“ให้เกียรติอาจารย์และเคารพหลักการ ครั้นพวกเจ้าได้เริ่มเล่าเรียนเมื่อตอนสามขวบ บิดามารดาและอาจารย์ของพวกเจ้าเคยสอนหลักการนี้ ข้ายืนอยู่ในห้องเรียนนี้ก็คืออาจารย์ของพวกเจ้า!”“ยังมิต้องพูดถึงว่าข้ามีความสามารถที่จะสอนอะไรพวกเจ้าหรือไม่ แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็ควรรู้มารยาทในการเคารพอาจารย์ใช่หรือไม่?”การตั้งคำถามของหลิงอวี๋ทำให้ขุนนางบางส่วนก้มหน้าลงอย่างอับอายและบางคนก็มิเห็นด้วย จอหงวนสือเฉินทนมิไหวบ่นพึมพำออกมา “นั่นมิใช่เพราะท่านจัดการมิเป็นธรรมจึงทำให้ทุกคนโกรธหรือ!”หลิงอวี๋มีความสามารถในการได้ยินเหนือผู้อื่นจึงได้ยินคำพูดของสือเฉินทันที นางจึงเอ่ยด้วยเสียงดัง “สือเฉินลุกขึ้น แล้วพูดคำที่เจ้าพูดออกมาเมื่อครู่อีกครั้งดัง ๆ ให้ทุกคนฟังเสีย!”สือเฉินเองก็เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน จึงยืนขึ้นแล้วพูดซ้ำด้วยเสียงอันดังโดยมิกลัวใด ๆหลิงอวี๋มิได้โมโห นางชื่นชมคนที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้นางพยักหน้า “นั่งลง!”“พวกเจ้าทั้งหลาย ในเมื่อพวกเจ้าล้วนรู้สึกว่า การจัดการของข้ามิยุติธรรม เช่นนั้นจะถามคำถามพวกเจ้าสักสองสามข้อ ขอเพียงคำตอบของพวกเจ้าได้รับการยอมรับจากทุกคน ข้าจะถอนการลงโทษพวกเขา!”“การ
คำพูดของหลิงอวี๋ทำให้ขุนนางใหม่ทั้งหมดเงียบลง แม้แต่พวกสือเฉินก็มิสามารถตอบโต้ได้คนที่ขาดหายไปเหล่านี้อยากจะทดสอบความสามารถของหลิงอวี๋ แต่หลิงอวี๋จัดการเรื่องบ้านเมืองแทนเซียวหลินเทียน คำพูดของนางจึงเป็นดั่งพระราชโองการหากหลิงอวี๋ยกการกระทำของพวกที่ขาดไปไว้ในระดับสูง คนที่ขาดไปก็จะกลายเป็นผู้ที่มิปฏิบัติตามพระราชโองการ และสามารถถูกประหารได้!แต่หลิงอวี๋ถอนตำแหน่งของพวกเขาก็เพราะเห็นแก่ที่พวกเขาร่ำเรียนกันมาอย่างยากลำบาก“คำถามข้อสุดท้าย!”หลิงอวี๋ชี้ที่ทั่นฮวาฟางฮ่าว “มิเข้าร่วมการฝึกอบรม เจ้าจะรู้ว่าจะเป็นขุนนางได้อย่างไรหรือไม่?”ฟางฮ่าวลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงดัง “การเป็นขุนนางคือการทำเพื่อแคว้นและราษฎร ทำความคุ้นเคยกับกฎหมาย ตัดสินใจเพื่อราษฎร รักษาความมั่นคง มิรับสินบนและบิดเบือนกฎหมาย มิใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน!”หลิงอวี๋ยิ้มออกมา “คำจำกัดความของขุนนางที่ดีเป็นอย่างที่เจ้าคิดเช่นนี้หรือ?”นางมองไปที่ทุกคน บนใบหน้าของขุนนางจำนวนมากล้วนแสดงท่าทีเห็นด้วยกับคำตอบของฟางฮ่าวหลิงอวี๋มองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ต่าง ๆ เหล่านั้น เจตนาเดิมของนางคือฝึกอบรมเสาหลักชุดแรกของฉินตะวันตก คน
