กระทั่งห้องทรงพระอักษรเหลืออยู่เพียงหลี่ว์เซียงกับท่านอ๋องเฉิง เซียวหลินเทียนจึงเรียก “อาอวี๋ ออกมาเถิด!”หลิงอวี๋จึงเดินออกมา หลี่ว์เซียงกับท่านอ๋องเฉิงเห็นนางก็มิได้มีท่าทีตกใจใด ๆเซียวหลินเทียนเชื่อใจหลิงอวี๋เช่นนี้ ถึงกับมอบอำนาจในการดูแลบ้านเมืองเป็นการชั่วคราวให้นาง การจะให้นางฟังอยู่ในห้องทรงพระอักษรก็เป็นเรื่องปกติล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ท่านอ๋องเฉิงกับหลี่ว์เซียงมีอะไรในใจก็พูดออกไปตามตรง“ฝ่าบาท ครานี้ท่านจะนำทัพด้วยพระองค์เอง เตรียมจะพารองแม่ทัพคนใดไปพ่ะย่ะค่ะ?”ท่านอ๋องเฉิงเอ่ยถามอย่างกังวลเซียวหลินเทียนนำทัพด้วยตนเองมิใช่เรื่องเล็ก เบื้องหน้าต้องเผชิญกับการจับจ้องของเว่ยเหนือกับฉีตะวันออก เบื้องหลังก็ยังต้องกังวลว่าคนของตนจะทำเรื่องอะไรอีกความเป็นความตายของเซียวหลินเทียนก็สำคัญมาก จักรพรรดิของแคว้นมิว่าจะตายที่สนามรบ หรือว่าตายเพราะถูกคนลอบวางแผนร้าย ก็จะทำให้ฉินตะวันตกพังทลายได้ทั้งนั้น“หลี่ว์จงเจ๋อ ลั่วฮั่น จี้จื่อ จอหงวนเฉินซินและทั่นฮวาโจวฮ่าวขุนนางฝ่ายบู๊คนใหม่!”เซียวหลินเทียนอยากใช้คนใหม่เพราะพวกเขายังมิถูกผู้ใดดึงตัวไป ตนมอบหมายให้พวกเขาทำหน้าที่สำคั
“รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย ขอเพียงเรามีศัตรูร่วมกันและสามัคคีกันให้แคว้นผ่านความยากลำบากไปได้ การจะฟื้นฟูแผ่นดินของเราย่อมมีความหวัง!”เซียวหลินเทียนตะโกนออกไปอย่างกระตือรือร้น “ครานี้ตัวข้าจะนำทัพด้วยตัวข้าเอง เอาหัวของข้าเป็นประกันต่อชีวิตของเหล่าทหารของข้า หากมิสามารถตีพ่ายพวกศัตรูได้ ข้าจะมิกลับเมืองหลวง!”“ในภายภาคหน้า ตัวข้าจะนำพาให้พวกเจ้าได้พัฒนาเศรษฐกิจ สร้างยุครุ่งเรืองที่แคว้นมั่งคั่งและราษฎรเข้มแข็ง...”“ต้นไม้ต้นเดียวยากที่จะเป็นป่า ธนูสิบดอกยากที่จะหัก แต่เมื่อทุกคนช่วยกันเติมเชื้อเพลิงไฟก็จะลุกโชน...”“ตอนนี้พวกเจ้าบอกข้ามาว่า ครอบครัวฉินตะวันตกสามารถร่วมแรงร่วมใจกันได้หรือไม่?”ราษฎรและบัณฑิตที่ยังคงอยู่ในเมืองหลวงได้ยินคำพูดปลุกใจของเซียวหลินเทียนต่างก็ตื่นตัวด้วยความกระตือรือร้นเมื่อก่อนเมื่อเจอสงคราม ราชสำนักไม่มีทางมาอธิบายกับราษฎรแต่จักรพรรดิเซิ่งอู่มิเพียงแต่ออกจากวังมาอธิบายด้วยตนเอง แต่ยังรีบไปที่แนวหน้าเพื่อนำทัพด้วยตนเองทันทีด้วย มีจักรพรรดิเช่นนี้ช่างเป็นความโชคดีของพวกเขาจริง ๆ!“ได้!”มิรู้ว่าใครเป็นผู้นำตะโกนคนแรก แล้วราษฎรเหล่านั้นก็ตะโกนตาม ๆ
การกระทำของเซียวหลินเทียนค่อนข้างจะดูโง่เขลา แต่กลับซื่อตรงจนทำให้หลิงอวี๋รู้สึกอบอุ่นจักรพรรดิที่น่าเกรงขามในตำหนักกระดิ่งทอง กลับมาทำท่าทางน่ารักเช่นนี้เพื่อปลอบตน แล้วนางจะพูดอะไรได้อีก!เซียวหลินเทียนทำท่าทีเช่นนี้ก็เพื่อลดความกังวลของนาง นางจึงทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น!“เซียวหลินเทียน!”หลิงอวี๋คว้าชายเสื้อของเขาเอาไว้แล้วช้อนตามองเขา จากนั้นก็เอ่ยอย่างตั้งใจ “รับปากหม่อมฉันว่าจะต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าไปเสี่ยงง่าย ๆ!”