แม่นมเฉา!หลิงอวี๋นึกถึงคำที่หลิงซวนพูดฉับพลัน แม่นมที่มีหน้าคล้ายม้าและหางคิ้วโก่งคือแม่นมเฉาที่เสิ่นจวนพามา!หลิงอวี๋หัวเราะหยัน ไม่คิดว่าจะเคยชินกับการอาศัยบารมีของนาย เที่ยวรังแกชาวบ้าน!“แม่นมเฉามิพอใจรึ? อ้อ งั้นข้าก็รู้จักเรือนดี ๆ อยู่หนา แม่นมอยากให้คุณหนูของพวกเจ้าย้ายไปหรือไม่เล่า!”เมื่อแม่นมเฉาได้ฟังก็คิดว่าหลิงอวี๋กลัวตน กล่าวอย่างกิ้งก่าได้ทอง“หากมีเรือนดีก็ต้องย้ายแน่ เจ้าให้คนมาขนของพวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย!”หลิงอวี๋ชี้ไปยังศาลาพักริมน้ำที่ด้านหลัง ยิ้มกล่าวว่า“ศาลาริมน้ำคือเรือนที่ดีที่สุดแห่งตำหนักอ๋องอี้ พวกเจ้าอยากย้ายก็ย้ายมาเถอะ!”“ตัวข้าเหนื่อยมาทั้งวันต้องไปพักก่อน! ข้าเห็นเจ้าพาคนมามิน้อยอยากย้ายก็ขนเองแล้วกัน!”ครั้นพูดจบ หลิงอวี๋ก็พาหลิงซวนไปแม่นมเฉาโกรธจนตะโกนเรียก “พระชายาอ๋องอี้ ท่านต้อนรับแขกเช่นนี้เรอะ?”“ข้าจักไปทูลนายท่านกับพระชายาหรงเฟย… จักทำให้ท่านอ๋องหย่ากับเจ้าแน่!”หลิงอวี๋ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นางอยากเอ็ดตะโรก็เอาเลย ให้เซียวหลินเทียนฟังเองว่า บุตรผู้น้องเขาพาคนพฤติกรรมเยี่ยงไรมา!แม่นมเฉามิได้โง่ขนาดนั้น เมื่อร้องสองประโยคเสร็จเห็นหล
เมื่อนางรับใช้ในเรือนมากขึ้น หลิงอวี๋จึงคิดเรียกให้แม่นมลี่กับหลิงซินมานางกล่าว “พวกเจ้าทุกคนเชื่อฟังแม่นมลี่ยามปกติ ส่วนยามออกตำหนักกลุ่มสุ่ยหลิงกับหลิงซวน กลุ่มเถาจื่อกับหลิงซินผลัดกันติดตามข้า!”“ที่เรือนจัดการงานตามคำสั่งแม่นมลี่! ที่นี่ข้าไม่มีกฎมากนัก ทุกคนรับเงินเดือนเหมือนกัน และรับเบี้ยบำเหน็จครึ่งปีหนึ่งครั้ง!”“เบี้ยบำเหน็จสูงต่ำขึ้นกับความขยันทำงาน! อย่างไรก็ตาม ติดตามข้าพวกเจ้าจักได้รับปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน!”เมื่อสุ่ยหลิงได้ยินข่าวดีแบบนี้ ดวงตาก็ประกายฉับพลันพลางถามตรงไปตรงมา“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราใช้เงินพวกนี้ไถ่ถอนตัวเองได้หรือไม่เจ้าคะ?”หลิงอวี๋ผงกศีรษะ ยิ้มตอบ “ได้แน่นอน! แต่ตอนนี้ข้าต้องการกำลังคน หากพวกเจ้าอยากไปก็ต้องอยู่อย่างน้อยสองปี!”“หลังสองปีถ้าประพฤติตัวดี ข้าก็มิต้องการเงินค่าไถ่ถอนพวกเจ้า ข้าจักคืนสัญญาทาสให้พวกเจ้าเลย!”เมื่อเถาจื่อฟังก็ใจเต้น แต่ก็ยากจะเชื่อลงว่าคุณหนูผู้นี้จะเป็นนักบุญปานนี้เชียวรึ?หลิงซินมองทั้งสองอย่างหน้าใหญ่พลางเอ่ย “คุณหนูพูดคำไหนคำนั้น ยามนี้พวกเจ้ายังไม่เชื่อก็คอยดูเอาเถิดหนา!”“ข้าขอรับประกัน หากพวกเจ้ารู้ว่าคุณหน
