เซียวหลินเทียนมิได้รู้สึกเสียดายเลย อย่าว่าแต่หม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์เลย ของล้ำค่าที่สุดที่ตนมี เขาก็อยากจะมอบให้หลิงอวี๋ทั้งหมดเมื่อเห็นหลิงอวี๋ยังคงมิรับ เซียวหลินเทียนก็ยัดใส่มือของนางแล้วชักกริชออกมา เขาจับมือของหลิงอวี๋ไว้แล้วกรีดลงบนนิ้วชี้ของนางเลือดหยดลงบนแหวน แหวนก็เปล่งแสงสีม่วงอ่อน ๆ“หยดลงไปอีก หลังจากนี้หม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์นี้ก็จะเป็นของเจ้า!”เซียวหลินเทียนจับมือของหลิงอวี๋ไว้แล้วนำเลือดไปทาบนแหวนเซียวหลินเทียนกล่าว “หม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ เจ้าอยากให้มันเป็นแบบไหนก็ได้! ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่ลูบแหวน มินานเสือปีกกาฬก็จะปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า!”เซียวหลินเทียนกังวลว่า หากตนมิได้อยู่เคียงข้างหลิงอวี๋แล้วนางจะเจออันตราย อย่างน้อยมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเรียกเสือปีกกาฬได้ เขาก็อยากจะมอบให้หลิงอวี๋หลิงอวี๋มองคิ้วและดวงตาของเซียวหลินเทียนที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม หากยามนี้เซียวหลินเทียนยังหมายปองหยกหล้าสุขาวดีของตน นั่นก็หมายความว่าหยกหล้าสุขาวดีจะต้องล้ำค่ากว่าหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นร้อยเท่ามิเช่นนั้น นางก็คิดมิออกจริง ๆ ว่า เหตุใดเซียว
หลิงอวี๋เดินวนรอบ ๆ สองรอบก็ยังมิเห็นเบาะแสใด ๆ นางก็นึกถึงแหวนพระสุเมรุของตนขึ้นมา หรือว่าหัวมังกรแต่ละหัวจะเป็นมิติย่อยที่สามารถเก็บสิ่งของเหล่านี้ได้มิจำกัด?“น้ำปูนใส!”หลิงอวี๋คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หัวมังกรที่เพิ่งพ่นน้ำออกมาก็พ่นน้ำสีขาวออกมาจำนวนหนึ่ง เป็นน้ำปูนใสจริง ๆ“ใส่สมุนไพร!”หลิงอวี๋ร้องเรียกผนังด้านในของหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดออกเผยให้เห็นช่องว่าง แต่ไม่มีสมุนไพรอยู่ในนั้นหลิงอวี๋หัวเราะเยาะตนเอง นางคิดอะไรอยู่กัน คิดว่าข้างในหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์สามารถผลิตสมุนไพรเองได้อย่างนั้นหรือไร?นางสำรวจการใช้งานของหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดก็พบว่าตนมิสามารถสำรวจได้ทั้งหมด จึงลองหลอมโอสถเสริมพลังวิญญาณหนึ่งหม้อเตาหลอมโอสถทั่วไปจะใช้เวลาเจ็ดถึงแปดชั่วยามในการหลอมโอสถหนึ่งหม้อ แต่หม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็หลอมเสร็จแล้วหลิงอวี๋นำโอสถออกมาดูแล้วก็ต้องตกตะลึงกับคุณภาพและจำนวนที่ได้ได้โอสถถึงแปดส่วน และทั้งหมดเป็นโอสถระดับยอดเยี่ยมนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงอวี๋ใช้หม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ หากหลอมอ
นานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่มีข่าวคราวเลย ทว่าจู่ ๆ ก็มีข่าวความคืบหน้า มีเพียงความเป็นไปได้เดียวคืออาการของหวงฝู่หมิงจูกำเริบตระกูลจงเจิ้งลักพาตัวหวงฝู่หมิงจูไป จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการข่มขู่ให้หวงฝู่หลินส่งมอบวังเทพ หากหวงฝู่หมิงจูตายไปก็จะทำให้หวงฝู่หลินยิ่งโกรธแค้นเท่านั้น“หวงฝู่หมิงจูอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”หลิงอวี๋ถาม“ยังมิรู้แน่ชัด เฮยอิงส่งข่าวมาเก้าวัน บอกเพียงให้พวกเรารีบกลับไปที่คฤหาสน์อู่ หวงฝู่หลินขอความช่วยเหลือ ต้องรอให้กลับไปถึงจะรู้สถานการณ์ที่แน่ชัด!”เซียวหลินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อกลับไปถึง เจ้ากับหานเหมยกลับจวนไปรอก่อน พวกเราจะไปช่วยคน!”“ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย! สภาพร่างกายของหวงฝู่หมิงจูนั้นพิเศษอยู่บ้าง หากข้าอยู่ด้วยอาจจะช่วยชีวิตนางได้ทันการณ์!”หลิงอวี๋กล่าวอย่างรีบร้อน“มิได้!”เซียวหลินเทียนส่ายหน้า “เราสองคนจะเสี่ยงอันตรายพร้อมกันมิได้ เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยเสือซ่อนมังกร ตระกูลจงเจิ้งก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ หากเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้น เจ้ากับหานเหมยอยู่ข้างนอกก็ยังสามารถช่วยพวกเราได้!”“หากพวกเราทั้งหมดตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรู ก็จะไม่
หลิงอวี๋ถูกคำพูดของเถาจื่อทำให้หัวเราะออกมาได้ แต่นางก็นึกถึงความคลุมเครือระหว่างเก๋อเฟิ่งฉิงและเซียวหลินเทียน และอดมิได้ที่จะกล่าวออกมา“ฝ่าบาทของพวกเจ้าก็มิเห็นจะลำบากอะไร คุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อมิใช่หรือที่หลงรักเขาหัวปักหัวปำ?”หานเหมยเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างมีความหมาย พลางยิ้มอย่างซุกซน “ฮองเฮา ท่านกำลังหึงหวงหรือเพคะ?”ใบหน้าของหลิงอวี๋แดงก่ำในทันที เก็บซ่อนรอยยิ้มแล้วทำหน้าบึ้งตึงกล่าวว่า “ใครหึงเขากัน ข้าพูดความจริงต่างหาก!”เถาจื่อและหานเหมยมองหน้ากัน จากนั้นทั้งสองก็ขยิบตาให้กันเถาจื่อรู้ว่าเพราะหลิงอวี๋ความจำเสื่อม ซ้ำยังถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยยุยง ยามนี้จึงยังมีปมในใจติดค้างต่อเซียวหลินเทียน และมิอยากให้หลิงอวี๋เข้าใจเซียวหลินเทียนผิดอีก จึงกล่าวว่า“ฮองเฮา เก๋อเฟิ่งฉิงชอบฝ่าบาทก็จริง แต่บ่าวกล้ารับประกันกับท่านได้เลยว่าฝ่าบาทมิได้มีพระทัยเป็นอื่นต่อนาง!”เถาจื่อเล่าให้หลิงอวี๋ฟังเรื่องที่พวกเขาขึ้นไปบนภูเขาหิมะเพื่อตามหาหลิงอวี๋ แต่กลับถูกหัวหน้าตระกูลเฉียววางแผน เซียวหลินเทียนตกลงไปในหุบเหวน้ำแข็ง และเก๋อเฟิ่งฉิงก็เสี่ยงชีวิตช่วยเซียวหลินเทียนไว้“เพื่อรักษาชื่อเสียงของเก่อ
หลิงอวี๋พยักหน้าอย่างยินดี แท้จริงแล้วนางก็มิได้อยู่ตัวคนเดียว มีพี่ชายอย่างสิงจั๋ว มิว่าจะเผชิญกับความยากลำบากใด ๆ นางก็มิกลัว“พี่ใหญ่ ประเดี๋ยวข้าจะไปที่บ้านตระกูลเย่สักหน่อย! ต้ายาจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน ท่านรีบพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรง พวกเราจะได้ออกเดินทางกัน!”หลิงอวี๋หาเถาวัลย์เชียนจีเจอแล้ว จะต้องรีบสกัดออกมาแล้วนำไปให้แม่ทัพเฉิงนางกลับไปที่ห้องนอนของตนแล้วรีบเข้าไปในมิติเพื่อสกัดเถาวัลย์เชียนจี เมื่อทำเสร็จแล้วหลิงอวี๋ก็รีบไปที่บ้านตระกูลเย่ยามเฝ้าประตูเห็นหลิงอวี๋ก็กล่าวว่า “คุณหนูสิง คุณชายหรงออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว เขาบอกว่าหากท่านมา ให้ท่านเข้าไปรอเขาที่ห้องปรุงโอสถของอาจารย์ท่าน แล้วเขาจะรีบกลับมาก่อนเวลาอาหารกลางวันขอรับ!”หลิงอวี๋ขมวดคิ้ว เย่หรงได้รับบาดเจ็บแต่กลับมิยอมอยู่บ้านพักผ่อนให้ดี วิ่งโร่ไปที่ใดอีกเล่า?หลิงอวี๋ไม่มีทางเลือก จำต้องไปรอที่ห้องปรุงโอสถของเย่ซื่อฝานก่อนเย่ซื่อฝานกำลังปรุงโอสถอยู่ เมื่อเห็นหลิงอวี๋ก็กล่าวทักทาย “เสี่ยวชี ขอบอกข่าวดีให้เจ้าทราบ อัตราความสำเร็จในการปรุงโอสถสมานแผลของข้าก้าวหน้าถึงแปดส่วนแล้ว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคำชี้แนะจากเจ้า!”
