“สาส์นที่ใต้เท้าจางส่งมาเป็นเรื่องสตรีผู้หนึ่งที่เขตหมินเก็บทองได้แล้วมิถือเอาเป็นของตน… นี่เป็นเรื่องดี ใต้เท้าจาง เจ้าส่งป้ายผ้าให้นางเป็นรางวัลแทนข้าที!”เซียวหลินเทียนโยนสาส์นที่เขารู้สึกว่าไร้สาระลงบนพื้นทีละอันอย่างไร้ความปรานี“ใต้เท้าวาง ที่ข้างถนนมีเด็กเล็กสองคนทะเลาะกัน ในสาส์นที่เจ้าส่งมาบอกว่า พ่อแม่ของพวกเขาสั่งสอนมิดี เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าไปช่วยพ่อแม่ทั้งสองครอบครัวดูแลเด็กเล็กสองคนนั้น!”“เมื่อใดที่เด็กสองคนนั้นมิทะเลาะกันแล้วเจ้าค่อยกลับมาทำงานต่อ! จงจำไว้ มิใช่ว่าการที่เขามิทะเลาะกันเพียงหนึ่งถึงสองเดือนก็ถือว่าเจ้าสั่งสอนสำเร็จแล้ว แต่ต้องเป็นเวลาจนกว่าจะถึงอายุยี่สิบปี!”ใต้เท้าวางหน้าซีดเผือด จะดูแลได้อย่างไรกัน!เด็กสองคนนั้นเพิ่งจะอายุห้าหกขวบ รอให้พวกเขาอายุสิบห้ายี่สิบ เช่นนั้นตนเองต้องสิ้นเปลืองเวลาเกือบสิบปีไปอยู่กับพวกเขาหรือ?เขานึกเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง มีเรื่องตั้งมากมายไฉนตนกลับบอกเรื่องนี้ในสาส์นกราบทูลกันเล่า!จากที่เซียวหลินเทียนอ่านสาส์นกราบทูลแต่ละอันแล้ว พวกขุนนางลูกน้องของจ้าวฮุยหลายคนก็ถูกเซียวหลินเทียนเปลี่ยนวิธีต่าง ๆ ปรามไปหมดแล้วจ้าวฮ
เซียวหลินเทียนลงโทษพวกใต้เท้าข่งกับใต้เท้าวางก่อน หลังจากนั้นสาส์นน่าเบื่อเหล่านี้ก็มิปรากฏอยู่บนโต๊ะทรงงานของเซียวหลินเทียนอีกเลยแผนการเล็ก ๆ นี้ของจ้าวฮุยถูกเซียวหลินเทียนใช้วิธีการเช่นนี้จัดการไปแล้วอันเจ๋อกับเผยอวี้นับถือเซียวหลินเทียนมาก แต่เซียวหลินเทียนกลับมิกล้าภาคภูมิใจในตนเองด้วยเรื่องนี้จ้าวฮุยเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ เมื่อแผนการหนึ่งมิสำเร็จจะต้องมีแผนการมาอีกแน่นอนเวลานี้เซียวหลินเทียนยังมิได้ครองบัลลังก์ ไม่มีเหตุผลที่เป็นธรรมและมิสามารถแตะต้องจ้าวฮุยได้ ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ก่อนเท่านั้นจ้าวฮุยมองสาส์นกราบทูลที่ว่างเปล่า เขารู้ว่าเซียวหลินเทียนทำวิธีนี้เพื่อปรามขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนแต่เขาทำอย่างสมเหตุสมผล แม้ว่าเขาจะมิพอใจแต่ก็ทำได้เพียงอดทนไว้เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋มิธรรมดาเลย!ระหว่างที่จ้าวฮุยกลับไปก็ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ตลอด เขาคิดว่าตนได้พบกับคู่ต่อสู้สองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตแล้วเซียวหลินเทียนมีความสามารถทั้งทางบุ๋นและบู๊ อีกทั้งยังมีไหวพริบที่โดดเด่นด้วย การจะจัดการเขาสักคนก็ยากมากพอแล้วยังมีหลิงอวี๋เพิ่มเข้ามาอีก สตรีผู้นี้เอ
