หลิงอวี๋ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พบว่าหญิงชราคนนี้เป็นตัวละครที่ร้ายกาจทีเดียว!คำพูดนี้ของฮูหยินใหญ่กวน ไม่ใช่การหักล้างสิ่งที่ตนเองพูดไปเมื่อครู่หรือ?สำหรับคำพูดจาเสียดสีของฮูหยินใหญ่กวนนั้น หลิงอวี๋ไม่สามารถด่ากลับไปได้ จึงทำได้เพียงแค่เงียบไว้แต่หลิงอวี๋ใช่คนที่จะยอมเงียบอยู่ตลอดที่ไหนกัน?หลิงอวี๋นึกถึงที่กวนอิ่งแสดงอำนาจใส่ตนเองก่อนหน้านี้ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเชิญให้ตนเองมารักษา แต่กลับไม่ให้ความเคารพตนเองเลย พวกคนที่ชอบมองว่าคนอื่นต่ำพวกนี้ หากไม่ให้นางสั่งสอนเสียหน่อย นางคงคิดว่าตนเองเป็นร้องขอจะไปรักษาเองจริง ๆ!หลิงอวี๋นึกแล้วก็ยิ้มจาง ๆ “ฮูหยินใหญ่หูไม่ดีหรือ? ไม่เป็นไร ข้ารู้เทคนิคการฝังเข็มที่ออกแบบมารักษาอาการหูตึงโดยเฉพาะเลย!”“ข้าจะฝังเข็มให้ฮูหยินใหญ่ รับรองว่าฮูหยินใหญ่จะหูดีตาดีขึ้นมาทันที จะสามารถได้ยินเสียงชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปสิบจั้งก็ตาม!”“หลิงซวน เอาเข็มเงินของข้าออกมา เอาขนาดใหญ่เลยนะ!”หลิงซวนเปิดกล่องยาออกอย่างชาญฉลาดทันที แล้วหยิบเข็มเงินออกมาสองเล่ม!เมื่อฮูหยินใหญ่เห็นเข้า ก็แทบจะกลัวจนหมดสติเข็มเงินของหมอคนอื่นยาวแค่นิ้วเท่า
หลิงอวี๋ก้าวไปข้างหน้า เตียงของนายท่านกวนมีขนาดใหญ่มาก กว้างถึงสองเมตรเลยทีเดียวนายท่านกวนนอนหรี่ตาอยู่ ท่าทีกึ่งเป็นกึ่งตายหลิงอวี๋เข้ามาก็รู้สึกก่อนเลย แต่นางไม่รู้สึกว่านายท่านกวนมีตรงไหนที่เจ็บปวดนางมองไปที่รูปร่างหน้าตาของนายท่านกวนก่อนนายท่านกวนรูปร่างสูงมาก แม้ว่าจะนอนอยู่บนเตียง แต่ก็ยังให้รู้สึกกดดันอย่างมากเขาอายุหกสิบกว่า ผมเป็นสีขาวทั้งหมดแล้ว เบ้าตาของเขาโบ๋ลึกเพราะโรคร้าย ผิวหนังของเขาเป็นสีเหลืองและมีเงาดำจาง ๆ อยู่“นายท่าน! ข้าชื่อหลิงอวี๋ ท่านได้ยินข้าพูดหรือไม่?”หลิงอวี๋ถามเสียงอ่อนโยน พลางดึงข้อมือของเขาออกมาตรวจชีพจร“ท่านปู่ของข้าพูดมิได้มาครึ่งเดือนแล้ว!”กวนซินยืนอยู่ข้าง ๆ จ้องมองหลิงอวี๋ พลางตอบแทนนายท่านกวนหลิงอวี๋พยักหน้า จับชีพจรแล้วขมวดคิ้วชีพจรของนายท่านปกติมาก แต่ไม่มีโรคหรือการเจ็บปวด แต่กลับอ่อนแอเช่นนี้ นี่มันไม่ปกติ!ขณะที่หลิงอวี๋กำลังสงสัย ก็รู้สึกว่านายท่านกวน จู่ ๆ ก็บีบมือตนเองแน่นหลิงอวี๋รีบเงยหน้าขึ้น ก็เห็นนายท่านกวนกะพริบตาเร็ว ๆ มาที่ตนเอง จากนั้นก็เป็นท่าทางกึ่งเป็นกึ่งตายอีกจิตใจของหลิงอวี๋วกวน นางแน่ใจว่านายท่านกว