“มิเพียงแต่ราษฎรที่ต้องการท่าน หม่อมฉันกับเยวี่ยเยวี่ยเองก็ต้องการท่านเช่นกัน!”เมื่อชาติก่อนหลิงอวี๋มิได้แต่งงาน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีประสบการณ์ในการส่งสามีของตนไปออกรบด้านหน้ามีหมาป่าด้านหลังก็มีเสือ นางรู้ว่าเซียวหลินเทียนไปครั้งนี้จะมีอันตรายมาก แล้วจะวางใจได้อย่างไร!“อาอวี๋ วางใจเถิด ข้าจะต้องดูแลตัวข้าเองให้ดีเพื่อพวกเจ้า!”เซียวหลินเทียนโอบหลิงอวี๋ไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าของเขาก็เทินไปที่บนไหล่ของนางเมื่อก่อนเมื่อไปออกรบ ไม่มีคนที่ใกล้ชิดส่งตนไป และไม่มีผู้ใดห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขาจากใจจริงตอนนี้ เขามีภรรยาและลูกชาย พวกเขาคือความห่วงใย
“ปู๊น… ปู๊น...”เสียงแตรออกเดินทางของกองทัพใหญ่ดังขึ้น เหล่าแม่ทัพของแต่ละกองทัพที่รวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสวังหลวงก็พากองทัพของตนออกเดินทางเซียวหลินเทียนนำทัพอยู่ด้านหน้า เขาสวมสุดเกราะสีดำเงางาม ตรงบ่ามีหัวมังกรสีเงินอยู่สองหัว ดูมีอำนาจน่าเกรงขามมากเขาขี่ม้ากีบขาวที่ชนะมาจากองค์ชายคังนำอยู่หน้ากองทัพท่าทียิ่งใหญ่น่าเกรงขามนั้นทำให้ราษฎรที่มาส่งอยู่ตลอดข้างทางเห็นแล้วรู้สึกตื่นตัว“ขอให้องค์จักรพรรดิจงสำเร็จลุล่วง ได้ชัยชนะตั้งแต่เริ่มและนำชัยชนะกลับมา...”มิรู้ว่าใครเป็นผู้นำตะโกนในหมู่ฝูงชน จากนั้นราษฎรเหล่านั้นก็พากันตะโกนโหวกเหวกกันขึ้นมา“ขอให้องค์จักรพรรดิก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้...”“ขอองค์จักรพรรดิทรงดูแลพระวรกายให้ดี พวกเราจะรอพระองค์เสด็จกลับมา...”“องค์จักรพรรดิสู้ ๆ ฉินตะวันตกสู้ ๆ!”เสียงคำอวยพรวุ่นวายเหล่านั้นมิได้เป็นระเบียบใด ๆ แต่เซียวหลินเทียนกับทหารเหล่านั้นล้วนได้ยินเสียงในใจของพวกเขา สิ่งนี้ล้วนเป็นคำอวยพรที่ตั้งตารอให้พวกเขาชนะ!“องค์จักรพรรดิสู้ ๆ… ฉินตะวันตกสู้ ๆ!”คำอวยพรสุดท้ายเหล่านี้รวมกันเป็นประโยคเหล่านี้ที่ติดตามพวกเ
ฮูหยินเผยที่ตามเข้ามาได้ยินคำพูดของเผยอวี้ก็หน้ามืด โกรธจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปหลิงหว่านมีอะไรดีนัก คู่ควรกับการที่ลูกชายของตนต้องทำเพื่อนางถึงขั้นนี้เชียวหรือ!ฮูหยินผู้เฒ่าเผยเองก็ตกใจเช่นกันเผยอวี้เป็นคนที่มีอนาคตไกลที่สุดในบรรดาลูกหลานของตระกูล พวกเขาฝากความหวังแห่งเกียรติยศตระกูลไว้ที่เผยอวี้การบีบให้เผยอวี้ออกบวชเป็นเรื่องที่ไม่มีใครในพวกเขาอยากจะเห็นแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเผยกับใต้เท้าเผยล้วนรู้จักเผยอวี้ดี เขามิใช่คนที่พูดอะไรออกมาลอย ๆหากบีบบังคับเขาจริง ๆ เขาจะต้องออกบวชเป็นแน่!หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเผยหารือกับใต้เท้าเผย ก็ตัดสินใจว่า ในยามนี้จะมิพูดเรื่องแต่งงานกับเผยอวี้ และให้ปล่อยผ่านไปก่อน!