“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงดีต่อข้าเช่นนี้?”หลิงอวี๋ถามออกไปโดยมิรู้ตัวเย่ซื่อฝานยิ้ม “อาจารย์ดีต่อเจ้าก็เป็นเรื่องที่สมควรมิใช่หรือ?”“เสี่ยวชี แม้ว่าอาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์ได้มินาน แต่เจ้าเฉลียวฉลาดมีพรสวรรค์ และที่สำคัญที่สุดคือมีคุณธรรม!”“เมืองหลวงแดนเทพมิได้ขาดแคลนนักปรุงโอสถ แต่นักปรุงโอสถจำนวนมากต่างก็คิดแต่จะหาเงินจากการปรุงโอสถ มิได้ศึกษาว่าจะรักษาโรคและช่วยชีวิตคนอย่างไร ยึดติดอยู่กับที่ จึงทำให้ปัจจุบันนี้นักปรุงโอสถรุ่นหลังด้อยกว่ารุ่นก่อน!”“ทั้งยังมีไป่หลี่ไห่เป็นผู้นำ ทุกคนต่างก็พยายามศึกษาว่าจะเพิ่มพูนพลังบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญตนได้อย่างไร ปรุงแต่โอสถเสริมพลังวิญญาณ และโอสถที่ขายก็ราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ในแดนเทพมิได้มีเพียงผู้บำเพ็ญตน ยังมีชาวบ้านธรรมดาอีกมากมาย พวกเขาเจ็บป่วยก็ต้องกินยา จะซื้อโอสถที่มีราคาแพงเช่นนี้ได้อย่างไร!”เย่ซื่อฝานส่ายหน้า “เจ้าดูอาการป่วยของฮูหยินเฉิงสิ แม้แต่ไป่หลี่ไห่และรองเจ้าสำนักศึกษาต่งก็ยังหมดปัญญา เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมากมายในหมู่ชาวบ้าน”“แม้ว่าจะมิใช่ทุกคนที่ถูกวางยา แต่ก็เพราะไม่มีหมอที่ยอมตั้งใจศึกษา พวกเขาเจ็บป่วยก็ท
หลิงอวี๋และเย่หรงมิคาดคิดว่าจะเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นหลังจากที่หาเถาวัลย์เชียนจีพบแล้วแม่ทัพเฉิงมิได้บอกเฉิงซวี่อย่างชัดเจนว่าจะช่วยพวกเขาช่วยคน ทั้งสองคนจึงมิอาจพูดอะไรได้อีกหลิงอวี๋ตรวจดูชีพจรของเฉิงซวี่เพื่อดูผลของการกินโอสถที่ตนปรุงชีพจรของเฉิงซวี่มีกำลังวังชามากขึ้น สีหน้าก็ดีขึ้นมากหลังจากดูแลอาการของเฉิงซวี่ หลิงอวี๋ก็ไปดูอาการของฮูหยินเฉิงเฉิงเหล่ยเห็นหลิงอวี๋ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่หญิงสิง อาการของท่านแม่ข้าดีขึ้นมาก วันนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วยเจ้าค่ะ!”“หลังจากกินยาของท่านแล้ว ท่านแม่ก็นอนหลับได้สนิทขึ้น”หลิงอวี๋ตรวจชีพจรของฮูหยินเฉิง โอสถถอนพิษที่นางปรุงได้ผลดี เส้นสีดำใต้ตาของฮูหยินเฉิงก็จางลงไปมาก“ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้อีกใบ หลังจากกินยาตามใบเทียบเดิมอีกสองวันก็ค่อยเปลี่ยนไปใช้ยาตามใบเทียบใหม่”“กินยาเช่นนี้ไประยะหนึ่ง อาการของท่านแม่เจ้าก็จะดีขึ้น เส้นประสาทที่เคยถูกพิษทำลายก็จะค่อย ๆ ฟื้นฟู!”เฉิงเหล่ยพยักหน้า กล่าวอย่างซาบซึ้ง “พี่หญิงสิง โชคดีเหลือเกินที่ได้พบท่าน มิเช่นนั้นข้าคงต้องสูญเสียท่านแม่ไปเป็นแน่แล้ว!”“เฟิ่งอี๋เหนียงน่ารังเกียจนัก เพื่อประโย