“คุณหนู ไยท่านยังใจเย็น!”หลิงซวนดูท่าทางหลิงอวี๋ไม่เคืองขุ่นเลยสักกะผีก พลันเอ่ยร้อนใจ“ยามนี้พ่อค้าพวกนั้นต่างกำลังโวยวายว่า หากมิให้ค่าชดเชยพวกเขาจักมิย้ายออกเด็ดขาด!”ขณะทั้งสองกำลังคุยกัน หลี่ชุงก็วิ่งรุดเข้ามาหัวใจหลิงอวี๋บีบรัดขึ้นฉับพลัน หรือว่าสถานการณ์พัฒนาไปเหนือจินตนาการตนแล้ว?“อาจารย์ แย่แล้วเจ้าค่ะ พวกพ่อค้ารอบ ๆ วิ่งมาก่อเรื่องที่โรงเหยียนหลิงมิรู้เป็นผู้ใดบงการเจ้าค่ะ!”“พวกเขาว่าเดิมทีไม่ต้องรื้อถอนเป็นเพราะพระชายาล่วงเกินองค์ชายเว่ย องค์ชายเว่ยจึงยืนกรานจะรื้อจนพัวพันถึงพวกเขา!”“พวกเขาต้องการคำอธิบาย หากมิแก้ไข พวกเขาจักพังโรงเหยียนหลิง!”“ไป ไปดูกัน! หลิงซวนเจ้าเรียกสุ่ยหลิง เถาจื่อไปด้วย!”หลิงอวี๋รีบผลัดผ้ากำลังจะออกไปก็คิดอะไรขึ้นได้จึงกล่าว“หลิงซวน เจ้าไปบอกพี่ใหญ่จ้าวส่งองครักษ์สักสองสามคนให้ข้า!”หลิงซวนรู้ว่าถ้าทะเลาะกันขึ้นจริง พวกนางที่เป็นผู้หญิงไม่กี่คนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนั้นแน่ จึงรีบไปเรียกคนทันทีในไม่ช้า หลิงซวนก็วิ่งกลับมาคนเดียว เมื่อนางเห็นหลิงอวี๋พลันยิ้มขื่นกล่าวคำ“คุณหนู พี่ใหญ่จ้าวมิอยู่ตำหนักเจ้าค่ะ!”“นางรับใช้ของเสิ่นจวนข
“พระชายาอ๋องอี้ ท่านมิต้องขู่ขวัญพวกเราหรอก คุยด้วยเหตุผลเถอะ!”เถ้าแก่หลี่เห็นฝูงชนต่างกลัวจนมิกล้าลงมือ จำต้องกล่าวหน้าเจื่อน ๆหลิงอวี๋พบว่าฝูงชนถูกตนทำประหวั่นเสียแล้ว จึงผ่อนน้ำเสียงลง“เถ้าแก่หลี่พูดถูกต้อง พวกเราคุยด้วยเหตุผลเถอะ! ทุกคนเป็นคนบ้านเดียวกัน ปกติพวกเจ้าเห็นข้าวางตัวเป็นพระชายารึ?”“ร้านของข้าก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน แม้ข้าเป็นพระชายา แต่เงินข้าก็มิได้ลอยมาตามลม! พวกเจ้าสูญเสีย ข้าจักมิสูญเสียด้วยได้อย่างไร?”“ผลประโยชน์พวกเราต่างเหมือนกัน มีปัญหาเราก็หารือแก้ไขได้ ทุกคนร่วมแรงร่วมใจหามีสิ่งใดยากไม่!”มีคนบ่นงึมงำว่า “ปัญหาก็อยู่ตรงหน้าแล้ว พระองค์ให้เวลาเราภายในสองวันย้ายออก! เราจักย้ายไปที่ใดในเวลาน้อยนิดเท่านี้!”“ใช่แล้ว! เงินชดเชยจากทางการช่างน้อยนิดนัก เดิมทียามนี้ซื้อร้านค้ามิได้ด้วยซ้ำ!”“พระชายาอ๋องอี้ ครอบครัวเราอาศัยหน้าร้านหาเลี้ยงชีพ หากไม่มีแล้ว เราจักอยู่กันอย่างไรเล่า!”หลิงอวี๋พูดอย่างใจเย็น “เถ้าแก่หลี่ ข้าก็เพิ่งได้ข่าวและยังมิเข้าใจเรื่องเงินชดเชยกระจ่าง เจ้าบอกข้าหน่อยว่าทางการกำหนดชดเชยอย่างไร?”เถ้าแก่หลี่หยิบใบประกาศฉบับหนึ่งส่งให้หลิงอ
หลิงอวี๋เพิ่งเข้ามาไม่นานก็นั่งลง เถ้าแก่หลี่พาตัวแทนเข้ามาแล้ว และพวกเขาล้วนเป็นพ่อค้าที่ถนนสายนี้ในบรรดานั้นมีเถ้าแก่ถังแห่งโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดบนถนนกับลูกชายของเขาเถ้าแก่ถังวัยห้าสิบกว่าปี สวมอาภรณ์คุมยาวสีน้ำเงินเข้มใบหน้าเขาอ้วนจ้ำม่ำ ล่างหน้าผากมีสีชาดำวับวาบ สองคิ้วโก่งโค้ง ดวงตาเรียวยาว เค้าหน้านั้นดุจพระสังกัจจายน์ถังซุนลูกชายของเขาวัยสี่สิบกว่าปี ดวงตาเหมือนเถ้าแก่ถัง มีผิวสีข้าวสาลี เติบโตมารูปงามนักเถ้าแก่หลี่แนะนำพวกเขาให้หลิงอวี๋รู้จัก พลันเอ่ยว่า“เราเลือกเถ้าแก่ถังเป็นตัวแทน ร้านเขาใหญ่สุดและเสียหายมากสุดเช่นกัน!”หลิงอวี๋ก็รู้จักร้านของตระกูลถังแม้ธุรกิจของเถ้าแก่ถังจะไม่ได้เปิดทั่วแคว้นเหมือนตระกูลกวน แต่เหล่าพ่อค้าต่างถิ่นครั้นมาเมืองหลวงต่างมาซื้อใบชาร้านตระกูลถังกลับไปเป็นพื้นฐาน“คารวะเถ้าแก่ถัง!”หลิงอวี๋คำนับมือกระตือรือร้น กล่าวตรง ๆ โดยไร้พิธีรีตอง“เถ้าแก่ถัง เรื่องในวันนี้ท่านว่าเป็นเช่นใด? ท่านคิดว่า หากข้าไปขอประทานอภัยจักแก้ปัญหาได้หรือไม่?”เถ้าแก่ถังมองหลิงอวี๋ยิ้ม ๆ “เกรงว่าพระชายาไปก็ไร้ประโยชน์!”“ข้าเป็นนักการค้าเชื่อในผลประโยชน์
หลิงอวี๋กล่าวเยือกเย็น “ข้าพูดให้พวกท่านฟังมากมายก็เพื่อบอกว่าการทะเลาะเบาะแว้งนั้นแก้ปัญหามิได้!”“ยิ่งพวกเราทะเลาะรุนแรงมากเท่าไร ยิ่งเสียเปรียบ! องค์ชายเว่ยคงคำนวณว่าเราต้องก่อการเป็นแน่ พลางคิดดีแล้วว่าจะเพิ่มโทษให้เราอย่างไร!”เถ้าแก่หลี่ข่มความโกรธมิได้ “พระชายาอ๋องอี้ งั้นหากไม่ก่อการจักทำสิ่งใดเล่า? หรือควรว่านอนสอนง่ายย้ายออกเช่นนี้รึ?”หลิงอวี๋หัวเราะเจ้าเล่ห์ “หากอยากแก้ปัญหาจักมัวแต่ทะเลาะวิวาทมิได้!”“เรามาเปลี่ยนวิธีดู ข้ารับปากว่า หากพวกท่านเชื่อฟังข้า ทุกร้านบนถนนสายนี้จักมิถูกรื้อถอน!”“วิธีใด?” ถังซุนเร่งถามเถ้าแก่ถังมองหลิงอวี๋สนเท่ห์ วันนี้เขาหาเส้นสายมาช่วยกอบกู้ตลอดตั้งแต่ได้รับข่าวทว่าเมื่อคนพวกนั้นได้ยินว่าเป็นองค์ชายเว่ยหมายรื้อถอนก็พลันโน้มน้าวเขากลับลําเนื่องไม่อาจต่อกรองค์ชายเว่ยได้!เขาคิดสมองแตกก็คิดวิธีไม่ออก เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี๋มีทางไฉนจะไม่สงสัยหลิงอวี๋หัวเราะซุกชน “พวกท่านรวบรวมพ่อค้าที่จะถูกรื้อถอนบนถนนสายนี้หาคนได้มากยิ่งดี จากนั้นก็กระจายข่าวไป!”“ว่าด้วยความกรุณาขององค์ชายเว่ย ลือว่าบ้านพวกท่านจะถูกรื้อถอนเห็นพวกท่านไร้บ้านกลับจึงยิน
เมื่อเผชิญกับผลได้ร่วมกัน เหล่าพ่อค้าจึงสามัคคีเป็นพิเศษครั้นได้รับข่าวก็เริ่มเก็บของไม่มีค่ายัดใส่รถม้าทันทีสายลับที่องค์ชายเว่ยส่งมาเห็นสิ่งนี้จึงคิดว่าเหล่าพ่อค้าหวาดกลัวพลางกำลังตระเตรียมย้ายเรือนหลิงอวี๋พาบรรดานางรับใช้เก็บพวกของไม่มีค่าช่วยหมอเลี่ยว หลังทำเสร็จนางก็กลับตำหนักอ๋องอี้สายมากแล้วนางหมายรายงานเซียวหลินเทียนขอยืมองครักษ์ไปช่วยดูว่ามีคนปะปนเข้ามาหรือไม่สักหลาย ๆ คนแต่เมื่อไปถึงศาลาริมน้ำก็เห็นนางรับใช้ของเสิ่นจวนกำลังเฝ้าประตูนางรับใช้คนนั้นเห็นหลิงอวี๋ก็ยิ้มหยันกล่าวว่า “พระชายาอ๋องอี้ ท่านอ๋องบรรทมแล้ว มิอนุญาตคนรบกวน พระชายาเชิญกลับเถอะ!”“มิเจียมตัว!”หลิงอวี๋ตวาดขึ้นอย่างเดือดดาล โชคดีที่วันนี้ไปโรงเหยียนหลิงไม่เกิดเรื่อง หากมีเรื่อง นางคงอยากฆ่านางรับใช้คนนี้ไปแล้ว!ก่อนหน้าวุ่นจัดการเรื่องโรงเหยียนหลิง ไม่ได้คิดจุกจิกกับนาง!ตอนนี้ยังกล้าเล่นมุกเดิม ๆ คิดจริง ๆ เหรอว่าพระชายาอ๋องอี้คือของประดับ?“นี่คือตำหนักอ๋องอี้ ตัวข้าเป็นพระชายาอ๋องอี้ นางรับใช้อาคันตุกะเช่นเจ้ากล้ามาขวางข้าได้ตั้งแต่เมื่อใด?”หลิงอวี๋ตวาด “เถาจื่อ ตบปาก!”เถาจื่อกับหลิงซว
หลิงอวี๋พิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เอ่ยปลอบเซียวหลินเทียน“สายาคนใต้หล้าต่างเฉียบคม! ท่านอย่าได้ทรงกังวล องค์ชายเว่ยไร้ทางทำแผนชั่วสำเร็จ หม่อมฉันคิดแผนรับมือไว้แล้วเพคะ!”หลิงอวี๋บอกเซียวหลินเทียนเรื่องที่ตนกระทำเซียวหลินเทียนผงะไปพักใหญ่ ถึงกับมองหลิงอวี๋อย่างเอ่ยมิออกมีแต่หลิงอวี๋ที่คิดอุบายร้ายกาจเช่นนี้ได้เท่านั้น!แต่อุบายอย่างนี้กลับเป็นวิธีที่ได้ผลกับองค์ชายเว่ยที่สุด!“ข้าพะวงองค์ชายเว่ยจะอับอายกลายโทสใช้กำลังทหารสะสางต่อพ่อค้าพวกนั้น! แบบนี้เรามีชัย แต่สูญเสียใหญ่หลวงนัก!”หลิงอวี๋ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “หากมีทางอื่น หม่อมฉันไม่ยอมเลือกวิธีนี้เป็นแน่เพคะ!”พอเซียวหลินเทียนฟังก็เข้าใจและยิ่งคิดปรุโปร่งกว่าหลิงอวี๋ เขากังวลว่าองค์ชายคังจะวางหมากอยู่เบื้องหลัง“หลิงอวี๋ องค์ชายคังมิยอมถูกองค์ชายเว่ยแย่งผลประโยชน์ไปแน่!”“ข้าแค่พะวงว่า เขาจงใจสาดโคลนใส่องค์ชชายเว่ยเพื่อเอาหลักฐานความผิดขององค์ชายเว่ย”เซียวหลินเทียนกล่าวกังวล “แม้ถึงเวลานั้นองค์ชายเว่ยจักมิออกมือ องค์ชายคังอาจส่งคนไปแอบอ้างสะสางพวกเจ้า แล้วโทษก็ยังเป็นองค์ชายเว่ยแบกรับ!”แม้การที่องค์ชายคังกัดกับองค์ชายเว่ย
ต่งเฉิงมองหลิงอวี๋พลางพยักหน้ารัว ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลูบเคราของตัวเองว่า “สาวน้อยนางนี้รู้จักเครื่องยาสมุนไพรมากมายเช่นนี้นับว่าหายาก!”เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้มิใช่สมุนไพรธรรมดาทั้งหมด นอกจากเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการกลั่นโอสถระดับต้นแล้ว ยังมีระดับกลางและระดับสูงจำนวนเล็กน้อยอีกด้วยโดยทั่วไป ผู้เข้าสอบที่ตอบได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบชนิดก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทว่าหลิงอวี๋สามารถตอบได้มากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงเลยทีเดียวเพิ่งเข้ามาก็ทำคะแนนได้ดีถึงเพียงนี้ หากนางได้เรียนอย่างเป็นระบบก็คงแซงหน้าบัณฑิตคนอื่นได้ในมิช้า“ตึง ตึง ตึง!”