“เรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยสูงนี่!”สองวันนั้นที่หลิงอวี๋เอนนอนบนเตียงก็ทวนความทรงจำในช่วงเวลาใกล้ ๆ นางจึงรู้แจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นบ้าง“หลิงหลาน เจ้าแน่ใจหรือว่าครานั้นข้าไปนัดพบ?” หลิงอวี๋กล่าวถามเวลานี้หลิงหลานหวั่นน้ำเสียงที่หลิงอวี๋ใช้กล่าวถามนางที่สุด นางมักรู้สึกว่าด้านในมีหลุมพรางกำลังรอนางทะลวงลงไป!แม้คำพูดนั้นล้วนกล่าวมาไม่เป็นความจริงก็ตาม หลิงหลานก็ยังจะยืนกระต่ายสามขาเช่นเดิม“ครานั้นพระชายาผมเผ้ายุ่งเหยิงสวมเสื้อผ้ารุ่งริ่งไม่เรียบร้อย มิใช่ไปนัดพบแล้วจะไปทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”คราวนี้หลิงอวี๋ก็ไม่สามารถหยิบยกกล่าวถึงเรื่องเสิ่นเจียหยินกับเสิ่นจวนได้อีก!ไฉนเลยจะไปคิดว่า หลิงอวี๋จะหัวเราะอีกแล้ว นางกวักมือเรียกเอ่ยว่า “หลิงซิน มาตบนางสิบฝ่ามือเสียก่อน!”หลิงซินทนมองหลิงหลานใส่ร้ายหลิงอวี๋ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหวอีก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พรวดพราดเข้าไปแล้ว“พระชายา ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตีบ่าว! ท่านมีคำอธิบายเรื่องนี้หรือไร!”“หากบ่าวใส่ความ ท่านจะตีบ่าวยี่สิบฝ่ามือ บ่าวก็จะยอมรับ!”หลิงหลานตะโกนขึ้น “แต่ท่านล้วนกล่าวไม่กระจ่างก็จะตีคนก่อน บ่าวไม่ยอมรับ!”“ท่านอ๋อ
การกระทำของหลิงซินทั้งรวดเร็วและดุร้าย ครั้นรอให้ตีเสร็จสามสิบฝ่ามือปรางแก้มสองข้างของหลิงหลานล้วนบวมเป่ง และนางก็ทรุดตัวลงกับพื้น“มาคุยกันต่อเถอะ! ข้ายังมีอะไรไม่อาจแพร่งพรายได้อีก! วันนี้ข้าผู้เป็นพระชายาให้โอกาสเจ้าปรึกษาพูดคุยอย่างดี!”หลิงอวี๋กล่าวถามด้วยรอยยิ้มใบหน้าหลิงหลานปูดบวม ไฉนเลยจะพูดได้!มิหนำซ้ำนางเข้าใจแล้ว วันนี้หลิงอวี๋มีเจตนากรมณ์มาแก้ข่าวให้ตัวเอง นางไม่มีหลักฐานอันเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรผลสุดท้ายก็จะคงเดิม“เหตุใดไม่กล่าวแล้วเล่า? มิใช่ว่าเจ้าเคยพูดว่า ข้าว่าท่านอ๋องไร้ประโยชน์กระทำเรื่องด้านนั้นมิได้หรอกรึ?”“วันนี้เจ้าก็กล่าวต่อข้าผู้เป็นพระชายา… ให้กระจ่าง ข้ากล่าวคำพูดนี้ที่ไหนเวลาใดรึ?”หลิงอวี๋บีบคั้นไปทีละก้าว น้ำเสียงดุดันขึ้นในแต่ละประโยค“พระชายา บ่าว… บ่าวผิดไปแล้ว… คำพูดเหล่านั้นบ่าวล้วนฟังหลิงผิงมาทั้งสิ้น บ่าวมิเคยได้ยินพระชายาเอ่ยเลยเจ้าค่ะ!”“บ่าวมิควรเชื่อหลิงผิง เรื่องนี้เป็นนางพูดทั้งนั้น พระชายาไปไต่สวนหลิงผิงเถิดเจ้าค่ะ!”หลิงหลานถูกหลิงอวี๋ทำให้ประหวั่นพรั่นพรึงแล้ว นางร่ำไห้สะอึกสะอื้นและโยนให้ปัญหาหลิงผิงอย่างไรหลิงผิง