หลิงอวี๋พลันนึกถึงเย่หรง เย่หรงรู้ว่าเย่ซวินเป็นหนี้ก้อนโตที่สำนักซิงหลัว บางทีเขาอาจจะรู้จักสำนักซิงหลัวดีกว่านาง“เถาจื่อ เจ้าไปที่ตระกูลเย่หน่อย เรียกให้เย่หรงมาที่นี่!”เถาจื่อออกไปตามเย่หรงทันทีหลิงอวี๋ไปเยี่ยมสิงจั๋ว พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเย่หรงร้องเรียกอยู่ด้านนอก “เสี่ยวชี ข้ามาแล้ว มีธุระอันใดกับข้าหรือ?”หลิงอวี๋เดินออกไปพาเย่หรงเข้าไปในห้องของตน“เย่หรง เจ้าช่วยเล่าเรื่องราวของสำนักซิงหลัวให้ข้าฟังหน่อย! เจ้าสำนักของพวกเขาเป็นคนอย่างไร?”เย่หรงประหลาดใจ “ท่านถามเรื่องสำนักซิงหลัวด้วยเหตุใด?”หลิงอวี๋ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วกล่าวว่า “เซียวหลินเทียนและคณะไปช่วยคนที่สำนักซิงหลัว ข้าจึงอยากรู้จักสำนักซิงหลัวให้มากขึ้นหน่อย หากพวกเขาพบเจออันตราย จะได้ช่วยเหลือทันกาล!”เย่หรงชะงัก “เซียวหลินเทียนก็มาที่แดนเทพหรือ? เขาเป็นคนที่มหาปราชญ์ตั้งค่าหัวไว้สูงลิบลิ่ว เขาจะกล้าเข้ามาในแดนเทพได้อย่างไร?”“เขาบอกว่าเขามาเพื่อตามหาข้า!”ก่อนหน้านี้หลิงอวี๋เพียงแค่ยอมรับฐานะของตนกับเย่หรง มิได้บอกเย่หรงว่าตนถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพามาที่แดนเทพอย่างไรนางเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่าง
ในขณะที่พวกของเซียวหลินเทียนและเผยอวี้ติดอยู่ในตำหนักใต้ดิน เย่หรงและหลงจิ้งก็เข้าไปในบ่อนพนันของสำนักซิงหลัวได้อย่างราบรื่นแล้วเนื่องจากสถานะของหลงจิ้งคือแขกผู้มีเกียรติ เย่หรงที่อยู่ในฐานะผู้คุ้มกันจึงดูราวกับว่าเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคยด้วยเช่นกัน ทั้งสองจึงได้รับการต้อนรับให้เข้าไปอย่างราบรื่นก่อนหน้านี้เย่หรงก็เคยไปที่บ่อนพนันสำนักซิงหลัว ทั้งยังเคยเล่นการพนันที่นั่นอยู่สองสามครั้งด้วย แต่เนื่องจากบรรดาแขกที่มาส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน พวกเขาจึงเป็นเช่นเดียวกับเย่ซวินที่เมื่อเจอเย่หรงก็จะเยาะเย้ยทุกครั้งหลังจากนั้นเย่หรงก็มิกลับมาอีกเลยบ่อนพนันใหญ่โตมาก และคนที่มาต้อนรับพวกเขาก็คือผู้ดูแลเฝิง เขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณห้าสิบกว่าปีเมื่อก่อนเย่หรงก็รู้จักเขาเช่นกัน บุรุษผู้ไว้หนวดจิ๋มผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นเฉียบคม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นตัวตึงคนหนึ่ง“สองวันที่ผ่านมาคุณชายสามมีธุระหรือ? ไฉนมิแวะเวียนมาที่บ่อนบ้างเล่าขอรับ?”ผู้ดูแลเฝิงเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มตาหยีคำพูดเหล่านี้แฝงด้วยกับดัก ระหว่างทางที่มาหลงจิ้งก็คิดไว้แล้ว เดิมทีเมื่อวานตนควรจะต