เมื่อผ่านไปสักปีครึ่ง เผยอวี้อาจจะรู้ว่าหลิงหว่านมิดีแล้วเปลี่ยนใจก็ได้หลังจากนั้นเผยอวี้ก็ไปหาหลิงหว่านที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วน แต่ก็ถูกท่านอดีตเสนาบดีปฏิเสธมิให้เข้าโดยอ้างว่าหลิงหว่านไปจัดการเรื่องให้นางซุนที่บ้านเกิดตลอดเรื่องที่นางซุนแกล้งตายนั้นนอกจากท่านอดีตเสนาบดี หลิงเสียงกัง หลิงอวี๋และพวกเซียวหลินเทียนมิกี่คนที่รู้ คนอื่น ๆ ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีกเผยอวี้เองก็เชื่อว่าเ
หลิงหว่านพูดจบก็เปลี่ยนเรื่องแล้วเอ่ยเสียงเรียบ“กู่อี๋เหนียง ฝากท่านดูแลจวนนี้ด้วย ข้าจะเก็บข้าวของไปที่อยู่ที่ไร่นา...”“ข้าจะบอกท่านว่าข้ามีวัวนมอยู่ห้าตัวแล้ว รอให้วัวนมสามารถรีดนมได้ตามปกติก่อนแล้วข้าจะให้คนส่งนมวัวมาให้ท่านดื่ม!”ครานี้หลิงหว่านตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพัฒนาธุรกิจของตน แล้วก็ได้รับการสนับสนุนจากหลิงเสียงกังด้วย ดังนั้นนางจึงเอากำไรของโรงงานเวชสำอางไปเพาะเลี้ยงวัวนมนางจะเป็นผู้นำในการส่งเสริมแผนการเลี้ยงวัวนมให้กับหลิงอวี๋หลิงหว่านพูดถึงวัวของตนแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นและร่าเริงขึ้นมากู่ซุ่ยได้ยินดังนั้นก็วางใจอยู่เงียบ ๆดูท่าทาง คุณหนูใหญ่จะเดินออกจากเงามืดของการถอนหมั้นแล้วจริง ๆ หากฮองเฮารู้ว่านางดีขึ้นแล้วจะต้องดีใจอย่างแน่นอน......เมื่อเซียวหลินเทียนไป หลิงอวี๋ก็ทำงานทันทีนางต้องเร่งให้กรมกลาโหมกับกรมพระคลังเตรียมจัดหาเสบียง ทั้งยังต้องจัดหาที่อยู่ให้บัณฑิตที่สอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันตฤดูที่เซียวหลินเทียนยังมิทันได้หาตำแหน่งให้ครบด้วยทางด้านการจัดหาเสบียงมีหลี่ว์เซียงกับฉินซานจับตาดูด้วยตนเองอยู่ หลิงอวี๋จึงสบายไปได้มากแต่การรับตำแหน่งของขุนนางที่สอ
ก่อนการฝึกอบรมสิบนาที หลิงอวี๋ก็พาพวกนางรับใช้มานางมิได้สวมชุดทางการของฮองเฮา ใส่เพียงเสื้อแขนเล็กคอกลมสีม่วงเข้มที่ดูเรียบง่ายเท่านั้น ทรงผมก็แค่มวยผมแบบเรียบง่ายในความสดใสของนางนั้นมีกลิ่นอายแห่งความสูงส่งแผ่ออกมาด้วยนางเดินตรงไปที่แท่นบรรยายแล้วมองลงไป ขุนนางใหม่กว่าเก้าสิบห้าส่วนรวมกันอยู่ที่นี่แล้ว มีที่นั่งว่างเพียงมิกี่ที่เท่านั้นส่วนทางด้านขุนนางเก่ามีที่ว่างอยู่มากหลิงอวี๋ให้ขุนนางเก่ามาเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ แต่กับขุนนางใหม่ต้องการให้เข้าร่วมแบบครบถ้วนเมื่อเห็นที่ว่างหลายที่ หลิงอวี๋ก็ยิ้มเย็นชาแม้ว่าบัณฑิตเหล่านี้จะนับว่าเป็นศิษย์ของจักรพรรดิ แต่ก็มิใช่ทุกคนที่ภักดีต่อเซียวหลินเทียนมิเข้าร่วมการฝึกอบรมก็ช่าง แต่ก่อนหน้านี้ตนได้ระบุไว้แล้วว่าทุกคนต้องมา พวกเขาก็ยังกล้าที่จะมิมา นี่มิใช่การดูถูกตนและอยากจะทดสอบความสามารถของตนหรือ?“รองเจ้ากรมหวง ขุนนางหลายคนที่มิมานี้คนของเจ้าได้แจ้งแล้วใช่หรือไม่?”หลิงอวี๋ซักถามรองเจ้ากรมหวงจากกรมพระคลังที่รับผิดชอบการจัดฝึกอบรมในครั้งนี้รองเจ้ากรมหวงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนก็คิดว่า หลังจากจับตัว
