หลิงอวี๋มีบาดแผลที่ตัว ไม่สามารถวิ่งเร็วได้ นางจึงสะบัดมือของจางเหมย“ไม่ต้องสนใจข้า หนีไปเถิด ข้าจักหาทางหนีไปเอง!”จางเหมยเอ่ยอย่างกังวล “จะทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน! เจ้าจุดไฟเผาหมู่บ้านตระกูลอู๋หนา หากตกไปอยู่ในเงื้อมมือพวกเขา พวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”ไม่ว่าเยี่ยงไรจางเหมยก็จะลากหลิงอวี๋ไปด้วย หลิงอวี๋เห็นว่าสะบัดนางไม่หลุด ก็กังวลขึ้นมา“จางเหมย บอกเจ้าตามตรง ข้าคือพระชายาอ๋องอี้ แม้ว่าข้าจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา พวกเขาก็มิกล้าทำอะไรข้าหรอก!”“เจ้ารีบหนีไปเถิด ข้าจะถ่วงเวลาพวกเขาไว้! เจ้ารีบไปรายงานที่หมู่บ้านตระกูลเฉิง บอกให้ท่านอ๋องอี้มาช่วยข้า!”พระชายาอ๋องอี้?จางเหมยมองหลิงอวี๋อย่างสงสัย เห็นทหารไล่ตามใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และหลิงอวี๋ก็ไม่สามารถหนีไปได้จริง ๆนางจึงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “แม่นางอวี๋ เช่นนั้นเจ้าดูแลตัวเองด้วย ข้าไปก่อน! เจ้ามิต้องกังวล ข้าจักไปหาคนมาช่วยเจ้าโดยเร็วที่สุด!”จางเหมยพูดจบ ก็รีบมุดเข้าไปในพุ่มไม้ และไม่นานหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลิงอวี๋เห็นว่าทหารไล่ตามตนเองใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จึงหันหลังวิ่งไปอีกทางหนึ่ง ขณะที่วิ่งก็จงใจตะโกนเสียงด
นายทหารมองพิจารณาหลิงอวี๋ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่มั่นใจ ราวกับว่ากำลังตัดสินว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จหลิงอวี๋ “ตัวสั่น” ท่าทีเหมือนกำลังขอร้องนายทหารขมวดคิ้ว แล้วตะโกนออกมาอย่างรำคาญ“พานางกลับไป! คอยเฝ้าไว้อย่างใกล้ชิด รอจนกว่าจะจับตัวผู้หญิงพวกนั้นได้ แล้วค่อยจัดการพร้อมกัน!”“ขอรับ!”ทหารสองคนก้าวไปข้างหน้า จับตัวหลิงอวี๋อย่างหยาบคายแล้วเดินไปหลิงอวี๋ลอบถอนหายใจ การถ่วงเวลาไว้ครู่หนึ่งนี้ หวังว่าพวกจางเหมยจะหนีไปได้อย่างราบรื่นสำหรับตนเอง ก็ทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินการไปตามสถานการณ์กระทั่งหลิงอวี๋ถูกพาไปที่ตีนเขา ก็เห็นว่าผู้หญิงสองคนที่มิได้มานั้น รวมถึงครอบครัวของพวกเขาล้วนถูกพาตัวมาหมดแล้วผู้หญิงคนหนึ่งในนั้นเห็นหลิงอวี๋ ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! หากไม่เชื่อเจ้าแล้วหนีกันออกมา ครอบครัวของข้าก็คงไม่ถูกร่างแหไปด้วย!”“เจ้ามันเป็นตัวหายนะ! ท่านอู๋ นางเจ้าค่ะ นางคือคนที่เผาหมู่บ้านตระกูลอู๋!”จางเสี่ยวอิง?หลิงอวี๋พูดไม่ออกเลยคิดว่าจางเสี่ยวอิงที่ทรยศตนเองจะได้รับผลประโยชน์อะไรบ้าง แต่ดูท่าทีในตอนนี้แล้ว นางก็มิได้รับผล
