“หลิงอวี๋ ยาพิษที่เจ้าวางชิวเฮ่า แน่ใจหรือว่าเขาจะไม่ถึงแก่ชีวิต?”เซียวหลินเทียนยังต้องยืนยันให้มั่นใจสักหน่อย หากว่าหลิงอวี๋แค่ลงโทษชิวเฮ่าเพียงเล็กน้อย เขาก็ยอมได้!แต่หากถึงแก่ชีวิต เช่นนั้นก็ทนรับไว้ไม่ได้!“แน่อยู่แล้ว! หากเขาตาย ข้าก็จะชดใช้เขาด้วยชีวิตดีหรือไม่?”หลิงอวี๋แสยะมุมปากอย่างเย้ยหยัน พลางมองเซียวหลินเทียนอย่างยั่วยุเซียวหลินเทียนไม่คุ้นเคยกับสีหน้าเช่นนี้ของหลิงอวี๋เอามาก ๆ ได้แต่หันหน้าหนีไป“ดี ในเมื่อวันนี้ข้าเป็นผู้ตัดสินคดี เช่นนั้นพวกเราก็มาพูดแต่ละเรื่องกันให้กระจ่างชัดกันไป! พูดเรื่องของหลิงซินก่อนแล้วกัน!”หลิงอวี๋ประเมินในใจ แล้วพูด “หลิงหลานออกมาตอบ!”หลิงหลานหลบอยู่อีกทาง ตอนที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียน ในใจนางก็ลอบคิดมาตรการรับมือไว้อยู่เมื่อได้ยินหลิงอวี๋เรียกตัวเอง หลิงหลานถึงได้เดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับแสร้งทำเหมือนว่าเจ็บหนักมากไปด้วย“พระชายา… บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ!” นางทำความเคารพหลิงอวี๋มองท่าทางที่เหมือนทำไปพอเป็นพิธีของนาง แล้วก็ยิ้มเย็นชา “หลิงซินออกมา!”ในมือของหลิงซินยังคงถือตะบองไม้อยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็
หลิงอวี๋ไม่รอให้ชิวเหวินซวงได้พูดอะไรอีก นางมองหลิงหลานอย่างเย็นชา “ต่อหน้าข้าเรียกแทนตัวเองว่าข้า...?”“หลิงหลานเจ้ามีตัวตนเช่นไร พูดอยู่ต่อหน้าข้า เจ้ามีสิทธิ์เรียกแทนตัวเองว่าข้าอย่างนั้นหรือ?”นางเตะหลิงหลานไปอีกทีอย่างหยาบคาย แล้วหลิงหลานก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างมิเต็มใจนักจู่ ๆ หลิงซินก็ฉลาดเป็นกรดขึ้นมาในวินาทีนี้ นางคุกเข่าตามลงไปทันที“พระชายาพูดถูก บ่าวรับผิดเจ้าค่ะ!”นางรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ คุณหนูเปลี่ยนไปเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแล้วจริง ๆ ยกข้ออ้างนี้มาพูดถูกต้องมาก ๆ ตบตีหลิงหลานแล้วยังทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ได้ด้วย!ชิวเหวินซวงคิดที่จะติดตามเอาผิดกับหลิงซิน แต่หลิงซินเองก็ยอมรับผิดไปแล้ว ทำให้นางพูดไม่ออกทันทีชิวเหวินซวงเกลียดชังอยู่ในใจสองวันมานี้หลิงซินก็ทำอวดดีกับตัวเองขึ้นมาเช่นกัน หากทำในที่ที่เป็นส่วนตัวก็ช่างมันเถิด แต่อยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง กลับไม่มีสายตาเคารพกันเลย!หลิงหลานรู้ว่าตัวเองพลาดท่าเสียทีเข้าแล้ว นางลอบมองหลิงอวี๋ด้วยแววตาอาฆาต แต่ปากกลับเอ่ยอย่างว่าง่าย “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!”“เรามาตัดสินคดีกันต่อ! หลิงหลาน เจ้าบอกว่าหลิงซินขโมยของ ขโมยอะไร?”หลิงอ
