลับมาอีกเลยเจ้าค่ะ!”เมื่อได้ยินวาจานี้ เฉาอี้พร้อมทั้งองครักษ์และหลิงอวี๋พลันรุดไปห้องชิวเหวินซวงทันทีหลังเหล่าองครักษ์ค้นหาไปเที่ยวหนึ่ง ในที่สุดก็พบว่าหลิงหลานถูกมัดห่ออยู่ใต้เตียงของชิวเหวินซวงหลิงหลานสิ้นใจไปแล้ว โดยมีรอยฟกช้ำที่คอหลายจุดที่น่าจะถูกคนบีบ
“หม่อมฉันมิไปเพคะ! ท่านพี่ หม่อมฉันมาดูแลท่านตามคำสั่งของพระสนมหรงจะให้หม่อมฉันไป ท่านต้องคุยกับท่านป้าก่อนค่อยว่ากัน!”เสิ่นจวนโน้มเข้าใกล้กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านพี่ ให้หม่อมฉันช่วยท่านดูแลตำหนักอ๋องอี้เถิด! หม่อมฉันทำได้ดีกว่าชิวเหวินซวงแน่นอนเพคะ!”เซียวหลินเทียนยังไม่ทันเอื้อนเอ่ย ท่านจินต้าพลันยกยิ้มกล่าวคำ “คุณหนูขอรับ ท่านเป็นแขก มันมีหลักการที่ไหนให้แขกมาช่วยดูแลเรือนขอรับ!”“ยิ่งไปกว่านั้นตำหนักของเรายังมีพระชายาอยู่ขอรับ!”เสิ่นจวนโมโหฉับพลัน ตะโกนว่า “ไม่เจียมตัว เจ้ามันตัวอันใด? ข้าคุยกับท่านพี่ มันมีหลักการที่ใดให้ขี้ข้าอย่างเจ้ามาสอดปาก!”“เดิมทีหลิงอวี๋นางมิได้ดูแลตำหนักอ๋องอี้ด้วยซ้ำ ท่านพี่…”“เสิ่นจวน ท่านจินต้ามิใช่ขี้ข้า!”เซียวหลินเทียนคะตอกเคืองขุ่น “ท่านจินต้าพูดถูก ตัวข้ายังมีพระชายาอยู่ มันจะถึงคราวของเจ้าได้เช่นไร!”“หากเจ้ายังเสียมารยาทกับคนของตำหนักอ๋องอี้อีก ตัวข้าจักส่งเจ้ากลับวันนี้ทันที!”“ทหาร! ส่งคุณหนูกลับจวนเสิ่นเสีย!”เมื่อเสิ่นจวนเห็นเซียวหลินเทียนบันดาลโทสะก็รีบส่งยิ้มกล่าวว่า“ท่านพี่เพคะ เป็นเสิ่นเอ๋อร์พูดผิดไป เสิ่นเอ๋อร์รู้ผิดแล้วยังม
ทั้งสองโกรธขึ้งอย่างเงียบงัน ต่างขบคิดว่าควรหาโอกาสร่วมมือกันกำจัดเซียวหลินเทียนก่อนดีหรือไม่อันเจ๋อส่งคนแต่ละตำหนักไปจำแนกร่างศพจารชน แต่จักรพรรดิอู่อันกังวลว่าอันเจ๋อเพิ่งได้เข้าดำรงตำแหน่งอาจถูกขุนนางขั้นสูงของเหล่าองค์ชายละเลยเอาได้ณ ท้องพระโรง องค์จักรพรรดิอู่อันกล่าวโดยตรงว่า“ฉีตะวันออกสอดแทรกจารชนจำนวนมากในเขตฉินตะวันตก แม้ทุกคนมิรู้ ข้าก็มิโทษพวกเจ้า หากแต่ถ้ามิไปจำแนกร่างศพ และข้าตรวจพบก็ต้องได้รับโทษเยี่ยงพวกขายแคว้น!”ด้วยวาจานี้ขององค์จักรพรรดิอู่อัน บรรดาขุนนางที่ไม่อยากข้องเกี่ยวคดีจารชนจึงทำได้เพียงไปจำแนกร่างศพเท่านั้นสิ่งที่ทำองค์จักรพรรดิพะวงก็คือ จารชนพวกนี้ที่ออกตำหนักหลักในแต่ละแห่ง รวมทั้งบนตำหนักองค์ชายคังกับองค์ชายเว่ยก็ล้วนมีองค์จักรพรรดิอู่อันตะลึงฉับพลันครั้นอ่านใบรายชื่อ โชคดีที่จารชนเหล่านี้ถูกอันเจ๋อกับเซียวหลินเทียนจับกุมได้ทันกาลหากพวกเขาได้อยู่พัฒนาต่อ เช่นนั้นฉินตะวันตกจะยังมีความหวังหรือไม่?เพียงหวั่นหากเกิดสงครามขึ้น เหล่าจารชนทั้งนอกและในจะร่วมมือกันขายฉินตะวันตกให้ฉีตะวันออกน่ะสิ“ตรวจสอบ… คนรับใช้ของตนในทุกตำหนักและจำต้องให้ไวที่สุ