ฮูหยินกวนจำยอมรับความพ่ายแพ้ จ้องมองท่านกวนเอ้อร์ด้วยโทสะนางเอ่ยอย่างมิเต็มใจ "ข้าขออภัย พระชายาอ๋องอี้ เป็นข้าไร้มารยาทแล้ว! ข้าจักทำตามที่ท่านบอก!"หลิงอวี๋ยิ้มเยาะ ดูเหมือนมิพอใจกับคำขอโทษที่เบาบางเช่นนี้ของฮูหยินกวนกวนซินก็ยิ้มอย่างรวดเร็วพลางเอ่ย “พระชายาอ๋องอี้ ท่านอย่าถือสาท่านแม่ของข้าเลย พวกเราออกไปกันเถิด!”เขาดึงฮูหยินกวนบังคับนางออกไปขณะที่ท่านกวนเอ้อร์กำลังจะออกไป หลิงอวี๋ก็รั้งเขาไว้ พลางกระซิบ“ท่านช่วยข้าดูหน่อย… อย่าให้ใครเข้ามาใกล้!”“ข้ารู้สึกว่าอาการป่วยของนายท่าน… มันค่อนข้างแปลก อีกทั้งดูเหมือนนายท่านมีเรื่องจักพูดกับข้าด้วย!”ดวงตาของท่านกวนเอ้อร์จมดิ่งลง หัวใจของเขาสับสนวุ่นวายขึ้นมาทันที หรือว่าความสงสัยของเขาจะเป็นจริง?อาการเจ็บป่วยของนายท่าน ถูกใครแอบวางหมากอะไรหรือไม่?นึกถึงเหตุการณ์ช่วงหลายวันนี้ ท่านกวนเอ้อร์ก็หนักใจ!หรือว่าที่ช่วงนี้กวนซินกับท่านกวนต้าเรียกนักบัญชีจากทั่วแคว้นมาที่เมืองหลวงอย่างโจ่งแจ้งนั้นคือ กำลังตรวจสอบทรัพย์สินของตระกูลกวน!พวกเขามั่นใจว่านายท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน จึงอยากยึดอำนาจทางการเงินทั้งหมดไว้ในมือ...แต่ม
ในเวลานี้ กวนซิน ฮูหยินกวน และฮูหยินใหญ่กวน ยังคงรออยู่ด้านนอกเรือนท่านกวนเอ้อร์ยืนไตร่ตรองอยู่ด้านข้าง เขาวิตกกังวลนายท่านกวนถูกวางยาเมื่อใดกัน?ผู้ใดเป็นคนทำ?กวนซิน? หรือว่าฮูหยินกวน?ท้ายที่สุดพวกเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว ไม่สนใจความรักระหว่างสามีภรรยาและความรักระหว่างปู่กับหลาน แล้วคิดจะฆ่านายท่านหรือ?ท่านกวนเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว รู้สึกว่าเหตุการณ์วันนี้มันไม่ปกติหากพวกเขาวางยาพิษนายท่าน เหตุใดยังให้ตนเชิญพระชายาอ๋องอี้มา?หรือว่าพวกเขาไม่เพียงต้องการฆ่านายท่านเท่านั้น แต่ยังต้องการหาแพะรับบาปที่วางยาพิษนายท่านด้วย?กวนผิงไม่มีเวลาคิดอีกต่อไป เขามีลางพอจะล่วงรู้เหตุการณ์ เขาไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นใช้ประโยชน์จากเขาได้โดยไม่ระวังได้!“กวนซิน ข้าจะไปห้องน้ำเดี๋ยวกลับมา!”หลังจากที่กวนผิงรับคำ เขาก็แสร้งทำเป็นรีบร้อนไปห้องน้ำกวนซินเหลือบมองที่แผ่นหลังของกวนผิงอย่างรังเกียจ จากนั้นจึงมองไปที่ห้องของนายท่านต่อ สีหน้ามืดมนไม่ชัดเจนเมื่อมองย้อนกลับไป เขาเห็นฮูหยินกวนมองเขาอย่างกังวลใจ กวนซินจึงส่งสายตาปลอบโยนให้นางในขณะนั้นเอง กวนอิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบ้านเหอและผู้คุ้ม