“ให้เกียรติอาจารย์และเคารพหลักการ ครั้นพวกเจ้าได้เริ่มเล่าเรียนเมื่อตอนสามขวบ บิดามารดาและอาจารย์ของพวกเจ้าเคยสอนหลักการนี้ ข้ายืนอยู่ในห้องเรียนนี้ก็คืออาจารย์ของพวกเจ้า!”“ยังมิต้องพูดถึงว่าข้ามีความสามารถที่จะสอนอะไรพวกเจ้าหรือไม่ แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็ควรรู้มารยาทในการเคารพอาจารย์ใช่หรือไม่?”การตั้งคำถามของหลิงอวี๋ทำให้ขุนนางบางส่วนก้มหน้าลงอย่างอับอายและบางคนก็มิเห็นด้วย จอหงวนสือเฉินทนมิไหวบ่นพึมพำออกมา “นั่นมิใช่เพราะท่านจัดการมิเป็นธรรมจึงทำให้ทุกคนโกรธหรือ!”หลิงอวี๋มีความสามารถในการได้ยินเหนือผู้อื่นจึงได้ยินคำพูดของสือเฉินทันที นางจึงเอ่ยด้วยเสียงดัง “สือเฉินลุกขึ้น แล้วพูดคำที่เจ้าพูดออกมาเมื่อครู่อีกครั้งดัง ๆ ให้ทุกคนฟังเสีย!”สือเฉินเองก็เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน จึงยืนขึ้นแล้วพูดซ้ำด้วยเสียงอันดังโดยมิกลัวใด ๆหลิงอวี๋มิได้โมโห นางชื่นชมคนที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้นางพยักหน้า “นั่งลง!”“พวกเจ้าทั้งหลาย ในเมื่อพวกเจ้าล้วนรู้สึกว่า การจัดการของข้ามิยุติธรรม เช่นนั้นจะถามคำถามพวกเจ้าสักสองสามข้อ ขอเพียงคำตอบของพวกเจ้าได้รับการยอมรับจากทุกคน ข้าจะถอนการลงโทษพวกเขา!”“การ
กระทั่งมาถึงที่เมือง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็หาโรงเตี๊ยมและเปิดห้องพักหนึ่งห้องส่วนป้าวซวนก็ช่วยประคองหลิงอวี๋เข้าไปในห้องนั้นภายในห้องมีเตียงเพียงเตียงเดียว ดังนั้นจึงมิสามารถนอนสองคนได้แน่ป้าวซวนจนใจ จึงขอผ้านวมเก่าที่ปูเตียงมาจากเสี่ยวเอ้อร์แล้วนำมาปูไว้ที่มุมห้องให้หลิงอวี๋นอนจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออกไปถามข้อมูลจากเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วให้ป้าวซวนเฝ้าหลิงอวี๋เอาไว้ และเพื่อให้ป้าวซวนเชื่อฟังมิหนีไปไหน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงหยิบเม็ดยาพิษออกมา จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปากของป้าวซวน“ยาแก้พิษนี้จะต้องกินทุก ๆ สิบวัน หากเจ้ากล้าหนีไป เจ้าก็รอพิษกำเริบจนตายไปได้เลย!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยขู่ป้าวซวน ก่อนจะเดินออกไปอารมณ์ของป้าวซวนตกต่ำลงไปทันที เดิมทีนางคิดว่าจะโน้มน้าวหลิงอวี๋ให้หนีไปกับตน แต่ตอนนี้ตนถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยวางยาพิษเสียแล้ว หากนางหนีไป นางก็จะต้องตาย“ป้าวซวน เจ้าอยากหนีหรือไม่?”หลิงอวี๋ถือโอกาสที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิอยู่ แล้วรีบพูดคุยกับป้าวซวนอย่างรวดเร็ว“ข้าอยาก แต่เจ้ามิเห็นหรือเมื่อครู่? นางป้อนยาพิษให้ข้าไปแล้ว!”ป้าวซวนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง “สตรีผู้นั้นโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทั้งยังวางแผน