“คำไหนคำนั้น!”หลิงอวี๋ก็ไม่ได้กล่าวเลอะเทอะเรียกให้ลู่หนานมาข้าง ๆ แล้วกระซิบไปสองสามประโยคแม้หลิงซินยังคุกเข่าอยู่ แต่ในใจกลับตื่นเต้นหวั่นไหวอย่างหนักหน่วงปล่อยให้หลิงหลานและแม่นมเกาจนถึงชิวเหวินซวงคำนับให้ตน ให้นางระบายความแค้น นี่ก็เป็นเรื่องที่นางไม่กล้าฝันถึงเช่นกัน!คุณหนูของพวกนางทำได้จริงหรือ?หลิงเยว่ก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน แม้เขาจะตัวเล็กแต่ก็ฉลาดยิ่งนัก!จากบทสนทนาของคนเหล่านี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า ท่านแม่อยากช่วยพี่หลิงซินให้พ้นโทษการลักทรัพย์และยังต้องการให้สตรีชั่วหลายคนนั้นคำนับยอมรับโทษด้วย!แล้วท่านแม่จะทำได้อย่างไรเล่า?ในดวงตากลมโตเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น! แต่เขากลับจับมือแม่นมลี่อย่างน่าเอ็นดูมาก ไม่ไปรบกวนท่านแม่เซียวหลินเทียนทรงฟังหลิงอวี๋กล่าวอะไรบางอย่างกับลู่หลานไม่ชัด เห็นเพียงลู่หลานมองเขาอย่างลังเลหลังได้ยินเซียวหลินเทียนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ลู่หนาน พระชายาให้เจ้าทำสิ่งใดเจ้าก็ไปทำเถอะ! ไม่ต้องมาปรึกษาความเห็นจากข้าทุกครั้งหรอก!”ลู่หนานเลยไม่ลังเลอีก และทำตามคำสั่งของหลิงอวี๋เรียกองครักษ์ผู้หนึ่งแล้วออกไปหลังเวลาหนึ่งก้านธูป(1) ลู่หนานกั
“ผู้ใดกล่าวปดผู้ใดบริสุทธิ์! นี่ยังจำเป็นต้องไต่สวนอีกอยู่หรือไม่?”หลิงอวี๋มองชิวเหวินซวงเยาะหยัน “ชิวเหวินซวง ยินดีด้วยที่เจ้าพ่ายเดิมพัน! พวกเจ้าต้องคำนับแสดงการขออภัยต่อหลิงซิน!”ใบหน้าของชิวเหวินซวงอดกลั้นจนแดงไปหมด หยาดน้ำตาไหลรินอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้า… ข้าถูกหลิงหลานและแม่นมเกาหลอกเจ้าค่ะ!”“ข้ามิสนพวกเจ้าว่าใครหลอกใคร! น้ำตาของเจ้าก็ไร้ค่าสำหรับข้าเช่นกัน!”“หลิงซินถูกกล่าวหาและทุบตี พวกเจ้าไม่มีใครเห็นใจ! เหตุใด คิดว่าหลั่งน้ำตาหยดสองหยดจะทำให้ข้าเห็นใจพวกเจ้าได้งั้นรึ?”“หรือว่าอยากร่ำไห้ให้ท่านอ๋องของพวกเจ้าเห็นอีกและบอกว่าข้าหลิงอวี๋รังแกคน?”วาจาของหลิงอวี๋ไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย ทำให้สีหน้าเซียวหลินเทียนแปรเปลี่ยนไปเมื่อชิวเหวินซวงพบก็รีบเช็ดน้ำตาคุกเข่าลงตุ้บ“หลิงซิน ข้าขอโทษ ข้ามิควรเชื่อและฟังความหลิงหลานและแม่นมเกาเพียงข้างเดียว ทำให้เจ้าต้องกล้ำกลืนความอยุติธรรมแล้ว!”“ข้าให้เจ้าแสดงการขอภัย!”นางคำนับสามครั้งติดต่อกันถึงจะลุกขึ้นหลิงอวี๋คลี่ยิ้ม ชิวเหวินซวงผู้นี้เป็นคนมีความสามารถเสียจริง! ปรับตัวเข้าได้กับทุกสถานการณ์!หลิงหลานกับแม่นมเกาเห็นชิวเห
หลิงหลานพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นนางแต่งขึ้นมาแล้วจะกล่าวให้กระจ่างได้อย่างไรกัน!แต่ครั้นพบว่าเซียวหลินเทียนกำลังมองมาอยู่ด้านข้าง หลิงหลานไฉนเลยจะบอกว่าตัวเองแต่งเรื่องเพียงจำเป็นต้องกล่าวเท่านั้น “บ่าวเองก็จำว่าเป็นสถานที่ไหนเวลาใดได้ไม่ครบถ้วนแล้วเจ้าค่ะ!”“ถูกต้อง พระชายามิใช่ไปเรือนหยกอำไพหรือเจ้าคะ? ท่านให้บ่าวคอยอยู่ข้างนอก ตัวเองเข้าไปคนเดียวหนึ่งชั่วยาม(1)ถึงออกมา!”ครั้นหลิงอวี๋ได้ยินคำพูดนี้ก็หัวร่อ นางมองหลิงหลานอย่างเย้ยหยัน “การเข้าไปเรือนหยกอำไพหนึ่งชั่วยามคือไปนัดพบ? หลิงหลาน งั้นเจ้าเห็นชายชู้ออกมาหรือไม่?”เซียวหลินเทียนขมวดคิ้ว เขารู้สึกไม่ชอบสองคำว่า “ชายชู้” นี้เลย!หลิงอวี๋ไม่รู้จักละอายเลยหรือกระไร สองคำนี้คิดกล่าวออกมาตามอำเภอใจได้หรือ?“บ่าวมิเห็นเจ้าค่ะ นั้นมิใช่เพราะพระชายาปิดบังอยู่หรอกหรือเจ้าคะ?” หลิงหลานเอ่ยอย่างช่างพูด“อือ เมื่อเดือนก่อนข้าอยู่เรือนหยกอำไพพบบุรุษหนึ่งชั่วยามจริง!”คำพูดนี้ของหลิงอวี๋พลันทำให้คิ้วรูปดาบเซียวหลินเทียนเลิกขึ้นทันทีหลิงหลานเอ่ยขึ้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องฉับพลัน “ท่านอ๋อง ทรงทอดพระเนตรเถิดเพคะ บ่าวม
“เรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยสูงนี่!”สองวันนั้นที่หลิงอวี๋เอนนอนบนเตียงก็ทวนความทรงจำในช่วงเวลาใกล้ ๆ นางจึงรู้แจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นบ้าง“หลิงหลาน เจ้าแน่ใจหรือว่าครานั้นข้าไปนัดพบ?” หลิงอวี๋กล่าวถามเวลานี้หลิงหลานหวั่นน้ำเสียงที่หลิงอวี๋ใช้กล่าวถามนางที่สุด นางมักรู้สึกว่าด้านในมีหลุมพรางกำลังรอนางทะลวงลงไป!แม้คำพูดนั้นล้วนกล่าวมาไม่เป็นความจริงก็ตาม หลิงหลานก็ยังจะยืนกระต่ายสามขาเช่นเดิม“ครานั้นพระชายาผมเผ้ายุ่งเหยิงสวมเสื้อผ้ารุ่งริ่งไม่เรียบร้อย มิใช่ไปนัดพบแล้วจะไปทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”คราวนี้หลิงอวี๋ก็ไม่สามารถหยิบยกกล่าวถึงเรื่องเสิ่นเจียหยินกับเสิ่นจวนได้อีก!ไฉนเลยจะไปคิดว่า หลิงอวี๋จะหัวเราะอีกแล้ว นางกวักมือเรียกเอ่ยว่า “หลิงซิน มาตบนางสิบฝ่ามือเสียก่อน!”หลิงซินทนมองหลิงหลานใส่ร้ายหลิงอวี๋ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหวอีก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พรวดพราดเข้าไปแล้ว“พระชายา ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตีบ่าว! ท่านมีคำอธิบายเรื่องนี้หรือไร!”“หากบ่าวใส่ความ ท่านจะตีบ่าวยี่สิบฝ่ามือ บ่าวก็จะยอมรับ!”หลิงหลานตะโกนขึ้น “แต่ท่านล้วนกล่าวไม่กระจ่างก็จะตีคนก่อน บ่าวไม่ยอมรับ!”“ท่านอ๋อ
การกระทำของหลิงซินทั้งรวดเร็วและดุร้าย ครั้นรอให้ตีเสร็จสามสิบฝ่ามือปรางแก้มสองข้างของหลิงหลานล้วนบวมเป่ง และนางก็ทรุดตัวลงกับพื้น“มาคุยกันต่อเถอะ! ข้ายังมีอะไรไม่อาจแพร่งพรายได้อีก! วันนี้ข้าผู้เป็นพระชายาให้โอกาสเจ้าปรึกษาพูดคุยอย่างดี!”หลิงอวี๋กล่าวถามด้วยรอยยิ้มใบหน้าหลิงหลานปูดบวม ไฉนเลยจะพูดได้!มิหนำซ้ำนางเข้าใจแล้ว วันนี้หลิงอวี๋มีเจตนากรมณ์มาแก้ข่าวให้ตัวเอง นางไม่มีหลักฐานอันเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรผลสุดท้ายก็จะคงเดิม“เหตุใดไม่กล่าวแล้วเล่า? มิใช่ว่าเจ้าเคยพูดว่า ข้าว่าท่านอ๋องไร้ประโยชน์กระทำเรื่องด้านนั้นมิได้หรอกรึ?”“วันนี้เจ้าก็กล่าวต่อข้าผู้เป็นพระชายา… ให้กระจ่าง ข้ากล่าวคำพูดนี้ที่ไหนเวลาใดรึ?”หลิงอวี๋บีบคั้นไปทีละก้าว น้ำเสียงดุดันขึ้นในแต่ละประโยค“พระชายา บ่าว… บ่าวผิดไปแล้ว… คำพูดเหล่านั้นบ่าวล้วนฟังหลิงผิงมาทั้งสิ้น บ่าวมิเคยได้ยินพระชายาเอ่ยเลยเจ้าค่ะ!”“บ่าวมิควรเชื่อหลิงผิง เรื่องนี้เป็นนางพูดทั้งนั้น พระชายาไปไต่สวนหลิงผิงเถิดเจ้าค่ะ!”หลิงหลานถูกหลิงอวี๋ทำให้ประหวั่นพรั่นพรึงแล้ว นางร่ำไห้สะอึกสะอื้นและโยนให้ปัญหาหลิงผิงอย่างไรหลิงผิง
คำพูดร่ายยาวของหลิงอวี๋ทำเอาทุกคนตกตะลึงลู่หนานมองหยกห้อยเอวอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าลวดลายนี้มันจะยังมีรายละเอียดพิถีพิถันเหล่านี้ด้วย!เซียวหลินเทียนก็หมดคำพูด เขามิได้ศึกษาเกี่ยวกับของชิ้นนี้เลยจริง ๆ แต่เมื่อก่อนมักจะได้ยินอันเจ๋อเพื่อนสนิทของเขาโจมตีตัวเขาอยู่บ่อย ๆ ว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่มันล้าสมัยแล้ว!เครื่องประดับเองก็ไม่ได้ตามสมัยเช่นกัน!เขาฟังแล้วก็ปล่อยผ่านมันไป ไม่เคยเอาคำพูดเรื่อยเปื่อยของอันเจ๋อมาใส่ใจเลยในสายตาของเขา ผู้ชายควรจะตั้งมั่นอยู่กับเป้าหมายที่สูงเข้าไว้พวกเรื่องรูปแบบเสื้อผ้าที่พิถีพิถันเหล่านี้ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทั่ว ๆ ไปถึงจะให้ความสนใจ!เขาไม่เคยรู้สึกว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่มีอะไรที่มันไม่เหมาะสม พวกลู่หนานเองก็ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากมายกับเรื่องพวกนี้ มีหรือจะนึกถึงว่าในนี้จะมีรายละเอียดเหล่านี้อยู่!ครั้งนี้ชิวเหวินซวงทึ่งกับหลิงอวี๋มาก หลิงอวี๋ผู้นี้นับวันจะยิ่งฉลาดมากขึ้นทุกทีแล้ว!พูดน้อยก็จะผิดพลาดน้อย!ตอนนี้นางจะต้องพิจารณาหลิงอวี๋เสียใหม่ก่อน แล้วค่อยแข่งขันกับนาง!หลิงผิงถูกตัดเอ็นร้อยหวายไปแล้ว หลังจากวันนี้ก็จะไม่สามารถใช้งาน
เย่หรงหน้าแดง พลางเอ่ยอย่างเขินอาย “ผู้อาวุโสตระกูลข้ามิปล่อยให้พวกเราแตะต้องทางที่ชั่วร้ายเหล่านี้หรอก อยากรู้อยากเห็นก็มิได้… เขากังวลว่าพวกเราจะหลงไปเข้าทางที่ผิด!”“หากเจ้าอยากรู้ก็ให้เวลาข้าสักหน่อย ข้าจะถามผู้อาวุโสตระกูลข้าให้ แล้วจะบอกเจ้าอีกที! เขารู้ทั้งเรื่องในอดีตและปัจจุบัน และมีความรู้กว้างขวางมาก จะต้องรู้อย่างแน่นอน!”หลิงอวี๋หมดคำพูด เย่หรงมาจากแดนปีศาจ แต่กลับต้องไปถามผู้อาวุโสของเขา ทั้งไปและกลับอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งเดือนกระมังหากรอกระทั่งเขาได้คำตอบ เช่นนั้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็คงบรรลุเป้าหมายไปนานแล้ว คำตอบของเขาก็มิทันการแล้ว!เอาเถิด ถือเสียว่าตนมิได้ถาม หลิงอวี๋ก้มหน้าตรวจศพต่อในเวลานี้ เผยอวี้ก็กลับมา“พี่หญิงหลิงหลิง ข้าเจอที่อยู่ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแล้ว! แต่นางมีผู้ช่วยมา ข้ากลัวที่จะเป็นการเผยให้นางรู้ความเคลื่อนไหว จึงมิได้ขึ้นไปตรวจสอบขอรับ!”เผยอวี้ได้ยินจากหานอวี้ว่ามีคนนอกอยู่ด้วย เมื่อเข้ามาจึงมิเรียกว่าฮองเฮาเขารายงานหลิงอวี๋ พลางใช้หางตามองพิจารณาเย่หรงไปด้วยบุรุษผู้นี้มีพลังชั่วร้ายเล็กน้อย!ความประทับใจครั้งแรกของเผยอวี้ที่มีต่อเย่หรงคือสิ่ง
“คุณหนู บ่าวตรวจดูแล้วพบว่าเด็กในท้องของสตรีมีครรภ์หายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”หานอวี้เหลือบมองเย่หรงอย่างดูถูก พลางเอ่ยกับหลิงอวี๋ด้วยความโกรธ “พวกนางถูกมีดผ่าท้องแล้วเอาเด็กออกไปในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่!”เย่หรงอาเจียนเสร็จแล้วได้ยินคำพูดของหานอวี้ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอีกครั้งเขานึกมิถึงว่า การบำเพ็ญตนในทางชั่วร้ายจะเป็นเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้เย่หรงที่มิสนใจอะไรมาโดยตลอดรู้สึกโกรธกับการกระทำของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้อาวุโสตระกูลเย่บำเพ็ญตนในวิธีที่ถูกต้อง แม้ว่าเย่หรงจะซุกซนมาตั้งแต่เด็ก แต่ผู้อาวุโสก็สอนด้วยคำพูดและการกระทำทำให้แม้ว่าบางครั้งเย่หรงจะทำอะไรนอกกรอบไปบ้าง แต่เย่หรงก็ดูถูกและจะมิทำพฤติกรรมที่โหดร้ายเช่นนี้!เมื่อทุกคนจะทำสิ่งใดก็ควรจะมีขอบเขตของตน หากกล้าที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นนั้นจะต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานเล่า!คำพูดของผู้อาวุโสนั้นเย่หรงจดจำขึ้นใจ หลายปีมานี้เขาปฏิบัติตามคำสอนของผู้อาวุโสมาตลอด มิว่าจะกระทำการไร้เหตุผลเพียงใด ก็ยังคงยึดมั่นในขอบเขตของตนวิธีบำเพ็ญตนของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยถือเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับผู้บำเพ็ญตนในทางที่ถูกต้องทุกคนในแดนปีศาจ ทุกคนจะต้องลงโทษ