ตอนบ่ายหลิงอวี๋ก็ยังเป็นผู้บรรยายหลักขุนนางพวกของจ้าวฮุยออกไปหลายคน เดิมทีพวกเขาตั้งตารอให้ขุนนางใหม่เหล่านี้ทำให้หลิงอวี๋ลำบาก แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขามิทำอะไร จึงมิเต็มใจที่จะฟังหลิงอวี๋พูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไปสำหรับพวกเขา คำพูดทั้งหมดของหลิงอวี๋ล้วนเป็นคำพูดเลื่อนลอย มิได้มีอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้จริงในตอนบ่ายหลิงอวี๋บรรยายเรื่องเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมวัวนม และปลูกฝังความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจให้กับขุนนางเหล่านี้นางยังมุ่งเน้นไปที่เอกลักษณ์เฉพาะถิ่นจำนวนมากด้วย เอ่ยถึงวิธีการต่าง ๆ ที่เหมาะกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นเมื่อบรรยายช่วงบ่ายเสร็จ ขุนนางเหล่านี้ก็มิกล้าพูดว่าการฝึกอบรมมิจำเป็นอีกแล้วความรู้ที่พวกเขาเรียนในวันนี้ดียิ่งกว่าการร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาเป็นสิบปีอีกความรู้กว้างขวางของหลิงอวี๋ทำให้พวกเขานับถือกระทั่งเลิกเรียน สือเฉินก็เป็นผู้นำวิ่งไปขอโทษหลิงอวี๋อย่างเป็นทางการสำหรับการไร้มารยาทในตอนเช้ามีขุนนางหลายคนฟังเรื่องเศรษฐกิจของหลิงอวี๋ ทั้งยังเชื่อมโยงถึงเมืองที่ตนได้รับมอบหมายก็เข้าใจที่หลิงอวี๋ทำการปรับเปลี่ยนใหม่ว่ามิได้ทำ
วันที่สองของการฝึกอบรม ขุนนางใหม่เหล่านี้เต็มไปด้วยพลัง มาถึงที่ตำหนักเจาฮุยกันแต่เช้าแล้วรอคอยการบรรยายของหลิงอวี๋เพียงแต่วันนี้หลิงอวี๋มิได้บรรยาย แต่เชิญขุนนางจากหกกรมมาบรรยายให้ขุนนางใหม่เหล่านี้แทนขุนนางหกสำนักที่ได้รับเชิญมาเป็นพิเศษเหล่านี้ เมื่อวานล้วนมานั่งฟังการบรรยายของหลิงอวี๋ พวกเขาก็กลับไปทำการปรับเปลี่ยนเนื้อหาการบรรยายของตนด้วยฮองเฮาเป็นคนที่ปฏิบัติเป็นรูปธรรม นางมิอยากฟังเนื้อหาที่ดูดีแต่ไร้ประโยชน์ ขุนนางเหล่านี้บรรยายอย่างสุดความสามารถ วันนี้หลิงอวี๋เองก็มาเข้าร่วมการฝึกอบรมในฐานะบัณฑิตแล้วนั่งฟังอยู่แถวหลังด้วยนางต้องจัดการเรื่องบ้านเมือง จึงต้องชดเชยความรู้ที่ตนขาดไปนางก็ตั้งใจฟังและทำการจดบันทึกเหมือนกับขุนนางเหล่านี้ภาพนี้ทำให้บรรดาขุนนางใหม่เห็นแล้วก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำพูดที่ว่า หากมิตั้งใจเรียนรู้ก็จะถูกทิ้งให้ล้าหลังหลิงอวี๋มีความรู้กว้างขวางกว่าพวกเขาทุกคน แต่กลับมิอวดดี ยังคงพยายามเรียนรู้ในสิ่งที่ตนมิคุ้นเคยพวกฉินซานก็ยิ่งนับถือหลิงอวี๋ โดยเฉพาะฉินซาน เขาเห็นหลิงอวี๋จากสตรีที่ไม่มีความรู้และทุกคนต่างรังเกียจจนมีการเปลี่ยนแปลงไปทีละขั้น