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเกลียดหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน หากมิใช่เพราะสองสามีภรรยานี้ข่มตน พลังของนางจะสูญหายไปได้อย่างไร และจะต้องตกต่ำถึงขั้นต้องสังหารเฉียวเค่อได้อย่างไร!ในเวลานี้หลิงอวี๋สูญเสียความทรงจำไปแล้ว หากนางมิใช้โอกาสนี้สร้างความขัดแย้งระหว่างพวกเขา และทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไป ความทุกข์ทรมานของนางจะมิเสียเปล่าหรือ?“อวี้หนู หากในภายภาคหน้าเจ้ามีโอกาสได้พบกับเซียวหลินเทียน เจ้าต้องระวังตัวไว้!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพยายามใส่ร้ายเซียวหลินเทียนอย่างเต็มที่ “เจ้าสังหารสตรีที่เขารักที่สุดไป เขาเคยสาบานเอาไว้ว่า หากจับตัวเจ้าได้ เขาจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”“จริงสิ เขายังเคยเฆี่ยนตีเจ้า และปล่อยให้คนรับใช้ของเขาเหยียดหยามเจ้าอีกด้วย! หากเจ้าจำอดีตได้ ก็น่าจะรู้ว่าเจ้ายังมีลูกชายอีกหนึ่งคน ซึ่งก็ถูกเขาสังหารไปแล้วเช่นกัน!”ถึงอย่างไรหลิงอวี๋ก็ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงนำเรื่องราวของหลิงอวี๋ที่ตนเคยสืบมาหลอกลวงหลิงอวี๋เสียในขณะที่นางกำลังสาธยายอยู่นั้น ในหัวของหลิงอวี๋ก็มีภาพบางส่วนปรากฏขึ้นมาจริง ๆนางถูกคนรับใช้หลายคนลากตัวออกไป และบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้หลิงอวี๋พักผ่อนเพียงคืนเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นนางก็อ้างว่าจะไปตามหาคนในครอบครัว แล้วจ่ายเงินสิบตำลึงให้ลูกชายของป้าซุนไปส่งพวกนางที่ตัวเมือง หลังจากป้าซุนได้รับเงินมาแล้ว ก็มอบอาภรณ์เก่าของลูกสะใภ้ตนให้กับหลิงอวี๋อย่างใจดีหลิงอวี๋ประคองร่างกายที่เพิ่งแท้งแล้วไปเปลี่ยนกระโปรงที่เปื้อนเลือดของตน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าหลิงอวี๋รู้สึกอ่อนเพลีย จึงนอนบนรถม้าและผล็อยหลับไปส่วนป้าวซวนหวาดกลัวจ้าวหรุ่ยหรุ่ย จึงมิกล้าพูดอะไรเช่นกันภายในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบการเดินทางสามสิบลี้บนรถม้าที่โยกไปมานั้นช่างยาวนาน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้ง่วงนอน จึงมองหลิงอวี๋ที่นอนหลับอยู่บนแผ่นไม้ของรถม้า นางผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ทั้งยังสวมชุดผ้าหยาบที่เต็มไปด้วยรอยปะทั้งตัวอีกฮองเฮาผู้สูงส่งในอดีต ตอนนี้ต่างอะไรกับสตรีชนบทกันเล่า?ความรู้สึกภาคภูมิใจพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยทันที นางเหยียบไปบนหน้าอกของหลิงอวี๋ ทั้งยังบดขยี้ลงไปอย่างร้ายกาจ พลางเอ่ยออกไปอย่างเยาะเย้ย“อวี้หนู เจ้าดูเถิดว่าข้าดีกับเจ้าแค่ไหน เจ้าตั้งครรภ์ลูกนอกสมรสข้าก็มิรังเกียจเจ้า ทั้งยังพาเจ้า
