เซียวหลินเทียนล่าช้ามิได้ จึงไปหาข้าหลวงติ้งโจวเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของติ้งโจวในคืนนั้นเลย จากนั้นก็ได้พักมิถึงสองชั่วยาม เมื่อฟ้าสางก็เดินทางต่อแล้วเดิมทีเขาอยากจะพาหลิงอวี๋ไปด้วย แต่อาการของหลิงอวี๋มิอาจให้นางขี่ม้าไปกับตนได้ด้วยการเกลี้ยกล่อมของท่านอ๋องผิงหนาน เซียวหลินเทียนจึงทำได้เพียงให้ถังถีเตี่ยนกับจ้าวซวนอยู่ดูแลหลิงอวี๋ ส่วนตนกับพวกลู่หนานนั้นก็รีบขี่ม้ากลับไปในขณะเดียวกัน เซียวหลินเทียนก็กลัวว่าเก๋อเทียนซือจะกลับมาอีก จึงให้องครักษ์เงาของตนอยู่กับหลิงอวี๋ทั้งหมดจ้าวฮุยรู้เรื่องที่หลิงอวี๋ถูกลอบสังหารแล้วเก๋อเทียนซือถูกคนของจ้าวฮุยช่วยเหลือออกมา พลังวิญญาณเขาถูกหลิงอวี๋ขโมยไปเป็นจำนวนมาก พลังวิญญาณของเขาในตอนนี้มิเพียงให้ปกป้องตนเองด้วยซ้ำเก๋อเทียนซือเหลือชีวิตอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง พักฟื้นสองวันก็ยังมิสามารถกลับเมืองหลวงได้ เขาจึงเอ่ยกับคนของจ้าวฮุย“ข้าไม่มีทางยอมแพ้เช่นนี้ พวกเจ้ากลับไปบอกจ้าวฮุยว่าข้าจะย้ายกำลังเสริมไป!”หลิงอวี๋กล้าขโมยการฝึกฝนพลังวิญญาณที่เขาฝึกมาครึ่งชีวิตไป หากแค้นนี้มิได้ชำระ เก๋อเทียนซือไม่มีทางยอมแพ้ตอนที่จ้าวฮุยได้ฟังการถ่ายทอ
ยังมิทันที่หลิงอวี๋จะถึงเมืองหลวง ขุนนางจำนวนมากก็พากันมากราบทูลกล่าวโทษว่าฮองเฮาเดินทางออกจากวังมิอยู่ติดที่ มิรักษาจรรยาบรรณสตรี ไร้ซึ่งศีลธรรม มิควรค่าจะเป็นมารดาแห่งใต้หล้า และยังมีพวกผู้ตรวจการเก่าแก่ที่รับคำสั่งของจ้าวฮุยมาและเอาเรื่องที่หลิงอวี๋เปิดโรงเหยียนหลิงมาโจมตีว่าหลิงอวี๋มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ ชอบลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม เป็นตัวอย่างที่มิดีแก่สตรีอีกด้วยพวกคนเก่าแก่เหล่านี้มิพอใจที่เห็นว่าขุนนางสตรีสามารถเลื่อนขั้นได้ถึงขั้นที่สี่ กอปรกับที่สตรีในเมืองหลวงเริ่มยืนหยัดกันขึ้นมาเพราะเหตุนี้ นางรับใช้และแม่นมบางคนที่มีความกล้าหาญล้วนเสนอกับเจ้านายให้จ่ายค่าตอบแทนให้เท่าเทียมกับตำแหน่ง และจะรับเงินเท่ากันกับคนรับใช้ชายหลิงอวี๋ออกจากวังหลวงไปครานี้จึงกลายเป็นจุดอ่อนของพวกเขา แล้วพวกเขาจะอดมินำเรื่องนี้มาโจมตีหลิงอวี๋ได้อย่างไร!เซียวหลินเทียนโกรธกับการกล่าวโทษเหล่านี้มาก เรื่องที่ได้รับค่าตอบแทนตามตำแหน่งที่เท่าเทียมนี้ถูกตัดสินไปแล้ว และวันนั้นก็ได้รับการยอมรับจากขุนนางบุรุษระดับสี่แล้วด้วยตอนนี้พวกคนหัวโบราณดื้อรั้นเหล่านี้ยังจะนำเรื่องนี้มาวิจารณ์หลิงอวี๋อีก สิ่งนี้
ยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะได้ต่อว่าใต้เท้าหวาง พวกผู้ตรวจการเก่าแก่ก็พากันคุกเข่าลงทีละคน“ฝ่าบาท บัดนี้ในวังมีเพียงฮองเฮาผู้เดียว และมีองค์ชายน้อยเป็นทายาทผู้เดียว ทายาทน้อยนักพ่ะย่ะค่ะ ควรจะคัดเลือกนางในและรับสนมเข้ามาเติมเต็มวังหลังเพื่อปรนนิบัติฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากที่ใต้เท้าหวางเป็นผู้นำ ผู้ตรวจการเก่าแก่เหล่านี้ก็พากันเกลี้ยกล่อมให้เซียวหลินเทียนคัดเลือกนางในเข้ามาในวังหลังเซียวหลินเทียนตะลึงไปครู่หนึ่ง เขายุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดว่ามีหลิงอวี๋ก็เพียงพอแล้ว สตรีคนอื่น ๆ มิอาจเทียบได้กับหลิงอวี๋“ฝ่าบาท ฮองเฮามีคุณธรรมทั้งยังทรงปราดเปรี่องเหนือผู้ใด เรื่องนี้ให้ฮองเฮาจัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”“ทุกคนล้วนหวังดีกับฝ่าบาท หวังให้ฝ่าบาทมทรงทรงพระเกษมสำราญ ในวังนี้ยิ่งมีสตรีคอยปรนนิบัติฝ่าบาทมากก็ยิ่งมีทายาทให้ฝ่าบาทได้มากพ่ะย่ะค่ะ!”จ้าวฮุยก้าวออกมาช่วยพูดด้วยเจตนาที่มิดีไม่มีสตรีที่มิอิจฉาริษยา หากหลิงอวี๋ต้องรับผิดชอบในการคัดเลือกสนมจะต้องมีความขัดแย้งกับเซียวหลินเทียนอย่างแน่นอนความสัมพันธ์ของสองคนนี้ในตอนนี้แข็งแรงราวกับเหล็ก ในเมื่อตอนนี้ยังกำจ
เรื่องการคัดเลือกสนมจึงถูกเซียวหลินเทียนปัดตกไปโดยวิธีนี้แต่ขุนนางเหล่านั้นกลับมิเห็นด้วยในเรื่องนี้ บุรุษผู้ใดบ้างมิเจ้าชู้ เซียวหลินเทียนแค่หาข้ออ้างชั่วคราวเท่านั้นรอกระทั่งเขานั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคงก่อนเถิด จะต้องเฟ้นหาสนมมาเติมเต็มวังหลังอย่างแน่นอนหลิงอวี๋ติดตามท่านอ๋องผิงหนานกลับมาที่เมืองหลวงในวันนี้เมื่อเซียวหลินเทียนได้รับจดหมายรายงานก็พาเหล่าขุนนางมาที่เนินสิบลี้ด้วยตนเองเขาอ้างว่า เป็นการมาต้อนรับท่านอ๋องผิงหนานผู้แทนพระองค์ที่กลับมาพร้อมชัยชนะ แม้ว่าพวกของจ้าวฮุยจะมีข้อคิดเห็นแต่ก็มิอาจคัดค้านได้หลิงอวี๋ได้รับรู้เรื่องที่ตนถูกผู้ตรวจการกล่าวโทษที่ออกจากวังหลวงมาจากปากของหลิงซวนที่ออกมารับล่วงหน้าแล้ว และย่อมมิเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟอีก นางจึงลาท่านอ๋องผิงหนานและกลับวังก่อนเซียวหลินเทียนเห็นว่าในขบวนนั้นไม่มีหลิงอวี๋ ก็เข้าใจว่าหลิงอวี๋กลัวว่าตนจะลำบากใจจึงได้ไปก่อนแล้วเขารู้สึกมิค่อยดีเท่าไร เห็น ๆ กันอยู่ว่าหลิงอวี๋ไปในคราวนี้ก็เป็นการไปช่วยงานราชสำนัก เหตุใดนางจึงมิได้รับการต้อนรับดังเช่นท่านอ๋องผิงหนานเล่า!การโจมตีด้วยวาจาของพวกหัวโบราณดื้อดึงเหล่านี