แม้ว่าองค์ชายคังจะถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้วิชาเสน่ห์พิชิตใจ จึงเชื่อฟังคำพูดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยยามนี้น้ำเสียงของเขาก็มิใช่การถามแบบกดดัน แต่ก็ยังทำให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจ้องมองเขาอย่างมิพอใจเหตุใดจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะมิรู้ว่าเซียวหลินเทียนมิอยู่ในเมืองหลวงเป็นโอกาสที่ดีที่จะวางแผนให้องค์ชายคังแต่ในช่วงเวลานี้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังชดเชยข้อบกพร่องในเรื่องการเมืองของตนมิเพียงพอนางรู้ดีว่าตนสามารถสังหารหลิงอวี๋ได้ แต่สนับสนุนองค์ชายคังให้นั่งบนบัลลังก์นั้น ตำแหน่งนี้จะนั่งได้นานแค่ไหนกัน?กองทัพที่เซียวหลินเทียนนำออกไปล้วนเป็นพวกชั้นยอด หากรู้ว่าองค์ชายคังขึ้นครองบัลลังก์แล้วกลับมาจัดการ องค์ชายคังจะต้านทานได้หรือ?จ้าวหรุ่ยหรุ่ยกำลังรอข่าวจากจ้าวฮุย มีเพียงนางยืนยันได้ว่าทางด้านจ้าวฮุยสามารถสังหารเซียวหลินเทียนได้แล้วเท่านั้น นางจึงจะลงมือกับหลิงอวี๋“อย่าได้ใจร้อน ข้ามีแผนของข้า!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “สิ่งที่เจ้าต้องทำในยามนี้คือชักจูงกองทัพที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงมาให้ได้โดยเร็วที่สุด เช่นนี้เมื่อสังหารหลิงอวี๋แล้วเจ้าจึงจะนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นได้!”องค์ชายคังเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “คิดจะชัก
หลิงอวี๋สามารถค้นพบได้ทันท่วงทีเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะเส้นสายของท่านกวนเอ้อร์ก่อนหน้านี้ท่านกวนเอ้อร์ถูกเซียวหลินเทียนเรียกตัวกลับมา และเซียวหลินเทียนก็ได้พูดคุยกับเขาเชิงลึกไปหนึ่งคืนในการพูดคุยครานี้หลิงอวี๋มิได้เข้าร่วม แต่รู้ว่าท่านกวนเอ้อร์ถูกเซียวหลินเทียนเกลี้ยกล่อมท่านกวนเอ้อร์กังวลเกี่ยวกับพวกลูกน้องของเขา และมิเต็มใจที่จะเป็นขุนนางอย่างเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงตกลงที่จะช่วยเซียวหลินเทียนเป็นการส่วนตัวเท่านั้นงานแรกที่เซียวหลินเทียนมอบหมายให้เขาก็คือ ค้นหาที่อยู่ของเบี้ยหวัดทหารนี้ แล้วบีบให้ร้านตั๋วเงินสี่หลายของตระกูลจ้าวต้องปิดตัวลงกระบวนการนี้ให้พยายามลดการสูญเสียของราษฎรให้มากที่สุดเซียวหลินเทียนจึงปลูกฝังแนวคิดเรื่องร้านตั๋วเงินของแคว้นที่หลิงอวี๋บอกให้ท่านกวนเอ้อร์รู้ และรับปากว่า หากมีการจัดตั้งร้านตั๋วเงินของแคว้นขึ้นในภายภาคหน้า ท่านกวนเอ้อร์จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการอาจเป็นเพราะจิตใจที่ทำเพื่อแคว้นและราษฎรของเซียวหลินเทียนสร้างความประทับใจให้ท่านกวนเอ้อร์ท่านกวนเอ้อร์มิต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม กอปรกับหลังจากที่ภรรยาเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าเขาก็อาศ