กระทั่งหลิงอวี๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าที่ท้องน้อยของตนยังปวดอยู่เล็กน้อยคราวนี้นางมิเห็นดวงอาทิตย์แล้ว เหนือหัวของนางเป็นหลังคาสีเทา ๆ และมีเนื้อแห้งห้อยอยู่บนคานนี่คือที่ใดกัน?ลูกของนางยังอยู่หรือไม่?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะยื่นมือออกไปแตะที่ท้องน้อยของตน นางก็ได้ยินเสียงพูดคุยมาแว่ว ๆ“ท่านป้า พวกเรานายบ่าวถูกคนเลวทำร้ายมาจึงมาลำบากอยู่ที่นี่ ขอบคุณท่านป้ามาก ๆ ที่รับพวกเรา! เมื่อพวกเราตามหาครอบครัวเจอแล้ว เราจะตอบแทนท่านอย่างดีแน่นอน!”เสียงของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยตามมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างมีอายุเอ่ยขึ้นมา “คุณหนูจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด หากต้องการสิ่งใดก็บอกมา ข้าจะให้ลูกชายข้าไปซื้อมาให้พวกเจ้าเอง!”“ท่านป้า ท่านเตรียมอาหารให้พวกเราก็พอแล้ว! จริงสิ ท่านป้า ข้าขอถามท่านสักหน่อยเถิด ที่นี่คือที่ไหนหรือ? อยู่ห่างจากเมืองหลวงแดนเทพเท่าไร?”หลิงอวี๋รีบเงี่ยหูฟังทันที นางจะต้องหนีไปจากเงื้อมมือของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้จงได้ หากรู้ทิศทางแล้วก็จะหลบหนีได้ง่าย“หมู่บ้านของเราชื่อหมู่บ้านหนิงหย่วน อยู่ห่างจากตัวเมืองสามสิบกว่าลี้ ที่เจ้าถามว่าอยู่ห่
“หรุ่ยหรุ่ย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”ป้าวซวนตั้งสติได้ก็พุ่งเข้าไป คิดว่าจะดึงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยไว้แต่คาดมิถึงว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะใช้หลังมือตบป้าวซวนอย่างแรงจนทำให้ป้าวซวนล้มลงไป“ป้าวซวน เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูสามของตระกูลป้าวอยู่รึ?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยปล่อยหลิงอวี๋ที่กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวดไว้ชั่วคราว แล้วพุ่งเข้าไปเหยียบที่ข้อมือของป้าวซวน จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปมองนางพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? ที่นี่แดนเทพ!”“ที่นี่อยู่ห่างจากตระกูลป้าวของเจ้ามิรู้กี่พันลี้! ข้าจะบอกเจ้าให้ นับแต่นี้ไป เจ้ามิใช่คุณหนูตระกูลป้าวอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือนางรับใช้ของข้า จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!”“ข้าบอกให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ มิเช่นนั้นข้าจะเฉือนหน้าเจ้าเช่นเดียวกับที่ข้าทำกับนาง!”หลิงอวี๋เจ็บปวดจนแทบจะสลบแล้ว และเลือดของนางก็เปื้อนอยู่เต็มกระโปรงไปหมดเมื่อนางได้ยินคำพูดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยในขณะที่นางกำลังอยู่ในอาการมึนงงนั้น นางจึงได้รู้ว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นคนที่กรีดหน้าตน มิใช่พวกค้ามนุษย์ที่ทำจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหลอกตนมาตลอด!“เจ้าพูดเรื่องเพ้อฝันอยู่รึ? ข้ามิใช่นางรับใช้ของเจ้านะ!”ป้