คำพูดร่ายยาวของหลิงอวี๋ทำเอาทุกคนตกตะลึงลู่หนานมองหยกห้อยเอวอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าลวดลายนี้มันจะยังมีรายละเอียดพิถีพิถันเหล่านี้ด้วย!เซียวหลินเทียนก็หมดคำพูด เขามิได้ศึกษาเกี่ยวกับของชิ้นนี้เลยจริง ๆ แต่เมื่อก่อนมักจะได้ยินอันเจ๋อเพื่อนสนิทของเขาโจมตีตัวเขาอยู่บ่อย ๆ ว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่มันล้าสมัยแล้ว!เครื่องประดับเองก็ไม่ได้ตามสมัยเช่นกัน!เขาฟังแล้วก็ปล่อยผ่านมันไป ไม่เคยเอาคำพูดเรื่อยเปื่อยของอันเจ๋อมาใส่ใจเลยในสายตาของเขา ผู้ชายควรจะตั้งมั่นอยู่กับเป้าหมายที่สูงเข้าไว้พวกเรื่องรูปแบบเสื้อผ้าที่พิถีพิถันเหล่านี้ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทั่ว ๆ ไปถึงจะให้ความสนใจ!เขาไม่เคยรู้สึกว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่มีอะไรที่มันไม่เหมาะสม พวกลู่หนานเองก็ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากมายกับเรื่องพวกนี้ มีหรือจะนึกถึงว่าในนี้จะมีรายละเอียดเหล่านี้อยู่!ครั้งนี้ชิวเหวินซวงทึ่งกับหลิงอวี๋มาก หลิงอวี๋ผู้นี้นับวันจะยิ่งฉลาดมากขึ้นทุกทีแล้ว!พูดน้อยก็จะผิดพลาดน้อย!ตอนนี้นางจะต้องพิจารณาหลิงอวี๋เสียใหม่ก่อน แล้วค่อยแข่งขันกับนาง!หลิงผิงถูกตัดเอ็นร้อยหวายไปแล้ว หลังจากวันนี้ก็จะไม่สามารถใช้งาน
“คุณหนู… จู่ ๆ ก็ได้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงมาฟรี ๆ ! หากหลินผิงนั่นรู้เข้า จะไม่โกรธตายเลยหรือเจ้าคะ!”พอออกมาจากตำหนักอ๋องอี้แล้ว หลิงอวี๋ก็ให้หลิงซินเอาหยกห้อยเอวไปขายก่อนเป็นอันดับแรก หลิงซินขายได้เงินมาหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง รู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่เลย!“หลิงซิน เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่า หยกห้อยเอวนั่นเป็นของหลินผิง?”หลิงอวี๋ถือโอกาสสอนนางรับใช้ผู้นี้เสียเลย นางยิ้มเยาะพลางบอก “เงินในมือของหลิงผิงมีมากถึงขนาดไปซื้อหยกห้อยเอวได้ที่ไหนกัน หรือต่อให้จะซื้อ ก็จะต้องซื้อแค่รูปแบบของผู้หญิง!”“เจ้าลองคิดดูดี ๆ ว่าหยกห้อยเอวนี้เป็นของผู้ใด?”หลิงซินใช้สมองพยายามคิดแม่นมลี่มีประสบการณ์มามากกว่านาง พอนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโมโห “พ่อบ้านฟั่นเป็นคนใส่เข้าไป! ที่เขาไปค้นตัว ก็เพียงเพื่อที่เขาจะมีโอกาสเอาหยกห้อยเอวรูปแบบผู้ชายนั้นมาใส่ร้ายคุณหนู!”“แม่นมลี่ฉลาดนัก!”หลิงอวี๋เอ่ยพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “พ่อบ้านฟั่นเอาหยกห้อยเอวที่มีมูลค่าสองร้อยตำลึงมาใส่ร้ายข้าได้ง่าย ๆ ! เขาที่เป็นพ่อบ้านคนหนึ่ง จะใจกว้างถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร?”เพราะว่าแม่นมลี่มาจากเรือนที่มีความกว้า