หลิงอวี๋ไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปนานแค่ไหน จนกระทั่งเสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่ข้างหู นางถึงได้ฟื้นขึ้นมาตรงหน้ามืดสนิท นางทำได้เพียงมองผ่านช่องว่างระหว่างรั้วกั้น ไปเห็นตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่บนเสาไกล ๆ กระทั่งปรับสายตาได้แล้ว หลิงอวี๋ก็เห็นจางเสี่ยวเยี่ยนนั่งคุดคู้อยู่ตรงมุม ชุดของนางขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นผิวหนังไปมากหัวใจของหลิงอวี๋บีบแน่น หรือว่าจางเสี่ยวเยี่ยนจะถูกทำให้เป็นมลทินแล้ว?เด็กหญิงผู้นี้ดูแล้วเพิ่งจะอายุเพียงสิบสี่ปี ในยุคปัจจุบันนางยังเรียนอยู่เลยนะ!หลิงอวี๋ขยับ ทันทีที่ขยับทั้งร่างกายก็เจ็บไปหมด นางเห็นว่าจางเสี่ยวเยี่ยนจมอยู่กับความเศร้าโศก ไม่สนใจตัวเอง ก็รีบเข้าไปในมิตินางเร่งจัดการกับบาดแผลของตนเอง ไม่สนใจรอยฟกช้ำทั่วร่างกาย แล้วกินช็อกโกแลตไปสองสามชิ้นและดื่มน้ำกลูโคสสองขวดหลิงอวี๋หาของสองสามอย่างมาป้องกันตัวแล้วออกจากมิติทันทีที่ออกมา หลิงอวี๋ก็ตกใจ เห็นจางเสี่ยวเยี่ยนถอดเข็มขัดออก แล้วเอาเข็มขัดผูกไว้กับรั้วและกำลังสอดคอของนางเข้าไป“เสี่ยวเยี่ยน… นี่เจ้าจะทำกระไร!”หลิงอวี๋รีบปีนขึ้นไปกอดนางเอาไว้จางเสี่ยวเยี่ยนดิ้นรนไปพลางร้องไห้ไปด้วย “ให้ข้าตาย
หลิงอวี๋เห็นท่าทางเร่งรีบของจางเสี่ยวเยี่ยนก็ยิ้มออกมา“มิต้องรีบร้อน ข้าจะให้ยาพิษกับเจ้า! แต่เราต้องวางแผนกันในระยะยาว!”หลิงอวี๋เอ่ยปลอบใจ “เป้าหมายของเรามิใช่แค่การวางยาพิษฆ่าพวกเขาเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยครอบครัวของเจ้าออกมาด้วย!”“เสี่ยวเยี่ยน ขอเพียงเจ้าฟังข้า ข้ารับรองว่าจะช่วยเจ้าแก้แค้น และจะพาพวกเจ้าออกไปจากที่นี่!”ความเกลียดชังแน่นอยู่เต็มหน้าอกของจางเสี่ยวเยี่ยน นางนึกขึ้นได้ว่าหลิงอวี๋กล้าแม้กระทั่งเผาหมู่บ้านตระกูลอู๋ ก็กัดฟันพลางเอ่ย“ได้ แม่นางอวี๋ ข้าจักฟังเจ้า! เจ้าให้ข้าทำเช่นไรข้าก็จะทำเช่นนั้น!”“เจ้าพูดถูก ข้าตายไปพวกเขาก็มิได้เสียหายอันใดเลย!”“แต่พ่อแม่ของข้าและน้องชายน้องสาวของข้าจักต้องตายในถ้ำหมาป่าที่แสนโหดเหี้ยมนี้!”“ถึงข้าจักตาย ข้าก็ต้องช่วยพวกเขาออกมาให้ได้!”ดีมาก มีจิตวิญญาณนักสู้เช่นนี้ก็พอแล้ว!หลิงอวี๋พยักหน้า “เหมือนเดิมเช่นนั้นแล พวกเราต้องรู้ให้แน่ชัดว่าพวกเขามีกันกี่คน! แล้ววางแผนเส้นทางหลบหนีให้ดี!”หลิงอวี๋พูดไปก็คิดอะไรได้บางอย่าง จึงเอ่ยถาม“จางเหมยบอกว่าในเหมืองมีผู้ชายหลายคนจากหมู่บ้านของเจ้าที่ทำงานเป็นช่างตีเหล็กอยู่ที่นี่