หลิงอวี๋ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งตอนนั้นนางเคยหารือกับเซียวหลินเทียนในเรื่องนี้แล้ว และก่อนหน้านี้ก็อยากหาโอกาสบังคับให้องค์ชายคังเปิดเผยตนออกมาตอนนี้เมื่อองค์ชายคังส่งตัวเองมาให้ถึงหน้าประตู นางไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะได้แก้ไขข้อกล่าวหาให้หลิงเสียงกังและเรียกร้องความยุติธรรมให้กับทหารหลายพันนายที่เสียชีวิตอย่างมิยุติธรรมระหว่างทางที่ขนส่งเบี้ยหวัดทหารหรอก!ควรจะทำอย่างไรดี?ความคิดของหลิงอวี๋สับสนวุ่นวาย แล้วจู่ ๆ ก็นึกถึงแม่ทัพสือราชองครักษ์กองทัพหลวงตอนนั้นหลิงเสียงกังนำทหารคุ้มกันเบี้ยหวัดทหารไปที่แนวหน้า สือเจี๋ยน้องชายของแม่ทัพสือก็ไปพร้อมกับหลิงเสียงกังในฐานะรองแม่ทัพด้วยหลิงเสียงกังโชคดีรอดมาได้ แต่สือเจี๋ยตายในการสู้รบบิดาของแม่ทัพสือตายไปตั้งแต่เขายังเด็ก เหลืออยู่เพียงแม่และน้องชายเท่านั้นแม่ทัพสืออายุมากกว่าสือเจี๋ยห้าปี น้องชายผู้นี้จึงนับว่าแม่ทัพสือเลี้ยงดูมา สำหรับแม่ทัพสือแล้ว สือเจี๋ยมิได้เป็นเพียงน้องชายของเขา แต่เหมือนกับเป็นลูกชายของเขาด้วย“เรียกแม่ทัพสือมา!”หลิงอวี๋มีความคิดอยู่แล้ว อ้างว่าต้องเตรียมการป้องกันในวัง แล้วเรียกแม่ทัพสือไปที่ท้องพระโรง
ฮูหยินสือตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นางรีบเปลี่ยนอาภรณ์แล้วใช้ทางลัดชิงไปให้ถึงวังก่อนแม่ทัพสือนางยื่นป้ายให้และรออยู่ข้างนอกด้วยใจที่กังวลป้ายนั้นถูกส่งไปที่วังหลังอย่างรวดเร็ว หลิงอวี๋ได้ยินว่าภรรยาของแม่ทัพสือขอเข้าเฝ้าก็สับสนเล็กน้อย ตนเรียกแม่ทัพสือ แล้วฮูหยินสือมาเพราะเหตุใด?นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินสือขอเข้าเฝ้าตน หลิงอวี๋จึงให้คนไปพาฮูหยินสือเข้ามาอย่างให้เกียรติตอนที่ฮูหยินสือเดินเข้าไปในท้องพระโรง หลิงอวี๋ก็มองประเมินนางอย่างสงสัยฮูหยินสือรูปร่างสูงและมีความโดดเด่นในบรรดาสตรี แต่งตัวดีมาก รูปร่างหน้าตาก็ดูดี เมื่อหลิงอวี๋เห็นก็รู้สึกว่าคนผู้นี้สามารถผูกมิตรด้วยได้“ถวายพระพรฮองเฮา! ขอฮองเฮาอายุยืนพันปี ๆ พัน ๆ ปีเพคะ!”ฮูหยินสือคุกเข่าลงคำนับหลิงอวี๋หลิงอวี๋ประคองนางเล็กน้อยพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินสือลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้เถิด!”นางกำนัลสองคนยกเก้าอี้มาให้ฮูหยินสือฮูหยินสือมิได้ไปนั่งและยังคงคุกเข่าพลางรีบเอ่ย “ฮองเฮา หม่อมฉันทราบว่าท่านทรงเรียกพบสามีของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงรีบชิงเข้าวังมาพบท่านก่อนสามีเพคะ มีเรื่องที่ต้องรายงานฮองเฮา!”“อ๋อ มีเรื่องด่วนอันใดหรือ?”
