องค์ชายคังมิได้รู้ว่าการกระทำของตนได้ทำให้จ้าวฮุยโกรธแล้ว องค์ชายคังยังแสร้งทำเป็นพูดเพื่อความชอบธรรมต่อหน้าจักรพรรดิอู่และเซียวหลินเทียน“เสด็จพ่อ การที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วดื้อรั้นเช่นนี้ ลูกเองก็มิพอใจเช่นเดียวกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ของฉินตะวันตก ลูกก็จะอดทนอภิเษกกับเซี่ยโฮ่วตานรั่วโดยยกย่องให้เป็นชายาเอกพ่ะย่ะค่ะ!”“หากนางกลับตัวกลับใจก็นับว่าดีไป ทว่าหากนางยังกล้ากระทำทำผิดอีก ลูกจะลงโทษอย่างรุนแรง มิปล่อยโอกาสให้นางทำชั่วอีกพ่ะย่ะค่ะ!”“ฮ่าฮ่า องค์ชายคังยังคงคำนึงถึงแคว้นบ้านเมืองและเสด็จพ่ออยู่เสมอ”คราวนี้ แม้แต่องค์ชายเย่ที่เฝ้าดูอยู่ตลอดก็ทนฟังมิไหวแล้วผู้ใดในที่นี้ที่มิใช่คนโง่ก็คงจะมองออกว่า องค์ชายคังต้องได้รับผลประโยชน์จากองค์ชายหนิง จึงพยายามช่วยเซี่ยโฮ่วตานรั่วให้พ้นผิดอย่างสุดฤทธิ์องค์ชายเย่รู้สึกดูถูก คิดว่าเพื่อผลประโยชน์แล้ว องค์ชายคังก็มิสนใจแม้แต่หลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์เว่ยเฉิงก็เข้าใจจุดประสงค์ขององค์ชายคังที่มุ่งเป้าไปยังหลี่ว์เซียง เขาจะยอมให้องค์ชายคังได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายหนิงโดยง่ายได้อย่างไร จึงก้าวขึ้นมาแล้วกล่าวว่า“ฝ่าบาท เมื่อครู่กร
ฝ่ายคณะขององค์ชายคังต่างเห็นดีเห็นงามในผลประโยชน์ที่องค์ชายคังจะได้รับจากการอภิเษกสมรสกับเซี่ยโฮ่วตานรั่ว ต่างก็ออกมาสนับสนุนองค์ชายคังส่วนฝ่ายคณะขององค์ชายเว่ย ต่างก็คิดถึงวันที่องค์ชายเว่ยและฮองเฮาเว่ยจะได้กลับมาผงาดอีกครั้ง จึงยึดถือตามเว่ยเฉิงเป็นหลักทั้งสองฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันในราชสำนักเพื่อสนับสนุนนายของตนแต่เซียวหลินเทียนกลับมีแววตาเคร่งขรึมเมื่อวานตอนเที่ยง เขายังได้ล่องเรือไปกับมู่หรงเหยียนซงและมู่หรงชิ่งด้วยกัน ทว่าทั้งสองคนนี้มิได้บอกเขาแม้แต่คำเดียวว่าจะให้มู่หรงชิ่งสมรสกับน้องชายของพระชายาเว่ยแล้วอยู่ ๆ ข่าวลือเรื่องมู่หรงชิ่งและเฮ่อหรงมีไมตรีอันดีต่อกันแพร่สะพัดออกมาได้อย่างไร?หรือสองพี่น้องตระกูลมู่หรงตั้งใจปิดบังเรื่องนี้จากเขาและหลิงอวี๋แต่เป็นไปมิได้!หากมู่หรงเหยียนซงมีความสัมพันธ์กับตระกูลเว่ยจริง ๆ เหตุใดเมื่อวานนี้จึงต้องช่วยหลิงอวี๋จากคมดาบของมือสังหารจู่ ๆ เซียวหลินเทียนก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่มือสังหารจะมาถึง มู่หรงเหยียนซงดูเหมือนกำลังจะบอกเรื่องเกี่ยวกับตระกูลของพระชายาเว่ยเขาพูดถึงการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิสูงสุด!หากมู่หรงเหยียนซงตั้งใจจ