ไม่ช้าหลิงอวี๋ก็ถูกพามาถึงค่ายทหารพี่จูที่เถาเฉิงเอ่ยถึงอาศัยอยู่ที่เรือนเดี่ยวหลังหนึ่ง หลิงอวี๋เดาจากเรื่องที่มีความพิเศษนี้ พี่จูผู้นี้น่าจะเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่กระทั่งเข้าไป ก็เห็นทหารสองนายจับชายร่างสูงคนหนึ่งอยู่ที่หน้าเตียงชายคนนั้นน้ำลายฟูมปาก ทั้งยังกำลังชักอยู่ด้วย“พี่เถา พี่กลับมาแล้ว เจอหมอหลินหรือไม่ อาการของทหารจูร้ายแรงมาก! เมื่อครู่เขากระอักเลือดด้วย!”ทหารคนหนึ่งเอ่ยอย่างตื่นตระหนก“หมอหลินลงเขาไปแล้ว แต่ข้าเจอผู้หญิงที่มีทักษะทางการแพทย์!”เถาเฉิงผลักหลิงอวี๋ไปข้างหน้าอย่างหยาบคาย พลางบอก “รีบดูพี่ข้าสิ!”หลิงอวี๋เห็นว่าตรงหน้าเตียงมีอาเจียนที่ในนั้นมีลิ่มเลือดปนอยู่จริง ๆนางพูดไม่ออกเลย ดื่มมากถึงเพียงนี้ อยากดื่มจนตายเลยหรือไร?หลิงอวี๋นั่งลงหน้าเตียง จับชีพจร พลางเอ่ย "มีน้ำส้มสายชูหรือไม่? หามาให้ข้าสักสองสามขวด!"“รีบไปหาน้ำส้มสายชู!”เถาเฉิงไม่พูดพร่ำทำเพลงสั่งให้ทหารไปเอามาหลิงอวี๋อาศัยร่างกายปกปิดไว้ หยิบเข็มฉีดยาออกมา ฉีดคลอร์โปรมาซีนไปที่แขนของทหารจูกระทั่งทหารนำน้ำส้มสายชูมา หลิงอวี๋ก็หยิบขวดสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนตออกมาอย่างเปิดเผย
ทหารจูดื่มน้ำส้มสายชูไป ครั้งนี้ไม่อาเจียนแล้ว จากนั้นก็หลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรงหลิงอวี๋ทนกลิ่นเหม็นในห้องไม่ไหวจริง ๆ จึงเอ่ย “ข้าจักออกไปยืนข้างนอกสักพัก อีกครึ่งชั่วยามข้าค่อยมาตรวจชีพจรเขา!”นางเอ่ยจบแล้วเดินออกไปเถาเฉิงเองก็ทนกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้มิได้เช่นกัน จึงสั่งให้ทหารสองนายทำความสะอาด แล้วก็เดินตามออกไปหลิงอวี๋จดจำที่ทางโดยรอบได้แล้ว พอเห็นเถาเฉิงออกมา ก็แสร้งทำเป็นเอ่ยถามอย่างกังวล“พี่ชาย เจ้าพบเรื่องอันใดที่มีความสุขหรือ? ดื่มเสียจนเป็นเช่นนี้! เจ้าควรเตือนเขาหนา เช่นนี้จะตายเอาได้!”เถาเฉิงเม้มริมฝีปาก พลางย้อนถาม “เจ้ามิใช่คนของหมู่บ้านเยี่ยนเจียงใช่หรือไม่ ฟังจากสำเนียงของเจ้าแล้ว เป็นคนจากเมืองหลวง!”“เจ้าไปทำเยี่ยงไรให้ทหารเฉาขุ่นเคืองจนถูกจับมาที่นี่ได้เล่า?”หลิงอวี๋ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ามาตามหาญาติ แต่ตกลงจากภูเขา แล้วหลงทางไปที่หมู่บ้านเยี่ยนเจียง!”“ข้าแค่อยากจะอาศัยอยู่สักหนึ่งคืน มีหรือจะรู้ว่าจะถูกอู๋เอ้อร์โก่วจับตัวมา!”“ทหารเฉาที่เจ้าพูดถึงนั่น ข้าไม่เคยเจอเขามาก่อน จะไปทำให้เขาขุ่นเคืองได้เยี่ยงไร!”เถาเฉิงยิ้มอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเชื่อคำพูด
แม้ว่าน้ำเสียงของทหารจูจะไม่ดีนัก แต่การได้รับความปรารถนาดีจากเถาเฉิง หลิงอวี๋ก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่สูญเปล่าเถาเฉิงส่งหลิงอวี๋กลับไป เมื่อเห็นว่านางกับจางเสี่ยวเยี่ยนถูกขังอยู่ในคุกไม้ ก็บอกผู้ใต้บังคับบัญชา“ทางห้องครัวมีห้องว่างอยู่มิใช่หรือ? ให้พวกนางย้ายไปเถิด!”ทหารเอ่ยอย่างลำบากใจ “ท่านเถา ทหารเฉาบอกว่าต้องขังพวกนางไว้ ทำเช่นนี้คงมิดีกระมัง!”เถาเฉิงสีหน้าเรียบนิ่ง พลางเอ่ยอย่างเย็นชา "ที่นี่แม้แต่นกสักตัวก็ไม่สามารถบินออกไปได้ เจ้ายังกังวลว่าพวกนางจักหนีไปได้อีกหรือ?"“ในครัวขาดแคลนกำลังคน ข้าส่งคนสองคนไปช่วยมิได้รึ?”“เช่นนั้นย่อมได้ วันพรุ่งพวกเจ้าก็ไม่ต้องกินข้าว!”เห็นเถาเฉิงอารมณ์เสีย ทหารก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที“ท่านเถาว่ากระไรก็ว่าตามนั้นเถิด! ข้าจักจัดการส่งพวกนางไปเอง!”เขาเปิดประตูห้องขัง ดวงตาแหลมคมของหลิงอวี๋ เห็นจางเสี่ยวอิงเดินตามจางเสี่ยวเยี่ยนออกมา นางก็ตะโกน“ข้ารู้จักแค่จางเสี่ยวเยี่ยน ข้าไม่รู้จักใครอื่นเลย!”จางเสี่ยวอิงได้ยินก็กังวลขึ้นมา พลางตะโกน “แม่นางอวี๋ เจ้าก็พาข้าไปด้วยเถิด! ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรทรยศเจ้า!”“ข้ายอมโขกหัวคำนับ
เซียวหลินเทียนให้อิ๋นฮู๋ไปหาว่ายังมีใครกำลังตามหาหลิงอวี๋อยู่บ้างเวลานี้เขากำลังรอข่าวจากอิ๋นฮู๋อยู่ด้านนอก ชิวเหวินซวงยกอาหารมื้อดึกมานางยืนอยู่ที่หน้าประตู ดูความเรียบร้อยของกิ๊บติดผม และจัดชุด ก่อนที่จะเปิดประตูเดินเข้าไปเซียวหลินเทียนนั่งที่หน้าโต๊ะหนังสือ กำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับยุทธวิธีการทหารอยู่“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเสวยอาหารเย็นไปไม่เท่าไร หิวหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันทำมื้อดึกมาให้ เสวยหน่อยเถิดเพคะ!”ชิวเหวินซวงหยิบถาดมาวางบนโต๊ะหนังสือของเซียวหลินเทียนนางแสร้งเอ่ยอย่างเผด็จการ “หม่อมฉันทำด้วยตัวเองเลยเพคะ! ท่านอ๋อง หากท่านอ๋องไม่เสวย หม่อมฉันไม่ยอมเพคะ!”นางพูดไปก็หยิบหนังสือการทหารของเซียวหลินเทียนออกไปวางไว้ข้าง ๆ ไปด้วยเซียวหลินเทียนไม่เคยมองว่าชิวเหวินซวงเป็นนางรับใช้จริง ๆ เลย!นางกล้าทำเช่นนี้ ก็เพราะกำลังวางตัวเองอยู่ในฐานะน้องสาวที่ห่วงใยพี่ชาย!เซียวหลินเทียนเคยชินกับท่าทีเช่นนี้ของนางแล้ว จึงมิได้แสดงความไม่พอใจใด ๆ!เขายกมือขึ้นกุมขมับ พลางเอ่ยเรียบ ๆ “ไม่อยากกิน เจ้ายกมันออกไปให้พวกจ้าวซวนกินเถิด!”“ทำเช่นนั้นมิได้หนาเพคะ! ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้ว่าท่าน
ในขณะที่หลิงอวี๋กำลังคิดเช่นนี้ ในหัวก็ปรากฏวิธีการรักษาเกี่ยวกับโรคตาหลากหลายวิธีขึ้นมานางมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นทันที จึงก้าวไปเรียกเขา “พี่ชาย ข้ามีทักษะการแพทย์อยู่บ้าง มิทราบว่าโรคตาของฮูหยินเว่ยที่เจ้าพูดถึงมีอาการอย่างไรหรือ บางทีข้าอาจจะช่วยรักษาโรคนี้ให้นางได้!”ลูกหาบผู้นั้นมองหลิงอวี๋ และเห็นว่านางสวมอาภรณ์ธรรมดา ๆ เขาจึงส่ายหัวแล้วเอ่ยออกมา “หากเจ้ามีทักษะการแพทย์เพียงเล็กน้อยก็ช่างเถิด โรคตาของฮูหยินเว่ยนั้นมิได้รักษาง่ายถึงเพียงนั้น นางหาหมอมาหลายคนแต่ก็ล้วนจนปัญญาที่จะรักษาทั้งสิ้น เจ้าอย่าไปให้เสียเวลาเลย!”