นี่เย่หรงไปยั่วยุสตรีที่บ้าคลั่งในเรื่องความรักเข้าแล้วสิ!หลิงอวี๋หันกลับไป ก็เห็นเย่หรงยังคงเดินต่อไปอย่างไร้หัวใจ นางจึงเตือนเขาอย่างเป็นห่วง “เย่หรง สิ่งที่นางพูดนั้นมิใช่คำพูดบ้า ๆ! ท่านต้องระวังตัวไว้ด้วย!”“มิใช่คำพูดบ้า ๆ แล้วคืออะไรเล่า? หรือว่านางจะถือมีดมาบังคับให้ข้าแต่งงานกับนาง?”เย่หรงยังคงมิได้ใส่ใจแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม้แต่ราษฎรที่ไม่มีการศึกษาก็ยังรู้ว่าแตงที่ถูกบังคับให้โตจะมิหวาน นางเรียนหนังสือมาตั้งหลายปีโดยเปล่าประโยชน์หรือไร? นางมิเข้าใจเหตุผลนี้หรือ?”“การบังคับให้ข้าแต่งงานกับนางจะมีประโยชน์อะไรต่อนาง ข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นกับนางหรอก!”หลิงอวี๋มิได้รู้สึกว่าหยางหงหนิงกำลังล้อเล่น นางจึงเอ่ยอย่างอดทน “เย่หรง ท่านจริงจังสักหน่อยเถิด! นี่มิใช่เรื่องล้อเล่น!”“ท่านมิรู้หรอกว่าหากสตรีบ้าคลั่งขึ้นมา มิว่าเรื่องใดนางก็ทำได้ทั้งนั้น! ตอนนี้นางกำลังโกรธ และถึงขนาดเกลียดเพราะรักแล้ว...”“การบังคับให้ท่านแต่งงานกับนาง มิแน่ว่าจะเป็นการทำให้ท่านกับนางกลายเป็นคู่สามีภรรยากันอย่างแท้จริง แต่เป็นการบังคับให้ท่านก้มหัวให้!”หลิงอวี๋มองว่าเย่หรงเป็นสหายของ
คำพูดที่หนักแน่นของหลิงอวี๋ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป คนที่ดูถูกหลิงอวี๋และช่วยหยางหงหนิงใส่ร้ายหลิงอวี๋เมื่อครู่ ก็มิกล้าพูดอะไรอีกแม้ว่าคำพูดนี้ของสิงอวี๋จะเป็นการพูดกับหยางหงหนิง แต่ก็เป็นการพูดกับคนที่ใส่ร้ายนางด้วยสิงอวี๋ใช้ความแข็งแกร่งของนางบอกทุกคนว่า อย่ายั่วยุยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญวิชาพิษ มิเช่นนั้นอาจจะตายมิรู้ตัว!การต่อสู้จนถึงที่สุด หากมิตายก็จะมิหยุดนั้นเป็นความตั้งใจของนาง!คนชั่วในใต้หล้านี้หาได้น่ากลัวไม่ ทว่าสิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ คือคนที่มิกลัวตายและทำสิ่งใดมิคิดชีวิตการประกาศที่มิกลัวตายนี้ของหลิงอวี๋ เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้แล้วทุกคนล้วนมองหลิงอวี๋อย่างประหลาด แต่หลิงอวี๋กลับเดินไปตรงหน้าหลงอิงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น“คุณหนูหลง ข้าขออภัยด้วย ที่ทำให้งานเลี้ยงชมบุปผาของเจ้าในวันนี้ต้องวุ่นวาย เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน!”ยังมิทันที่หลงอิงจะพูดอะไร เย่หรงก้าวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยออกมา “เสี่ยวชี รอข้าด้วย ข้าคุยกับนางสักเล็กน้อยแล้วจะไปพร้อมกับเจ้า!”เย่หรงมองไปทางหยางหงหนิง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ต่อหน้าคนจำนวนมากถึงเพียงนี้ หยา
“ปวดยิ่งนัก!”หยางหงหนิงเอื้อมมือไปกดที่ท้อง พยายามจะยืนขึ้นปรุงยาแก้พิษต่อไป แต่นางไม่มีแม้แต่แรงที่จะลุกยืนขึ้นเลยนางลองอยู่สองครั้ง แต่เมื่อฝืนลุกขึ้นมา ขากลับอ่อนแรงและล้มลงบนพื้นอีกครั้ง“เป็นไปมิได้!”หยางหงหนิงตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนใจ “ยาที่ข้าเตรียมไว้ก็เป็นยาแก้พิษ เหตุใดุมิได้ผลเล่า! หรือเป็นเพราะปริมาณยาแก้พิษมิเพียงพอ?”หลิงอวี๋จ้องมองนางอย่างเย็นชา ที่มุมปากของนางมีความเยาะเย้ยเล็กน้อย "คุณหนูหยาง เจ้าเป็นคนบอกว่าการทำสงครามย่อมมิกลัวอุบาย ดังนั้น ข้าเองก็เล่นลูกไม้กับเจ้าไปอย่างหนึ่งเช่นกัน!”“หากเจ้ารู้จักลักษณะของเครื่องยาสมุนไพรอย่างลึกซึ้งจริง ๆ เจ้าก็ควรจะรู้ว่าเครื่องยาสมุนไพรบางชนิดมีประโยชน์หลายอย่าง และเครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันแบบกษัตริย์กับขุนนาง เมื่อนำมาทำเป็นยาพิษ ก็จะมีฤทธิ์เป็นพิษ!”“แต่หากใช้เป็นยาแก้พิษ ก็มีฤทธิ์เป็นยาแก้พิษได้!”“ตามหลักการนี้แล้ว หากยาแก้พิษที่เจ้าเตรียมไว้ไปกดยาพิษของข้า เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นยาแก้พิษ แต่หากกดไว้มิได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นยาพิษที่เติมเข้าไปในยาพิษอีกที!”หยางหงหนิงรู้สึกเจ็บปวดจนขดตัวเป็นก้อนแล้ว
หยางหงหนิงมิได้รู้สึกเลยสักนิดว่าตนได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไปเสียแล้ว เวลานี้เมื่อถูกหลิงอวี๋เปิดเผยทุกอย่างออกมา นางก็ยิ้มอย่างมิรู้สึกละอายแล้วเอ่ยออกมา“เจ้าแสดงความสามารถเกินตัวไปกระมัง! หากเจ้ามิยอมแพ้ คนที่ต้องอับอายก็คือเจ้า!”“การทำสงครามนั้นย่อมมิกลัวกลอุบาย ข้าก็มิได้ขัดขวางมิให้เจ้านำเครื่องยาสมุนไพรออกมา เป็นเจ้าเองต่างหากที่มิฉลาดพอ!”คำพูดนี้ของหยางหงหนิงมีคนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นด้วยอยู่กึ่งหนึ่ง และรู้สึกว่าหยางหงหนิงพูดถูกเดิมทีมันก็คือการแข่งขัน ใครกำหนดเล่าว่ามิสามารถนำเครื่องยาสมุนไพรที่แก้พิษออกมาได้ เป็นหลิงอวี๋เองเท่านั้นที่โง่เขลาส่วนคนอีกกึ่งหนึ่งรู้สึกดูถูกการกระทำของหยางหงหนิง ในมุมมองของพวกเขา การแข่งขันคือการเทียบความสามารถของกันและกัน และการแย่งชิงเครื่องยาสมุนไพรแก้พิษของอีกฝ่ายไปเช่นนี้ ช่างเป็นการกระทำที่ต่ำช้าจริง ๆเย่หรงมองเหงื่อเย็นไหลลงมาตามหน้าผากของหลิงอวี๋มากขึ้นอย่างกังวล เหงื่อนั้นไหลหยดลงมา จนเปียกเส้นผมบริเวณข้างหูของนางจนหมดแต่หยางหงหนิงกลับยังคงเอ่ยอย่างยินดี “สิงอวี๋ ฝืนทนไปก็หาได้มีประโยชน์ไม่ หากทนแล้วทนไหว เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดแล
บัณฑิตของหอโอสถไป๋เป่าและหอโอสถซ่างกู่ รวมถึงคนที่มาเฝ้าดูจำนวนมากนั้นต่างก็เข้าใจพื้นฐานของเครื่องยาสมุนไพร หลิงอวี๋จึงยิ้มเยาะแล้วเอ่ยออกมา“คุณหนูหยางของพวกเราน่าจะชอบยาระบายและยาที่ทำให้เกิดอาการคันเป็นพิเศษนะ นางจึงใส่ยาเหล่านี้ลงไปในยาพิษของนางด้วย!”หา!เมื่อเหลยเหวินและคนอื่น ๆ ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ตกตะลึงกันไปคุณหนูบางคนถอยหลังไปสองสามก้าวโดยมิรู้ตัว นี่ก็หมายความว่าหากพิษที่หลิงอวี๋ออกฤทธิ์ มันจะต้องไหลพรวดออกมาแน่ ๆเย่หรงมองหยางหงหนิงอย่างรังเกียจ และกำหมัดแน่นเสี่ยวชีพูดถูกจริง ๆ นิสัยในการปรุงยาพิษของหยางหงหนิงนั้นมิสามารถเปิดเผยต่อหน้าทุกคนได้จริง ๆฉินซานยืนอยู่ข้างเย่หรง เมื่อครู่เย่หรงเพิ่งจะเล่าเรื่องของเขากับหยางหงหนิงให้ฟังอยู่คร่าว ๆเมื่อฉินซานได้ยินหลิงอวี๋บอกว่า หยางหงหนิงใส่สิ่งเหล่านี้ลงไปในยาพิษ เขาก็มองไปทางเย่หรงด้วยสีหน้าเห็นใจ จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วเอ่ยออกมา “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเจ้าจึงมิชอบนาง!”“สตรีประเภทนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็มิชอบเช่นกัน!”“นี่คือการแข่งขัน มิใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันจริง ๆ เหตุใดต้องทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ด
หลิงอวี๋มองปราดเดียวก็อ่านความคิดของหยางหงหนิงออกแล้ว นางจึงยิ้มมุมปาก “วิธีการเล่นเช่นนี้ก็สดใหม่ดี เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าบอกเถิด!”ทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนยาพิษกันหยางหงหนิงหยิบผงยาใส่ปากอย่างมิใส่ใจ แล้วชิมส่วนผสมที่อยู่ในนั้น จากนั้นก็มองไปทางหลิงอวี๋และยิ้มอย่างดูถูก“ยาพิษง่าย ๆ เช่นนี้ เจ้าก็กล้านำมาใช้ในการแข่งขันหรือ สิงอวี๋ เจ้ารอไสหัวไปจากเมืองหลวงแดนเทพได้เลย!”หลิงอวี๋ก็ยิ้มบาง ๆ “พูดประโยคนี้ในตอนนี้มันยังเร็วเกินไป อีกสักครึ่งชั่วยามค่อยพูดเถิด!”“การเอาชนะเจ้า ข้ามิใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามหรอก แค่สิบห้านาทีก็พอแล้ว!”หยางหงหนิงเอ่ยขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่งทุกคนต่างมองผงยาพิษในมือของทั้งสองคน และอยากรู้ว่าทั้งสองคนปรุงยาพิษชนิดใดเอาไว้“เข้าไปเลือกเครื่องยาสมุนไพร!”หยางหงหนิงรีบชิงเข้าไปก่อน เมื่อเห็นขวดยาก็นำมาใส่ลงในตะกร้าทันทีหลิงอวี๋มองดูก็รู้ทันทีว่าผงยาที่นางใส่นั้นคือเครื่องยาสมุนไพรของยาแก้พิษที่นางทำไว้หยางหงหนิงต้องการจะแย่งชิงเครื่องยาสมุนไพรที่หลิงอวี๋ต้องนำไปปรุงยาแก้พิษ เพื่อทำให้หลิงอวี๋มิสามารถปรุงยาแก้พิษได้หลิงอวี๋ส่ายหัวอย่างหมดคำพูด แล้วหิ้วตะก
คำถามนี้ของหลิงอวี๋ทำเอาจงเจิ้งเฟยพูดมิออกไปทันทีทั้งสองเส้นทางล้วนเป็นทางตันทั้งสิ้น!หลิงอวี๋ใช้คำเปรียบเทียบนี้เพื่อบอกจงเจิ้งเฟยว่า มิว่านางจะยั่วยุหยางหงหนิงหรือไม่ หยางหงหนิงก็มิยอมปล่อยนางไปอยู่ดีในเมื่อล้วนเป็นทางตันทั้งหมด แล้วไฉนมิหยิบไม้ขึ้นมาสู้สักครั้งเล่า?หากวิชาพิษของหลิงอวี๋สามารถเอาชนะหยางหงหนิงได้ เช่นนั้นจะทำให้หยางหงหนิงรวมถึงเหมียวหยางที่คอยรังแกหลิงอวี๋อยู่เสมอนั้นรู้สึกหวาดกลัวได้!จะเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งกว่าตนอย่างไรก็ล้วนต้องก้มหัวให้!หากทักษะด้อยกว่าผู้อื่น เช่นนั้นตายไปก็ยังดีกว่าตายเพราะถูกข่มเหงรังแก เป็นการตายอย่างกล้าหาญ!จงเจิ้งเฟยเข้าใจสิ่งที่หลิงอวี๋บอกแล้วและนางก็มองหลิงอวี๋ด้วยความชื่นชมความเด็ดเดี่ยวและความแข็งแกร่งของศิษย์พี่หญิงนั้นดูเป็นบุรุษยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก!จงเจิ้งเฟยรู้สึกว่า นี่ต่างหากคือจุดเด่นภายใต้รูปลักษณ์ธรรมดาของศิษย์พี่หญิง นางเป็นสตรีก็ยังเคารพหลิงอวี๋ เช่นนั้นขอเพียงมิใช่บุรุษที่หยาบคายเช่นเหมียวหยาง จะมีใครบ้างที่มิชอบสตรีเช่นหลิงอวี๋?“หงหนิงออกมาแล้ว! สิงอวี๋ ถึงตาเจ้าแล้ว หาก