หลิงเสียงกังสูญเสียความทรงจำในอดีตไปแล้วจึงมิได้สนใจเรื่องตำแหน่งและรางวัลใด ๆแต่เฝิงฉินนั้นสนใจ ตลอดการเดินทางมา นางได้เห็นเมืองที่อยู่โดยรอบเมืองหลวงต่างเจริญรุ่งเรืองกว่าสิงหยาง นางจึงยิ่งเพ้อฝันถึงเมืองหลวงหากหลิงเสียงกังได้กลับคืนสู่ตำแหน่งการงาน เช่นนั้นตนก็จะเป็นฮูหยินแม่ทัพแม้ว่าจะเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามา แต่นั่นก็เป็นฮูหยินเช่นกัน!ยิ่งไปกว่านั้น เฝิงฉินมิได้รู้สึกว่านางซุนภรรยาคนเดิมของหลิงเสียงกังจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้นางเยาว์วัยกว่านางซุน งดงามกว่านางซุน ทั้งยังรู้วิธีเอาอกเอาใจบุรุษยิ่งกว่านางซุนด้วยนางมิเชื่อว่าหลิงเสียงกังจะหนีไปจากเงื้อมมือของตนได้หลิงหว่านมิอยากพบคนท่าทางเย้ายวนเช่นเฝิงฉิน ดังนั้นเมื่อแยกตัวจากกลุ่มใหญ่จึงลากหลิงเสียงกังเดินไปด้านข้างพลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา“ข้าให้แม่ทัพเผยส่งจดหมายไปที่บ้านแล้ว ท่านปู่กับท่านแม่รู้แล้วว่าท่านยังมีชีวิตอยู่!”“แต่มิรู้ว่าท่านมีภรรยาใหม่แล้ว!”“คำแนะนำของข้าก็คือ เมื่อท่านเข้าเมืองแล้วก็พานางกับลูกไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมก่อนชั่วคราว รอให้กลับไปคุยกับท่านแม่ข้าที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยมารับนา
หลังจากที่นางซุนแม่ของหลิงหว่านได้รับจดหมายที่เผยอวี้ส่งมาก็ดีใจมากกับข่าวที่คาดมิถึงนี้ สามีของตนยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งแต่กระทั่งเห็นว่าหลิงเสียงกังแต่งงานใหม่แล้ว และนางเฝิงภรรยาใหม่ก็ตั้งครรภ์สองเดือนแล้ว จิตใจของนางก็จมดิ่งลงนางมิแน่ใจว่าตนควรจะดีใจหรือกังวลดีตอนนั้นที่หลิงเสียงเซิงแต่งงานหวางซือเข้ามา หลานฮุ่ยจวนแม่ของหลิงอวี๋ก็ถูกหวางซือทำให้ตายไปอย่างช้า ๆหลิงเสียงเซิงโปรดปรานหวางซือมากกว่าหลานฮุ่ยจวน สิ่งเหล่านี้นางซุนได้เห็นมากับตาหลายปีมานี้นางรู้สึกดีใจมาโดยตลอดว่าสามีของตนเป็นคนเปิดเผยซื่อตรง มิได้หลงใหลในอนุจนละเลยภรรยาดังเช่นหลิงเสียงเซิง ไหนเลยจะคิดว่าตอนนี้หลิงเสียงกังจะมีบ้านเล็กบ้านน้อยเช่นกันท่านอดีตเสนาบดีมิยี่หร่ะ เขารู้ว่าพบหลิงเสียงกังก็พอใจแล้ว ไหนเลยจะสนใจว่าหลิงเสียงกังมีภรรยาอีกคนหรือไม่ตั้งแต่กลับมาหลิงเสียงเซิงก็มิได้มีโอกาสไปพบหลิงอวี๋เพื่อร้องขอหน้าที่การงาน ในใจจึงเต็มไปด้วยความโกรธที่มีต่อท่านอดีตเสนาบดีตอนนี้เมื่อได้ยินว่าหลิงเสียงกังยังมีชีวิตอยู่ หลิงเสียงเซิงก็รู้สึกมิสบายใจนักหากหลิงเสียงกังตายอยู่ด้านนอก หลังจาก
“กู่ซุ่ย ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้า แต่ข้าก็เป็นเช่นนี้ มิต้องการพึ่งการแต่งหน้าทาปากมาดึงดูดเขาหรอก!”นางซุนเอ่ยเสียงเรียบ “วันเวลาผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ความงดงามมิใช่สิ่งที่คนอายุเช่นข้าควรจะทำแล้ว!”“เขาสามารถรับความเรียบง่ายเช่นนี้ของข้าได้ เช่นนั้นเขาจึงจะเป็นสามีของข้า!”“หากมิอาจยอมรับได้ ต่อให้ข้าจะแต่งอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์!”กู่ซุ่ยฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ แต่คำพูดของนางซุนก็เป็นเหตุเป็นผลเช่นกันแต่กู่ซุ่ยก็ยังมิยอมแพ้ นางยืนกรานจะให้นางซุนทาปากบาง ๆ ทั้งยังเอ่ยแนะนำ “พี่สะใภ้ สิ่งที่ท่านพูดมานั้นมีเหตุผล แต่นั่นเป็นสมัยก่อน!”“ตอนนี้กับเมื่อก่อนต่างกัน หากท่านอยากตามสามีของท่านกลับมาก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง!”“ท่านดูเถิด เมื่อทาปากไปเช่นนี้ มิได้เห็นชัดเจนนักแต่ทำให้ท่านดูดีขึ้นมาทันที!”“พี่สะใภ้ ตัวเราเองยังมองว่าสวยเลยใช่หรือไม่? ดังนั้นท่านก็ถือเสียว่ามิใช่การทำเพื่อเขาแต่ทำเพื่อตัวท่านเอง! เราเอาจแพ้คนอื่นได้ แต่เรามิอาจสูญเสียจิตวิญญาณได้!”กู่ซุ่ยเอ่ยให้กำลังใจ “แต่งตัวงดงาม ผู้อื่นมองแล้วสบายตา ตนมองเองก็อารมณ์ดี!”นางซุนมองตนเองในกระจก ดูดีจริง ๆ จากนั้นก็มองกู่
แต่จนสุดท้ายหลิงหว่านก็มิได้โวยวายออกไป เพราะท่านแม่ห้ามปรามไว้แต่เรื่องราวเหล่านี้ นางรับใช้ที่กลับไปรายงานหลิงอวี๋ได้แจกแจงรายละเอียดให้หลิงอวี๋ฟังอย่างละเอียดหลังจากที่หลิงอวี๋ซักถามแล้วหลิงอวี๋ฟังเรื่องเหล่านั้นแล้วก็รู้สึกหนักอึ้งหากหลิงเสียงกังไม่มีวันนึกเรื่องในอดีตได้ เช่นนั้นป้าสะใภ้ใหญ่กับหลิงหว่านก็จะต้องได้รับความคับข้องใจเช่นนี้นี่มันมิยุติธรรมกับป้าสะใภ้ใหญ่!ก้อนเลือดที่อยู่ในสมองของหลิงเสียงกังควรต้องหาเวลาช่วยเอาออกมาให้เขา หลิงอวี๋ตัดสินใจว่า วันหลังจะออกจากวังไปเกลี้ยกล่อมหลิงเสียงกังให้ตกลงผ่าตัดเมื่อคิดแล้วก็ทำเลย วันรุ่งขึ้นหลิงอวี๋จึงจัดการเรื่องในวังให้เรียบร้อย และจะพาหลิงซวนกับสุ่ยหลิงออกจากวังไปด้วยกันแต่เพิ่งจะไปได้เพียงครึ่งทางก็มีนางกำนัลของไท่เฟยเส้าคนหนึ่งมาตาม“ฮองเฮาเพคะ ไท่เฟยเส้าของพวกเราอยากเชิญท่านไปพูดคุยเพคะ!”นางกำนัลเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาหลิงอวี๋ขมวดคิ้วหลิงซวนจึงเอ่ยอย่างมิเกรงใจ “ไท่เฟยเส้าอยากจะเชิญฮองเฮาไปพูดคุยก็ควรจะส่งคนมาแจ้งก่อนเสียหน่อย ตอนนี้ฮองเฮาของเรามีธุระจะต้องออกไปทำ รอกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิด!”นางกำนัลคุกเข่า