หลิงอวี๋จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างดื้อรั้น “หากมิลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าทำมิได้! พี่ชาย เจ้าพาข้าไปเถิด หากข้ารักษาฮูหยินเว่ยได้ เจ้าเองก็จะได้รางวัลเช่นกัน!”ลูกหาบนึกถึงเงินสิบตำลึงที่ฮูหยินเว่ยมอบให้ตน แล้วก็คิดว่าคนจิตใจดีถึงเพียงนั้นมิควรตาบอดไปเช่นนี้เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วเอ่ยออกไป “ได้ ข้าจะพาเจ้าไป!”ผู้รอบรู้รีบตามไปอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ได้ยินบทสนทนาของพวกลูกหาบเช่นกันหากน้องชายที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ผู้นี้สามารถรักษาโรคตาของฮูหยินเว่ยได้จริง ๆ เช
หลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นขึ้นมา ผู้รอบรู้ผู้นี้เป็นคนมีความสามารถในการสืบข่าว บางทีตลอดการเดินทางร่วมกันนี้อาจจะช่วยดูแลกันและกันได้“พี่ชาย ท่านก็จะไปเมืองหลวงแดนเทพเช่นกันหรือ!”หลิงอวี๋เป็นฝ่ายก้าวเข้าไปทักทายเขาก่อน “เมื่อคืนข้าได้ยินท่านเล่าเรื่องที่โรงเตี๊ยม ข้าชื่นชมในการเรียนรู้ของพี่ชายยิ่งนัก!”หลิงอวี๋มิกล้าใช้ชื่อเจียงอวี๋อีกต่อไปแล้ว เฉียวไป๋รู้จักชื่อนี้ และนางต้องป้องกันเบาะแสต่าง ๆ ที่จะเปิดเผยตัวตนเอาไว้ก่อนเมื่อคืนผู้รอบรู้ดื่มหนักมาก จนมิรู้ว่ามีใครบ้างที่อยู่ในโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นว่าคุณชายผู้นี้รู้จักตน ก็คิดว่าเขารู้จักตนที่โรงเตี๊ยมจริง ๆ จึงยิ้มและพยักหน้าให้ผู้รอบรู้อายุราว ๆ ยี่สิบปี หน้าตาหล่อเหลา แต่สวมอาภรณ์ค่อนข้างเรียบง่าย เห็นได้ว่าเขาขัดสนเงิน“เรือใหญ่ที่จะไปเมืองหลวงแดนเทพเหล่านั้น โดยปกติแล้วล้วนเป็นเรือที่ตระกูลร่ำรวยเช่าเอาไว้ มิอนุญาตให้พวกเราโดยสารไปด้วย!”ผู้รอบรู้เอ่ยออกมาอย่างท้อแท้ “เรือขนส่งสินค้าก็มีการป้องกันเข้มงวดมาก หากไม่มีคนคุ้นเคยที่แนะนำให้ก็มิอนุญาตให้พวกเราโดยสารเช่นกัน!”หลิงอวี๋หามานานแล้วก็เป็นอย่างที่ผู้รอบรู้พูดจริ
หลิงอวี๋ตกอยู่ในห้วงความคิดหากตนสังหารเฉียวเค่อไปจริง ๆ เช่นนั้นตนก็คือศัตรูของตระกูลเฉียวส่วนเฉียวไป๋นั้น ตนจับพลัดจับผลูช่วยเหลือเอาไว้ และตอนนั้นตนก็แปลงโฉมไปแล้ว ดังนั้นเฉียวไป๋จึงมิรู้ว่าตนก็คือหลิงอวี๋!หากเขารู้ เฉียวไป๋จะปล่อยตนไปหรือ?ตนไปสร้างเรื่องกับตระกูลที่มีอำนาจเช่นนี้ จนทำให้เกิดเงินรางวัลจำนวนมหาศาล และคนจากทุกเส้นทางต่างก็กำลังตามหาตนเพื่อเงินรางวัลเช่นนั้นการไปเมืองหลวงแดนเทพครั้งนี้จะต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว!หลิงอวี๋คิดฟุ้งซ่านอยู่นานเท่าใดก็มิรู้ กระทั่งนางเรียกสติกลับคืนมา นางก็พบว่าคนในโถงรับแขกออกไปกันจำนวนมากแล้วส่วนผู้รอบรู้ผู้นั้นยังคงดื่มสุราอยู่ผู้เดียว ดูท่าทางเศร้าหมองยิ่งนักหลิงอวี๋ครุ่นคิด แล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขา“พี่ชาย ข้ากำลังวางแผนไปตามหาญาติที่เมืองหลวงแดนเทพ เห็นว่าท่านรู้เรื่องเมืองหลวงแดนเทพอยู่มาก ข้าขอถามอะไรท่านสักหน่อยได้หรือไม่?”หลิงอวี๋ให้เสี่ยวเอ้อร์นำสุราดีและอาหารเนื้อ ๆ มาให้อีกสองสามอย่าง ผู้รอบรู้ดื่มจนมึนเล็กน้อยแล้ว เมื่อเขาได้ยินว่ามีสุราและอาหารดี ๆ มาอีก เขาก็เหลือบมองหลิงอวี๋แล้วเอ่ยถามออกไป “เจ้าอยากรู้เร