“ฉินซาน เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?”เซียวหลินเทียนมองไปทางฉินซานอย่างให้กำลังใจ เมื่อครู่ฉินซานค่อนข้างท้อแท้กับความสามารถของตนเอง เซียวหลินเทียนจึงอยากใช้สิ่งนี้กระตุ้นความมั่นใจของฉินซานฉินซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ชี้ไปที่แผนที่พลางเอ่ยออกมา “ในผังภาพหยินหยางมีเส้นอยู่สองเส้น เส้นหยินเริ่มจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนเส้นหยางเริ่มจากทิศตะวันออก”“หากเส้นหยินเคลื่อนที่ไปตามนี้แสดงว่าหยินแข็งแกร่งหยางอ่อนแอ และหากเส้นหยางเคลื่อนที่ไปทิศทางนี้ก็แสดงว่าหยางแข็งแกร่งหยินอ่อนแอ”“กลไกที่พวกเราผ่านมาได้เมื่อครู่นี้หากอิงตามผังแปดทิศ ถูกแบ่งและเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของมัน กลไกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบของผังแปดทิศ หากพวกเราเดินไปที่กลไกในตำแหน่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็จะง่ายหน่อย ทว่าหากเป็นตำแหน่งทิศตะวันออก ก็จะมีกับดักกลไกอันตรายทุกย่างก้าว!” เมื่อเผยอวี้ ลู่หนานและคนอื่น ๆ ได้ฟังเช่นนั้นก็ต่างรู้สึกสับสนกันไปหมดลู่หนานจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ “แล้วทำอย่างไรพวกเราจึงจะแยกแยะตำแหน่งของทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันออกให้ชัดเจนได้เล่า มิใช่ว่าเดินไปตามนี้หรือ? มีโอกาสเลือกได้ที่ไหนกั
ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนก็เคยเห็นวิชากลไกที่เจ้าตำหนักปีกเงินคนก่อนรวบรวมไว้เช่นกัน เขาได้ทำการศึกษาพร้อมกับฉินซานและผ่านไปได้หลายด่านโดยไม่มีอันตรายใด ๆแต่ก็เป็นดังเช่นที่หุ่นไม้เตือน ด่านต่อ ๆ ไปจะยากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากเผยอวี้และเซียวหลินเทียนแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนจะถูกกลไกหลอกในระดับที่ต่างกันผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดก็คือจ้าวซวน เขาเกือบจะถูกกลไกตัดแขนขาดครึ่งหนึ่ง ทว่าเซียวหลินเทียนเห็นว่าสถานการณ์มิดี จึงพุ่งเข้าไปแล้วใช้กระบี่คุนอู๋ตัดกลไกได้ทันกาล สุดท้ายก็ช่วยจ้าวซวนออกมาได้แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ จ้าวซวนก็ถูกเฉือนจนเนื้อหนังเปิดอย่างน่าสยดสยอง และเลือดก็ยังคงไหลมิหยุดด้วยเผยอวี้รีบหยิบโอสถสมานแผลออกมาเทลงบนมือของจ้าวซวนจนหมดขวด แต่ก็ต้องใช้โอสถสมานแผลถึงสองขวดจึงจะห้ามเลือดที่แขนของจ้าวซวนได้เซียวหลินเทียนเห็นว่ายังเดินกันมิถึงครึ่งทางของตำหนักใต้ดิน แต่คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ได้รับบาดเจ็บกันแล้ว ในใจจึงแอบด่าทอเจ้าสำนักซิงหลัวคนก่อนว่าช่างวิปริตเสียจริง ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วหรือไร ถึงได้ต้องมาทำของอันตรายร้ายกาจเยี่ยงนี้!แต่ก็เพราะตำหนักใต้ดินอันตราย คนชุดขาวจ