ตอนที่หลิงอวี๋ตื่นขึ้นมา ตรงหน้านางก็ยังเป็นแสงหลากสีนั้นอยู่ กระทั่งแสงจางลง นางจึงได้เห็นดวงอาทิตย์สีทองห้อยอยู่เหนือหัวของนางช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่นางอยู่คฤหาสน์ตระกูลป้าวเป็นเวลากลางคืน แล้วเหตุใดเพียงชั่วพริบตาจึงมีดวงอาทิตย์ขึ้นมาได้เล่า?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังรู้สึกสับสน นางก็รู้สึกเจ็บปวดตรงบริเวณท้องน้อยขึ้นมา ตามมาด้วยความร้อนที่ไหลออกมาจากระหว่างขาของนางหลิงอวี๋ลูบตรงท้องน้อยโดยมิรู้ตัว แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมากลูกของนาง?ความร้อนนี้ต้องเป็นเลือดแน่ ๆ!เด็กอาจจะมิอยู่แล้ว!หลิงอวี๋หันไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วนางก็เห็นว่าตนอยู่ในทุ่งนา และห่างออกไปมิไกลก็มีเด็กสาวคนหนึ่งนอนอยู่ด้วย“ฮ่า ๆ ข้ากลับมาที่แดนเทพแล้ว! ครั้งนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยลุกขึ้นมาเห็นดวงอาทิตย์ จากนั้นก็เห็นทุ่งนาที่อยู่ข้าง ๆ นางจึงลุกขึ้นมาและตะโกนด้วยความตื่นเต้นหลิงอวี๋หันไปมองแล้วก็เห็นว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่อีกด้านหนึ่งของตนเมื่อหลิงอวี๋เห็นจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ความโกรธก็พลุ่งพล่านออกมาจากดวงตาในทันที ตอนนี้นางมิเชื่อแล้วว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคือคุณหนูของตนผนึกที่อยู่บนร่างกายจ
กระทั่งเถาจื่อและหานอวี้ช่วยประคองเก๋อเฟิ่งฉิงออกไปแล้ว เซียวหลินเทียนจึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้ม “เผยอวี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“ฮองเฮามิได้อยู่ที่ภูเขาหิมะแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระนางอยู่ในเมืองเล็ก แต่ว่า ตอนนี้พระนางถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพาตัวไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เผยอวี้รีบเล่าให้ฟังว่าตนพบหลิงอวี๋ได้อย่างไร และเรื่องที่หลิงอวี๋หายตัวไปอีกครั้งได้อย่างไร“แม่นมอูเล่า เหตุใดนางจึงมิได้อยู่กับพวกเจ้า?”เผยอวี้ยังคงหวังว่าแม่นมอูจะช่วยพวกเขาตามหาหลิงอวี๋ให้เจอ แต่ผลก็คือมิพบแม่นมอู“แม่นมอูขาดการติดต่อกับเราไปแล้ว!”ผู้ที่ตอบคือขันทีโม่นับตั้งแต่ที่ขันทีโม่รู้ว่า คนของตระกูลจงเจิ้งก็อยู่บนภูเขาหิมะเช่นกัน เขาก็สงสัยว่าคนที่ลบรหัสลับที่แม่นมอูทิ้งไว้ให้ตนจะมิใช่คนจากวังเทพ และมิใช่คนจากตระกูลเฉียว หรือตระกูลเก๋อ แต่เป็นคนจากตระกูลจงเจิ้งต่างหากเขาสงสัยกระทั่งว่า แม่นมอูตกไปอยู่ในมือของคนตระกูลจงเจิ้งแล้วเซียวหลินเทียนมองไปทางภูเขาหิมะที่อยู่ไกล ๆ แล้วรู้สึกเศร้าและสับสนก่อนหน้านี้ยังคิดว่าหลิงอวี๋อยู่ที่วังเทพ ขอเพียงตนสามารถไปถึงวังเทพได้ ก็จะได้พบกับหลิงอวี๋แต่บัดนี้ เผยอวี้กลับบอก