หลิงอวี๋กลับมาถึงที่โรงเตี๊ยมก็เห็นว่าวันนี้โรงเตี๊ยมคลาคล่ำไปด้วยผู้คน คนทุกประเภทล้วนอยู่ที่นี่หลิงอวี๋สั่งอาหารสองสามอย่างกับเสี่ยวเอ้อร์ และให้เขานำอาหารไปส่งที่ห้องของตน และขณะที่นางกำลังจะกลับห้อง ในตอนที่เดินผ่านโถงรับแขกนั้น นางก็ได้ยินชื่อที่คุ้นเคย… หลิงอวี๋!หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่มิได้รีบหันกลับไป คราวที่แล้วเป็นเพราะนางได้ยินชื่อนี้แล้วหันกลับไป นางจึงถูกแม่ทัพผู้นั้นเผยเพ่งเล็ง ทั้งยังทำให้ป้าวเฉิงเกิดความสงสัยอีกด้วยหลิงอวี๋ หรือว่านี่คือชื่อจริงของตน?ก่อนหน้านี้หลิงอวี๋ก็สงสัยอยู่ และในใจของนางก็คิดว่าตนคือหลิงอวี๋ไปแล้วเช่นกันดังนั้นเมื่อได้ยินชื่อนี้ นางจึงเดินไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดจากนั้นก็ได้ยินว่ามีคนเอ่ยขึ้นมา “ตอนนี้ตระกูลเฉียวเสนอรางวัลก้อนโตเป็นการนำจับสตรีชื่อหลิงอวี๋ รางวัลนั้นเป็นเงินจำนวนห้าล้าน! หากสามารถจับหลิงอวี๋ได้ พวกเราก็จะมีเงินกันเป็นกอบเป็นกำแล้ว!”ที่แท้ก็มิได้เรียกตน แค่เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาในการสนทนาก็เท่านั้นหลิงอวี๋ใจเต้นรัว แล้วหันกลับไปเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ “หากอาหารของข้าเสร็จแล้วก็ยกมาที่นี่แล้วกัน ข้าจะกินที่โถงรับแขก!”“ขอ
หลิงอวี๋ยังคงซ่อนตัวอยู่ในน้ำลุงของเก๋อฮุ่ยหนิงคงถูกพิษของหลิงอวี๋จนตาบอดไปแล้ว ดังนั้นเก๋อฮุ่ยหนิงจะยิ่งไม่มีทางปล่อยตนไปแต่เก๋อฮุ่ยหนิงมิสามารถอยู่ที่ท่าเรือได้นานนัก ข้าหลวงเก๋อต้องรีบกลับไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวงแดนเทพ จะเดินทางล่าช้าไปเพราะมาตามหาตนมิได้ขอเพียงตนซ่อนตัวอยู่จนถึงตอนค่ำ ก็จะขึ้นฝั่งโดยที่รอดพ้นจากสายตาของทุกคนได้ แล้ววันพรุ่งค่อยไปตามหาป้าวซวนเก๋อฮุ่ยหนิงมิสามารถอยู่ที่ท่าเรือได้นานดังเช่นที่หลิงอวี๋บอกไว้จริง ๆ นางพาลุงของนางไปหาหมอ แต่หมอทั่วไปที่ท่าเรือเหล่านี้ก็ไม่มีใครสามารถรักษาดวงตาของท่านลุงให้หายดีได้ลูกพี่ลูกน้องคนโตได้ยินข่าวก็รีบมาทันที เขาทั้งโกรธทั้งเคืองเก๋อฮุ่ยหนิง แต่ติดที่อำนาจของตระกูลเก๋อ ทำให้เขามิกล้าบ่นมากเกินไป“พี่ใหญ่ เป็นข้าเองที่ทำให้ท่านลุงลำบาก แต่ผู้ร้ายคือหมอเจียง ข้าจะให้ภาพเหมือนของนางกับพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ต้องสังหารนางล้างแค้นให้ท่านลุงให้จงได้นะ!”เก๋อฮุ่ยหนิงรีบวาดรูปหลิงอวี๋มอบให้ลูกพี่ลูกน้องคนโตของนาง และสุดท้ายนางก็มอบเงินส่วนตัวทั้งหมดให้กับลูกพี่ลูกน้องคนโตไป เพื่อให้เขาไปหาหมอที่มีชื่อเสียงมารักษาดวงตาของท่านลุงหล