จ้าวฮุยคิดไปมา คาดเดาได้ว่าหลี่ว์เซียงอาจลงมือกระทำการไว้ล่วงหน้า จึงยิ้มมุมปากในฐานะขุนนาง เขาชื่นชมในความฉลาดเฉลียวของหลี่ว์เซียง!ในฐานะบุคคล เขาก็มิได้โกรธเคือง คิดว่าควรจะสอนบทเรียนแก่องค์ชายคังเสียบ้าง เพื่อให้เขามิกล้าทำการเคลื่อนไหวใด ๆ ลับหลังตนอีก!จ้าวฮุยเหลือบมององค์ชายคังอย่างเย็นชา ตระกูลจ้าวได้ให้ความช่วยเหลือมากมายแก่เขา ทว่าหากเขามิเชื่อฟัง เขาสามารถสนับสนุนองค์ชายคังได้ ก็สามารถช่วยเหลือองค์ชายองค์อื่นได้เช่นกัน!จ้าวฮุยมิได้รอให้องค์ชายคังเข้ามาอธิบาย สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปหลี่ว์เซียงลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดขุนนางของตน ก้าวเดินออกจากท้องพระโรงอย่างสง่าผ่าเผยเมื่อตระกูลของเขาได้เกี่ยวพันกับเซียวหลินเทียนแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดเหตุการณ์ในวันนี้ก็เป็นการส่งสัญญาณไปยังบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า หลี่ว์เซียงยังมิแก่เฒ่าจนเลอะเลือนอัครเสนาบดีจ้าวสนับสนุนองค์ชายคัง พวกพ้องของเขาก็ต้องตัดสินใจเลือกเช่นกัน!เซียวหลินเทียนมิได้ไปดูการลงโทษเฆี่ยนตีเซี่ยโฮ่วตานรั่ว เขารีบกลับไปยังตำหนักอ๋องอี้ทันที ระหว่างทางก็ให้คนไปเชิญมู่หรงเหยียนซงมาเลี้ยงฉลองในนามของหลิงอว
ขณะที่เซียวหลินเทียนครุ่นคิด แม่ทัพเฉินก็ได้นำตัวเซี่ยโฮ่วตานรั่วออกมานางเห็นซินจิ้งยืนอยู่ด้านล่าง จึงคิดว่าซินจิ้งมาต้อนรับตน จึงกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “แม่ทัพเฉิน ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าจะจ่ายเงินแล้วจบเรื่องเสีย!”“ดูเจ้าสิ ตอนนี้เจ้าคงมาปล่อยตัวข้าออกไปอย่างเชื่อฟังใช่หรือไม่?”“ซินจิ้ง เจ้าอยู่ที่นี่รอจ่ายเงิน ข้าขอตัวกลับไปก่อน คุกแสนสกปรกและเหม็นเน่าถึงเพียงนี้ ตัวข้าต้องกลับไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด!”ซินจิ้งหน้าบึ้ง มิเอ่ยคำใดนางนำตั๋วเงินมาเพื่อจ่ายค่าปรับ แต่ต้องรอให้แม่ทัพเฉินลงโทษเสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะนำตัวนางไปได้เซี่ยโฮ่วตานรั่วคิดว่า นางกำลังโกรธตน จึงมิใส่ใจ พาเหล่าสาวใช้สองสามคนตั้งท่าจะเดินจากไป“จับตัวนางไว้!”แม่ทัพเฉินเห็นเซี่ยโฮ่วตานรั่วโง่เขลามาก จึงแสยะยิ้มเย็น พลันโบกมือหนึ่งครั้ง แล้วองครักษ์สองสามคนก็เข้ามาจับกุมเซี่ยโฮ่วตานรั่ว“พวกเจ้าจะทำอะไร?”เซี่ยโฮ่วตานรั่วดิ้นรนด้วยความโกรธ แล้วตะโกนว่า “คนของข้านำเงินมาที่นี่แล้ว เพียงพอที่จะชดใช้...”“หุบปาก!”แม่ทัพเฉินยิ้มเยาะอย่างดูถูก นำพระบรมราชโองการของจักรพรรดิอู่อันออกมา แล้วอ่านออกเสียงเ