“พี่สี่ เมื่ออยู่ที่ภูเขาหิมะแห่งนี้ ตระกูลจงเจิ้งเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่าตระกูลเก๋อและตระกูลเฉียวเสียอีก!”เก๋อเฟิ่งฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของพวกเขามีความทะเยอทะยานยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่า พวกเขาคิดจะช่วยฝูไห่ออกมาแล้วให้มาต่อสู้กับตระกูลหลง!”“เพียงแต่ตระกูลหวงฝู่นั้นแข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาส! แต่ตอนนี้พวกเขามาปรากฏตัวที่วังเทพอีกครั้งแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็น่าจะมีการเตรียมพร้อมมา เราจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขามิได้เด็ดขาด!”มิต้องให้เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือน เซียวหลินเทียนก็รู้ว่าตระกูลจงเจิ้งมีเจตนาร้ายต่อหลิงอวี๋อย่างเต็มเปี่ยมเขาอุ้มจิ่วเทียนขึ้นมาแล้วเอ่ยออกไป “ในเมื่อพวกเขามาแล้ว พวกเราก็ต้องรีบหาทางออก และออกไปโดยเร็วที่สุด!”สิ่งที่โชคดีก็คือ คราวนี้พวกเขาเพิ่งจะเดินมาเพียงครึ่งวัน และในตอนใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไกล ๆ “เดินเร็ว ๆ เข้า ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นช่องว่างแล้ว เราน่าจะถึงก้นหุบเขากันแล้ว!”ฉินซานนี่!เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะนั่นหมายความว่าพวกนั้นลงมาจากด้านบน และก็จะสามารถพาพวกเขาออกไ
เนื่องจากความรู้สึกขอบคุณนี้ เซียวหลินเทียนจึงตัดสินใจที่จะละทิ้งอคติที่มีต่อเก๋อเฟิ่งฉิงไป และอยู่ร่วมกับเก๋อเฟิ่งฉิงอย่างเป็นมิตรในที่สุดวันนี้พวกเขาทั้งสามก็ออกมาได้แล้ว มองเห็นดวงอาทิตย์แล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่า อีกมินานพวกเขาก็จะสามารถออกไปจากหุบเขานี้ได้เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ผิวปาก หากว่าเหยี่ยวดำจิ่วเทียนอยู่แถวนี้ มันจะต้องรีบมาหาตนอย่างแน่นอนแต่หลังจากที่ผิวปากอยู่นาน ก็ยังมิเห็นจิ่วเทียนบินมาเสียที“บางทีจิ่วเทียนอาจจะมิได้อยู่แถวนี้ก็ได้!”ขันทีโม่เอ่ยปลอบใจเขา “เราสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ เราก็สามารถหาทางออกไปได้ มิต้องร้อนใจไปหรอก!”ครั้งนี้เซียวหลินเทียนได้รับกระบี่คุนอู๋มาอย่างมิคาดฝัน เขาจึงรู้สึกพอใจมากและมิได้รู้สึกท้อแท้อะไรเขากับขันทีโม่ผลัดกันประคองเก๋อเฟิ่งฉิงเดินหน้าต่อไปหลังจากเดินไปได้สักพัก จู่ ๆ เซียวหลินเทียนก็ได้ยินเสียงร้องของนกเหยี่ยว เขาดีใจขึ้นมาทันที หรือว่าจิ่วเทียนจะมาหาแล้วเขาจึงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แต่กลับมิเห็นร่างของจิ่วเทียน“ท่านพี่สี่ เสียงนั้นดังมาจากด้านหน้านี่!”เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือนเซียวหลิ