คำพูดของหลิงอวี๋ทำให้ดวงตาของเซียวหลินเทียนเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาได้รู้เรื่องที่หลิงอวี๋สามารถใช้พลังวิญญาณเก็บและเรียกดาบวิเศษออกมาได้หากสิ่งที่หลิงอวี๋พูดเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นหากเจอดาบวิเศษที่ตนหยดเลือดสร้างพันธะด้วยได้ เขาก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณคุมดาบไปสังหารคนได้เช่นกันมิใช่หรือ?“อาอวี๋ เช่นนั้นข้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนพลังวิญญาณ!”เซียวหลินเทียนยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เขาต้องรีบบำเพ็ญเพียรพัฒนาตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงตอนที่ได้รับดาบวิเศษเช่นนั้นจริง ๆ แล้วตนเองกลับมิสามารถควบคุมมันได้หลิงอวี๋เองก็คล้อยตามไปกับความตื่นเต้นของเซียวหลินเทียนเช่นกัน คำพูดของมู่หรงเหยียนซงเป็นการยืนยันแล้วว่า ใต้หล้าผืนนี้ยังมีอีกใต้หล้าที่เหนือชั้นกว่านี้ไปอีกเก๋อเทียนซือสามารถมาที่ฉินตะวันตกได้ ก็อาจจะมีศัตรูอีกมากที่มาได้เช่นกันหากนางมิอยากถูกคนอื่นทำร้ายแล้วมิสามารถตอบโต้ได้ ก็ทำได้เพียงพัฒนาตนเองเท่านั้น “เซียวหลินเทียน ท่านสอนวรยุทธให้หม่อมฉันเถิดเพคะ! หม่อมฉันเองก็ต้องขยันแล้วเช่นกัน!”ในบรรดาคนที่หลิงอวี๋รู้จักในตอนนี้ก็มีเซียวหลินเทียนที่มีวรยุทธสูงที่สุด นางทำได้เพียงให้เซียวหลินเทีย
นี่มันหยิ่งผยองเกินไปจริง ๆ!เซียวหลินเทียนลุกขึ้นอย่างเดือดดาลแล้วรีบแต่งตัวออกไปที่หลุมศพของหลี่ว์กังพร้อมกับหลิงอวี๋อย่างรวดเร็วระหว่างทางก็ได้พบกับหลี่ว์เซียงกับหลี่ว์จงเจ๋อที่ได้ข่าวแล้วรีบมาเช่นกันหลี่ว์เซียงโกรธจนพูดติด ๆ ขัด ๆ เอ่ยขึ้นมา “รังแกกันมากไปแล้ว… รังแกกันมากเกินไปแล้วจริง ๆ! เซี่ยโฮ่วตานรั่วผู้นี้คิดว่าฉินตะวันตกไม่มีใครเลยจริง ๆ หรือไร?”“นางกล้าเฆี่ยนตีศพ! ข้า… ข้าจะต้องกราบทูลต่อองค์จักรพรรดิให้นางชดใช้!”สายตาของหลี่ว์จงเจ๋อมองหลิงอวี๋อย่างซับซ้อน หลิงอวี๋คาดการณ์ถูกอีกแล้ววันนี้ตอนที่เสร็จสิ้นพิธีศพของหลี่ว์กัง ก่อนที่หลิงอวี๋จะกลับไปก็ได้บอกกับหลี่ว์จงเจ๋อเป็นการส่วนตัว“ฮูหยินสามไปอาศัยอยู่ที่ไร่นาของข้า หากเซี่ยโฮ่วตานรั่วมิสามารถลงมือกับพวกนางได้ มิแน่ว่าอาจจะมาระบายความโกรธที่ศพของหลี่ว์กังก็ได้! เจ้าหาคนสักสองสามคนไปเฝ้าที่หลุมศพหลี่ว์กังไว้ในตอนที่พวกเซี่ยโฮ่วตานรั่วยังมิออกจากฉินตะวันตก ป้องกันไว้ก่อน!”ก่อนหน้านี้หลี่ว์จงเจ๋อยังมิเห็นด้วยเท่าไร คิดว่าคนตายไปแล้วเซี่ยโฮ่วตานรั่วคงมิทำอันใดกับคนตายหรอกทว่าด้วยความเชื่อใจที่มีต่อหลิงอวี๋ หลี่ว
“คิดจะไปหรือ? มิง่ายดายเพียงนั้นหรอก!”เซียวหลินเทียนกับหลี่ว์จงเจ๋อตะโกนขึ้นมาพร้อมกันพวกองครักษ์จ้าวซวนกับคนของหลี่ว์จงเจ๋อต่างไปขวางทางเซี่ยโฮ่วตานรั่วเอาไว้เซี่ยโฮ่วตานรั่วมองไปทางเซียวหลินเทียนอย่างเกลียดชัง เซียวหลินเทียนเมินเฉยต่อความรักของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้นางเกลียดชัง นางจึงตะโกนออกไปอย่างเอาแต่ใจ“มิให้ข้าไปรึ? เซียวหลินเทียน หรือว่าท่านจะกล้าฆ่าข้าเล่า?”“หากท่านกล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายเส้นผม เสด็จพี่ของข้าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”“ผู้ที่ได้รับความพ่ายแพ้ยังจะกล้าหยิ่งผยองที่นี่อีก! เหตุใดเสด็จพี่ของเจ้าจะมิปล่อยข้าไปเล่า?”เซียวหลินเทียนยิ้มอย่างดูถูก พวกเขาชนะองค์ชายหนิงในการล้อมเมือง และยังเป็นเพียงแค่กลุ่มของตนเท่านั้นด้วย นี่ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่า ความสามารถในการรบของกลุ่มฉินตะวันตกของพวกเขาคว้าชัยห่างจากฉีตะวันออกไปไกลแล้วองค์ชายหนิงหรือจะกล้าแตะต้องเขา?นี่เซี่ยโฮ่วตานรั่วกำลังพูดเรื่องตลกอยู่หรือ?ความเย่อหยิ่งของเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกปรามลงไปทันที พวกเขาแพ้และสูญเสียเมืองไปสองเมืองก็พิสูจน์แล้วว่าสู้มิได้เกรงว่าถึงเสด็จพี่มาก็ไม่มีทางจะสนับสน
องค์ชายหนิงถูกซินจิ้งปลุกขึ้นมาจากความฝัน เมื่อรู้ว่าเซี่ยโฮ่วตานรั่วพาคนไปเฆี่ยนตีศพและทำลายหลุมศพของหลี่ว์กังในชั่วขณะหนึ่งองค์ชายหนิงคิดว่าตนฝันอยู่ยังมิตื่น!กระทั่งตื่นเต็มตาแล้วเขาก็สะบัดข้อมือตบซินจิ้งอย่างแรง พลางตะโกนใส่อย่างร้อนใจ“นางไปทำเรื่องเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงมิห้ามไว้?”“สารเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความเยี่ยงไร?”ซินจิ้งถูกตบทรุดลงไปกับพื้น นางอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาเหตุใดนางจะมิรู้ความร้ายแรงของเรื่องนี้แต่เซี่ยโฮ่วตานรั่วทำเรื่องเช่นนี้กลัวว่านางจะห้าม จึงแอบวางยาลงในน้ำชาของนางกระทั่งซินจิ้งตื่นขึ้นมาแล้วตามไป เซี่ยโฮ่วตานรั่วก็ถูกแม่ทัพเฉินพาตัวไปที่ศาลาว่าการมณฑลแล้ว“องค์ชาย บ่าวผิดไปแล้วเพคะ!”ซินจิ้งคุกเข่าลง นางมิสนใจที่จะเช็ดเลือดที่ไหลออกมาตรงมุมปากของตน พลางเอ่ยออกไป “องค์หญิงถูกพาตัวไปที่ศาลาว่าการมณฑลแล้วเพคะ องค์ชายได้โปรดคิดหาวิธีไปพาตัวองค์หญิงกลับมาทีเถิดเพคะ!”“พากลับมา?”องค์ชายหนิงโกรธขึ้นมาเลย “เจ้าเห็นว่านี่คือศาลาว่าการของฉีตะวันออกของเราเองหรือไร?”“ทหารที่ข้าพามาที่ฉินตะวันตกมีเท่าใดกัน? เจ้าจะให้ข้าพาคนเหล่านี้ไปชิงตัวเซี
ณ วังหลวงในยามเช้าตรู่ ขันทีฉางปัดแส้พลางเอ่ยออกมา “มีเรื่องก็กราบทูล ไม่มีเรื่องก็ถอยกลับไป!”คำพูดของขันทีฉางเพิ่งจะสิ้นสุด หลี่ว์เซียงก็กอดสาส์นที่จะกราบทูลออกมาแล้วคุกเข่าลง จากนั้นก็เอ่ยเสียงสะอื้น “ฝ่าบาท กระหม่อมต้องการร้องเรียนพ่ะย่ะค่ะ!”จักรพรรดิอู่อันตะลึงแล้วมองไปทางขันทีฉางขันทีฉางเองก็ดูตะลึงเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้จักรพรรดิอู่อันมิพอใจมาก เขาจ้องมองขันทีฉางแล้วหันไปทางหลี่ว์เซียง “เจ้ามีเรื่องอันใดก็พูดมาเลย!”ขันทีฉางผู้นี้สู้ขันทีเซี่ยมิได้เลยจริง ๆ อย่างน้อยในยามนี้ขันทีเซี่ยก็เตือนตนได้ว่าหลี่ว์เซียงจะทำสิ่งใดหลี่ว์เซียงมิได้ลุกขึ้น เขาคุกเข่าพลางยกสาส์นกราบทูลสูงขึ้น “กระหม่อมมิได้มีเรื่องกราบทูล แต่กระหม่อมจะร้องเรียนพ่ะย่ะค่ะ! โปรดฝ่าบาทดูสาส์นกราบทูลก่อนแล้วค่อยดำเนินการตัดสินเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”จักรพรรดิอู่อันโบกมือ แล้วขันทีฉางก็วิ่งเหยาะ ๆ ไปรับสาส์นกราบทูลของหลี่ว์เซียงเหล่าขุนนางต่าง ๆ ด้านล่าง มีมิกี่คนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน นอกจากนั้นยังมิรู้เรื่องเมื่อเห็นหลี่ว์เซียงร้องเรียน ขุนนางที่มิรู้เรื่องก็ตกใจ หลี่ว์เซียงคงมิได้จะจัดการใครใช่หรือไม
เรื่องนี้ขุนนางบางส่วนยังมิรู้ เมื่อได้ยินดังนี้จึงมองไปทางหลี่ว์เซียงอย่างแปลกใจที่แท้หลี่ว์เซียงออกหน้าให้หลี่ว์กังอย่างร้อนใจเช่นนี้ก็เพราะเป็นการแก้แค้นส่วนตัวนี่เอง!หลี่ว์เซียงกับจ้าวฮุยมิลงรอยกันมาครึ่งชีวิตแล้ว สูสีกันมาตลอด ก่อนหน้านี้เขาก็กังวลอยู่ว่าจ้าวฮุยจะทำให้ตนเสียเรื่องคิดมิถึงว่าจ้าวฮุยจะมิได้ออกหน้า แต่คนออกหน้าเป็นองค์ชายคังลูกเขยของเขาแทนหรือว่าจ้าวฮุยคอยสั่งการองค์ชายคังอยู่เบื้องหลังให้จัดการตน?คำพูดขององค์ชายคังอยากจะให้ตนเสื่อมเสีย มีจังหวะจะโค่น ทำให้องค์จักรพรรดิคิดว่าตงเป็นคนที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมมิออกหรือไม่?หลี่ว์เซียงคิดไปก็เอ่ยถามอย่างเย็นชาไป “กระหม่อมมิเข้าใจสิ่งที่องค์ชายตรัส หลี่ว์กังเป็นหลานชายของกระหม่อม กระหม่อมมิเคยปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“การที่หลี่ว์กังถูกทำลายหลุมศพและเฆี่ยนตีศพก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน! กระหม่อมร้องขอความยุติธรรมจากองค์จักรพรรดิ มีทั้งเหตุผลและหลักฐาน เหตุใดจึงเป็นการแก้แค้นส่วนตัวเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”องค์ชายคังเอ่ยเรียบ ๆ “หลี่ว์เซียง อย่าได้รีบร้อนโต้เถียงเลย… ให้ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่งก่อนก็จะกระจ่างแล้ว!”“หลี่ว์เ
ในครานี้จักรพรรดิอู่อันมิได้แสดงจุดยืนของเขาง่าย ๆ เขาตรึกตรองพลางกวาดสายตาไปทั่วทั้งท้องพระโรงฝ่ายสนับสนุนการทำศึกก็คือเซียวหลินเทียนและหลี่ว์เซียงฝ่ายสนับสนุนการเจรจาสงบศึกก็คือใต้เท้าหลี่และองค์ชายคังถ้อยคำของทั้งสองฝ่ายล้วนมีเหตุผลหากลงโทษเซี่ยโฮ่วตานรั่ว หากองค์ชายหนิงหันไปเข้ากับองค์ชายอิง สองแคว้นร่วมมือกัน ย่อมเป็นภัยคุกคามมิน้อยต่อแคว้นฉินตะวันตกทว่าหากมิลงโทษเซี่ยโฮ่วตานรั่ว เขาเองก็รู้สึกอัดอั้นตันใจ สตรีผู้นี้กล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ อาศัยสิ่งใดเป็นที่พึ่ง“อัครเสนาบดีจ้าว เจ้าคิดเช่นไร?”จักรพรรดิอู่อันเห็นว่าจ้าวฮุยนิ่งเงียบจึงเอ่ยถามเมื่อครู่จ้าวฮุยเพิ่งตรึกตรองอยู่ว่า เหตุใดองค์ชายคังจึงเสนอความคิดนี้ ทั้งที่โดยปกติแล้วเขาเฉลียวฉลาด แต่คิดใคร่ครวญอยู่นานก็ยังมิอาจหยั่งถึงความคิดขององค์ชายคังก่อนเข้าเฝ้า องค์ชายคังก็มิได้หารือกับตน จ้าวฮุยจึงมิรู้ว่าจะช่วยเหลือเขาอย่างไรเมื่อได้ยินจักรพรรดิอู่อันเอ่ยถาม จ้าวฮุยจึงจำต้องกราบทูลว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าถ้อยคำของเหล่าเสนาบดีล้วนมีเหตุผล กระหม่อมไร้ความคิดเห็นขัดแย้ง...”“การกระทำของเซี่ยโฮ่วตานรั่วครั้
จ้าวฮุยโกรธเคืองในใจอย่างมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลจ้าวได้ทุ่มเททั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์อย่างมหาศาลเพื่อช่วยให้องค์ชายคังได้ขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทองค์ชายคังยังมิได้ขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่กลับคิดว่าตนปีกกล้าแข็งแล้วจึงกล้าตัดสินใจเองโดยมิปรึกษาตนจ้าวฮุยคาดการณ์ความคิดในใจขององค์ชายคังได้อย่างแม่นยำ เขามิได้คิดที่จะได้รับการสนับสนุนจากองค์ชายหนิงเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทหรอกหรือ?จ้าวฮุยคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ก่อนเข้าเฝ้า องค์ชายคังลอบพบกับองค์ชายหนิงองค์ชายหนิงเปิดเผยจุดประสงค์โดยตรง “องค์ชายคัง เจ้ามิได้เก่งกล้าทางด้านวรรณกรรมเท่าเซียวหลินเทียน มิได้เก่งกล้าทางด้านการศึกเท่าเซียวหลินเทียน การจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทนั้นยากยิ่ง”“ทว่าหากผูกสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉีตะวันออกของเรา ข้าสามารถช่วยให้เจ้าก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ เราจะร่วมมือกันกำจัดเซียวหลินเทียน”องค์ชายคังตกใจกับถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาขององค์ชายหนิง ก่อนที่เขาจะกล่าวสิ่งใด องค์ชายหนิงก็หย่อนเหยื่อล่ออีก“เจ้าก็ทราบดีว่าเมืองโม่เหอเป็นเมืองแห่งสมบัติ หากกำจัดเซียวหลินเทียนได้เมืองโม่เหอก็จะตกเป็นของเจ้า เมื
เย่จูเห็นว่าบรรดาพี่น้องทุกคนล้วนคุกเข่าลงหมดแล้ว นางก็คุกเข่าลงอย่างมิเต็มใจเช่นกันเย่ซงเฉิงมองเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้ แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มลึก “ครอบครัวคืออะไร? คือรากฐานที่พวกเจ้าพึ่งพาในการดำรงชีวิต หากไม่มีรากฐาน พวกเจ้าจะนับว่าเป็นอะไร?”“อย่าได้คิดไปว่าในยามนี้มิต้องกังวลเรื่องกินดื่ม แล้วจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้ไปได้ตลอดชีวิต!"“เย่หมิง เจ้าเป็นพี่ชายคนโต ช่วยท่านพ่อของเจ้าจัดการเรื่องต่าง ๆ หรือว่าเจ้ามิรู้เลยว่ายามนี้ตระกูลเย่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไร?”“หอโอสถไป๋เป่าแห่งเดียวก็สามารถปรามตระกูลเย่ได้จนไม่มีที่ยืนในเมืองหลวงแดนเทพแล้ว มิต้องพูดถึงตระกูลอื่น!”“อีกมินานเมืองหลวงแดนเทพจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ในเวลานี้พวกเจ้ามิคิดที่จะร่วมแรงร่วมใจกันเป็นครอบครัวเพื่อผ่านอุปสรรค แต่กลับคิดที่จะรังแกพี่น้องของตน เช่นนั้นเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น พวกเจ้าจะทำเยี่ยงไร?”“หรือว่าจะมองพี่น้องของตนต่างคนต่างหนีตายกันไป และจากนี้ไปตระกูลเย่ก็จะหายไปจากเมืองหลวงแดนเทพเช่นนั้นหรือ?”เย่หมิงถูกพูดใส่ก็รู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เย่ซงเฉิงพูดมิผิด การปราบปรามที่หอโอสถไป๋เป
“รีบวางท่านผู้เฒ่าให้นอนราบเร็วเข้า ข้าจะตรวจให้เขา!”หลิงอวี๋วิ่งเข้าไปและออกคำสั่งทันทีเย่จูโกรธที่หลิงอวี๋ยุยงให้เย่หรงออกจากตระกูลจนทำให้ท่านปู่โกรธจนมิสบาย นางจึงผลักหลิงอวี๋ออกไป“ไปให้พ้น เจ้านับว่าเป็นอะไรกัน อย่าคิดว่ารู้จักเครื่องยาสมุนไพรเล็กน้อยก็จะเป็นหมอได้แล้วเชียว!”เย่ซงเฉิงรีบก้าวไปจับท่านผู้เฒ่าเย่นอนราบ จากนั้นเขาก็ตรวจชีพจรให้ท่านผู้เฒ่าเย่ แล้วพบว่าหาชีพจรมิเจอแล้วเย่ซงเฉิงสีหน้ามืดมนลงทันที แล้วรีบไปแตะที่หน้าอกของท่านผู้เฒ่าเย่ แต่ก็มิรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจเช่นกันเมื่อได้ยินว่าเวลานี้เย่จูยังคงขับไล่หลิงอวี๋อยู่ เย่ซงเฉิงก็ตะคอกออกมาอย่างโกรธเคือง “นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังจะโวยวายหาปะไร? อยากให้ท่านปู่ของเจ้าตายหรือไร?”“เสี่ยวชี เจ้ามาดูที ท่านผู้อาวุโสของเจ้าหัวใจมิเต้นแล้ว!”“หากใครยังกล้าวุ่นวายอีก ข้าจะให้ผู้นั้นออกไปจากตระกูลเย่เสีย!”สีหน้าของเย่ซงเฉิงเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อหลิงอวี๋ได้ยินเช่นนั้นหัวใจของนางรู้สึกบีบแน่น นางจึงรีบเข้าไปคุกเข่าลงบนพื้นแล้วจับชีพจรของท่านผู้เฒ่าเป็นดังที่เย่ซงเฉิงบอก หาชีพจรของท่านผู้เฒ่ามิเจอแล้วแม้ว่าเย่จูและฮู
เรื่องราวมาถึงตอนนี้ ความจริงก็เปิดเผยออกมาแล้วหลิงอวี๋มองเย่ซื่อเจียงด้วยสายตาเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างเยาะเย้ย “ตระกูลเย่ช่างมีความยุติธรรมเสียจริง คนหนึ่งแค่เห็นว่าบนกริชมีเลือดอยู่ ก็คิดไปแล้วว่าเย่หรงจะสังหารพี่ชายอย่างแน่นอน จึงหักซี่โครงที่หน้าอกของเขาเสีย!”“อีกคนหนึ่งเห็นว่าเย่หรงตอบโต้ ก็มิถามถูกผิดแล้วฟาดฝ่ามือใส่เขาแล้ว!”“หากเย่หรงน้องชายของข้ามิได้ดวงแข็ง ก็คงต้องไปเรียกร้องความยุติธรรมกับพญายมแล้วใช่หรือไม่?”“เอาเถิด พวกเรามิสามารถต่อกรกับตระกูลเย่ได้ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลเย่ของพวกท่านก็ถือเสียว่าไม่มีลูกชายชื่อเย่หรงก็แล้วกัน!”