“หลิงอวี๋ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้นี้เป็นใครหรือ?”ดูเหมือนว่าเย่หรงจะรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไป จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“เป็นผู้บำเพ็ญตนเช่นเดียวกับเจ้า คราก่อนต่อสู้กับข้าแล้วได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงตามหาบุรุษและสตรีมีครรภ์มาบำเพ็ญวิชาลับชั่วร้ายเพื่อฟื้นฟูพลัง!”หลิงอวี๋คิดถึงเจตนาของเย่หรง แล้วก็อดมิได้ที่จะเอ่ยด้วยความโกรธและประชด “ใต้หล้านี้มีคนไร้ยางอายเช่นนี้ ความสามารถของตนมิเพียงพอ จึงไปเดินเส้นทางที่มิถูกต้อง คนเช่นนี้แม้จะมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีแล้วจะมีความหมายอะไร!”“ลึก ๆ แล้วพวกเขาก็คือหัวขโมย มีชีวิตอยู่หลายร้อยปีก็มิอาจชำระล้างสิ่งสกปรกในกระดูกเหล่านั้นได้!”หลิงอวี๋เอ่ยโดยนัยสองความหมาย ในทางตรงคือด่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ย และในทางแฝงคือด่าตระกูลเย่กับตระกูลเฉียวที่มาสอดแนมหยกหล้าสุขาวดีของตนมิรู้ว่าเย่หรงเข้าใจหรือไม่ แต่สีหน้าของเขายังคงเป็นเช่นเดิมหลิงอวี๋ก็หมดคำพูดแล้ว รู้สึกว่าการพูดแบบแฝงนัยของตนราวกับสีซอให้ควายฟังอย่างไรก็มิสามารถปลุกคนที่แกล้งหลับได้!ในเมื่อเย่หรงทำเป็นมิเข้าใจคำพูดแฝงนัยของตน แล้วนางจะปลุกความละอายใจของเขาได้อย่างไร!เสียทีที่ขันทีโม
มีผู้ช่วยไปด้วยกัน หลิงอวี๋ย่อมยินดีอยู่แล้วอีกทั้งนางก็รู้สึกได้ว่าพลังของคุณชายหรงผู้นี้เหนือกว่าตนในเมื่อเขามิได้เป็นศัตรูกับตน ก็คงจะไม่มีทางยอมรับการบำเพ็ญตนที่ใช้คนมีชีวิตของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแน่!หลิงอวี๋พยักหน้า แล้วเดินไปเอ่ยถามไป “คุณชายหรงสกุลหรงหรือ?”“เหตุใดเจ้าพูดมากนัก? พวกเราสกุลใดแล้วเจ้าจะยุ่งอะไรด้วย?”หยางหงหนิงเห็นว่าเย่หรงมิไว้หน้าตน ตกลงที่จะไปกับหลิงอวี๋ สีหน้าของนางก็ยิ่งมิสู้ดีและมุ่งเป้าไปที่หลิงอวี๋อยู่ตลอดหลิงอวี๋เป็นฮองเฮาแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าไร้มารยาทกับตนมานานมากแล้วเมื่อเห็นหยางหงหนิงพุ่งเป้ามาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่าไหนเลยจะทนได้นางทำหน้านิ่งพลางตะคอกเสียงดุ “คุณหนูผู้นี้เคยเรียนหนังสือหรือไม่? อาจารย์ของเจ้ามิเคยสอนมารยาทให้เจ้าหรือ?”“เด็กอายุสามขวบยังรู้ดีว่าผู้ใหญ่พูดอยู่มิควรพูดสอด แต่เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับมิเข้าใจแม้แต่มารยาทพื้นฐาน!”“คุณชายหรง นางเป็นนางรับใช้ของเจ้าหรือ? คนรับใช้เช่นนี้ต่อไปก็อย่าได้พาออกมาให้อับอายผู้คนเลย!”หยางหงหนิงถูกหลิงอวี๋ตำหนิก็หน้าแดง นางมิเคยคาดคิดเลยว่า สตรีป่าเถื่อนที่พบในภูเขาจะกล้าทำให้ตนอับอายเช่นนี้!
“ข้าคือหลิงอวี๋!”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าพี่หรงเปิดเผยสถานะตนออกมา ก็มิได้ปิดบังและยอมรับตามตรง“ข้ามาที่นี่เพื่อสืบคดีสตรีมีครรภ์ที่สูญหายไป!”เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด หลิงอวี๋จึงอธิบายจุดประสงค์ในการมาของตนออกไปด้วยนางมองไปทางพี่หรงอย่างคาดหวัง ในใจก็หวังจริง ๆ ว่าคนผู้นี้จะเป็นหลิงหรง!แม้ว่าหลิงอวี๋จะสุขสบายอยู่ในยุคนี้ราวกับปลาได้น้ำ แต่นางก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ตนเป็นคนยุคปัจจุบันเพียงผู้เดียวและกำลังดิ้นรนอยู่ในโลกที่มิได้เป็นของตน แม้ว่าจะมีคนใกล้ชิดเช่นเซียวหลินเทียนกับเซียวเยวี่ยและคนอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ก็มิอาจลบล้างความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้ไปได้!เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนี้ หลิงอวี๋ก็มีความรู้สึกผสมปนเปกันมากมาย การปรากฏตัวของหลิงหรงเป็นการชดเชยความโดดเดี่ยวนี้!เย่หรงขมวดคิ้วมองหลิงอวี๋ ดวงตาคู่นั้นยิ่งมองก็ยิ่งดูคุ้นเคย แต่เขาจำมิได้จริง ๆ ว่าตนเคยเจอคนผู้นี้มาก่อน!นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากแดนปีศาจมาที่ใต้หล้านี้ เขากล้ารับประกันเลยว่า เขามิเคยเห็นใบหน้านี้ในแดนปีศาจเช่นกัน“พี่หรง ท่านรู้จักนางหรือ?”หยางหงหนิงเอียงตัวมาปิดกั้นการมองของเย่หรงที่มองหลิงอว
“คุณหนูมิได้อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่เรือนลั่วเฟิ่งด้านบน พวกท่านรอสักครู่ ข้าจะพาพวกท่านไป!”หนานฮุ่ยวิ่งกลับไปบอกนางรับใช้อีกคนแล้ววิ่งออกมาตอนนี้หลิงอวี๋รู้แล้วว่า คนที่สี่ที่อยู่ข้างในนั้นคือคนของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเฉียวเค่อก็มิได้ถามอะไร แล้วพาคนของตนตามหนานฮุ่ยขึ้นไปบนภูเขาเมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าพวกเขาไปไกลแล้ว นางก็ขยับไปอยู่ตรงหน้าพี่หรงอย่างทนมิไหวแล้วเอ่ยเบา ๆ “เสี่ยวหรง นี่พี่หลิงอวี๋เอง นายก็เจอเรื่องเหมือนกับพี่ใช่ไหม?”พี่หรงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างประหลาดใจแล้วจ้องมองหลิงอวี๋อย่างระมัดระวังหลิงอวี๋เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็รู้สึกหดหู่ในใจ หรือว่าตนคิดผิดไป คนผู้นี้มิใช่หลิงหรง!มิฉะนั้นแม้ว่าหลิงหรงจะมิรู้จักใบหน้านี้ของตน แต่ก็ไม่มีทางที่จะมิแยแสกับชื่อหลิงอวี๋!“พี่หรง เราควรตามพวกเขาไปหรือไม่? เฉียวเค่อผู้นั้นจะต้องเป็นพวก…”สตรีที่พูดก่อนหน้านี้วิ่งออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำแต่เมื่อพี่หรงก้าวออกไปจ้องมองนาง เสียงของนางก็หยุดชะงักไปหลังจากนั้น หลิงอวี๋ก็เดินตามออกมาจากที่ซ่อนเช่นกันหลิงอวี๋มองเห็นรูปลักษณ์ของสตรีที่พูดได้อย่างชัดเจนเห็นใบหน้ารูปไข่สี
ชั่วครู่หนึ่งหลิงอวี๋คิดจะล่าถอยไป แต่ที่ด้านหลังของนางล้วนเป็นพุ่มไม้ เป็นไปมิได้ที่นางจะล่าถอยโดยมิถูกพบบุรุษที่พุ่งเข้ามานั้นเร็วมาก เขาคือพี่หรงที่พูดจาสงบผู้นั้นทันทีที่เขาพุ่งมาถึงที่ที่หลิงอวี๋ซ่อนตัวอยู่ก็พบว่ามีคนซ่อนตัวอยู่แล้วหนึ่งคนพี่หรงยกฝ่ามือขึ้นทันที คิดจะโจมตีหลิงอวี๋ที่อยู่ในความมืดหลิงอวี๋รู้สึกถึงอันตรายอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดจะลงมือโดยมิสนใจสิ่งใดแล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษผู้นั้นที่แสงจันทร์ส่องสว่างลงมาใบหน้านั้นราวกับแกะสลัก หล่อเหลาไร้ที่ติริมฝีปากบางมีความดูถูกเหยียดหยามและเยือกเย็นอยู่เล็กน้อย ดวงตาสีเข้มคู่นั้นเปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์ และมีแสงสีเขียวเข้มประหลาดสะท้อนออกมาด้วย...เหตุผลหลักที่หลิงอวี๋มิลงมือก็เพราะว่า ใบหน้าของบุรุษผู้นี้เหมือนกับหลิงหรงลูกพี่ลูกน้องของตนในยุคปัจจุบันทุกประการนอกจากปู่แล้วหลิงหรงเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุด เพียงแต่หลิงหรงอายุเพียงสิบห้าก็มาหายตัวไปมิพบตัวและมิพบศพเพราะไปปีนเขาแล้วเกิดอุบัติเหตุตกลงมาจากยอดภูเขาน้ำแข็งตอนนั้นหลิงอวี๋ตามหาอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนแต่ก็มิพบหลิงหรงต่อมาในเวลาว่างก็มักจะ
ท้องฟ้าเพิ่งจะมืดลง พวกหลิงอวี๋ก็รีบไปที่ภูเขาสัตตะสมบัติที่ตั้งของศาลบูรพกษัตริย์ภูเขาสัตตะสมบัติแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านและอยู่กลางภูเขาเพราะเป็นสถานที่ที่เหล่าสนมมาบำเพ็ญเพียรกันในสมัยโบราณ จึงมีขนาดใหญ่มาก แบ่งออกเป็นลานเล็ก ๆ สิบกว่าแห่ง รวมแล้วมีอยู่หลายร้อยเรือนก่อนที่หลิงอวี๋จะมาที่นี่ นางได้พบภาพวาดการก่อสร้างศาลบูรพกษัตริย์ในตอนแรก และได้ศึกษารูปแบบของศาลบูรพกษัตริย์และภูเขาสัตตะสมบัติมาแล้วนาง ฉินซานและเผยอวี้ต่างก็ได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่งจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอาศัยการปิดบังของเหล่าสนมที่ศาลบูรพกษัตริย์ทำการบำเพ็ญตนที่นี่ เช่นนั้นเพื่อมิให้พวกนางตกใจแล้วเปิดเผยเรื่องที่ตนนำคนมาบำเพ็ญตน ที่พักอาศัยของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงเลือกได้เพียงแค่เรือนที่อยู่ห่างไกลเท่านั้นลานเล็ก ๆ หลายแห่งที่อยู่ห่างไกลออกไปที่ภูเขาด้านหลังน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเมื่อพวกหลิงอวี๋มาถึงตีนเขาก็แยกกันไปสามทาง แต่ละคนก็พาคนของตนไปสำรวจตามลานเล็ก ๆ เหล่านั้นหลิงอวี๋ออกมาคราวนี้พาเถาจื่อ หานเหมย สุ่ยหลิงและหานอวี้มาด้วย นางให้หานเหมยไปกับฉินซาน หานอวี้ไปกับเผยอวี้ ส่วนตนก็พาเถาจ
หลิงอวี๋สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “แม่นม จากที่ท่านบอก เช่นนั้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสังหารคนไปมากมายถึงเพียงนี้ อาการบาดเจ็บภายในของนางก็ฟื้นตัวดีแล้วใช่หรือไม่?”“นางได้บรรลุดินแดนที่หกไปสู่ดินแดนที่เจ็ดแล้วด้วยหรือไม่?”แม่นมอูเม้มปาก “เรื่องนี้มิอาจบอกได้ บ่าวมิเข้าใจวิชาบำเพ็ญตนชั่วร้ายเหล่านั้น บางทีอาการบาดเจ็บภายในของนางอาจจะหายแล้ว! แล้วยังบรรลุดินแดนที่เจ็ดหรืออาจจะสูงกว่านั้นแล้วเพคะ!”“เหตุผลที่วิชาบำเพ็ญตนชั่วร้ายสามารถดึงดูดผู้บำเพ็ญตนให้ละทิ้งวิธีบำเพ็ญที่ถูกต้องไปได้ก็คือ มันสามารถทำให้พัฒนาการบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นจะมีคนเลือกใช้วิธีที่เสี่ยงต่อการเป็นปีศาจเช่นนี้ได้อย่างไร!”เหงื่อเย็นไหลออกมาที่หลังของหลิงอวี๋หากจ้าวหรุ่ยหรุ่ยบรรลุเข้าสู่ดินแดนที่เจ็ดหรือแปดอย่างรวดเร็วดังเช่นที่แม่นมอูบอก เช่นนั้นนางกับแม่นมอูรวมถึงขันทีโม่ก็ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย!“ข้าจะไปสอบสวนดูก่อนสักหน่อยแล้วกัน!”ในสถานการณ์ที่ยังมิรู้แน่นี้ หลิงอวี๋มิกล้าให้แม่นมอูและคนอื่น ๆ ตกอยู่ในอันตรายไปกับตนได้นางเรียกเผยอวี้กับฉินซานมาแล้วเล่าเรื่องนี้ให้พวก