หลิงซวนตกใจจนหน้าซีดไปทันที แล้วก็หยุดขวางหน้าหลิงอวี๋โดยไม่รู้ตัวหลิงอวี๋ไม่คิดว่ากวนอิ่งจะเข้ามาเร็วถึงเพียงนี้ เข็มเงินที่จะแก้พิษนายท่านกวนก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นกันขอเพียงให้เวลานางอีกไม่กี่วินาที นายท่านก็จะฟื้นขึ้นมาแล้ว...หลิงอวี๋เห็นมีดดาบเข้ามาใกล้ หลิงซวนก็เอาตัวมาเสี่ยง นางก็วิตกกังวลและผลักหลิงซวนออกไปหลิงอวี๋ยกมือขึ้น โปรยผงยาหนึ่งกำมือแล้วร่างกายก็หดลงโดยไม่รู้ตัวทันใดนั้นหลิงอวี๋ก็รู้สึกเย็นบนหัว และมีเส้นผมบางส่วนร่วงหล่นลงมาหลิงอวี๋มิรอให้ผู้คุ้มกันเหวี่ยงดาบเป็นครั้งที่สอง นางฉีกผ้าห่มของนายท่านออกแล้วมุดหัวเข้าไปเกือบจะในเวลาเดียวกัน กวนผิงก็ตะโกนขึ้นมา"ปกป้องพระชายา ปกป้องนายท่าน!"ตึง...ตึง...เสียงดังสองครั้ง หน้าต่างก็ถูกเปิดออก ผู้คุ้มกันหลายคนก็รีบเข้ามาจากต่างทิศทางก่อนที่กวนอิ่งจะทันได้โต้ตอบ มีดเล่มใหญ่ก็จ่อที่คอของนางเสียก่อนนางขยับเล็กน้อย เลือดอุ่น ๆ ก็ไหลออกมาจากคอกวนอิ่งกลัวมากจนไม่กล้าขยับตัวอีกต่อไป!“กวนผิง เจ้าจักทำกระไร? เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอกสังหารท่านปู่ของข้า… ยามนี้เจ้ายังจักฆ่าพวกเราอีกหรือ?”ฮูหยินกว
กวนอิ่งไม่สนใจแม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้า นางมองนายท่านกวนที่มองนางอย่างเย็นชาด้วยความตกใจส่วนทุกคนในตระกูลกวนที่อยู่ในห้อง กวนซินกับฮูหยินกวนเห็นนายท่านกวนลุกขึ้นนั่งโดยที่หลิงอวี๋พยุงขึ้นมาเกิดอะไรขึ้น?พิษควรจะออกฤทธิ์แล้วมิใช่หรือ?กวนซินมองดูนายท่านกวนอย่างว่างเปล่า ไม่รู้จะมีปฏิกิริยาเยี่ยงไร!"ดีมาก… ดีมาก!"นายท่านกวนหัวเราะอย่างเย็นชา และดวงตาที่เย็นชาของเขาก็เคลื่อนจากกวนอิ่งไปที่ใบหน้าของกวนซินจากนั้นเขาก็กวาดสายตามองฮูหยินกวน อีกทั้งฮูหยินใหญ่กวนที่ยืนจับกรอบประตูพยุงตนไว้“ใคร ๆ ก็อยากให้ข้าตายหรือ? แค่ก...”นายท่านกวนพ่นเลือดที่เหลืออยู่ในปากออกมา น้ำเสียงของเขาไม่แหบแห้งอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยพลังอันดุเดือดเหมือนเมื่อก่อน“พระชายาอ๋องอี้ช่วยข้าไว้ พวกเจ้ามิขอบคุณ มิหนำซ้ำยังเอาดาบบุกเข้ามา นี่ต้องการจะฆ่านางกับข้าใช่หรือไม่?”“ท่าน… ท่านปู่… หลานกับน้องสาวมีหรือจักกล้าฆ่าพวกท่าน… นี่เป็นความเข้าใจผิด!”กวนซินก็รู้สึกตัวได้หลังจากถูกดุ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“อิ่งเอ๋อร์เห็นท่านอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำ ก็เลยคิดว่าพระชายาอ๋องอี้วางยาพิษจะฆ่าท่าน!”“เข้าใจผิด