เมื่อเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง การสอบแข่งขันของกลุ่มนี้ก็สิ้นสุดลง“หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดคะแนน!”กลองหยุดลงแล้ว และบนใบหน้าของศิษย์พี่หญิงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก นางหยิบป้ายส่งให้หลิงอวี๋พร้อมรอยยิ้ม“การสอบแข่งขันรอบต่อไปจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย! ความสามารถในการจำแนกเครื่องยาสมุนไพรของเจ้าดีที่สุดในรอบนี้ ทำให้ดีล่ะ!”“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง!”หลิงอวี๋รับป้ายมาด้วยความตื่นเต้น พลางหันไปดูผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่กำลังมองนางด้
เป็นไปตามคาด หลิงอวี๋เห็นใบหน้าที่งดงามทว่าโหดร้ายนั้น และนั่นก็คือศัตรูที่นางมิอาจลืมเลือน...จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!ชั่วขณะนั้นดวงตาของหลิงอวี๋เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางนึกอยากจะรุดเข้าไปฉีกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นชิ้น ๆ เพียงหลับตา นางก็มิอาจควบคุมตนมิให้นึกถึงฉากที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเตะต่อยตนความเจ็บปวดและเลือดสด ๆ อีกทั้งความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกไปทำให้หลิงอวี๋มิอาจลืมความเกลียดชังที่ตนมีต่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้เลย!คาดมิถึงว่าศัตรูจะปรากฏตัวต่อหน้าตนเช่นนี้!หลิงอวี๋ตื่นตัวมากจนร่างกายสั่นเทา แต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้นางมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย การวู่วามลงมือมีแต่จะเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้นหลิงอวี๋สูดหายใจเข้าลึกพลางมองเด็กสาวที่ประกาศสงครามกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเด็กสาวคนนี้ดูอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี มีรูปร่างสูง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว และดวงตาแวววาวสดใสผมสีดำสนิทของนางถูกแสกกลางและถักเป็นเปียยาวสองข้างพันไว้รอบมวยผม ข้าง ๆ มวยผมนั้นมีปิ่นมุกปักประดับอยู่สองอันเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีม่วงควันธูป และเมื่อดูจากเนื้อผ้าแล้ว นางน่าจะเป็นค
ข่าวที่สือหรงนำมาให้เซียวหลินเทียนมิใช่ข่าวดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังคงอยู่ในตำหนักเทียนจีและมิได้มาลงทะเบียนด้วยตนเองหากอยากพบกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ก็ทำได้แค่ต้องรอจนถึงวันคัดเลือกรอบแรกเท่านั้นแต่เซียวหลินเทียนก็มิย่อท้อ ถึงอย่างไรขอเพียงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยปรากฏตัว เขาก็จะไม่มีทางปล่อยนางหนีไปอีกแน่ ให้นางเป็นอิสระอีกสักสองสามวันก็คงมิเป็นไร!ในช่วงวันเวลาที่เหลือ หลายคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเช่นเดียวกับหลิงอวี๋ พวกเขาอ่านตำราอย่างหนักและเพิ่มพูนความรู้ที่ขาดไป เพื่อที่จะผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงทว่าหลิงอวี๋มิรู้เลยว่าศัตรูของตนมาถึงเมืองหลวงแดนเทพแล้ว หลังจากเอาแต่ปิดห้องอ่านตำราเป็นเวลาหลายวันนางก็มาที่สำนักศึกษาชิงหลงที่อยู่นอกเมืองในวันแห่งการคัดเลือก โดยมีผู้รอบรู้เรื่องร่วมเดินทางด้วยหน้าทางเข้าสำนักศึกษาชิงหลงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมกันนับพันคนผู้รอบรู้เห็นเช่นนั้นก็ทึ่งจนพูดมิออก และอ้ำอึ้งพูดออกไปว่า “รู้เช่นนี้ข้าน่าจะมาลงทะเบียนเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงกับเจ้าด้วย เฮ้อ ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว!”หลิงอวี๋ยิ้ม นางรู้ว่าผู้รอบร
“เถาจื่อ หานอวี้ วันพรุ่งพวกเจ้าไปลงทะเบียนเสีย!”เซียวหลินเทียนทำการตัดสินใจและกำชับว่า “ลงทะเบียนในชื่อของน้องสาวข้า!”“เผยอวี้ ฉินซาน พวกเจ้าสองคนก็ไปลงทะเบียนสาขาที่ตนเองชื่นชอบด้วย พวกเจ้าทั้งคู่บอกแค่ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าก็พอ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็หัวเราะอย่างมีความสุข พลางพยักหน้าและจัดลำดับอาวุโสกันให้เซียวหลินเทียนเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน เถาจื่อเป็นพี่หญิงใหญ่ หานเหมยเป็นพี่น้องคนที่สาม และหานอวี้เป็นคนที่สี่เซียวหลินเทียนได้บอกจุดประสงค์ของภารกิจให้พวกเขาทราบแล้ว เถาจื่อกับหานอวี้ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งของสตรีวันรุ่งขึ้น เถาจื่อและหานอวี้ไปลงทะเบียน และทั้งคู่ก็เลือกวิชาปรุงโอสถเนื่องจากก่อนหน้านี้พวกนางเคยตามหลิงอวี๋ไปจำแนกเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิด ในความคิดของพวกนาง การกลั่นโอสถเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการผ่านการประเมินมีชั้นเรียนที่สอนการกลั่นโอสถเพียงสองแห่งเท่านั้น ดังนั้นเถาจื่อและหานอวี้จึงต้องลงทะเบียนเรียนคนละชั้นเรียนและเถาจื่อก็ได้ลงทะเบียนเรียนชั้นเรียนของหอโอสถซ่างกู่เซียวหลินเทียน เผยอวี้และคนอื่น ๆ ก็ไปลงทะเบียนด้วยเซียวหลินเทียนลงทะ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห