เมื่อมีงานเลี้ยงนมวัวมื้อนี้ เซียวหลินเทียนก็มีความเชื่อมั่นในการผลักดันการเพาะเลี้ยงวัวนมอย่างเต็มเปี่ยมเขาให้ฉินซานหาทุ่งนาที่เหมาะกับการเพาะเลี้ยง พลางเตรียมการประชุมของแคว้นเล็ก ๆ ไปด้วยเรื่องที่ใต้เท้าจางถูกลอบสังหารที่เรือนจำกรมอาญาแพร่ออกไปแล้วจ้าวฮุยยังคิดว่าตนทำสำเร็จแล้ว แม้ว่าจะสูญเสียมือสังหารไปมิน้อย แต่สามารถกำจัดใต้เท้าจางได้ ทำให้เขาปิดปากไปตลอดกาล เช่นนี้ก็คุ้มค่าแล้วจ้าวฮุยมิรู้ว่าการตายของใต้เท้าจางทำให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่ติดตามองค์ชายคังเกิดความรู้สึกเห็นใจพวกเดียวกันผู้ที่ฉลาดต่างก็รู้ว่าเงินที่ใต้เท้าจางยักยอกจำนวนมากไปอยู่ที่ใต้เท้าจางกับองค์ชายคัง แต่เมื่อเกิดเรื่องกับใต้เท้าจาง จ้าวฮุยกับองค์ชายคังมิเคยคิดจะช่วยเขาทั้งยังสังหารเพื่อปิดปากอีกด้วยใต้เท้าจางทุ่มเททำงานให้พวกเขา แต่กลับมิได้จบลงด้วยดี เช่นนั้นเหตุใดต้องทุ่มเทอดทนทำงานเพื่อพวกเขาอีกเล่า!กอปรกับสินสอดที่องค์ชายคังมอบให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยและการจัดงานแต่งงานที่หรูหราฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้หากคำนวณดูก็เป็นเงินที่ใต้เท้าจางหามาเพื่อพวกเขาอย่างยากลำบาก!สิ่งที่ยิ่งทำให้เหล่าขุนนางเหล่านี้ผิดหวังก็ค
เป็นครั้งแรกที่องค์ชายคังรู้สึกกลัว เขามองจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเดินเข้ามาทีละก้าวพร้อมกับตัวสั่นโดยมิรู้ตัว“เจ้า... เจ้าคิดจะทำอะไร?”องค์ชายคังลืมที่จะเรียกคนไปแล้ว พลางเอ่ยเสียงสั่น “เจ้าอย่าเข้ามานะ...”ยังมิทันที่องค์ชายคังจะพูดจบ มือที่เนียนละเอียดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็คว้าเข้าที่คอของเขา“เซียวหลินอี้ วันนี้ข้าจะสอนท่านว่าอะไรคือภรรยาเป็นใหญ่!”แต่ไหนแต่ไรมามีแต่สามีเป็นใหญ่ มีภรรยาเป็นใหญ่ที่ไหนกันแต่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้สนใจมากมายถึงเพียงนั้น นางกล้าคิดกระทั่งการเป็นจักรพรรดินี แล้วเหตุใดจะมิกล้าพลิกแนวคิดเก่า ๆ เหล่านี้เล่า!“ท่านกินของตระกูลจ้าว ใช้ของตระกูลจ้าว ยังกล้าที่จะใส่อารมณ์กับข้า ใครให้สิทธิ์ท่าน?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าจะทำให้ท่านรู้ว่าข้ามิใช่จ้าวเจินเจินคนโง่เขลานั่น ข้าไม่มีทางยอมรับความลำบากจากท่านโดยมิขัดขืน!”องค์ชายคังถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยบีบคอจนหายใจมิออกและหน้าเขียวไปแล้วเขาอยากจะดิ้นรน แต่ก็ดิ้นมิหลุดจากมือของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยทันทีที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยกมือขึ้น เขาก็ถูกยกขึ้นจากพื้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกับเขาอยู่ในระดับสายตาเท่ากันและมองเขาด้วยแววตาเย็นชา
การยั่วยุขององค์ชายคังทำให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยหัวเราะออกมา“สังหารหลิงอวี๋จะไปยากอะไรกัน!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยิ้มอย่างเย็นชา “รอให้ข้าได้ของที่ข้าต้องการจากนางก่อน ข้าย่อมต้องส่งนางไปตายอยู่แล้ว!”ที่ตัวของหลิงอวี๋มีหยกหล้าสุขาวดี นี่คือสิ่งที่คนแดนปีศาจเฝ้าปรารถนาที่จะได้มา จ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้รู้ข่าวก็ใจเต้นขึ้นมาเช่นกันเป็นดังที่หลิงอวี๋คาดการณ์ไว้ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยฝึกฝนอยู่ที่ดินแดนที่หกมาหนึ่งปีกว่าแล้วก็ยังมิสามารถบรรลุได้ หากได้หยกหล้าสุขาวดีมา เช่นนั้นก็จะเลื่อนขั้นขึ้นได้อย่างราบรื่นแล้วองค์ชายคังเองก็รู้มาจากไท่เฟยเส้าว่าที่ตัวของหลิงอวี๋มีของล้ำค่าอยู่ แม้ว่าเขาจะมิเข้าใจว่านั่นคือของอะไร แต่แม้แต่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็อยากได้จะต้องเป็นสมบัติหายากอย่างแน่นอนเขาจึงเอ่ยออกไป “แต่ตอนนี้นับวันหลิงอวี๋ก็ยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ มีนางช่วยเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วข้าจะต้องรอไปถึงเมื่อใด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นองค์ชายคังอ่อนลงแล้ว มิกล้าเรียกแสดงอำนาจต่อหน้าตนแล้วจึงเอ่ยออกไปอย่างเย็นชา “มิต้องรอนานจนเกินไป!”“ก่อนหน้านี้ข้ามิได้เห็นหลิงอวี๋อยู่ในสายตา และมิ
ช่วงนี้ฉินซานกำลังถูกฮูหยินฉินเร่งเร้าเรื่องแต่งงานจนกังวลแม่สื่อหลายคนผลัดกันมา สตรีที่เลือกมาก็ทำให้ฉินซานตาพร่าไปหมดแต่ดูไปดูมาก็ทำให้ฉินซานมิรู้สึกสนใจเพราะว่าแขนขาดไป ฮูหยินฉินจึงลดมาตรฐานลง คนที่หามาให้เขาล้วนเป็นลูกสาวของตระกูลเล็ก ๆรูปร่างหน้าตาก็ล้วนพอใช้ แต่ที่ฉินซานเข้าใจก็ล้วนเป็นคนแบบมารดา สตรีผู้รู้เพียงแต่การให้ความสำคัญกับสามีเมื่อได้พูดคุยกับพวกนางก็รู้สึกว่ามิน่าสนใจความกลัดกลุ้มในใจของฉินซานมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกราวกับปลาที่ขาดน้ำ และใกล้จะถูกฮูหยินฉินทำให้ขาดอากาศหายใจแล้วยังดีที่เซียวหลินเทียนมอบหมายให้เขาไปหาทุ่งนาที่เหมาะสมสำหรับเพาะเลี้ยง ฉินซานจึงรีบหลบออกไปในทุกวันเขาจะพาองครักษ์ไปเยี่ยมหมู่บ้านต่าง ๆ แม้ว่าจะเหนื่อยมาก แต่สำหรับฉินซานแล้วกลับเป็นการปลดปล่อยแต่มีชีวิตที่ดีได้มิกี่วัน แคว้นเล็ก ๆ โดยรอบมาประชุม เซียวหลินเทียนจึงเรียกฉินซานกลับมา ให้เขาควบคุมกรมพิธีการให้ทำงานต้อนรับให้ดีครานี้หลิงอวี๋ก็ส่งหานเหมยมารับผิดชอบในการต้อนรับแขกสตรีเช่นกันฉินซานมิได้พบกับหานเหมยมาเป็นเวลานานแล้วเขาเองก็คิดมิถึงว่าหานเหมยจะเริ่มหลบหน้าเขาเพราะหล
วันรุ่งขึ้น ทูตชุดแรกจากแคว้นเล็ก ๆ เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วชุดแรกที่มาถึงก่อนก็คือสามแคว้นเล็กโดยรอบคือ แคว้นพัน แคว้นเฉิง แคว้นกันกู่คนที่นำแคว้นพันมาเยี่ยมเยือนก็คือหัวหน้าขุนนางจินอายุเกือบห้าสิบจากแคว้นพันทางแคว้นเฉิงคือท่านชายอวี่เหวินเย่ลูกชายคนโตของอ๋องเฉิงและอวี่เหวินเสียท่านหญิงที่เพิ่งจะถึงวัยปักปิ่นปีนี้ส่วนคนที่นำแคว้นกันกู่มาก็คือฮูเหยียนเสวี่ยท่านหญิงคนโตของประมุขและฮูเหยียนเจี้ยนกับน้องชายที่เพิ่งจะสิบขวบทั้งสามแคว้นเล็กต่างนำของพิเศษพื้นถิ่นจำนวนมิน้อยมาถวายแด่จักรพรรดิองค์ใหม่ ทั้งผ้าไหม เครื่องประดับหยก ทั้งยังมีผลไม้ตามฤดูกาลและของพิเศษที่มีอยู่ในพื้นถิ่นอีกด้วยหลิงอวี๋อยู่ที่วังหลัง มิได้พบทูตของทั้งสามแคว้นหลิงซวนจึงย่อมมิละเลยในเรื่องนี้ นางส่งหานอวี้ผู้ชอบซุบซิบนินทาไปสืบแล้วหานอวี้ปลอมตัวเป็นขันทีน้อยคอยดูทูตเหล่านั้นอย่างชัดเจนในเส้นทางที่พวกทูตต้องผ่านเมื่อเห็นท่านหญิงทั้งสอง หานอวี้ก็ตาโตมิสนผู้อื่นแล้วรีบกลับไปรายงานหลิงอวี๋“ฮองเฮาเพคะ ท่านหญิงอวี่เหวินเสียจากแคว้นเฉิงนั้นมิรู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร นางคลุมผ้าปิดหน้าไว้ แต่ชุดที่นางสวมใส่ท
เรื่องนี้เจ้ากรมพิธีได้แจ้งหลิงอวี๋ไว้ก่อนหน้านี้แล้วเซียวหลินเทียนขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ แคว้นเล็ก ๆ โดยรอบเหล่านี้ไม่แน่ว่าจะยอมจำนนต่อเขาโดยซื่อสัตย์ การมาประชุมครานี้จะตัดเรื่องที่พวกเขามาดูลาดเลาออกไปมิได้ดังนั้นงานต้อนรับจึงมิเพียงแต่การจัดที่พักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความน่าตกใจที่ซ่อนอยู่ในรายการที่จัดงานเลี้ยงด้วยหลิงอวี๋ย่อมเข้าใจดีก่อนหน้านี้นางขัดแย้งกับเซียวหลินเทียนจึงมิอยากไปยุ่งเรื่องของเขาแต่หลังจากที่เซียวหลินเทียนขอโทษนางอย่างจริงใจแล้ว หลิงอวี๋จึงพยายามที่จะเตรียมการต้อนรับเพื่อช่วยเซียวหลินเทียนเพียงแต่ตอนนี้นางมิอยากบอกกับเซียวหลินเทียน หากบอกเรื่องนี้ไปก่อนก็มิประหลาดใจแล้ว“หม่อมฉันจัดการ ท่านยังมิวางพระทัยอีกหรือเพคะ?”หลิงอวี๋มองเซียวหลินเทียนอย่างตำหนิ พลางเอ่ยถามออกไป “ท่านคิดเห็นอย่างไรกับทูตทั้งสามแคว้นนี้หรือเพคะ?”เซียวหลินเทียนเอ่ยไปตามตรง “ทั้งสามแคว้นนี้นอกจากแคว้นกันกู่แล้ว แคว้นอื่นล้วนแสร้งมาบ่นลำบากกับข้า!””“หัวหน้าขุนนางจินผู้นั้นใบหน้าเย่อหยิ่ง ข้ามิรู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจจากที่ใดจึงกล้าเย่อหยิ่งต่อหน้าข้าเช่นนี้ คิดว่าข้ายังเด็กรั
หลิงอวี๋มิใช่แม่พระ ผู้ป่วยที่ต้องช่วยเหลือในใต้หล้ามีตั้งมาก นางมิสามารถช่วยเหลือทุกคนได้ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องไปแคว้นกันกู่ที่อยู่ไกลถึงเพียงนั้นอีก!แต่ท่านหญิงใหญ่จะยอมแพ้หรือ?หากประมุขแคว้นกันกู่ป่วยหนักจริง ๆ อีกทั้งท่านหญิงใหญ่ก็เป็นลูกกตัญญู นางไม่มีทางยอมแพ้กับคำปฏิเสธนี้ของเซียวหลินเทียนแน่เมื่อนึกถึงที่หานอวี๋บอกว่า ท่านหญิงใหญ่เป็นสตรีที่ดูมีพลังมาก หลิงอวี๋ก็ให้ความสำคัญกับท่านหญิงใหญ่ผู้นี้เป็นพิเศษเดิมทีหลิงอวี๋ยังคิดว่าอีกสองวันจึงจะได้พบกับฮูเหยียนเสวี่ยที่งานเลี้ยงไหนเลยจะคิดว่า วันรุ่งขึ้นยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะว่าราชกิจเสร็จ ป้ายอวยพรของฮูเหยียนเสวี่ยก็ส่งมาที่พระตำหนักคุนหนิงแล้ว“ฮองเฮาเพคะ หากท่านมิทรงต้องการพบ บ่าวจะไปปฏิเสธนางให้เพคะ!”หลิงซวนเอ่ยอย่างเอาใจใส่“เหตุใดจะมิพบเล่า?”หลิงอวี๋ยิ้มพลางเอ่ย “เชิญนางเข้ามาเถิด!”ฮูเหยียนเสวี่ยเข้ามาคารวะตนที่ตำหนักอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางหลิงอวี๋ก็ต้องพบเสียหน่อย เหตุใดจะต้องหลบซ่อนเล่า!หลิงอวี๋เปลี่ยนเป็นชุดเรียบง่านแล้วไปพบฮูเหยียนเสวี่ยที่โถงกลางฮูเหยียนเสวี่ยพานางรับใช้มาเพียงสองคน ตอนที่นางเข
“หลิงอวี๋!” “ในปีนั้นเจ้าวางแผนการชั่วร้ายใส่ข้าอย่างไร้ยางอาย… จากนั้นยังใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้มาบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า...” “มาตอนนี้ยังลอบขโมยของล้ำค่าที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่เจ้าขาดหายไป! ยิ่งไปกว่านั้นคือทำร้ายเฮยจื่อเสียจนปางตาย!” “หากว่าข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอีก ข้าก็คงจะไม่แซ่เซียวแล้ว!” ใคร? ใครกำลังพูดอยู่กัน ขณะที่เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแส้ “เพียะ!” ดังขึ้น ทั่วทั้งตัวของหลิงอวี๋เจ็บปวดจนสั่นสะท้าน จนต้องลืมตาขึ้นมาทันที... จากนั้นเมื่อมองเห็นด้านหน้าของเธอ มีชายหนุ่มหล่อเหลา สูงส่งราวกับเทพเจ้านั่งอยู่บนรถเข็น จ้องมองยังเธออย่างแข็งกร้าว “โบย! ห้าสิบแส้! อย่าให้ขาดแม้แต่หนึ่ง!” “โบยให้ตาย แล้วจงลากไปโยนทิ้งที่สุสานรวมซะ!” เพียะ! เพียะ! เพียะ! เสียงแส้ดังออกมาพร้อมกับเสียงลมครั้งแล้วครั้งเล่ากระแทกลงบนกายของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋เจ็บปวดจนดวงตามืดมน อีกเพียงนิดเกือบจะเป็นลมไป... หลิงอวี๋ที่เกือบจะสิ้นลมไป เธอนึกไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องอะไรกัน? เฮยจื่ออะไร? เมื่อคร