วันรุ่งขึ้นเป็นวันครบรอบการตายของหลานฮุ่ยจวน ก่อนรุ่งสาง แม่นมลี่ก็เร่งให้ทั้งสามคนลุกขึ้นจากเตียง แล้วรีบไปไหว้หลายฮุ่ยจวนที่วัดชิงเหลียนซึ่งอยู่นอกเมืองยี่สิบลี้แม่นมลี่เตรียมอาหารให้ทั้งสามคนไว้ให้เอาไปกินระหว่างทางหลิงอวี๋แต่งตัวให้หลิงเยว่เรียบร้อย ทั้งสี่คนก็ยกของเดินออกไป แล้วแม่นมลี่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานเอาแต่สนใจซื้อของ ๆ ๆ จนลืมจองรถม้าไปเลยแม่นมลี่ส่งของให้หลิงซิน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน “พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปเรียกรถที่ถนน!”หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ในตำหนักไม่มีรถม้าหรือ?”แม่นมลี่สีหน้าลำบากใจ “หากท่านอ๋องไม่ได้สั่ง ที่โรงม้าก็ไม่สามารถเตรียมรถม้าให้พวกเราได้เจ้าค่ะ!”“ไม่ลองจะรู้ได้เยี่ยงไรกัน!”หลิงอวี๋นึกขึ้นได้ว่า หลิงเยว่กับปี้ไห่เฟิงผู้ดูแลโรงม้ามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน จึงหันไปมองแล้วพูด“เยว่เยว่ เจ้าไปกับแม่นมลี่! พวกเราออกเงินก็น่าจะได้แล้ว!”หลิงเยว่ตอบรับอย่างแข็งขัน แล้วเดินจับมือกับแม่นมลี่เข้าไปหลิงอวี๋รอไม่นาน รถม้าก็พาหลิงเยว่ออกมาจากประตูด้านข้างแล้ว คนที่บังคับรถม้าก็คือปี้ไห่เฟิงนั่นเองนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงอวี๋ได้เจอป
“แม่นม ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่สับสน หลังจากนี้ข้าจะไม่มีทางสับสนอีกต่อไปแล้ว! รอให้ข้าหาเวลา ไปยอมรับผิดกับท่านปู่ ไปขอให้เขายกโทษให้ข้า!”“ทางด้านท่านตา ข้าก็หาเวลาไปตามหาเขาเช่นกัน!”ในความทรงจำของหลิงอวี๋ ไม่เพียงแต่ท่านเสนาบดีที่ปฏิบัติต่อนางอย่างดี ท่านอัครเสนาบดีก็รักนางมากเช่นกัน!หลิงอวี๋ลูบจมูกอย่างรู้สึกผิด พลางพูดอย่างจริงใจ“เช่นนี้ก็ถูกแล้ว! ท่านเสนาบดีคอยดูคุณหนูเติบโต รักคุณหนูมาก ๆ มาตลอด มีหรือจะโกรธคุณหนูจริง ๆ ได้ลง!”แม่นมลี่พูดอย่างจริงใจ “คุณหนูเป็นลูกหลานในตระกูล ขอเพียงคุณหนูก้มหัวยอมให้ก่อน มีหรือจะโกรธกับท่านเสนาบดีไปตลอดชีวิตเพราะคำพูดที่เกิดจากความโกรธของท่านเพียงชั่วครู่!”“อื้ม ๆ ! ข้าเชื่อฟังเจ้าทั้งหมด!”หลิงอวี๋พยักหน้าอย่างเชื่อฟังขึ้นเขากันมาได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็ถึงภูเขาด้านหลังของวัดชิงเหลียนแล้ว แม่นมลี่อายุมากแล้วเดินไปก็ขาสั่นไปหมดหลิงเยว่เป็นเด็ก แม้ว่าจะขาเล็ก ๆ จะปวด แต่กลับยืนหยัดอยู่โดยไม่งอแงเลยหลิงซินคิดจะไปแบกเขา เขาก็ยังส่ายหน้าอย่างรู้ความพลางพูด “พี่หลิงซินแบกเครื่องเซ่นไหว้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว! เยว่เยว่ช่วยเหลืออะไ
หลิงอวี๋ตัวน้อยในความทรงจำยืนอยู่ที่ประตู เห็นว่าหลิงเสียงเซิงผลักหลานฮุ่ยจวนล้มลงกับพื้น นางไอออกมาหลายครั้ง แล้วกระอักเลือดสีดำออกมาจำนวนมากหลิงเสียงเซิงพบหลิงอวี๋ตัวน้อยที่หน้าประตู ก็ก่นด่า “เจ้าผู้หญิงบ้า เจ้าทำให้ลูกตกใจ!”เขาอุ้มหลิงอวี๋ตัวน้อยขึ้นแล้วเดินออกไปผ่านไปไม่กี่วัน หลานฮุ่ยจวนก็ตายวันนั้นหลิงอวี๋ตัวน้อยตกใจมากจนป่วยหนัก ไปร่วมพิธีศพอย่างมึนงง ความทรงจำที่มีต่อหลานฮุ่ยจวนเลือนรางมากหลิงอวี๋ยืนมองอยู่ในมุมของคนที่มองเข้าไป ก็เห็นอะไรแปลก ๆ เยอะมากหลานฮุ่ยจวนตายไปยังไม่ทันครบปี หลิงเสียงเซิงก็ทนไม่ไหวไปพาอนุภรรยาตระกูลหวังมาอยู่ด้วย!แล้วนางก็กระอักเลือดสีดำออกมา!นี่มันคล้ายกับอาการที่ได้รับพิษมาก!หรือว่าในปีนั้นหลายฮุ่ยจวนจะตายอย่างแปลกประหลาดจริง ๆ ?นางไม่ได้ตายแบบปกติ แต่ถูกคนวางยาพิษหรือ?คำพูดนั้นที่หลานฮุ่ยจวนพูด ‘พวกเจ้าทำร้ายข้า...’บางทีนี่อาจจะไม่ได้หมายถึงทำร้ายความรู้สึกของหลานฮุ่ยจวน!แต่มันหมายถึงทำร้ายชีวิตของนาง?หากอยากจะหาสาเหตุการตายของหลานฮุ่ยจวนในแน่ชัด ยังต้องหาโอกาสไปหาที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนอีก ตอนนี้หลิงอวี๋จึงทำได้เพียงแค่ป
หลิงอวี๋เห็นนางรับใช้ร่างใหญ่หน้ากลมผู้นี้มีผิวขาวผ่อง แม้จะด่าตน แต่ประโยคสุดท้ายกลับมีท่าทีพูดที่ดีเพื่อตนเสียอย่างนั้นนางกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเขาร้องของความช่วยเหลือ… เทือกเขารกร้างห่างไกลนี้มิมีผู้ใดมาช่วยพวกเจ้าได้หรอก!”“ฮูหยินใหญ่ของพวกเจ้าเป็นโรคหอบหืด! พลังหยิน(1)ในเขาลึกหนักเกินไป ทำให้หอบหืดกำเริบขึ้นง่าย!”หลิงอวี๋ล้วงยาพ่นหอบหืดในมือออกมา กล่าวว่า “นี่คือโอสถสรรพคุณพิเศษของข้า ให้นางสูดหายใจเข้าสักหน่อยแล้วนางจะพ้นอันตราย!”แม่นมเว่ยมองขวดประหลาดบนมือหลิงอวี๋ด้วยสีหน้าระมัดระวัง มิเชื่อคำพูดนางอย่างเด่นชัด“แบบนี้...”หลิงอวี๋เปิดฝาพ่นใส่จมูกของตัวเองสองสามทีแล้วกล่าว“แม่นมเจ้าดูสิ ไม่มีสิ่งใดมิเหมาะ! ฮูหยินใหญ่ของพวกเจ้ายังเป็นโรคกลัวด้วย หากหายใจไม่ออกมาจะม่องเท่งเอานะ!”“แม้พวกเจ้าจะไปเรียกคนแล้ว แต่ถ้าฮูหยินใหญ่ยังมิได้รับการรักษาตัวอยู่อีก คาดว่าจะรอไม่ทันคนมาน่ะสิ! เจ้าดูนี่ สีหน้าฮูหยินใหญ่ม่วงหมดแล้ว!”แม่นมเว่ยก้มศีรษะต่ำลงมอง เห็นฮูหยินใหญ่ของตัวเองสีหน้าม่วงจริง เพียงหายใจออกแต่ไม่หายใจเข้าแล้ว!นางรีบจับมือฮูหยินใหญ่ทันควัน ก่อนจะตะโ
เดิมทีราษฎรธรรมดาไม่มีความผิด แต่เมื่อมีหยกในครอบครองก็ถือเป็นโทษ!หลิงอวี๋มิได้มีความจำเป็นต้องครอบครองหยกหล้าสุขาวดีชิ้นนี้ แต่โชคชะตากลับมอบให้นางโดยมิให้โอกาสนางได้เลือกนางได้ชีวิตนี้กลับคืนมาใหม่ นางมิอยากตาย นางไม่มีทางให้ใครมาทำเรื่องที่โหดร้ายกับตนเช่นนี้แน่เย่หรงเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของหลิงอวี๋ แล้วก็นึกถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสแอบพูดกับตนก่อนออกเดินทาง แล้วก็เชื่อไปครึ่งหนึ่งเขาพูดมิออกอยู่ครู่หนึ่ง มิรู้ว่าควรจะพูดอะไรเย่หรงเป็นดังที่ขันทีโม่บอกไว้ เขาทำการสิ่งใดมิคล้ายคนที่อยู่ในความถูกต้องของตระกูลเย่ เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแต่เขาก็มีขอบเขตของตน และจะมิสังหารผู้บริสุทธิ์!หากหลิงอวี๋เป็นคนเช่นจ้าวหรุ่ยหรุ่ย แม้ว่าเย่หรงจะได้ยินว่าจำเป็นต้องใช้วิธีการที่โหดร้ายเช่นนี้เพื่อเอาหยกหล้าสุขาวดีออกมา เขาก็ไม่มีทางขมวดคิ้วแต่เย่หรงมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว และได้รู้จักหลิงอวี๋อยู่บ้าง เขาจะให้หลิงอวี๋ไปตายเช่นนี้ได้อย่างไร!สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลิงอวี๋มีดวงตาที่คุ้นเคยและสนิทสนมคู่นี้อยู่!ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เย่หรงลังเล นี่เป็นเหตุผลหลักที่เขาตกลง
“เหอะ ๆ!”เย่หรงรู้สึกขบขันกับคำพูดของหลิงอวี๋ เขามิรู้ว่าหลิงอวี๋ไปเอาความกล้าหาญถึงเพียงนี้มาจากไหน รู้ทั้งรู้ว่าตนอาจจะมุ่งร้ายต่อนาง แต่ก็ยังเผชิญหน้ากับตนอย่างสงบเช่นนี้นี่หากมิใช่โง่เขลาก็คงโอหังเกินไปแล้ว!เย่หรงเดินตามหลิงอวี๋เข้าไปในท้องพระโรงอย่างช้า ๆเย่หรงมิได้สนใจวังที่หรูหราและสง่างามนี้มากนัก เพราะวังของแดนปีศาจนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่นี่มาก“พี่หรง เชิญนั่ง!”หลิงอวี๋นั่งอยู่บนบัลลังก์ แล้วให้เย่หรงนั่งที่เก้าอี้เย่หรงนั่งลงอย่างสบาย ๆ แล้วเขาก็เอ่ยเข้าประเด็น “ข้าสามารถช่วยเจ้าจัดการกับเฉียวเค่อและจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้ ข้ามีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น หลังจากที่เรื่องนี้สำเร็จแล้วเจ้าต้องตามข้ากลับไปแดนเทพ!”แดนปีศาจคือชื่อที่มนุษย์เหล่านี้เรียกเพราะความกลัว เย่หรงจึงแก้คำพูดของหลิงอวี๋ไปหลิงอวี๋ตะลึงไปเล็กน้อย คาดมิถึงว่าเย่หรงจะร้องขอเช่นนี้เขารู้หรือไม่ว่าหากตนตามเขากลับไปแดนเทพแล้วจะต้องเผชิญกับอะไร?นางจะต้องตาย และตายอย่างอนาถด้วย!ใบหน้าสงบของเย่หรงทำให้หัวใจของหลิงอวี๋สั่นไหว หรือเขาอาจจะมิรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงที่ตระกูลเย่ให้เขาพาตนกลับไป!เมื่อคืนเย่
มิว่าอย่างไร วันพรุ่งก็จะต้องขัดขวางมิให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยกลั่นยาอายุวัฒนะสำเร็จ หลิงอวี๋ได้หารือเรื่องแผนการรับมือกับพวกขันทีโม่และแม่นมอูแล้วหลิงอวี๋ตัดสินใจแบ่งกองทหารออกเป็นสามกลุ่ม ตนพาคนไปดึงความสนใจของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ส่วนขันทีโม่มีหน้าที่ไปทำลายห้องกลั่นโอสถของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแม่นมอูพาคนไปปล้นพวกคนส่งยาเผยอวี้กับฉินซานจัดสรรกำลังคนไปร่วมมือกับขันทีโม่และแม่นมอูทางด้านค่ายกองทหารเสือ อิ้งเฉิงกับเผยอวี้ไปจัดการกับองค์หญิงใหญ่ด้วยกันคราก่อนไทฮองไทเฮาเห็นแก่ที่องค์หญิงใหญ่เป็นธิดาของตนจึงไว้ชีวิตองค์หญิงใหญ่ แต่องค์หญิงใหญ่ยังมิรู้จักกลับใจ คิดจะฉวยโอกาสในขณะที่เซียวหลินเทียนมิอยู่ในเมืองหลวงร่วมมือกับองค์ชายคังวางแผนแย่งชิงบัลลังก์ การกระทำเช่นนี้หลิงอวี๋ไม่มีทางยอมได้วังหลวงยังคงอยู่ในการควบคุมขององค์ชายเย่กับท่านอ๋องเฉิง เพื่อป้องกันมิให้องค์หญิงใหญ่หนีไป หลิงอวี๋จึงให้เผยอวี้ไปหาท่านอ๋องผิงหนาน ให้ท่านอ๋องผิงหนานนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาคุ้มกันเมืองหลวงไว้ด้วยกระทั่งจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จฟ้าก็สว่างแล้วหลิงอวี๋ขึ้นว่าราชกิจยามเช้าตามปกติ มิได้แสดงความผิดปกติใด ๆ ออกไปกระท
หลิงอวี๋มีความคิดสงสัยนี้แวบขึ้นมา แล้วนางก็ตัดมันทิ้งไปค่ายกองทหารเสือในตอนนี้มีอิ้งเฉิงคนสนิทของเซียวหลินเทียนเป็นราชองครักษ์ของค่ายกองทหารเสือ และอิ้งเฉิงไม่มีวันทรยศเซียวหลินเทียน!ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือ มิใช่องครักษ์เงาของค่ายกองทหารเสือที่เหลืออยู่ทรยศ แต่เป็นพวกองครักษ์เงาที่คอยจับตาดูจ้าวหรุ่ยหรุ่ยที่ทรยศพวกเขาปกปิดสถานการณ์ที่แท้จริงกับอิ้งเฉิง ดังนั้นหลิงอวี๋จึงมิได้รับข่าว“กลับไปให้อวี๋เฮ่าทำความกับเข้าใจสถานการณ์ดูก่อน! อย่าได้สงสัยพวกเขาไปเรื่อยเปื่อย!”หลิงอวี๋มิอยากทำลายขวัญกำลังใจของทหาร จึงพามิกี่คนกลับเมืองหลวงแม้ว่าแม่นมอูจะติดตามหลิงอวี๋ออกจากวัง แต่ก็มิได้ดำเนินการร่วมกับหลิงอวี๋่ นางขึ้นไปบนภูเขาแล้วหายตัวไปราวกับผีหลิงอวี๋กลับมาที่วัง แม่นมอูก็มิได้กลับมาหลิงอวี๋มิได้นอนทั้งคืน นางรอให้แม่นมอูกับขันทีโม่กลับมาอย่างอดทนยามเกือบรุ่งสาง แม่นมอูกับขันทีโม่จึงกลับมาตาม ๆ กันสีหน้าแม่นมอูดูเคร่งขรึม ในขณะที่ใบหน้าขันทีโม่ดูผิดหวัง“หลิงอวี๋ ข้ามิพบคนตระกูลเย่เลย!” ขันทีโม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นหลิงอวี๋รีบบอกเรื่องที่ตนพบกับเย่หรงบนภูเขาอ
เย่หรงหน้าแดง พลางเอ่ยอย่างเขินอาย “ผู้อาวุโสตระกูลข้ามิปล่อยให้พวกเราแตะต้องทางที่ชั่วร้ายเหล่านี้หรอก อยากรู้อยากเห็นก็มิได้… เขากังวลว่าพวกเราจะหลงไปเข้าทางที่ผิด!”“หากเจ้าอยากรู้ก็ให้เวลาข้าสักหน่อย ข้าจะถามผู้อาวุโสตระกูลข้าให้ แล้วจะบอกเจ้าอีกที! เขารู้ทั้งเรื่องในอดีตและปัจจุบัน และมีความรู้กว้างขวางมาก จะต้องรู้อย่างแน่นอน!”หลิงอวี๋หมดคำพูด เย่หรงมาจากแดนปีศาจ แต่กลับต้องไปถามผู้อาวุโสของเขา ทั้งไปและกลับอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งเดือนกระมังหากรอกระทั่งเขาได้คำตอบ เช่นนั้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็คงบรรลุเป้าหมายไปนานแล้ว คำตอบของเขาก็มิทันการแล้ว!เอาเถิด ถือเสียว่าตนมิได้ถาม หลิงอวี๋ก้มหน้าตรวจศพต่อในเวลานี้ เผยอวี้ก็กลับมา“พี่หญิงหลิงหลิง ข้าเจอที่อยู่ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแล้ว! แต่นางมีผู้ช่วยมา ข้ากลัวที่จะเป็นการเผยให้นางรู้ความเคลื่อนไหว จึงมิได้ขึ้นไปตรวจสอบขอรับ!”เผยอวี้ได้ยินจากหานอวี้ว่ามีคนนอกอยู่ด้วย เมื่อเข้ามาจึงมิเรียกว่าฮองเฮาเขารายงานหลิงอวี๋ พลางใช้หางตามองพิจารณาเย่หรงไปด้วยบุรุษผู้นี้มีพลังชั่วร้ายเล็กน้อย!ความประทับใจครั้งแรกของเผยอวี้ที่มีต่อเย่หรงคือสิ่ง
“คุณหนู บ่าวตรวจดูแล้วพบว่าเด็กในท้องของสตรีมีครรภ์หายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”หานอวี้เหลือบมองเย่หรงอย่างดูถูก พลางเอ่ยกับหลิงอวี๋ด้วยความโกรธ “พวกนางถูกมีดผ่าท้องแล้วเอาเด็กออกไปในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่!”เย่หรงอาเจียนเสร็จแล้วได้ยินคำพูดของหานอวี้ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอีกครั้งเขานึกมิถึงว่า การบำเพ็ญตนในทางชั่วร้ายจะเป็นเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้เย่หรงที่มิสนใจอะไรมาโดยตลอดรู้สึกโกรธกับการกระทำของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้อาวุโสตระกูลเย่บำเพ็ญตนในวิธีที่ถูกต้อง แม้ว่าเย่หรงจะซุกซนมาตั้งแต่เด็ก แต่ผู้อาวุโสก็สอนด้วยคำพูดและการกระทำทำให้แม้ว่าบางครั้งเย่หรงจะทำอะไรนอกกรอบไปบ้าง แต่เย่หรงก็ดูถูกและจะมิทำพฤติกรรมที่โหดร้ายเช่นนี้!เมื่อทุกคนจะทำสิ่งใดก็ควรจะมีขอบเขตของตน หากกล้าที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นนั้นจะต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานเล่า!คำพูดของผู้อาวุโสนั้นเย่หรงจดจำขึ้นใจ หลายปีมานี้เขาปฏิบัติตามคำสอนของผู้อาวุโสมาตลอด มิว่าจะกระทำการไร้เหตุผลเพียงใด ก็ยังคงยึดมั่นในขอบเขตของตนวิธีบำเพ็ญตนของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยถือเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับผู้บำเพ็ญตนในทางที่ถูกต้องทุกคนในแดนปีศาจ ทุกคนจะต้องลงโทษ
“หลิงอวี๋ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้นี้เป็นใครหรือ?”ดูเหมือนว่าเย่หรงจะรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไป จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“เป็นผู้บำเพ็ญตนเช่นเดียวกับเจ้า คราก่อนต่อสู้กับข้าแล้วได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงตามหาบุรุษและสตรีมีครรภ์มาบำเพ็ญวิชาลับชั่วร้ายเพื่อฟื้นฟูพลัง!”หลิงอวี๋คิดถึงเจตนาของเย่หรง แล้วก็อดมิได้ที่จะเอ่ยด้วยความโกรธและประชด “ใต้หล้านี้มีคนไร้ยางอายเช่นนี้ ความสามารถของตนมิเพียงพอ จึงไปเดินเส้นทางที่มิถูกต้อง คนเช่นนี้แม้จะมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีแล้วจะมีความหมายอะไร!”“ลึก ๆ แล้วพวกเขาก็คือหัวขโมย มีชีวิตอยู่หลายร้อยปีก็มิอาจชำระล้างสิ่งสกปรกในกระดูกเหล่านั้นได้!”หลิงอวี๋เอ่ยโดยนัยสองความหมาย ในทางตรงคือด่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ย และในทางแฝงคือด่าตระกูลเย่กับตระกูลเฉียวที่มาสอดแนมหยกหล้าสุขาวดีของตนมิรู้ว่าเย่หรงเข้าใจหรือไม่ แต่สีหน้าของเขายังคงเป็นเช่นเดิมหลิงอวี๋ก็หมดคำพูดแล้ว รู้สึกว่าการพูดแบบแฝงนัยของตนราวกับสีซอให้ควายฟังอย่างไรก็มิสามารถปลุกคนที่แกล้งหลับได้!ในเมื่อเย่หรงทำเป็นมิเข้าใจคำพูดแฝงนัยของตน แล้วนางจะปลุกความละอายใจของเขาได้อย่างไร!เสียทีที่ขันทีโม
มีผู้ช่วยไปด้วยกัน หลิงอวี๋ย่อมยินดีอยู่แล้วอีกทั้งนางก็รู้สึกได้ว่าพลังของคุณชายหรงผู้นี้เหนือกว่าตนในเมื่อเขามิได้เป็นศัตรูกับตน ก็คงจะไม่มีทางยอมรับการบำเพ็ญตนที่ใช้คนมีชีวิตของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแน่!หลิงอวี๋พยักหน้า แล้วเดินไปเอ่ยถามไป “คุณชายหรงสกุลหรงหรือ?”“เหตุใดเจ้าพูดมากนัก? พวกเราสกุลใดแล้วเจ้าจะยุ่งอะไรด้วย?”หยางหงหนิงเห็นว่าเย่หรงมิไว้หน้าตน ตกลงที่จะไปกับหลิงอวี๋ สีหน้าของนางก็ยิ่งมิสู้ดีและมุ่งเป้าไปที่หลิงอวี๋อยู่ตลอดหลิงอวี๋เป็นฮองเฮาแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าไร้มารยาทกับตนมานานมากแล้วเมื่อเห็นหยางหงหนิงพุ่งเป้ามาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่าไหนเลยจะทนได้นางทำหน้านิ่งพลางตะคอกเสียงดุ “คุณหนูผู้นี้เคยเรียนหนังสือหรือไม่? อาจารย์ของเจ้ามิเคยสอนมารยาทให้เจ้าหรือ?”“เด็กอายุสามขวบยังรู้ดีว่าผู้ใหญ่พูดอยู่มิควรพูดสอด แต่เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับมิเข้าใจแม้แต่มารยาทพื้นฐาน!”“คุณชายหรง นางเป็นนางรับใช้ของเจ้าหรือ? คนรับใช้เช่นนี้ต่อไปก็อย่าได้พาออกมาให้อับอายผู้คนเลย!”หยางหงหนิงถูกหลิงอวี๋ตำหนิก็หน้าแดง นางมิเคยคาดคิดเลยว่า สตรีป่าเถื่อนที่พบในภูเขาจะกล้าทำให้ตนอับอายเช่นนี้!
“ข้าคือหลิงอวี๋!”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าพี่หรงเปิดเผยสถานะตนออกมา ก็มิได้ปิดบังและยอมรับตามตรง“ข้ามาที่นี่เพื่อสืบคดีสตรีมีครรภ์ที่สูญหายไป!”เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด หลิงอวี๋จึงอธิบายจุดประสงค์ในการมาของตนออกไปด้วยนางมองไปทางพี่หรงอย่างคาดหวัง ในใจก็หวังจริง ๆ ว่าคนผู้นี้จะเป็นหลิงหรง!แม้ว่าหลิงอวี๋จะสุขสบายอยู่ในยุคนี้ราวกับปลาได้น้ำ แต่นางก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ตนเป็นคนยุคปัจจุบันเพียงผู้เดียวและกำลังดิ้นรนอยู่ในโลกที่มิได้เป็นของตน แม้ว่าจะมีคนใกล้ชิดเช่นเซียวหลินเทียนกับเซียวเยวี่ยและคนอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ก็มิอาจลบล้างความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้ไปได้!เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนี้ หลิงอวี๋ก็มีความรู้สึกผสมปนเปกันมากมาย การปรากฏตัวของหลิงหรงเป็นการชดเชยความโดดเดี่ยวนี้!เย่หรงขมวดคิ้วมองหลิงอวี๋ ดวงตาคู่นั้นยิ่งมองก็ยิ่งดูคุ้นเคย แต่เขาจำมิได้จริง ๆ ว่าตนเคยเจอคนผู้นี้มาก่อน!นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากแดนปีศาจมาที่ใต้หล้านี้ เขากล้ารับประกันเลยว่า เขามิเคยเห็นใบหน้านี้ในแดนปีศาจเช่นกัน“พี่หรง ท่านรู้จักนางหรือ?”หยางหงหนิงเอียงตัวมาปิดกั้นการมองของเย่หรงที่มองหลิงอว