ฮูหยินกวนเห็นผู้คุ้มกันคนหนึ่งวิ่งไป ก็กังวลมากจนคลานเข้ามาและจับกวนอิ่งคุกเข่าลง กวนอิ่งยังคงไม่เต็มใจ แต่ฮูหยินกวนก็กดนางไว้แน่น มิให้ดิ้นหนีไปได้“พระชายาอ๋องอี้ อิ่งเอ๋อร์คุกเข่าขออภัยท่านแล้ว โปรดยกโทษให้นางด้วยเถิด!”“นายท่าน อิ่งเอ๋อร์เป็นห่วงท่านเช่นกัน ท่านโปรดช่วยอิ่งเอ๋อร์ขอความเมตตาด้วยเถิด!”นายท่านกวนมองกวนอิ่งกับกวนซินอย่างเย็นชา หลานที่ไม่กตัญญูเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร?เขาทำงานหนักเพื่อตระกูลกวน เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดี แต่กลับจะเอามีดมาแทงข้างหลังเขาหรือ?สัตว์ร้ายเหล่านี้ คู่ควรต่อการวิงวอนของเขาเช่นนั้นหรือ?ฮูหยินใหญ่กวนก็เข้ามาตัวสั่นเทาและขอร้องเช่นกัน“นายท่าน เรามีหลานสองคนนี้เท่านั้น!”“พวกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านจึงได้ทำผิด ท่านเห็นแก่ความกตัญญูของพวกเขา ขอความเมตตาให้พวกเขาเถิด!”“พระชายาอ๋องอี้ ข้าขอร้องให้ท่านปล่อยพวกเขาไป! หากคิดว่ายังมิเพียงพอ… ข้าจักคุกเข่าขออภัยเจ้าด้วย!”ฮูหยินใหญ่กวนบอกจะคุกเข่า แต่ร่างกายของนางยังคงนิ่งอยู่หลิงอวี๋แสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยินฮูหยินใหญ่กวนแอบมิพอใจ นางก็แค่พูดเท่านั้น เด็กผู้หญิงตัวเล็กอย่างหลิง
เมื่อท่านกวนเอ้อร์นึกถึงอันตรายเมื่อกี้ ก็รู้ว่าวิธีจัดการของหลิงอวี๋นั้นถูกต้องที่สุด!เขาทำความเคารพหลิงอวี๋อย่างสุภาพมาก "พระชายาอ๋องอี้ ขอบคุณสำหรับวันนี้! แซ่กวน,bสังเกต เกือบจะทำให้พระชายาบาดเจ็บ… แซ่กวนรู้สึกละอายใจแล้ว!""คำขอบคุณมิพอสำหรับบุญคุณ แซ่กวนจักตอบแทนบุญคุณของพระชายาในภายภาคหน้าเป็นแน่!"“พระชายาโปรดพยายามค้นคว้ายาแก้พิษให้ได้โดยเร็วที่สุดด้วยเถิด!”หลิงอวี๋พยักหน้า พลางเอ่ย "ท่านกวนเอ้อร์ เรื่องวันนี้ เขาวางแผนทั้งกับท่านและข้า!""ข้าแค่กลัวว่า แผนของพวกเขาล้มเหลวแล้วพวกเขาจะลองแผนอื่นอีก!"เมื่อคิดถึงว่านายท่านกวนต้องเอาร่างกายที่ป่วยของเขามาขอร้องเพื่อตระกูลกวน หลิงอวี๋ก็รู้สึกหนักใจนายท่านกวนใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือด อยากให้โอกาสตระกูลกวนเป็นครั้งสุดท้ายแค่กลัวว่าตระกูลกวนจะไม่เพียงแต่ไม่เห็นค่าเท่านั้น แต่ยังจะทำให้แย่ลงอีกด้วย!ท่านกวนเอ้อร์มองนายท่านกวนด้วยสายตาจริงจังแม้ว่านายท่านกวนจะอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังตื่นอยู่ เขาสบตาท่านกวนเอ้อร์ ครุ่นคิดอยู่นานพลางเอ่ย“ส่งพระชายาอ๋องอี้กลับกันก่อนเถิด!”นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่า เขาไม่อยากสนใ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก