คุณชายหลายคนที่ร่วมฟังในเหตุการณ์ต่างเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง และคุณชายยินผู้มีสติปัญญาไม่อยากวอนหาเรื่อง จึงหาข้ออ้างจากไปก่อนเหล่าคุณชายที่เหลือฟังจ้าวซิงคุยโม้ต่อ แม้จะเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง แต่หากไม่ฟังข่าวอื้อฉาวเช่นนี้ก็น่าเสียดายนักสุดท้าย จ้าวซิงก็ตบหน้าอกด้วยความภาคภูมิใจแล้วพูดว่า “เสี่ยวอวี้ยังส่งอาภรณ์รัดรูปให้ข้าเป็นสิ่งยืนยันด้วย หากพวกเจ้ามิเชื่อ วันหลังข้าจักเอามาให้พวกเจ้าได้เห็น…”“อาภรณ์นั่นหอมนัก…”จ้าวซิงทำเป็นเคลิบเคลิ้ม หลาย ๆ คนเลยเริ่มเชื่อกว่าครึ่งแล้วคุณชายคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “มีอาภรณ์รัดรูปถือเป็นสิ่งปกติยิ่ง! หากเจ้าเก่งจริง วันหลังตอนเจ้าเริงรักกับนางก็ให้เราไปแอบฟังที่มุมกำแพงสิ แล้วเราจะเชื่อวาจาเจ้าว่าคือความจริง!”จ้าวซิงกลอกตาพลางกล่าวเสียงแผ่ว“ได้สิ อีกไม่กี่วันก็ถึงงานบุปผาชีซีเจี๋ย ลือว่าท่านอ๋องอี้ก็ไปด้วย ข้าจักให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตาความมีเสน่ห์ของข้า!”จ้าวซิงชะงักไป ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องนี้พวกเจ้าต้องเก็บเป็นความลับ ผู้ใดก็ห้ามแพร่งพราย! จักได้มิเสียเรื่อง!”เหล่าคุณชายตกปากรับคำ พวกเขาจะได้ชมละครเด็ดดวงแบบ
เมื่อหลิงอวี๋ได้ฟังก็ตอบทันควัน “นี่มิใช่เรื่องยาก ตราบใดที่ลูกเจ้ามิได้ป่วยเป็นโรคร้ายหมดทางรักษา ข้าก็รับปากเจ้าได้ทั้งนั้น!”“เช่นนั้นขอเชิญพระชายาไปลองตรวจที่เรือนข้าก่อนเถิด หากท่านรักษามิได้ ข้าก็มิอาจตกปากรับคำท่านได้เจ้าค่ะ!”หมิ่นกูพูดตรงไปตรงมาว่า “พระชายาเจ้าคะ มิใช่ว่าข้ามิรู้จักดีชั่ว แต่ข้าต้องดูแลลูกข้า… ท่านก็เป็นแม่คน หวังว่าท่านจักเข้าใจนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋ผงกศีรษะ นางชอบความตรงไปตรงมาของหมิ่นกูนัก ครั้นแล้วนางก็ให้เถาจื่อส่งพวกหลิงเยวี่ยกลับตำหนักไปก่อน ส่วนตนพาหลิงซวนตามหมิ่นกูไปเรือนของนางระหว่างทางก็พลางพูดคุยกับหมิ่นกูไปด้วย หลิงอวี๋รู้ดีว่าหลังเกิดเพลิงไหม้ย่านการค้า แม้หมิ่นกูจะได้รับเงินช่วยเหลือจากราชสำนัก แต่ก็เพียงพอแค่ชดเชยค่าหนี้สินค้นเท่านั้นหลังจากเหรินจื้อลูกชายของหมิ่นกูถูกไฟคลอก หมิ่นกูก็นำเงินเก็บทั้งหมดมารักษาเหรินจื้อ ทว่ากลับเสียเงินเปล่า แถมยังติดหนี้ต่างถิ่นไปมิน้อย“พระชายาอ๋องอี้ การลงทะเบียนตรวจกับท่านช่างยากนัก ข้าไปหลายครั้งแล้วในที่สุดจึงลงสำเร็จ ทว่าวันนัดดันเป็นครึ่งเดือนให้หลังเจ้าค่ะ!”หมิ่นกูกล่าวทั้งยิ้มขมขื่น “ข้ามิรู้เลยว่
“พระชายาอ๋องอี้ จื้อเอ๋อร์เขายังมีทางรอดหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อหมิ่นกูพบสีหน้าหลิงอวี๋ไม่สู้ดีนัก พลันถามวุ่นใจทันทีหลิงอวี๋ขบคิดแล้วกล่าวว่า “โรคของเหรินจื้อข้ารักษาได้ มืคร่าถึงชีวิตเขาแน่นอน! เพียงแค่การฟื้นตัวให้เป็นดังเดิม… อาจค่อนข้างยาก! ข้าพยายามได้แค่ทำให้รอยแผลของเขามือัปลักษณ์เกินงามได้เท่านั้น!”เมื่อหมิ่นกูได้ยินว่ามีทางรอดก็พลันคุกเข่ากับพื้นตุ้บ“ได้โปรดพระชายาช่วยจื้อเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ! ข้ามิขอสิ่งอื่นใด ขอเพียงรักษาชีวิตเขาได้เจ้าค่ะ ข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าให้พระชายาไปชั่วชีวิตเลยเจ้าค่ะ!”“หมิ่นกูขอความกรุณาด้วยเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋พยุงหมิ่นกูลุกขึ้น พลางให้นางเก็บข้าวของพกติดตัวและพาเหรินจื้อตามตนกลับตำหนักหลิงซวนหารถม้ามาเรียบร้อย ทั้งสามแบกเหรินจื้อขึ้นรถม้ากลับตำหนักทันทีเมื่อมาถึงตำหนักอ๋องอี้ หลิงอวี๋ก็ไปอธิบายความคิดของตนกับท่านจินต้าเมื่อท่านจินต้าเห็นท่าทางหมิ่นกูคล่องแคล่วไม่เบาก็คิดเช่นกันว่าตำหนักอ๋องอี้ต้องการสตรีมากฝีมือมาช่วยจัดการเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ เขาจึงจัดเตรียมเรือนให้สองแม่ลูกหมิ่นกูทันใดหลิงอวี๋กับหลิงซวนกำลังช่วยกันทำความสะอาดบาดแผลขอ
เดิมทีท่านจินต้าอยากเลิกพูดโน้มน้าวแล้ว ทว่ากลับนึกบางอย่างได้กะทันหัน พลันกล่าวว่า“ท่านอ๋อง มิลองสืบอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ? ก่อนหน้าจ้าวซวนไปสืบครอบครัวชิวเฮ่าก็มิได้พบปัญหาใดเลย!”“บางทีจ้าวซวนอาจมีส่วนที่สะเพร่าไปพ่ะย่ะค่ะ?”“อีกอย่าง… ก่อนหน้าชิวเหวินซวงอยากออกเรือนกับท่าน ทั้งกระทำเรื่องยุให้รำ ตำให้รั่วหลายสิ่งระหว่างท่านกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ!”“หวกชิวเหวินซวงข่มขู่หวางซือได้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะหาแม่นมมาใส่ร้ายพระชายาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”ท่านจินต้าเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านอ๋อง หากพิสูจน์ได้ว่าหลิงเยวี่ยมิใช่ลูกของท่านจริง อย่างมากที่สุดพวกเราก็แค่เหนื่อยเปล่าพ่ะย่ะค่ะ!”“แต่หากเข้าใจไปผิด ๆ… ท่านอ๋อง ท่านอาจต้องสูญเสียลูกที่รู้ประสีประสาผู้หนึ่งไป และพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเคยสังเกตเจ้าเด็กเยวี่ยเยวี่ยผู้นั้น ช่างรู้ประสากตัญญู และฉลาดยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”“ท่านอ๋อง หากท่านใส่ไคล้เขา ท่านจะเสียใจภายหลังไปชั่วชีวีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนเริ่มใจโลเลเนื่องวาจาของท่านจินต้า หรือเขาจะใส่ความหลิงอวี๋กับหลิงเยวี่ยจริง ๆ?เซียวหลินเทียนนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งพลางกล่าว “ได้
แม้เซียวหลินเทียนจะรู้สึกว่าหลิงอวี๋แปลกไปหน่อย แต่ก็มิได้สนใจลู่หนานช่วยประคองเขาขึ้นรถม้าที่พวกเขานั่งคือรถม้าส่วนตัวของเซียวหลินเทียน ตัวรถกว้างขวางและจัดแต่งอย่างสะดวกสบายหลิงอวี๋ลองมองขาของเซียวหลินเทียนพลางถามเสียงแผ่ว “ท่านมิอยากลุกขึ้นเดินหรือเพคะ?”เซียวหลินเทียนสามารถยืนได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่กระทบต่อชีวิตประจำวันของเขาเซียวหลินเทียนกล่าวเสียงทุ้ม “มิอยากชั่วคราว! ช่วงนี้องค์ชายคังกับองค์ชายเว่ยสิ้นอำนาจ จึงเพียงรอข้าทำพลาด!”“หากข้าหายยามนี้ ในสายตาพวกเขาเป็นภัยคุกคามร้ายแรง การแก้แค้นก็ยิ่งทวีความบ้าคลั่ง!”หลิงอวี๋พยักหน้าเหตุการณ์ที่เซียวหลินเทียนถูกลอบสังหารในคราก่อนยังคงค้างคา ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าองค์ชายใหญ่เว่ยคือคนทำ แต่พวกเขาก็ไร้หลักฐานสิ้นวิธีจับองค์ชายเว่ยอยู่ดี!เมื่อมาถึงสวนบึงบุษบง หลิงอวี๋จึงลงรถม้าเดินตามเซียวหลินเทียนเข้าไปองครักษ์ที่สวนบึงบุษบงคือองครักษ์กองทัพหลวงแห่งวังหลวง ผู้ที่ได้รับเชิญล้วนเป็นคุณหนูมั่งคั่งและคุณชายมั่งมีในแวดวงมีชื่อทั้งนั้นหลิงซวนเคยเล่าขั้นตอนงานชมบุปผาแล้วคร่าว ๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติในงานเช
หลิงอวี๋ผงะไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกถึงคราที่ไปจวนเสนาบดีในครั้งก่อน ฉากที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่สวมเสื้อผ้าคนรับใช้กำลังทำความสะอาดผุดขึ้นมาครานั้นนางค่อนข้างสับสน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ แล้วเหตุใดต้องทำงานเก็บกวาด?ทว่าครานั้นนางถูกหลิงเสียงเซิงเรียกไป จึงไม่ได้สนใจถาม“เกิดอะไรขึ้นกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่? ขอโทษด้วย… ก่อนหน้านี้ข้าเลอะเลือน ข้ามิรู้จริง ๆ!”หลิงอวี๋หน้าแดงพลันรีบส่งยิ้มกล่าวคำ“หว่านเอ๋อร์… ข้าก็เสียใจต่อความเลอะเลือนในอดีต แต่ข้าเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าโปรดให้โอกาสข้าชดเชยสักครั้งเถิด!”หลิงหว่านสับสนไปชั่วขณะ โดยคิดว่าหลิงอวี๋คงมิรู้เรื่องอันใดจริง ๆ จึงกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม“ท่านพ่อข้าร่วมออกศึกกับทหารเมื่อหนึ่งปีก่อน เขาถูกซุ่มโจมตี! ขาพิการไปข้างหนึ่ง แต่หนีเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้”จู่ ๆ หัวใจของหลิงอวี๋ก็กระตุก เกิดเรื่องใหญ่กับท่านลุงเข้าแล้ว และนางดันไม่รู้อะไรเลยนี่สิ!มิแปลกใจว่าทำไมหลิงหว่านถึงโกรธตน!“ท่านพ่อหนีกลับมาได้ แต่ทหารห้าพันคนที่เขานำทัพ มีเพียงหนึ่งพันกว่าคนกระจายกันหนีกลับมาได้เท่านั้นเอง”“เมื่อฝ่าบาทได้ยินก็ทรงกริ้วยิ่ง พระองค์ประ
หลิงหว่านปลอบใจตัวเอง บางทีอาจมิใช่ว่าท่านพี่หลิงหลิงมิอยากจัดการ แต่มิสามารถจัดการได้ต่างหาก!ในฐานะพระชายาอ๋องอี้ หลิงอวี๋มิได้รับการต้อนรับจากผู้ใดในตำหนักอ๋องอี้เลย การใช้ชีวิตของนางมิได้ดีเท่าของตน!กระทั่งเห็นว่าหลิงอวี๋เป็นแม่นางหลิงแพทย์ชั้นเซียน หลิงหว่านก็รู้สึกยินดีกับหลิงอวี๋ท่านพี่มีความสามารถเหล่านี้ ต่อไปชีวิตก็จะดีขึ้น!บัดนี้พอหลิงหว่านเห็นว่าหลิงอวี๋ปกป้องตนเอง ความเกลียดชังที่มีต่อนางก็น้อยลงไปมากหลิงหว่านกระซิบ “ท่านพี่ ท่านปู่บอกกับข้าว่าเขาให้ท่านพี่ตัดสินใจเรื่องงานแต่งงานของข้า!”“ข้ามิได้อยากแต่งงานกับขุนนางชั้นสูงอะไรหรอก ขอเพียงมิรังเกียจครอบครัวข้า และปฏิบัติต่อข้าอย่างดีก็พอแล้ว!”ข้อเรียกร้องต่ำถึงเพียงนี้เชียวหรือ?หลิงอวี๋เอ่ยปลอบใจนาง “เจ้าเอ่ยมาเช่นนี้ การแต่งงานเป็นเรื่องตลอดชีวิต จักทำสิ่งใดตามสบายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร! เจ้ามิต้องกังวล ข้าจักหาตัวเลือกที่ดีให้เจ้าอย่างแน่นอน!”หลิงหว่านยิ้มขมขื่น และไปกระซิบข้างหูของหลิงอวี๋“มีบางเรื่องที่ข้ายังมิได้บอกท่านพี่… หวางซือแม่เลี้ยงของท่านพี่มีหลานชายคนหนึ่งในช่วงนี้เขาไปที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนแ
“มิใช่...”หลิงอวี๋ไม่อยากให้หลิงหว่านเข้าใจผิด จึงเอ่ย “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าหมายเปิดร้าน อยากทำให้ใหญ่โต หรือเจ้าแค่ทำไปแบบสบาย ๆ?”หลิงหว่านถูกถามเช่นนี้ก็ก้มหน้าลง พลางเอ่ยอย่างเศร้า ๆ “ท่านพี่ หลังจากที่ท่านพ่อของข้าไปแล้ว บ้านใหญ่ของเราในจวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนก็ถูกครอบครัวของสะใภ้สองดูถูกเข้า”“เวลาท่านปู่อยู่บ้าน พวกเขาก็ยังแสร้งทำสุภาพ! แต่พอท่านปู่มิอยู่บ้าน ครอบครัวของพวกเขาก็สั่งเราอย่างกับคนใช้!”“หลิงเยี่ยนยังพูดอีกว่า ครอบครัวของพวกเราเป็นบ้านรอง! บอกว่าพวกเราอยู่กินแบบมิทำอันใด... คำพูดเหล่านั้นช่างน่าเกลียดนัก!”หลิงหว่านนึกถึงพวกสิ่งที่หลิงเยี่ยนพูดแล้วก็รู้สึกเสียใจมากจนอยากจะร้องไห้ออกมา “ข้ามิอยากให้ท่านแม่ได้รับสายตาเย็นชาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นพอเห็นว่าท่านพี่เปิดโรงเหยียนหลิง ก็เกิดความคิดอยากทำการค้าขึ้นมา!”“ข้ามิได้แช่งท่านปู่… แต่ท่านพี่… หากวันใดท่านปู่มิอยู่แล้ว ข้ากับท่านแม่ต้องถูกครอบครัวของลุงรองขับไล่ออกไปเป็นแน่!”“แทนที่เมื่อถึงเวลานั้นต้องเข้าตาจนไร้ทางไป สู้ข้าหาหนทางให้ครอบครัวเราเสียตั้งแต่บัดนี้มิดีกว่าหรือ”หลิงอวี๋เข้าใจแล้ว หลิงหว่านมีค