ลู่หนานไปสำรวจเส้นทางข้างหน้ามาแล้ว ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนเคยบอกไว้ว่า กลไกในตำหนักใต้ดินนั้นซับซ้อนมาก และบอกพวกเขาว่าอย่าไปเสี่ยงง่าย ๆลู่หนานเดินไปจนถึงทางเลี้ยว เขาทำตามคำสั่งของเซียวหลินเทียน เมื่อเขาเห็นประตูบานหนึ่งจึงมิกล้าเข้าไปเขายืนอยู่ห่างจากหน้าประตูสองสามเมตร และพยายามตรวจดูว่าบริเวณโดยรอบมีกับดักหรือไม่แต่พื้นถนนตรงหน้าประตูกับตรงที่ที่เขายืนอยู่นั้นเป็นแบบเดียวกัน ล้วนปูด้วยแผ่นหินชนวน ดูแล้วก็หาได้มีสิ่งใดผิดปกติไม่และประตูบานนั้นก็ดูคล้ายกับว่าฝังอยู่ในผนังอุโมงค์ ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งประตูที่หนักอึ้งทั้งสองบานก็ประกบเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา มิได้มีช่องว่างใดด้วยลู่หนานเคลื่อนไหวไปช้า ๆ แต่เดินไปได้เพียงหนึ่งเมตร จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าที่ใต้เท้าว่างเปล่า แล้วแผ่นหินชนวนก็แยกออกจากกัน จากนั้นลู่หนานก็รู้สึกว่าร่างกายของตนตกลงไปเขาตกใจมากจึงกระโดดขึ้นไปจนหัวกระแทกกับเพดานถ้ำ จากนั้นก็มีลูกศรลับนับมิถ้วนพุ่งออกมาจากผนังทั้งสองด้านโชคดีที่ลู่หนานเป็นคนตาไวมือไว จึงเบี่ยงตัวหลบแล้วไถลตัวกลับไปได้ทันกาลแต่ถึงกระนั้น ที่ไหล่ของลู่หนานก็ถูกลูกศรยิ
“สหายหวงฝู่ ข้าขอแนะนำว่าเจ้าเองก็อย่าได้ตกลงตามเงื่อนไขของเขา!”เซียวหลินเทียนเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ “แม้ว่าข้าจะรู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องพิษของลูกสาวเจ้า แต่คนที่แม้แต่ใบหน้าที่แท้จริงก็ยังมิกล้าเปิดเผยออกมาเช่นนี้ เจ้าจะเชื่อคำสัญญาของเขาได้หรือ?”“แม้ว่าเขาจะรับปากว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่เมื่อฝูไห่ถูกปล่อยตัวออกมา เขาจะลืมความแค้นที่เมื่อนั้นบรรพบุรุษของเจ้าแช่แข็งเข้าไว้ใต้ภูเขาหิมะได้หรือ?”“จากที่ข้าเห็น เขาก็แค่มิกล้าบุกเข้ามาในตำหนักใต้ดิน ก็เลยจงใจล่อลวงเจ้า!”“สหายหวงฝู่ คนชุดขาวผู้เดียวก็เก่งกาจเช่นนี้แล้ว หากฝูไห่ถูกปล่อยตัวออกมา ทั่วทั้งใต้หล้านี้ ผู้ใดกันที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้? กลัวก็แต่เมื่อถึงกาลนั้น คนที่ตายจะมิใช่เพียงแค่พวกเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงราษฎรนับล้านในแดนเทพอีก!”ความเป็นความตายของคนเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า!หวงฝู่หลินเกือบจะหลุดพูดคำนี้ออกไปแล้ว แต่เมื่อหันไปเห็นปี้ซง หวงฝู่หลินก็พูดเช่นนี้มิออกปี้ซงและเหล่าทาสในวังเทพ มีหลายคนที่อยู่กับตนมาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาจะบอกว่ามิต้องไปสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นได้หรือ?หากเป็นเช่นนี้ ตนยังนับว่าเป
คนชุดขาวแค่นเสียงหัวเราะหึ ๆ “แม้ว่าข้าจะบอกเจ้า แต่ช่วงเวลาเยี่ยงนี้เจ้าจะปรุงยาแก้พิษได้รึ?”“หวงฝู่หลิน เดิมทีข้าจะใช้พิษนี้กับเจ้า เพียงแต่หาโอกาสมิได้เสียที!”“เมื่อครู่เสวี่ยเหมยเห็นเจ้า นางกังวลว่าจะหลบหนีไปมิได้ นางจึงวางยาพิษหวงฝู่หมิงจู!”“หวงฝู่หลิน ใต้หล้านี้มีพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าจื่อลู่ มาจากทะเลทราย สำหรับคนที่เติบโตมาในภูเขาหิมะ เช่นเจ้าคงจะมิเคยได้ยินกระมัง!”หวงฝู่หลินรู้สึกเสียใจแต่ก็สายบไปเสียแล้ว เมื่อครู่ที่พบเสวี่ยเหมยเขาน่าจะสังหารนางไปเสียแต่แรก เช่นนั้นนางก็จะไม่มีโอกาสวางยาพิษหมิงจูบัดนี้เมื่อคนชุดขาวเอ่ยถึงจื่อลู่อะไรนั่น เขาก็มิเคยได้ยินมาก่อนเลยจริง ๆ ไหนเลยจะรู้ว่าจะแก้พิษให้หมิงจูได้อย่างไรคนชุดขาวน่าจะพอคาดเดาความคิดของหวงฝู่หลินได้ เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างอดทน “หวงฝู่หลิน ในทะเลทรายมีพิษที่ร้ายแรงมากอยู่สองชนิด เมื่อเรียกรวมกันแล้วจะเป็นชื่อว่าจื่อลู่เฟิงต่าน”“ยาพิษที่เสวี่ยเหมยใช้กับหวงฝู่หมิงจูคือจื่อลู่ หากพิษของจื่อลู่เข้าไปในกระดูกและข้อต่อ ความหนาวเย็นก็จะเจาะไปในกระดูก จากนั้นอาการก็จะกำเริบในช่วงยามจื่อ[footnoteRef:0]และยามหวู่[footnoteR
ลู่หนานมิรอให้ควันจางหมดก็วิ่งเข้าไปดู เห็นว่าก้อนหินขนาดใหญ่นั้นถูกระเบิดไปหนึ่งในสามส่วน ซึ่งเพียงพอที่จะให้คนเข้าไปได้แล้ว“ระเบิดออกแล้ว! รีบมาเร็วเข้า!”ลู่หนานกังวลว่าที่ปากถ้ำจะมีกับดักอยู่ จึงรีบเข้าไปก่อนโดยมิลังเลข้างในมืดสนิท ลู่หนานจุดตะบันไฟ จึงได้เห็นอุโมงค์ใต้ดินยาวสิบกว่าเมตรเขาลองเดินไปสองสามเมตร แต่ก็ไม่มีกับดักใด ๆ“เข้ามาเถิด ปลอดภัย!”ลู่หนานรีบวิ่งไปที่ทางเข้า แล้วเรียกทุกคนเผยอวี้จึงพยุงเซียวหลินเทียนเดินเข้ามา ส่วนจ้าวซวนก็พยุงฉินซานเดินตามหลังมาติด ๆ หวงฝู่หลินก็เดินโซเซเข้ามาพร้อมกับปี้ซงที่ช่วยพยุงเขาไว้“เผยอวี้ จ้าวซวน พวกเจ้าเฝ้าทางเข้าไว้ พวกเราพักก่อนสักหน่อยแล้วค่อยไป!”ทันทีที่เซียวหลินเทียนนั่งลงที่พื้นก็รีบหยิบโอสถสมานแผลที่หลิงอวี๋ให้มาแบ่งให้ฉินซานสองสามเม็ด จากนั้นก็เทยาสองสามเม็ดใส่ปากตัวเอง“สหายหวงฝู่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อเซียวหลินเทียนผ่อนคลายแล้วก็เอ่ยถามออกไปหวงฝู่หลินยิ้มขมขื่น “ร่างกายชาไปครึ่งซีก! ในอาวุธลับของคนชุดขาวมีพิษ ข้ากินยาแก้พิษไปแล้ว น่าจะได้ผล แต่ข้ายังต้องการเวลาอีกสักหน่อย!”เซียวหลินเทียนมองไปที่ปาก
“สารเลว!”แม้ว่าคนชุดขาวจะถูกพลังของเซียวหลินเทียนเผาไหม้มือ แต่เขายังคงจับด้ามโซ่ไว้แน่นด้วยความอดทนที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการได้เซียวหลินเทียนเองก็ได้กลิ่นไหม้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าคนชุดขาวมิยอมปล่อยมือ ดวงตาของเซียวหลินเทียนก็เผยแววความชื่นชมขึ้นมาคนชุดขาวผู้นี้ก็มิธรรมดาเช่นกันนี่!ชั่วพริบตาต่อมา เซียวหลินเทียนกระตุกมือกระชับกระบี่คุนอู๋ในมือแน่นพลางพุ่งถอยหลังไปคนชุดขาวจับด้ามโซ่อ่อนไว้แน่น การเกี่ยวพันกันของกระบี่คุนอู๋และโซ่อ่อนก็ดึงกันจนกลายเป็นรูปร่างโค้งทั้งสองฝ่ายประลองกำลังกันไปมาราวกับชักเย่อแต่เซียวหลินเทียนถึงจุดที่จะหมดพลังแล้วในการโจมตีเมื่อครู่นี้ เขาเสียพลังไปถึงแปดส่วนบัดนี้ หากเพียงแสดงท่าทีว่าทนมิไหวเพียงแม้เสี้ยว โซ่อ่อนของคนชุดขาวก็สามารถโจมตีเขาจนกระเด็นออกไปได้ในชั่วพริบตาทันใดนั้นเอง เผยอวี้ก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับตะโกนออกไป “ดูนี่!”เขาขว้างสิ่งของสีดำชิ้นหนึ่งไปทางคนชุดขาวคนชุดขาวเห็นของสิ่งนั้นมีประกายไฟขึ้นมาก็พลันตกใจ ยามนี้แม้ว่าโซ่อ่อนจะเป็นสิ่งล้ำค่าต่อเขามาก แต่เขาก็มิสนใจแล้ว จึงปล่อยมือแล้วถอยหลังไปในทันทีคนชุดขาวยังมิทันลงถึงพื้น
ผู้ที่ท้าทายจะพบกับดักกลไกต่าง ๆ ในตำหนักใต้ดิน หากมิได้แขนขาดหรือเสียอวัยวะใดไป ก็จะเสียชีวิตคนที่โชคดีกลับไปถึงที่จุดเริ่มต้นต่างบอกกันว่า เจ้าสำนักคนก่อนเป็นพวกวิปริต และนี่คือตำหนักใต้ดินที่ยากที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ไม่มีทางที่จะหาทางออกจากตำหนักใต้ดินได้ตำหนักใต้ดินแห่งนี้สมกับที่มีชื่อเสียงว่าเป็นตำหนักใต้ดินแห่งความตายอย่างแท้จริงแม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าสำนักคนก่อนและยอดฝีมือเหล่านี้จะลงนามข้อตกลงเรื่องความเป็นความตายกันแล้ว แต่จำนวนคนที่ตายก็มากมายจนทำให้ราษฎรโกรธแค้นบรรดาญาติของผู้ตายต่างก็วิตกกังวลกันขึ้นมา จึงขอให้หลงอี้สั่งให้เจ้าสำนักคนก่อนทำลายตำหนักใต้ดินที่สังหารผู้คนมากมายแห่งนี้ไป มิฉะนั้นพวกเขาก็จะจุดไฟเผาทำลายภูเขาอนันต์ทั้งลูกสำหรับตำหนักใต้ดินที่รวบรวมทั้งชีวิตและเลือดเนื้อของตนแห่งนี้ เจ้าสำนักคนก่อนจะทำลายลงได้อย่างไร?แต่ในท้ายที่สุดเขาก็สู้แรงกดดันจากทุกคนมิได้ และภายใต้การไกล่เกลี่ยของหลงอี้ ทั้งสองฝ่ายจึงต่างก็ถอยห่างกันคนละหนึ่งก้าวเจ้าสำนักคนก่อนปิดตายทางเข้าสู่ตำหนักใต้ดินไว้ และนำเงินรางวัลยี่สิบล้านแบ่งให้กับญาติของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บที่