ช่วงนี้หลิงอวี๋วุ่นจนมีเวลาอยู่กับหลิงเยวี่ยน้อยนัก นางอยากใช้โอกาสนี้อยู่กับหลิงเยวี่ยบ้างหลิงเยวี่ยมากับเฮยจื่ออย่างไวว่องวันนี้เฮยจื่อไม่ต้องไปหออักษร เมื่อได้ยินว่าจะออกไปข้างนอกเขาก็ตามหลิงเยวี่ยมาทันทีระยะนี้หลิงอวี๋สังเกตเฮยจื่อพบว่าเขาเปลี่ยนไปมาก ไม่วางท่าสั่งดังเช่นเมื่อก่อนอีก และปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจเช่นกันหลิงอวี๋จะไม่จับผิดเด็กและไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา นางพลันพาทั้งคู่ไปข้างนอกด้วยกันกลุ่มแรกไปถึงเรือนหยกอำไพก่อน หลิงอวี๋เห็นอาภรณ์ของเฮยจื่อค่อนข้างเก่า จึงพาเขาไปซื้อตัวใหม่หลายชุดวันนี้เรือนหยกอำไพคนมากหลายนัก หลิงอวี๋ส่งเฮยจื่อกับหลิงเยวี่ยให้ช่างปักไปวัดอาภรณ์ ส่วนตนกับหลิงซวนก็เลือกผ้าให้พวกเขาขณะเลือกอยู่ จู่ ๆ ก็มีคนเข้ามากอดหลิงอวี๋จากข้างหลังพลางเอ่ยเรียก“เสี่ยวอวี้ ไม่เจอหลายวัน เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่!”หลิงอวี๋รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ รดลำคอตัวเอง และเสียงพูดก็คือบุรุษ นางจึงพยายามดิ้นให้หลุดตามสัญชาตญาณแต่ชายหนุ่มกลับกอดนางไว้แน่น หลิงอวี๋แทงเข็มบนมือเขาอย่างขึ้งโกรธหลิงซวนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดึงชายหนุ่มออกพลางตะโกนว่า “ไอ้บ้าตัณหา เจ้าจักท
คุณชายหลายคนที่ร่วมฟังในเหตุการณ์ต่างเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง และคุณชายยินผู้มีสติปัญญาไม่อยากวอนหาเรื่อง จึงหาข้ออ้างจากไปก่อนเหล่าคุณชายที่เหลือฟังจ้าวซิงคุยโม้ต่อ แม้จะเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง แต่หากไม่ฟังข่าวอื้อฉาวเช่นนี้ก็น่าเสียดายนักสุดท้าย จ้าวซิงก็ตบหน้าอกด้วยความภาคภูมิใจแล้วพูดว่า “เสี่ยวอวี้ยังส่งอาภรณ์รัดรูปให้ข้าเป็นสิ่งยืนยันด้วย หากพวกเจ้ามิเชื่อ วันหลังข้าจักเอามาให้พวกเจ้าได้เห็น…”“อาภรณ์นั่นหอมนัก…”จ้าวซิงทำเป็นเคลิบเคลิ้ม หลาย ๆ คนเลยเริ่มเชื่อกว่าครึ่งแล้วคุณชายคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “มีอาภรณ์รัดรูปถือเป็นสิ่งปกติยิ่ง! หากเจ้าเก่งจริง วันหลังตอนเจ้าเริงรักกับนางก็ให้เราไปแอบฟังที่มุมกำแพงสิ แล้วเราจะเชื่อวาจาเจ้าว่าคือความจริง!”จ้าวซิงกลอกตาพลางกล่าวเสียงแผ่ว“ได้สิ อีกไม่กี่วันก็ถึงงานบุปผาชีซีเจี๋ย ลือว่าท่านอ๋องอี้ก็ไปด้วย ข้าจักให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตาความมีเสน่ห์ของข้า!”จ้าวซิงชะงักไป ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องนี้พวกเจ้าต้องเก็บเป็นความลับ ผู้ใดก็ห้ามแพร่งพราย! จักได้มิเสียเรื่อง!”เหล่าคุณชายตกปากรับคำ พวกเขาจะได้ชมละครเด็ดดวงแบบ
เมื่อหลิงอวี๋ได้ฟังก็ตอบทันควัน “นี่มิใช่เรื่องยาก ตราบใดที่ลูกเจ้ามิได้ป่วยเป็นโรคร้ายหมดทางรักษา ข้าก็รับปากเจ้าได้ทั้งนั้น!”“เช่นนั้นขอเชิญพระชายาไปลองตรวจที่เรือนข้าก่อนเถิด หากท่านรักษามิได้ ข้าก็มิอาจตกปากรับคำท่านได้เจ้าค่ะ!”หมิ่นกูพูดตรงไปตรงมาว่า “พระชายาเจ้าคะ มิใช่ว่าข้ามิรู้จักดีชั่ว แต่ข้าต้องดูแลลูกข้า… ท่านก็เป็นแม่คน หวังว่าท่านจักเข้าใจนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋ผงกศีรษะ นางชอบความตรงไปตรงมาของหมิ่นกูนัก ครั้นแล้วนางก็ให้เถาจื่อส่งพวกหลิงเยวี่ยกลับตำหนักไปก่อน ส่วนตนพาหลิงซวนตามหมิ่นกูไปเรือนของนางระหว่างทางก็พลางพูดคุยกับหมิ่นกูไปด้วย หลิงอวี๋รู้ดีว่าหลังเกิดเพลิงไหม้ย่านการค้า แม้หมิ่นกูจะได้รับเงินช่วยเหลือจากราชสำนัก แต่ก็เพียงพอแค่ชดเชยค่าหนี้สินค้นเท่านั้นหลังจากเหรินจื้อลูกชายของหมิ่นกูถูกไฟคลอก หมิ่นกูก็นำเงินเก็บทั้งหมดมารักษาเหรินจื้อ ทว่ากลับเสียเงินเปล่า แถมยังติดหนี้ต่างถิ่นไปมิน้อย“พระชายาอ๋องอี้ การลงทะเบียนตรวจกับท่านช่างยากนัก ข้าไปหลายครั้งแล้วในที่สุดจึงลงสำเร็จ ทว่าวันนัดดันเป็นครึ่งเดือนให้หลังเจ้าค่ะ!”หมิ่นกูกล่าวทั้งยิ้มขมขื่น “ข้ามิรู้เลยว่
“พระชายาอ๋องอี้ จื้อเอ๋อร์เขายังมีทางรอดหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อหมิ่นกูพบสีหน้าหลิงอวี๋ไม่สู้ดีนัก พลันถามวุ่นใจทันทีหลิงอวี๋ขบคิดแล้วกล่าวว่า “โรคของเหรินจื้อข้ารักษาได้ มืคร่าถึงชีวิตเขาแน่นอน! เพียงแค่การฟื้นตัวให้เป็นดังเดิม… อาจค่อนข้างยาก! ข้าพยายามได้แค่ทำให้รอยแผลของเขามือัปลักษณ์เกินงามได้เท่านั้น!”เมื่อหมิ่นกูได้ยินว่ามีทางรอดก็พลันคุกเข่ากับพื้นตุ้บ“ได้โปรดพระชายาช่วยจื้อเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ! ข้ามิขอสิ่งอื่นใด ขอเพียงรักษาชีวิตเขาได้เจ้าค่ะ ข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าให้พระชายาไปชั่วชีวิตเลยเจ้าค่ะ!”“หมิ่นกูขอความกรุณาด้วยเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋พยุงหมิ่นกูลุกขึ้น พลางให้นางเก็บข้าวของพกติดตัวและพาเหรินจื้อตามตนกลับตำหนักหลิงซวนหารถม้ามาเรียบร้อย ทั้งสามแบกเหรินจื้อขึ้นรถม้ากลับตำหนักทันทีเมื่อมาถึงตำหนักอ๋องอี้ หลิงอวี๋ก็ไปอธิบายความคิดของตนกับท่านจินต้าเมื่อท่านจินต้าเห็นท่าทางหมิ่นกูคล่องแคล่วไม่เบาก็คิดเช่นกันว่าตำหนักอ๋องอี้ต้องการสตรีมากฝีมือมาช่วยจัดการเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ เขาจึงจัดเตรียมเรือนให้สองแม่ลูกหมิ่นกูทันใดหลิงอวี๋กับหลิงซวนกำลังช่วยกันทำความสะอาดบาดแผลขอ
เดิมทีท่านจินต้าอยากเลิกพูดโน้มน้าวแล้ว ทว่ากลับนึกบางอย่างได้กะทันหัน พลันกล่าวว่า“ท่านอ๋อง มิลองสืบอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ? ก่อนหน้าจ้าวซวนไปสืบครอบครัวชิวเฮ่าก็มิได้พบปัญหาใดเลย!”“บางทีจ้าวซวนอาจมีส่วนที่สะเพร่าไปพ่ะย่ะค่ะ?”“อีกอย่าง… ก่อนหน้าชิวเหวินซวงอยากออกเรือนกับท่าน ทั้งกระทำเรื่องยุให้รำ ตำให้รั่วหลายสิ่งระหว่างท่านกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ!”“หวกชิวเหวินซวงข่มขู่หวางซือได้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะหาแม่นมมาใส่ร้ายพระชายาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”ท่านจินต้าเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านอ๋อง หากพิสูจน์ได้ว่าหลิงเยวี่ยมิใช่ลูกของท่านจริง อย่างมากที่สุดพวกเราก็แค่เหนื่อยเปล่าพ่ะย่ะค่ะ!”“แต่หากเข้าใจไปผิด ๆ… ท่านอ๋อง ท่านอาจต้องสูญเสียลูกที่รู้ประสีประสาผู้หนึ่งไป และพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเคยสังเกตเจ้าเด็กเยวี่ยเยวี่ยผู้นั้น ช่างรู้ประสากตัญญู และฉลาดยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”“ท่านอ๋อง หากท่านใส่ไคล้เขา ท่านจะเสียใจภายหลังไปชั่วชีวีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนเริ่มใจโลเลเนื่องวาจาของท่านจินต้า หรือเขาจะใส่ความหลิงอวี๋กับหลิงเยวี่ยจริง ๆ?เซียวหลินเทียนนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งพลางกล่าว “ได้