หลิงอวี๋เอื้อมมือไปประคองเย่หรงลุกขึ้น “ไป พี่หญิงจะพาเจ้าไปเอง!”แต่เย่หรงกลับดันหลิงอวี๋ออก แล้วเอ่ยขึ้นมา “รอข้าประเดี๋ยว!”เขาเดินโซเซไปตรงหน้าเย่ซื่อฝานแล้วคุกเข่าลง“ท่านอาสาม แม้ว่าข้าจะไปจากตระกูลเย่แล้ว ท่านก็ยังคงเป็นท่านอาของข้า เป็นท่านอาของข้าไปตลอดชีวิต!”“เย่หรงขอขอบคุณท่านอาสามที่ดูแลข้ามาหลายปี!”เย่หรงคำนับให้เย่ซื่อฝานสามครั้งเย่ซื่อฝานน้ำตารื้นขึ้นมา แม้ว่าเย่หรงจะเป็นหลานชายของตน แต่ใ
ความคับข้องใจของเย่หรงมีมากจนนับมิถ้วน แต่เขาก็มิได้ใส่ใจและเพิกเฉยต่อสายตาแปลก ๆ ของทุกคนมานานแล้วจากนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาเรียบ ๆ “ข้าอธิบายไปเช่นนี้แล้ว แต่เย่ซวินก็ยังมิยอมลดละ บอกให้ข้าออกไปจากตระกูลเย่ เขาอยากจะตบข้า แต่ข้าหลบ เขาบอกว่าเขาและเย่หมิงจะตีและตำหนิข้า ข้าแค่เพียงยอมรับไปแต่โดยดีเท่านั้น!”“ข้าถูกยั่วจนโกรธขึ้นมาจริง ๆ จึงกดเขาลงกับพื้น!”“แต่ข้ากล้าใช้ชื่อเสียงของท่านแม่มาสาบานว่า ข้ามิได้ใช้กริชกับเขา!”หยางหงหนิงได้ยินเช่นนี้แล้วก็ชะงักไป นางคิดมิถึงว่าเย่หรงจะเรียนรู้ที่จะหาเลี้ยงตนเองตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนั้นหลายปีมานี้เขาต้องได้รับความคับข้องใจเท่าไรกันนะ!หยางหงหนิงขยับเข้าไปหาเย่หรงอย่างลังเลใจ แล้วเอ่ยออกมาด้วยความสงสาร “พี่หรง เหตุใดท่านมิบอกข้า หากข้ารู้ ข้าจะไม่มีทางให้พวกเขาทำเช่นนี้กับท่านเป็นอันขาด!”เย่จูเห็นว่าท่านแม่ของตนถูกคำพูดของเย่หรงทำให้ได้ชื่อว่าทำร้ายลูกนอกสมรส เมื่อนางได้ยินเย่หรงพูดเช่นนั้นก็ตะโกนขึ้นมา“ไร้สาระ เจ้ามิได้ใช้กริช แล้วพี่สามของข้าจะบาดเจ็บได้อย่างไร?”หลิงอวี๋เอ่ยขึ้นมาทันที “ท่านอาจารย์ ขอท่านนำกริชออกมาทีเจ้าค่ะ!”
เมื่อถูกหลิงอวี๋เตือน เย่หรงก็เล่าเรื่องที่ตนกลับมาถึงบ้านแล้วพบเย่หมิงและเย่ซวินที่หน้าประตูให้ฟัง“ท่านก็ทำเหมือนเลี้ยงสุนัขสักตัว ขอเพียงเขามิก่อปัญหาให้กับตระกูลเย่ ก็เลี้ยงเขาไปก็พอ!”เมื่อเย่หรงพูดถึงการดูถูกของเย่ซวินที่ทำต่อตน ใบหน้าของท่านผู้เฒ่าเย่ก็มืดมนลง เขามองไปทางเย่หมิง แล้วเอ่ยถามเสียงแข็ง“เย่ซวินได้พูดประโยคนี้หรือไม่?”เย่หมิงอยากจะส่ายหัวโดยมิรู้ตัว แต่เย่หรงก็หัวเราะเยาะแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าปฏิเสธได้ ถึงอย่างไรข้าก็แบกรับคำด่าทอมากมายมานานแล้ว เพิ่มมาอีกสักเรื่องก็มิสนใจหรอก!”“ส่วนท่าน ผู้นำตระกูลเย่ในอนาคต หากท่านไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพูดความจริง ก็ใช้ชีวิตอยู่กับคำโกหกไปตลอดชีวิตเสียเถิด!”ถึงอย่างไรเย่หมิงก็มิได้ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น ภายใต้สายตากดดันของเย่หรงและท่านผู้เฒ่าเย่ ในที่สุดเขาก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นเย่หรงจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้ม “ตอนนั้นข้าทนรับน้ำเสียงดูถูกของเย่ซวินมิได้ จึงโต้แย้งไปว่าตระกูลเย่มิได้เลี้ยงดูข้า หลังจากที่ข้าอายุเจ็ดขวบก็มิเคยใช้เงินของตระกูลเย่สักแดงเดียว!”ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา ฮูหยินเย่ก็หัวเราะเยาะแล้วเอ่ยออกไป “เย่หร
เย่หรงเปลี่ยนน้ำเสียง จากนั้นก็ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยออกมา “เย่หมิง ท่านพ่อฝึกฝนท่านให้เป็นผู้นำตระกูลเย่ในภายภาคหน้า ท่านปู่และคนอื่น ๆ ก็ล้วนฝากความหวังไว้ที่ตัวท่าน!”“แต่เจ้าลองถามตัวท่านเองดูเถิดว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นคู่ควรกับพวกเขาหรือไม่?”“เย่ซวินและคนอื่น ๆ รังแกข้า ท่านในฐานะพี่ชายคนโต ทุกครั้งก็ล้วนมิถามให้รู้ถูกผิด แล้วบอกว่าเป็นความผิดของข้า!”“เย่ซวินถูกคนหลอก ซื้อเครื่องสมุนไพรปลอมมา เจ้าบอกว่าข้าเงินขาดมือจึงจงใจเปลี่ยนเครื่องยาสมุนไพร!”“เย่จูทำแท่นหมึกของท่านปู่แตก เจ้าก็มาหลอกข้าไป แล้วบอกว่าข้าเป็นคนทำแตก!”“เรื่องมากมายจนนับมิถ้วนเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าเย่หรงก็เป็นลูกชายที่มิเอาไหนของตระกูลเย่ ข้าพูดสิ่งใดก็ล้วนเป็นการโต้แย้ง ข้าทำสิ่งใดก็ล้วนมิน่าแปลก!”“พวกเจ้าคิดใช่หรือไม่ว่า ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครในตระกูลเย่โปรดปรานข้าและไม่มีใครเชื่อข้าอยู่แล้ว ขอเพียงผลักมาให้ข้า ข้าก็คัดค้านอะไรมิได้อย่างนั้นสิ?”เย่ซวินตะโกนขึ้นมาอย่างมิมั่นใจ “เจ้าพูดไร้สาระอะไรกัน เห็น ๆ กันอยู่ว่าเจ้าขโมยเครื่องยาสมุนไพรไป ท่านปู่มิได้ถือสาหาความกับเจ้า เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก!”เย่ห
เย่จูก็เอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้ารังเกียจเช่นกัน “เย่หรง เจ้านี่นับวันก็ยิ่งใช้มิได้จริง ๆ ปกติมิทำงานแล้วไปก่อเรื่องอยู่ข้างนอกก็ยังมิเท่าไร บัดนี้ถึงกับมาทะเลาะวิวาทในบ้านเชียว!”“กล้าใช้กริชทำร้ายพี่ใหญ่กับพี่สามอีก หากให้เจ้าก่อเรื่องต่อไปเช่นนี้ เจ้าก็คงกล้าสังหารท่านพ่อเป็นแน่!”“ท่านปู่ คนเช่นนี้มิคู่ควรที่จะเป็นคนในตระกูลเย่ของเรานะเจ้าคะ ท่านยอมให้ท่านพ่อเปิดหอบรรพบุรุษแล้วไล่เขาออกไปเถิดเจ้าค่ะ!”เย่จูวิ่งไปตรงหน้าท่านผู้เฒ่าเย่แล้วเขย่าของท่านผู้เฒ่าเย่อย่างออดอ้อนหยางหงหนิงมองเย่หรงแล้วรีบเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านผู้เฒ่า ข้าเชื่อว่าเย่หรงมิใช่คนเช่นนั้นเจ้าค่ะ เขาคงจะอารมณ์มิดี จึงได้หุนหันพลันแล่นไปสักหน่อย!”“ขอร้องท่านผู้เฒ่าให้โอกาสเขาสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน!”เย่จูเอ่ยขึ้นมาอย่างดูถูก “พี่หญิงหงหนิง จนถึงตอนนี้แล้วเหตุใดท่านยังพูดเพื่อเขาอยู่อีกเล่า? ข้ามิเข้าใจท่านเลยจริง ๆ ท่านดูเอาเถิดว่าเขามีดีตรงที่ใดกัน มิทำงานทำการ ทั้งยังขัดคำสั่งและอกตัญญูอีก คนเช่นนี้ท่านแต่งงานกับเขาไปก็ไม่มีความสุขหรอก!”“หากออกจากตระกูลเย่ไป แม้แต่ตนเองก็
“นี่มันเรื่องวุ่นวายกระไร? มิใช่ปีใหม่มิใช่เทศกาล แล้วจะเปิดหอบรรพบุรุษหาปะไร!”ท่านผู้เฒ่าเย่ขวางทางทุกคนไว้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเย่ซื่อเจียงยังมิทันได้พูดอะไร เย่หมิงก็รีบร้อนตะโกนขึ้นมาเสียก่อน “ท่านปู่ เย่หรงใช้กริชแทงเย่ซวิน ทั้งยังคิดจะสังหารข้าด้วย ท่านพ่อของข้าไม่มีทางเลือกจึงจะเปิดหอบรรพบุรุษเพื่อเอาชื่อเขาออกขอรับ!”เย่ซื่อเจียงก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้ม “เย่หมิงพูดมิผิด ปกติแล้วเดรัจฉานผู้นี้ก่อเรื่องก็ช่างไป แต่วันนี้กับพี่น้องของตนก็ยังกล้าใช้กริชทำร้าย!”“ตระกูลเย่ของเราไม่มีเดรัจฉานที่ทำร้ายพี่น้องเช่นนี้ วันนี้ข้าจะเปิดหอบรรพบุรุษแล้วตัดชื่อเขาออกจากตระกูลเย่เสีย!”ท่านผู้เฒ่าเย่มองเย่หรงอย่างสงสัย แล้วเอ่ยออกไปด้วยเสียงขรึม “เย่หรง สิ่งที่พี่ใหญ่และท่านพ่อของเจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่?”เย่หรงยกมุมปากขึ้น แล้วมองด้วยท่าทีมิแยแส “จริงแล้วอย่างไร เท็จแล้วอย่างไร?”“ท่านปู่ ท่านมิรู้สึกหรือว่าท่านถามคำถามนี้มานับครั้งมิถ้วนแล้ว? แล้วผลลัพธ์เล่า?”“ผลลัพธ์ก็คือ… มิว่าจะเป็นความผิดของข้าหรือไม่ คนที่ถูกบังคับให้ยอมรับผิดก็ล้วนเป็นข้าทุกทีไป!”“เหอะ ๆ ถึงอย่างไรคนในตระ
“ท่านผู้นำตระกูลเย่ อย่านะเจ้าคะ!”หยางหงหนิงได้ยินเช่นนั้นก็ตะโกนขึ้นมาทันที “เย่หรงทำกระไรผิดท่านลงโทษเขาก็พอแล้ว อย่าไล่เขาออกจากตระกูลเย่เลยนะเจ้าคะ!”“พี่หรง ท่านยอมรับผิดต่อหน้าท่านพ่อสิ แล้วก็ขอโทษ…”เย่หรงจ้องมองหยางหงหนิงอย่างรังเกียจ แล้วตะคอกตัดบทนางอย่างโกรธเคือง “ข้ามิได้ผิด อย่าว่าแต่เขาจะตัดชื่อข้าออกจากตระกูลเย่เลย ต่อให้จะสังหารข้า ข้าก็มิขอโทษ… แค่ก…”ทันทีที่เขาโกรธก็กระอักเลือดไหลลงมาตามมุมปากจนย้อมเสื้อตรงอกเป็นสีแดงฉานหลิงอวี๋ด่าทอออกมาด้วยความโกรธ “หุบปากไปเสีย คนอื่นมิสนใจเจ้า แล้วเจ้ายังจะมิสนใจร่างกายของตนเองอีกหรือ?”“ใจเย็น ๆ วันนี้มีเรื่องสำคัญ มิคุ้มที่จะเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยงหรอก!”หลิงอวี๋หยิบผ้าออกมาแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากให้เย่หรง จากนั้นนางก็เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น “ก็แค่ออกจากตระกูลเย่มิใช่หรือ? มิต้องกังวล แม้ว่าจะไม่มีตระกูลเย่ ก็ยังมีพี่หญิงที่ยังรับเจ้าอยู่!”“ในภายภาคหน้ามิว่าจะไปที่ใด พี่หญิงก็จะอยู่กับเจ้าเสมอ!”พี่หญิงหลิงหลิง!ดวงตาของเย่หรงมีน้ำตาคลอขึ้นมาทันทีนี่ต่างหากที่เป็นครอบครัว!มิว่าเขาจะถูกหรือผิดก็ยืนอยู่เคียงข้างเขาเส