“กู่ซุ่ย ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้า แต่ข้าก็เป็นเช่นนี้ มิต้องการพึ่งการแต่งหน้าทาปากมาดึงดูดเขาหรอก!”นางซุนเอ่ยเสียงเรียบ “วันเวลาผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ความงดงามมิใช่สิ่งที่คนอายุเช่นข้าควรจะทำแล้ว!”“เขาสามารถรับความเรียบง่ายเช่นนี้ของข้าได้ เช่นนั้นเขาจึงจะเป็นสามีของข้า!”“หากมิอาจยอมรับได้ ต่อให้ข้าจะแต่งอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์!”กู่ซุ่ยฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ แต่คำพูดของนางซุนก็เป็นเหตุเป็นผลเช่นกันแต่กู่ซุ่ยก็ยังมิยอมแพ้ นางยืนกรานจะให้นางซุนทาปากบาง ๆ ทั้งยังเอ่ยแนะนำ “พี่สะใภ้ สิ่งที่ท่านพูดมานั้นมีเหตุผล แต่นั่นเป็นสมัยก่อน!”“ตอนนี้กับเมื่อก่อนต่างกัน หากท่านอยากตามสามีของท่านกลับมาก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง!”“ท่านดูเถิด เมื่อทาปากไปเช่นนี้ มิได้เห็นชัดเจนนักแต่ทำให้ท่านดูดีขึ้นมาทันที!”“พี่สะใภ้ ตัวเราเองยังมองว่าสวยเลยใช่หรือไม่? ดังนั้นท่านก็ถือเสียว่ามิใช่การทำเพื่อเขาแต่ทำเพื่อตัวท่านเอง! เราเอาจแพ้คนอื่นได้ แต่เรามิอาจสูญเสียจิตวิญญาณได้!”กู่ซุ่ยเอ่ยให้กำลังใจ “แต่งตัวงดงาม ผู้อื่นมองแล้วสบายตา ตนมองเองก็อารมณ์ดี!”นางซุนมองตนเองในกระจก ดูดีจริง ๆ จากนั้นก็มองกู่
แต่จนสุดท้ายหลิงหว่านก็มิได้โวยวายออกไป เพราะท่านแม่ห้ามปรามไว้แต่เรื่องราวเหล่านี้ นางรับใช้ที่กลับไปรายงานหลิงอวี๋ได้แจกแจงรายละเอียดให้หลิงอวี๋ฟังอย่างละเอียดหลังจากที่หลิงอวี๋ซักถามแล้วหลิงอวี๋ฟังเรื่องเหล่านั้นแล้วก็รู้สึกหนักอึ้งหากหลิงเสียงกังไม่มีวันนึกเรื่องในอดีตได้ เช่นนั้นป้าสะใภ้ใหญ่กับหลิงหว่านก็จะต้องได้รับความคับข้องใจเช่นนี้นี่มันมิยุติธรรมกับป้าสะใภ้ใหญ่!ก้อนเลือดที่อยู่ในสมองของหลิงเสียงกังควรต้องหาเวลาช่วยเอาออกมาให้เขา หลิงอวี๋ตัดสินใจว่า วันหลังจะออกจากวังไปเกลี้ยกล่อมหลิงเสียงกังให้ตกลงผ่าตัดเมื่อคิดแล้วก็ทำเลย วันรุ่งขึ้นหลิงอวี๋จึงจัดการเรื่องในวังให้เรียบร้อย และจะพาหลิงซวนกับสุ่ยหลิงออกจากวังไปด้วยกันแต่เพิ่งจะไปได้เพียงครึ่งทางก็มีนางกำนัลของไท่เฟยเส้าคนหนึ่งมาตาม“ฮองเฮาเพคะ ไท่เฟยเส้าของพวกเราอยากเชิญท่านไปพูดคุยเพคะ!”นางกำนัลเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาหลิงอวี๋ขมวดคิ้วหลิงซวนจึงเอ่ยอย่างมิเกรงใจ “ไท่เฟยเส้าอยากจะเชิญฮองเฮาไปพูดคุยก็ควรจะส่งคนมาแจ้งก่อนเสียหน่อย ตอนนี้ฮองเฮาของเรามีธุระจะต้องออกไปทำ รอกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิด!”นางกำนัลคุกเข่า
หากไม่มีเรื่องอันใดหลิงซวนไม่มีทางส่งสัญญาณให้ตนเช่นนี้แน่!หลิงอวี๋ใจเต้นรัว ตอนนี้นางยังมิรู้ว่าเซียวหลินเทียนมีทัศนคติอย่างไรต่อการคัดเลือกสนมนางโกรธเคืองขึ้นมาทันที บางทีอาจจะตกหลุมพรางของไท่เฟยเส้าเข้าแล้วนางจึงมิได้พูดอะไรไท่เฟยเส้าคิดว่าหลิงอวี๋มิเต็มใจจึงตำหนิในทันที “ฮองเฮาคงมิได้มิเต็มใจคัดเลือกสนมให้องค์จักรพรรดิหรอกกระมัง?”“ฮองเฮา เป็นสตรีจะหึงหวงมิได้ ในฐานะมารดาของแคว้น ท่านจะต้องใจกว้าง!”“องค์จักรพรรดิมีสนมมากมายเป็นเรื่องปกติ คงมิอาจเฝ้ารอท่านอยู่เพียงผู้เดียวได้กระมัง!”“จริงสิ พูดถึงเรื่องนี้ กุ้ยเหรินทั้งสองนั้นล้วนมิเคยได้ปรนนิบัติองค์จักรพรรดิ! ข้าได้ยินมาว่า ที่ตำหนักอ๋องอี้นั่นเป็นเพราะท่านหึงหวงจึงมิยอมให้พวกนางเข้าใกล้องค์จักรพรรดิ!”“ฮองเฮา แม้ว่าตอนนี้ท่านจะเป็นฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ ทว่าหากยังเอาแต่ใจเช่นนี้ ทางราชสำนักฝ่ายในก็มีอำนาจที่จะปลดท่านออกนะ!”หลิงอวี๋เห็นว่ายิ่งพูดไท่เฟยเส้าก็ยิ่งพูดลื่นขึ้น นางก็ฟังต่อมิไหวแล้วไท่เฟยเส้าผู้นี้ อยู่ในวังมิอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ทั้งยังส่งเก๋อเทียนซือมาลอบสังหารตนอีก!ตอนนี้ก็ยังมายุ่งวุ่นวายกับตน นางคิดว
กระทั่งออกจากตำหนักโซ่วอัน หลิงซวนก็เล่าเรื่องที่เซียวหลินเทียนค้านข้อเสนอในการคัดเลือกสนมในราชสำนักให้หลิงอวี๋ฟังหลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าตนเกือบจะเข้าใจเซียวหลินเทียนผิดไปแล้วแต่หลิงอวี๋ก็มิได้สบายใจเพราะเรื่องนี้ เรื่องเช่นนี้มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองเซียวหลินเทียนจะปฏิเสธไปได้อีกนานเท่าใดกันเชียว!“ผู้ใดไปนินทาเรื่องเกี่ยวกับกุ้ยเหรินทั้งสองต่อหน้าไท่เฟยเส้า?”หลิงอวี๋เอ่ยปากถามออกไปอู๋จื่อผิงกับสวีเนี่ยนจือคือคนที่ฮองเฮาเว่ยประทานให้เซียวหลินเทียนก่อนหน้านี้ ครานี้เมื่อเซียวหลินเทียนเป็นจักรพรรดิ ทั้งสองจึงได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินและพาเข้าวังมาด้วยเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ล้วนใช้สองคนนี้เป็นเกราะป้องกันแต่ตอนนี้เซียวหลินเทียนมีสตรีอยู่เพียงมิกี่คน หากตนมิได้ปรนนิบัติ กุ้ยเหรินทั้งสองมิได้ปรนนิบัติ เมื่อเวลาล่วงเลยยาวนานไปจะทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เอาได้และที่ร้ายแรงก็อาจจะถึงกับสงสัยว่า เซียวหลินเทียนไร้สมรรถภาพทางเพศหรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการโจมตีที่รุนแรงมากต่อการเป็นจักรพรรดิของเซียวหลินเทียนหลิงอวี๋ในฐานะฮองเฮามิอาจมิใส่ใจในเรื่องนี้ได้“มิรู้ว่าเป็นผู้ใ
หลิงอวี๋มิได้มีความรู้สึกลึกซึ้งถึงความเป็นพ่อลูกกับหลิงเสียงเซิง ทุกคราที่พบหลิงเสียงเซิงก็จะนึกถึงภาพน่าสลดที่หลานฮุ่ยจวนถูกขังและแท้งลูก จึงให้ความเคารพต่อเขามิได้จริง ๆ“ท่านพ่อ ท่านออกไปก่อนเถิด ข้ามีธุระจะหารือกับท่านอดีตเสนาบดีจริง ๆ!”หลิงอวี๋พูดยังมิทันขาดคำ หลิงเสียงกังกับเฝิงฉินก็มาทั้งคู่หลิงหว่านเห็นหลิงเสียงกังประคองเฝิงฉินมาอย่างระมัดระวังก็แอบกลอกตาใส่ ทำอ่อนแอให้ใครดูกัน!“ฮองเฮา!”เฝิงฉินลากหลิงเสียงกังให้คุกเข่าลงคำนับหลิงอวี๋ตามหลักแล้วหลิงอวี๋จะมิรับการคำนับของคนในครอบครัวแต่ภาพที่เฝิงฉินทำตัวอ่อนแอให้หลิงเสียงกังประคองเมื่อครู่ก็อยู่ในสายตาของหลิงอวี๋เช่นกัน นางจึงรับการคำนับของทั้งสองคนอย่างสงบแล้วให้ทั้งสองลุกขึ้นหลิงเสียงเซิงเห็นว่าพวกหลิงเสียงกังมาแล้วก็รีรอมิยอมไปนางกังวลว่าหลิงอวี๋จะเลื่อนตำแหน่งให้หลิงเสียงกังอย่างเงียบ ๆ จึงอยู่ดูก่อนหลิงอวี๋เห็นท่าทางของเฝิงฉินมิน่าจะออกไป จึงพูดถึงเรื่องที่หลิงเสียงกังมีก้อนเลือดอยู่ในสมองและบอกวิธีการรักษาของตนให้ท่านอดีตเสนาบดีและนางซุนฟังเสียเลยทันทีที่นางซุนได้ยินก็ตกใจมาก ผ่าหัวเพื่อเอาก้อนเลือดออก
ยามนี้หลิงอวี๋มิอยากไว้หน้าผู้อาวุโสเช่นหลิงเสียงกังแล้ว นางรู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม แม้ว่าจะได้รับความอยุติธรรมก็ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้แต่เรื่องอะไรเล่า?ป้าสะใภ้ใหญ่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกให้หลิงเสียงกัง เมื่อหลิงเสียงกังออกไปรบก็ดูแลพ่อแม่แทนเขาสิ่งที่ผ่านไปในแต่ละวันนี้มิลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เฝิงฉินมีบุญคุณต่อหลิงเสียงกังหรือ?“หลิงเสียงกัง ดูสตรีที่อยู่ตรงหน้าท่านผู้นี้ เมื่ออายุสิบห้าถึงวัยปักปิ่นก็แต่งงานเข้ามาในจวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนเป็นภรรยาของท่าน เลี้ยงดูลูกแทนท่าน ดูแลพ่อแม่แทนท่าน!“ท่านได้รับบาดเจ็บกลับมาก็เป็นนางที่ดูแลท่าน! ยามท่านป่วยก็เป็นนางก็คอยดูแลอยู่ข้างเตียงท่าน!”หลิงอวี๋ตำหนิ “ท่านดูเถิดว่าตอนนี้นางอายุเท่าใดแล้ว?”“นางแต่งงานกับท่านมายี่สิบกว่าปี ดูแลท่านมายี่สิบกว่าปี อยู่ข้างกายตลอดทุกวันทุกคืนมาเก้าพันกว่าวัน เทียบมิได้กับเฝิงฉินที่เพิ่งจะดูแลท่านมาหนึ่งปีครึ่งมิกี่ร้อยวันเลยหรือ?”“การที่ท่านลืมนางมิใช่ข้ออ้างที่ท่านจะทรยศนาง! และมิใช่เหตุผลที่ท่านจะทำลายความดีที่นางมีต่อท่านได้ตามใจ!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตอนที่ท่านนอนอยู่ข้า
“ฮองเฮาของเราจะออกจากวังสักครั้งมิได้ง่ายดาย เช่นนี้แล้วยังถูกคนทำให้ลำบากใจอีก!”หลิงซวนมองหลิงเสียงกังอย่างเย็นชา พลางเอ่ยอย่างเป็นเดือดเป็นร้อนแทนหลิงอวี๋“ฮองเฮาทรงเห็นแก่ท่านอดีตเสนาบดี ฮูหยินใหญ่และคุณหนูหลิงหว่านจึงได้ออกจากวังมาแม้จะถูกคนขู่ที่จะกล่าวโทษ!ท่านอดีตเสนาบดีกับนางซุนย่อมรู้ว่า ในฐานะฮองเฮาการออกจากวังนั้นยากเย็นนัก เมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อหลิงเสียงกังเช่นนี้ แต่หลิงเสียงกังกลับมิรับน้ำใจท่านอดีตเสนาบดีก็โกรธขึ้นมาเช่นกัน พลางเอ่ยเสียงเรียบ “หลิงเสียงกัง จะสิ่งดีหรือมิดีฮองเฮาก็ล้วนบอกเจ้าไปหมดแล้ว พ่อจะมิพูดสิ่งใดแล้ว!”“ชีวิตเป็นของเจ้า เจ้าตัดสินใจเอง!”“หากเจ้ามิอยากให้ฮองเฮาทำการผ่าตัด เจ้าก็พาสตรีผู้นี้ออกจากจวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนไป ข้าจะถือว่าเจ้าตายอยู่ด้านนอกนั้นแล้ว จะได้มิต้องกลายเป็นหัวหงอกต้องส่งหัวดำให้จากไปก่อน!”“ท่านอดีตเสนาบดี นี่ไม่...”นางซุนร้อนใจ เพราะว่าเป็นสามีภรรยากันมาตั้งแต่อายุยังน้อย นางจะทนมองหลิงเสียงกังตายไปเช่นนี้ได้อย่างไร!นางจึงเอ่ยอย่างร้อนใจ “ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง!”นางซุนเดินไปตรงหน้าของหลิงเสีย
เฝิงฉินพูดถึงตรงนี้ก็คล้ายกับว่าสีหน้าเปลี่ยนไป นางจับที่ท้องของตนพลางคุกเข่าให้หลิงอวี๋อย่างช้า ๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันตั้งครรภ์อยู่ ลูกจะขาดพ่อไปตั้งแต่ยังมิทันได้เกิดมามิได้เพคะ!”“ขอความเมตตาฮองเฮาอย่าได้บังคับให้สามีของหม่อมฉันทำการผ่าตัดเลยเพคะ ปล่อยพวกเราไปตามเส้นทางเถิดเพคะ!”ทันทีที่นางพูดเช่นนี้ออกมา หลิงซวนก็โกรธเป็นอย่างมาก นี่พูดไปพูดมากลายเป็นหลิงอวี๋มิดีเสียแล้วหลิงอวี๋เองก็โกรธเช่นกัน เฝิงฉินผู้นี้ช่างสมกับที่ขึ้นเหนือล่องใต้ทำการค้าขายเสียจริง ฝีปากคล่องแคล่วเช่นนี้ จนสามารถพูดกลับดำกลายเป็นขาวได้“ท่านพ่อ ฮองเฮา… ในเมื่อพวกเขามิเข้าใจความซาบซึ้งก็ให้พวกเขาไปเสียเถิด!”หลิงเสียงเซิงหาโอกาสพูดมิได้เลย ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเฝิงฉินบีบบังคับหลิงอวี๋เช่นนี้ก็แอบดีใจทางที่ดีที่สุดคือ หลิงอวี๋ต้องรีบไล่หลิงเสียงกังออกไป ให้เขาไปตายด้านนอก จะได้มิต้องมีคนมาแย่งทรัพย์สินกับตน!“ไสหัวไป...”ท่านอดีตเสนาบดีก็โกรธกับคำพูดกลับดำเป็นขาวของเฝิงฉินจนเครากระดิก เขาจึงตะคอกอย่างโมโห “กลับไปเก็บข้าวของของพวกเจ้า แล้วไสหัวออกไปจากจวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนบัดเดี๋ยวนี้!”“ข้าจะถือเสียว่าไม่ม