“ได้ ตกลงตามนี้!”หลิงอวี๋จ้องหยางหงหนิงอย่างกดดัน “ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ ถึงเวลานั้นหากแพ้ เจ้าก็อย่าได้พูดอะไรที่มิเหมาะสมออกมา!”หยางหงหนิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ! หลงอิง พวกเราขอยืมห้องปรุงโอสถของเจ้าสักหน่อยนะ!"หลงอิงเป็นเจ้าภาพในวันนี้ นางมิชอบมาก ๆ ที่มีคนมาสร้างปัญหาขึ้นในงานเลี้ยงชมบุปผาของตน ทำให้รายการที่ตนเตรียมไว้มิได้นำออกมาแต่หยางหงหนิงพูดไปแล้ว ดังนั้นต่อให้นางมิชอบก็มิอาจปฏิเสธได้“เสี่ยวอวี๋ มิต้องพนันแล้วได้หรือไม่ เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของหงหนิงหรอก! เจ้ายอมแพ้ แล้วขอโทษหงหนิงเสียเถิด!”หลงอิงดูท่าทางเป็นห่วงหลิงอวี๋“คุณหนูหลง ข้ามิสามารถขอโทษคนที่ใส่ร้ายข้าในเรื่องที่ข้ามิได้ทำได้หรอก!”หลิงอวี๋รู้ว่าฮูหยินทั้งสองของตระกูลเฉียวอยู่ด้วย และตามหลักแล้วตนมิควรทำตัวโดดเด่นให้เป็นจุดสนใจแต่นางอดกลั้นความโกรธไว้มากแล้ว นางต้องระบายออกมาเหมียวหยางอาศัยอำนาจมาทำลายบ้านของตน และตอนนี้หยางหงหนิงก็อาศัยอำนาจกล้ามาใส่ร้ายตนโดยไม่มีหลักฐานอีก หากวันนี้ตนทนเงียบมิพูดอะไร เช่นนั้นต่อไปก็จะมีข่าวลือที่ยิ่งกว่านี้แพร่กระจายออกไปแม้ว่าหลิงอวี๋จะอยากเก็บตัวอยู่
บรรดาศิษย์น้องของเหมียวหยางจะกล้าปล่อยเหมียวหยางไปได้อย่างไร แม้ว่าเย่หรงจะเป็นศิษย์ที่มิประสบความสำเร็จของตระกูลเย่ แต่เขาก็นับว่าเป็นผู้มีอำนาจที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแดนเทพ และความโหดร้ายของเขาก็ราวกับหมาป่าหากเขาประกาศชัดเจนว่าจะยั่วยุใคร เช่นนั้นแล้วขอเพียงยังมีลมหายใจอยู่ ต่อให้ต้องสู้จนถึงที่สุดก็จะมิยอมรามือถึงแม้ว่าเหมียวหยางจะเกลียดเย่หรงที่ทำให้จมูกของตนหัก แต่ท่าทีที่จะสู้กับเย่หรงอย่างสุดชีวิตนั้น ก็เป็นเพียงการแกล้งทำไปเท่านั้นเนื่องจากด้วยพลังของเขาแล้ว เขามิใช่คู่ต่อสู้ของเย่หรงอย่างแน่นอน มิฉะนั้นก็คงมิถึงกับถูกเย่หรงต่อยสองหมัด แล้วไม่มีแรงตอบโต้หรอก“พวกเจ้าปล่อยข้า ให้ข้าไปสู้กับเขา… เย่หรง เจ้ารู้สึกผิดแล้วกระมัง จึงได้ใส่ร้ายข้า!”เหมียวหยางตะโกนออกไปอย่างโอ้อวด “ข้ามิได้ทำลายบ้านของสิงอวี๋ มิใช่ว่าเจ้าจงใจไปทำลายบ้านของนาง เพื่อให้นางยอมขึ้นเตียงกับเจ้า และใช้โอกาสนี้สนับสนุนนางเองรึ?”น้ำโคลนสาดเข้ามาหาเย่หรงในทันทีคนจำนวนมากที่อยู่ตรงนั้น ต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของเหมียวหยางอาจจะเป็นเรื่องจริงได้ เพราะเรื่องนี้ดูเป็นเรื่องที่เย่หรงสามารถทำได้!หลิงอวี