ทางด้านหลิงอวี๋ก็ยุ่งง่วนมาก เมื่อพระชายาผิงหนานเตือนขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปพาตัวหลิงเยวี่ยมาเคารพพระบรมศพของจักรพรรดิอู่อันหลิงอวี๋ค่อนข้างสับสน การที่หลิงเยวี่ยมาครั้งนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการยอมรับตัวตนว่าเขาคือลูกชายแท้ ๆ ของเซียวหลินเทียนแม้ว่าวันนั้นเซียวหลินเทียนจะบอกว่า เขาจะไม่มีทางสงสัยอีกว่าหลิงเยวี่ยเป็นลูกชายแท้ ๆ ของเขาหรือไม่ แต่ใครจะรู้ว่าเป็นคำพูดที่ขัดต่อจิตใจของเซียวหลินเทียนหรือว่าเขาพูดจริงนางครุ่นคิดอยู่นานถึงให้หลิงซวนไปรายงานเซียวหลินเทียน ลองหยั่งเชิงท่าทีของเซียวหลินเทียนดูไหนเลยจะคิดว่าเซียวหลินเทียนจะไปรับหลิงเยวี่ยด้วยตัวเองท่ามกลางงานที่ยุ่งมาก ๆท่านอดีตเสนาบดีเกษียณออกมาแล้ว มิต้องไปเคารพพระบรมศพในวัง แต่ที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนก็แขวนผ้าขาวไว้ทุกข์เช่นกันเมื่อคนเฝ้ายามที่หน้าประตูเห็นว่าจักรพรรดิองค์ใหม่มาด้วยตัวเองก็ตกใจรีบส่งคนเข้ามารายงานหลิงหว่านกับป้าสะใภ้ใหญ่รีบพาหลิงเยวี่ยและประคองท่านอดีตเสนาบดีไปต้อนรับที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วเซียวหลินเทียนมิได้คาดคิดถึงการกระทำยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่ด้วยตัวตนของเขาในตอนนี้ มิสามารถให้คนเฝ้ายามนำตนเองเ
คำพูดของท่านอดีตเสนาบดีทำเอาเซียวหลินเทียนเหงื่อตก เขาจึงเอ่ยไปทันที“ท่านอดีตเสนาบดี ท่านวางใจเถิด ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางทอดทิ้งอาอวี๋!”“มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น พูดถึงเรื่องที่อาอวี๋รักษาขาของข้าจนหายดี ทั้งยังช่วยชีวิตข้าไว้ตั้งหลายครั้ง หากข้าทำมิดีต่อนาง เช่นนั้นจะต่างอะไรกับเดรัจฉานเล่า!”เซียวหลินเทียนกังวลจนมิได้วางตัวแล้ว เขาเอ่ยอย่างจริงใจ“ข้าจะดีกับอาอวี๋และเยวี่ยเยวี่ย ชีวิตนี้ ผู้ใดก็มิอาจมาแทนที่ของอาอวี๋ในใจของข้าได้!”เมื่อได้รับคำสัญญาของเซียวหลินเทียน ท่านอดีตเสนาบดีก็รู้สึกพอใจ พลางตะโกนเรียก “เยวี่ยเยวี่ย!”“ท่านตาทวด!”หลิงเยวี่ยเดินเข้ามาหา“ทำความเคารพเสด็จพ่อของเจ้าสิ!”ท่านอดีตเสนาบดีโอบกอดหลิงเยวี่ยเข้ามาพลางเอ่ยอย่างใจเย็น “เสด็จปู่ของเจ้าจากไปแล้ว เจ้าต้องตามเสด็จพ่อเข้าวังไปเฝ้าพระบรมศพเสด็จปู่นะ!”“จงจำไว้ เข้าวังไปแล้วห้ามเอาแต่ใจ ต้องเชื่อฟังแม่นมกับเสด็จแม่ของเจ้า และต้องกตัญญูต่อเสด็จพ่อกับไทเฮาด้วยนะ!”หลิงเยวี่ยหน้าบึ้ง แล้วโผเข้าซบในอ้อมกอดของท่านอดีตเสนาบดี พลางเอียงหัวแล้วเอ่ย “ท่านตาทวด เยวี่ยเยวี่ยมิไปได้หรือไม่?”“เยวี่ยเยวี่ยมิชอบคนคน
หลิงเยวี่ยได้ยินเซียวหลินเทียนบอกว่าพวกเขามีศัตรูมากก็เป็นห่วงหลิงอวี๋ขึ้นมาทันทีเซียวหลินเทียนสังเกตคำพูดและท่าทีจึงรีบเอ่ย“เยวี่ยเยวี่ย ท่านแม่ของเจ้าเคยบอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับความลำบากก็ควรจะร่วมแรงร่วมใจกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน!”“เยวี่ยเยวี่ย หากเจ้ามิยอมตามข้าเข้าไปในวัง เจ้ามิกังวลว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะมิได้เจอพวกเราอีกแล้วหรือ?”หลิงเยวี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันทีใช่ หากมิตามคนคนนี้เข้าวังไปก็จะมิได้เจอท่านแม่ของตน!เขาจ้องมองเซียวหลินเทียนอย่างเกลียดชังแล้วจึงเอ่ย “กระหม่อมจะตามท่านเข้าวัง!”เขากลัวว่าเซียวหลินเทียนจะเข้าใจผิดว่าตนให้อภัยเขาแล้ว หลิงเยวี่ยจึงเอ่ยต่อ “เพื่อท่านแม่ของกระหม่อม มิใช่เพื่อท่าน!”เซียวหลินเทียนรู้ว่าตนทำให้เขาเสียใจ หากอยากให้เขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อตนในทันทีก็คงจะเป็นไปมิได้เซียวหลินเทียนจึงทำได้เพียงถอยหลังก้าวหนึ่งพลางเอ่ย “ได้ ข้าจะทำตัวดี ๆ ให้เจ้ายอมรับข้า!”หลิงเยวี่ยจึงถูกเซียวหลินเทียนรับกลับเข้าวังไปเช่นนี้ระหว่างทาง เซียวหลินเทียนจึงเอ่ยกำชับ “หลังจากเข้าวังไปแล้วนามเรียกขานของเจ้าก็จะย
หลิงอวี๋เห็นเขาร้องไห้ก็รู้สึกปวดใจแล้วกลั้นน้ำตาหอมแก้มเขาไปพลางเอ่ย “ต่อไปแม่กับเยวี่ยเยวี่ยจะมิต้องแยกจากกันอีกแล้ว เยวี่ยเยวี่ยเด็กดี ไปเปลี่ยนชุดไว้ทุกข์แล้วไปเคารพพระบรมศพเสด็จปู่กันเถอะ!”“ท่านแม่ ท่านผู้นั้นบอกว่าต้องให้ข้าเปลี่ยนนามเป็นเซียวเยวี่ย บอกว่าหากมิเปลี่ยนจะสร้างความยุ่งยากให้ท่านแม่!” หลิงเยวี่ยถือโอกาสกระซิบบอกหลิงอวี๋หลิงอวี๋มองไปทางเซียวหลินเทียนที่อยู่ด้านข้างเซียวหลินเทียนได้ยินหลิงเยวี่ยเรียกตนเองว่าท่านผู้นั้น ใบหน้าก็กระตุก หลิงเยวี่ยมิยอมแม้แต่จะเรียกว่าเสด็จพ่อเลย นี่ยังโกรธตนเองอยู่อีกหรือเมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋จ้องมองตนอย่างโกรธเคือง เซียวหลินเทียนก็ทำได้เพียงก้าวเข้าไปพลางกระซิบ“เมื่อก่อนข้าเป็นคนผิดเองที่มิได้ให้นามเยวี่ยเยวี่ย! แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าผิด เจ้าให้เยวี่ยเยวี่ยเปลี่ยนมาใช้สกุลเซียวเถิดนะ!”“อาอวี๋ วังหลวงมิเหมือนข้างนอก หากใช้สกุลหลิงต่อไปจะสร้างความยุ่งยากให้เจ้ากับเยวี่ยเยวี่ยได้!”“เยวี่ยเยวี่ยเป็นลูกชายข้า ให้เขาได้รู้จักบรรพบุรุษของเขาเถิด นี่คือการกลับใจที่จริงใจของข้า!”หลิงอวี๋ขมวดคิ้ว แม้ว่าจะมิรู้ว่าเรื่องราวในภายภาคหน้า
คำพูดของจูหลานทำเอาจ้าวเจินเจินพูดมิออกแม้ว่าจ้าวเจินเจินจะสามารถออกเงินค่าผักเหล่านี้ได้เช่นกัน แต่เรื่องอะไรนางจะต้องควักเงินของตนไปซื้อใจคนเพื่อหลิงอวี๋ด้วยเล่า!พระชายาเส้าอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นแต่ก็มิได้คิดจะช่วยเหลือจ้าวเจินเจินตอนนี้นางมิอยากจะพบจ้าวเจินเจินเลยสตรีผู้นี้ กางปีกภูมิใจว่าตนเป็นสตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่นอกจากหน้าตาแล้ว นางมีคุณสมบัติใดที่โดดเด่นกันเล่า!มงกุฎที่เป็นเครื่องหมายของสตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวงถูกหลิงอวี๋แย่งไปแล้ว!นางใส่ร้ายหลิงอวี๋ครั้งแล้วครั้งเล่าก็มิเป็นผล กลับทำให้ชื่อเสียงของตนได้รับความเสียหายอีก!ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยังมิสามารถมีบุตรให้องค์ชายคังได้เลยสตรีที่ไม่มีประโยชน์ต่อองค์ชายคังเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ หากพระชายาเส้ามิสนใจในอำนาจจ้าวฮุยก็คงให้องค์ชายคังขอหย่ากับนางไปตั้งนานแล้ว!เมื่อเห็นว่าในเวลานี้จ้าวเจินเจินจัดการมิได้แม้แต่พระชายาเย่เพียงผู้เดียว พระชายาเส้าก็รังเกียจมากช่วงนี้คนจำนวนมากในเมืองหลวงต่างก็พูดกันว่า หลิงอวี๋คือผู้ส่งเสริมให้ชีวิตสามีเจริญรุ่งเรืองพูดกันว่านับตั้งแต่ที่นา
จ้าวเจินเจินมองไปทางหลิงอวี๋อย่างหงุดหงิดหลิงอวี๋คุกเข่าอยู่อย่างตั้งใจ ก้มหน้าตั้งสมาธิ ท่าทีที่ดูสงบผ่อนคลายนั้นยิ่งทำให้จ้าวเจินเจินแทบบ้าหลิงอวี๋มีสิทธิ์อะไรถึงได้สง่างามเช่นนี้ อีกทั้งด้วยสถานะของนางก็มิต้องคุกเข่าอย่างยากลำบากถึงเพียงนี้ด้วยหากตนมิต้องคุกเข่าก็สงบผ่อนคลายได้เช่นกันหลิงอวี๋มันเป็นโจร!นางแย่งทุกอย่างที่เป็นของตนไป!สารเลว! นางสารเลว!“ข้าจะออกไปสูดอากาศ!”จ้าวเจินเจินทนมิไหวแล้วจริง ๆ นางพูดเสียงเบาแล้วถอยออกไปสายลมเย็นในฤดูหนาวพัดมาปะทะใบหน้าของนาง ความหนาวเหน็บกัดกินไปจนถึงกระดูก จ้าวเจินเจินจึงได้รู้สึกว่าอาการเวียนหัวจากกลิ่นธูปของตนเริ่มดีขึ้นมานางก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เดินไปถึงเส้นทางที่เซียวหลินเทียนต้องผ่านแล้วรออย่างอดทนอีกมินาน จะต้องมีคนไปรายงานเซียวหลินเทียนว่ามีเรื่องด่วน แล้วเซียวหลินเทียนก็จะต้องหยุดเฝ้าพระบรมศพและผ่านมาทางนี้จ้าวเจินเจินมิรู้ว่า ท่านพ่อให้คนมาส่งข้อความถึงตนว่าให้มารอเซียวหลินเทียนตรงนี้ด้วยเจตนาอันใดแต่นางแอบคาดเดาไปว่า องค์ชายคังกับท่านพ่อคงวางแผนบางอย่างเพราะมิอยากให้เซียวหลินเทียนขึ้นครองบัลลังก์เจตนา