เมื่อเห็นว่าเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกโบยครบสามสิบไม้ และถูกซินจิ้งพาตัวไปแล้ว เซียวหลินเทียนก็รีบพาหลิงอวี๋กลับไปยังตำหนักอ๋องอี้ระหว่างทาง เขาเล่าเรื่องที่เว่ยเฉิงเอ่ยพาดพิงเกี่ยวกับไมตรีอันดีระหว่างมู่หรงชิ่งและเฮ่อหรงให้ฟังหลิงอวี๋ก็รู้สึกประหลาดใจทันที กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เป็นไปมิได้! แม้ว่าหม่อมฉันจะมิได้สนิทกับมู่หรงชิ่งมากนัก แต่เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เมื่อวานนี้นางคงมิปิดบังหม่อมฉันแน่!”“ข้าก็รู้สึกเช่นกันว่าน่าแปลกนัก!”เซียวหลินเทียนกล่าวอย่างร้อนรน “ข้าได้สั่งให้คนไปเชิญมู่หรงเหยียนซงแล้ว เราจะรู้เมื่อกลับไปว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น!”แต่เมื่อทั้งสองกลับไปถึงตำหนักอ๋องอี้ ลู่หนานที่ถูกส่งไปเชิญมู่หรงเหยียนซงก็กลับมา เขาเข้าพบเซียวหลินเทียนและกล่าวรายงานเบา ๆ“ท่านอ๋อง เมื่อคืนที่ผผ่านมา องค์ชายจิ้นมิได้กลับไปที่ศาลาพักม้า เขาส่งคนมาบอกกับองค์หญิงชิ่งเพียงว่า เขาจะพักที่ไร่ของตระกูลเฮ่อเป็นเวลาสองวัน! องค์หญิงชิ่งก็รู้สึกสับสนเช่นเดียวกัน! นางจึงตามข้าน้อยกลับมา กำลังรออยู่ในห้องรับรองแขกพ่ะย่ะค่ะ!”หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนสบตากัน ทั้งสองรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว“พี่
หลิงอวี๋ถามเช่นนั้นมู่หรงชิ่งก็พลันตกใจ และนึกถึงคำพูดของพี่ชายบนเรือเช่นกันมู่หรงชิ่งสีหน้าลำบากใจ พูดอย่างอึดอัดว่า “พี่หญิงหลิงหลิง ข้ามิรู้! เสด็จพี่มิได้บอกข้าเรื่องนี้เลย เขาบอกว่าไว้รอคุยกับพวกท่านทีเดียว ข้าก็จะรู้พร้อมกัน!”หลิงอวี๋รู้สึกหงุดหงิด หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ควรจะพามู่หรงเหยียนซงกลับไปที่ตำหนักอ๋องอี้เพื่อถามให้ชัดเจนแล้ว“พี่หญิงหลิงหลิง พวกท่านไปที่ตระกูลเฮ่อและพาเสด็จพี่ของข้าออกมา แล้วถามค่อยเขามิได้หรือ?!”มู่หรงชิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์ชายจิ้น จึงพูดอย่างรีบร้อน “เสด็จพี่ของข้าเป็นองค์ชายแห่งเยวี่ยใต้ ตระกูลเฮ่อไม่มีสิทธิ์กักขังเขา!”“ใจเย็นลงก่อน!”คิ้วของเซียวหลินเทียนขมวดเข้าหากัน กล่าวอย่างสงบใจว่า “องค์หญิงชิ่ง เจ้าคิดได้ ตระกูลเฮ่อก็คิดได้เช่นกัน! แต่เหตุใดตระกูลเฮ่อถึงกล้ากักขังพี่ชายของเจ้าเล่า?”“ข้าคิดว่าเรื่องนี้มิง่ายอย่างที่คิด หากเรามิทำให้เรื่องนี้กระจ่าง ต่อให้เราไปที่นั่นก็คงพาพี่ชายของเจ้ากลับมาพร้อมพวกเรามิได้!”“องค์หญิงชิ่ง ท่านอ๋องตรัสถูกแล้ว เราต้องคิดให้รอบคอบ!”หลิงอวี๋ดึงมู่หรงชิ่งให้นั่งลง แล้วถามว่า “ท่านอ๋