“ตา… ตาของข้า!”ผู้ดูแลหลัวลุงของเก๋อฮุ่ยหนิงยกมือทั้งสองขึ้นปิดตาไว้อย่างเจ็บปวดเก๋อฮุ่ยหนิงทั้งโกรธทั้งกังวล นางจึงตะโกนบอกลูกหาบที่ตามมา “รีบไปจับตัวสตรีผู้นั้นไว้ อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้!”เมื่อคนพวกนั้นเห็นว่าผู้ดูแลถูกหลิงอวี๋ทำให้บาดเจ็บ พวกเขาจึงพากันกระโดดลงน้ำไปจับตัวหลิงอวี๋ ตามคำสั่งของเก๋อฮุ่ยหนิงส่วนเก๋อฮุ่ยหนิงก็ประคองผู้ดูแลหลัว “ท่านลุง ข้าจะพาท่านไปหาหมอ!”หลิงอวี๋กระโดดลงไปในน้ำ แล้วนางก็ว่ายน้ำไปที่เรือเหล่านั้นเรือบรรทุกสินค้าจอดเทียบกันอยู่สะเปะสะปะ และกระจายกันอยู่เต็มบริเวณโดยรอบหลิงอวี๋ว่ายน้ำออกไปไกลภายในลมหายใจเดียว แล้วจึงกล้าโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำอย่างเงียบ ๆ โดยอาศัยเรือบังเอาไว้ จากนั้นก็ว่ายน้ำต่อไปเนื่องด้วยการอาศัยเรือเหล่านั้นบดบังไว้ ทำให้หลิงอวี๋สามารถหลบเลี่ยงพวกลูกหาบที่ลงน้ำมาได้ชั่วคราวแต่นางมิสามารถขึ้นฝั่งได้ ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน หากนางขึ้นฝั่งไป ด้วยเนื้อตัวเปียกโชกเช่นนี้ จะต้องดึงดูดความสนใจของทุกคนอย่างแน่นอน แล้วลุงของเก๋อฮุ่ยหนิงก็จะจับตัวนางได้หลิงอวี๋เกาะเชือกของเรือลำหนึ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำไว้ชั่วคราว ใจของนางเป็นห่ว
“น้องหญิง!”ในเวลาเพียงชั่วพริบตานั้น หลิงอวี๋ก็นึกถึงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ นางจึงดึงป้าวซวนเอาไว้ “เราไปดูที่ริมแม่น้ำกันเถิด เรือพวกนั้นกำลังบรรทุกสินค้ากันอยู่ ดูน่าสนใจยิ่งนัก!”เมื่อป้าวซวนถูกหลิงอวี๋ดึงตัวไปเช่นนั้น นางก็ตามไปอย่างมิอาจยื้อตนเองไว้ได้“น้องหญิง เก๋อฮุ่ยหนิงจะทำร้ายพวกเรา!”หลิงอวี๋เดินไปพลางกระซิบไปด้วย “เจ้าอย่าได้หันไปดู ทำเป็นว่ามิรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น และเมื่อไปถึงเรือเหล่านั้น ข้าจะวิ่งไปด้านหนึ่ง ส่วนเจ้าก็วิ่งไปอีกด้านหนึ่ง พยายามวิ่งไปในที่ที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมากเข้าไว้!”“พี่หญิง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”ป้าวซวนตกใจกลัวจนสีหน้าเปลี่ยน “เก๋อฮุ่ยหนิงจะทำร้ายพวกเราด้วยเหตุใด? ท่านพ่อของนางยังต้องการเจ้าอยู่มิใช่หรือ?”“ข้าเล่าให้ฟังมิทันแล้ว หลังจากที่เจ้าหนีออกไปให้พยายามหลีกเลี่ยงพวกนาง แล้วซ่อนตัวจนถึงวันพรุ่ง จากนั้นค่อยมาหาข้าที่ใต้หอสังเกตการณ์ที่สูงที่สุดของท่าเรือ!”“หากว่าข้ามิมา เจ้าก็มิต้องรอ หาทางกลับไปหาครอบครัวด้วยตนเองเสีย!”หลิงอวี๋หันไปมอง แล้วก็เห็นว่าลูกหาบเหล่านั้นมิเดินอย่างเชื่องช้าแล้ว แต่กลับวิ่งมาทางพวกนางอย่างรวดเร็ว ดั