เมื่อกล่าวถึงองค์หญิงใหญ่ หลิงซวนก็ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น “อาจารย์ ข้ารู้จักองค์หญิงใหญ่มิมากนัก เพราะในวังแทบไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่เลย นี่เป็นเรื่องต้องห้ามเจ้าค่ะ!”“ข้ารู้เพียงว่าตั้งแต่ที่องค์หญิงใหญ่เสด็จไปยังอารามจิ้งซือ ก็มิเคยเสด็จกลับวังหลวงมาเยี่ยมไทเฮาอีกเลยเจ้าค่ะ!!”หลิงอวี๋รู้สึกเหลือเชื่อ ถึงอย่างไรไทเฮาก็เป็นพระมารดาขององค์หญิงใหญ่ มีธิดาองค์ใดที่จากไปหลายปีแล้วมิห่วงใยพระมารดาของตนเองบ้าง“แล้วไทเฮาเคยเสด็จไปเยี่ยมบ้างหรือไม่?”หลิงซวนพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “น่าจะเคยเสด็จไปเยี่ยมครั้งหนึ่ง นั่นคือสามปีหลังจากที่องค์หญิงใหญ่เสด็จไปที่อารามจิ้งซือ ไทเฮาทรงพาฮองเฮาเว่ยไปด้วย เมื่อเสด็จกลับมา ไทเฮาก็ทรงประชวรหนัก!”“ตอนนั้นมีข่าวลือว่า องค์หญิงใหญ่มิกตัญญู ทำให้ไทเฮาเสียพระทัย จึงทรงประชวรเมื่อเสด็จกลับมา!”“ต่อมาไทเฮาออกมาปฏิเสธข่าวลือด้วยพระองค์เอง โดยกล่าวว่า ที่ทรงประชวรนั้นเป็นเพียงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง มิเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่ ข่าวลือจึงค่อย ๆ เงียบหายไป!”“ดูเหมือนว่าตั้งแต่นั้นมา ไทเฮาก็มิเคยเสด็จไปเยี่ยมอีกเลย! ฝ่าบา
ไทเฮาและพระราชธิดาที่พลัดพรากจากกันมานานโผเข้ากอดกันพลางร่ำไห้ ฉากเช่นนี้ฟังดูซาบซึ้งใจยิ่งนัก!กระนั้น หลิ่งอวี๋กลับพบบรรยากาศที่แตกต่างออกไปเมื่อมินานมานี้ ฮองเฮาเว่ยเพิ่งถูกไล่ไปอยู่ตำหนักเย็น ตระกูลเว่ยก็รับตัวองค์หญิงใหญ่กลับคืนมาในเวลานี้ ทั้งยังมีเรื่องการพระราชทานสมรสระหว่างเฮ่อหรงกับมู่หรงชิ่งอีกหากพิจารณาเหตุการณ์เหล่านี้แยกกันก็อาจไม่มีอะไร ทว่าหากนำมารวมกันแล้ว กลับมีความแปลกประหลาดซ่อนอยู่ในทุกเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลิงอวี๋คิดว่า ก่อนหน้านี้ฮองเฮาเว่ยวางยาพิษไทเฮา แล้วมู่หรงเหยียนซงก็ยังเอ่ยถึงสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิสูงสุดที่ผิดปกติอีก...องค์หญิงผู้นี้เป็นพระราชธิดาของไทเฮา หากนางคิดร้ายต่อไทเฮา ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าไทเฮาจะมิถูกพิษของนาง!“เซียวหลินเทียน ท่านลองเข้าไปหาทางใกล้ชิดกับมู่หรงเหยียนซงดู ส่วนหม่อมฉันจะเข้าวังไปสืบข่าวในวันพรุ่ง!”หลิงอวี๋มิรู้ว่าเมื่อองค์หญิงใหญ่กลับมา ไทเฮาจะยังคงปฏิบัติต่อตนเช่นเดิมหรือไม่มิว่านางจะสนิทสนมกับไทเฮาเพียงใด ก็เทียบมิได้กับพระราชธิดาแท้ ๆ ของพระองค์!ยิ่งไปกว่านั้น หลิงอวี๋ยังต้องการสืบถามข่าวคราวจากข