สองวันต่อมา เรือก็มาถึงท่าเรือฟู่จี๋ตามกำหนดการเดินทาง แล้วก็เป็นไปตามที่จื่ออวิ๋นบอก เมื่อเรือจอดเทียบท่า ผู้คุมเรือก็ให้ทุกคนลงจากเรือไปพักผ่อนครึ่งวันเหล่าสตรีของตระกูลเก๋ออยู่บนเรือกันมาหลายวันแล้ว เมื่อสามารถขึ้นไปเดินบนบกกันได้ทุกคนก็ต่างลงจากเรือกันอย่างกระตือรือร้น แม้แต่ฮูหยินเก๋อเองก็รอมิไหวที่จะลงจากเรือไปสูดอากาศบริสุทธิ์เช่นกันข้าหลวงเก๋อก็เชิญเฉียวไป๋ไปดื่มสุราและกินอาหารที่ภัตตาคาร เฉียวไป๋ก็พร่ำบ่นกับตระกูลเก๋อมาหลายวันแล้ว จึงยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญแล้วตามเขาไปเก๋อฮุ่ยหนิงเห็นว่าเฉียวไป๋ไปแล้ว นางก็แอบยิ้ม นางให้จื่ออวิ๋นไปแจ้งท่านลุงเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เหลือก็คือนางต้องหลอกล่อหลิงอวี๋ไปยังถิ่นของท่านลุง“หมอเจียง พวกเราก็ลงไปเดินเล่นกันเถิด ข้าได้ยินมาว่าท่าเรือฟู่จี๋แห่งนี้คึกคักมาก และสามารถเลือกหาของดี ๆ ได้มากมายทีเดียว!”แม้ว่าป้าวซวนจะมิได้เมาเรือแล้ว แต่นางก็ยังคงมิชอบความรู้สึกที่ต้องอยู่บนเรืออยู่ดี เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงดึงหลิงอวี๋แล้วออดอ้อน “พี่หญิง เราก็ลงไปเดินเล่นกันเถิด!”หลิงอวี๋เห็นว่าทุกคนไปกันหมดแล้ว นางก็มิอยากอยู่บนเรือเช่นกัน ดั
ในขณะที่เซียวหลินเทียนกำลังยุ่งอยู่กับการตามหาหลิงอวี๋ และฟื้นฟูตำหนักปีกเงินขึ้นมาอีกครั้งนั้น ทางด้านหลิงอวี๋ก็เตรียมตัวจะออกเดินทางไปเมืองหลวงแดนเทพพร้อมกับครอบครัวของข้าหลวงเก๋อแล้วเพื่อเป็นการลดความเหนื่อยล้าของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อจากการเดินทางทั้งทางเรือและทางรถม้า ข้าหลวงเก๋อจึงเลือกที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวงแดนเทพทางน้ำแทนตระกูลเก๋อเช่าเรือขนาดใหญ่สองลำ ลำหนึ่งสำหรับบรรทุกสัมภาระ และอีกลำหนึ่งสำหรับโดยสารคนข้าหลวงเก๋อได้รับการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ คงจะมิกลับไปที่เมืองจงกวนอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงนำข้าวของเครื่องใช้ที่มีค่าและคนรับใช้ทั้งหมดที่เต็มใจจะติดตามเขาไปที่เมืองหลวงแดนเทพไปด้วยเรือใหญ่มีอยู่สามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่พักอาศัยของคนรับใช้ ข้าหลวงเก๋อกับบุรุษในตระกูลเก๋อพักกันที่ชั้นสาม ส่วนเหล่าญาติฝ่ายสตรีก็พักอยู่ที่ชั้นสองสองพี่น้องหลิงอวี๋กับป้าวซวนก็ได้พักในห้องเดียวกัน แม้ว่าจะเล็กไปสักหน่อย แต่พวกนางทั้งสองก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้วเส้นทางน้ำนี้ถือว่าเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในแดนเทพ แบ่งออกเป็นแม่น้ำในและแม่น้ำนอกเส้นทางที่พวกนางเดินทางกันอยู่นี้คือแม่น้ำนอก ซึ่ง