จ้าวฮุยคิดไปมา คาดเดาได้ว่าหลี่ว์เซียงอาจลงมือกระทำการไว้ล่วงหน้า จึงยิ้มมุมปากในฐานะขุนนาง เขาชื่นชมในความฉลาดเฉลียวของหลี่ว์เซียง!ในฐานะบุคคล เขาก็มิได้โกรธเคือง คิดว่าควรจะสอนบทเรียนแก่องค์ชายคังเสียบ้าง เพื่อให้เขามิกล้าทำการเคลื่อนไหวใด ๆ ลับหลังตนอีก!จ้าวฮุยเหลือบมององค์ชายคังอย่างเย็นชา ตระกูลจ้าวได้ให้ความช่วยเหลือมากมายแก่เขา ทว่าหากเขามิเชื่อฟัง เขาสามารถสนับสนุนองค์ชายคังได้ ก็สามารถช่วยเหลือองค์ชายองค์อื่นได้เช่นกัน!จ้าวฮุยมิได้รอให้องค์ชายคังเข้ามาอธิบาย สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปหลี่ว์เซียงลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดขุนนางของตน ก้าวเดินออกจากท้องพระโรงอย่างสง่าผ่าเผยเมื่อตระกูลของเขาได้เกี่ยวพันกับเซียวหลินเทียนแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดเหตุการณ์ในวันนี้ก็เป็นการส่งสัญญาณไปยังบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า หลี่ว์เซียงยังมิแก่เฒ่าจนเลอะเลือนอัครเสนาบดีจ้าวสนับสนุนองค์ชายคัง พวกพ้องของเขาก็ต้องตัดสินใจเลือกเช่นกัน!เซียวหลินเทียนมิได้ไปดูการลงโทษเฆี่ยนตีเซี่ยโฮ่วตานรั่ว เขารีบกลับไปยังตำหนักอ๋องอี้ทันที ระหว่างทางก็ให้คนไปเชิญมู่หรงเหยียนซงมาเลี้ยงฉลองในนามของหลิงอว
ขณะที่เซียวหลินเทียนครุ่นคิด แม่ทัพเฉินก็ได้นำตัวเซี่ยโฮ่วตานรั่วออกมานางเห็นซินจิ้งยืนอยู่ด้านล่าง จึงคิดว่าซินจิ้งมาต้อนรับตน จึงกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “แม่ทัพเฉิน ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าจะจ่ายเงินแล้วจบเรื่องเสีย!”“ดูเจ้าสิ ตอนนี้เจ้าคงมาปล่อยตัวข้าออกไปอย่างเชื่อฟังใช่หรือไม่?”“ซินจิ้ง เจ้าอยู่ที่นี่รอจ่ายเงิน ข้าขอตัวกลับไปก่อน คุกแสนสกปรกและเหม็นเน่าถึงเพียงนี้ ตัวข้าต้องกลับไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด!”ซินจิ้งหน้าบึ้ง มิเอ่ยคำใดนางนำตั๋วเงินมาเพื่อจ่ายค่าปรับ แต่ต้องรอให้แม่ทัพเฉินลงโทษเสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะนำตัวนางไปได้เซี่ยโฮ่วตานรั่วคิดว่า นางกำลังโกรธตน จึงมิใส่ใจ พาเหล่าสาวใช้สองสามคนตั้งท่าจะเดินจากไป“จับตัวนางไว้!”แม่ทัพเฉินเห็นเซี่ยโฮ่วตานรั่วโง่เขลามาก จึงแสยะยิ้มเย็น พลันโบกมือหนึ่งครั้ง แล้วองครักษ์สองสามคนก็เข้ามาจับกุมเซี่ยโฮ่วตานรั่ว“พวกเจ้าจะทำอะไร?”เซี่ยโฮ่วตานรั่วดิ้นรนด้วยความโกรธ แล้วตะโกนว่า “คนของข้านำเงินมาที่นี่แล้ว เพียงพอที่จะชดใช้...”“หุบปาก!”แม่ทัพเฉินยิ้มเยาะอย่างดูถูก นำพระบรมราชโองการของจักรพรรดิอู่อันออกมา แล้วอ่านออกเสียงเ
เมื่อเห็นว่าเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกโบยครบสามสิบไม้ และถูกซินจิ้งพาตัวไปแล้ว เซียวหลินเทียนก็รีบพาหลิงอวี๋กลับไปยังตำหนักอ๋องอี้ระหว่างทาง เขาเล่าเรื่องที่เว่ยเฉิงเอ่ยพาดพิงเกี่ยวกับไมตรีอันดีระหว่างมู่หรงชิ่งและเฮ่อหรงให้ฟังหลิงอวี๋ก็รู้สึกประหลาดใจทันที กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เป็นไปมิได้! แม้ว่าหม่อมฉันจะมิได้สนิทกับมู่หรงชิ่งมากนัก แต่เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เมื่อวานนี้นางคงมิปิดบังหม่อมฉันแน่!”“ข้าก็รู้สึกเช่นกันว่าน่าแปลกนัก!”เซียวหลินเทียนกล่าวอย่างร้อนรน “ข้าได้สั่งให้คนไปเชิญมู่หรงเหยียนซงแล้ว เราจะรู้เมื่อกลับไปว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น!”แต่เมื่อทั้งสองกลับไปถึงตำหนักอ๋องอี้ ลู่หนานที่ถูกส่งไปเชิญมู่หรงเหยียนซงก็กลับมา เขาเข้าพบเซียวหลินเทียนและกล่าวรายงานเบา ๆ“ท่านอ๋อง เมื่อคืนที่ผผ่านมา องค์ชายจิ้นมิได้กลับไปที่ศาลาพักม้า เขาส่งคนมาบอกกับองค์หญิงชิ่งเพียงว่า เขาจะพักที่ไร่ของตระกูลเฮ่อเป็นเวลาสองวัน! องค์หญิงชิ่งก็รู้สึกสับสนเช่นเดียวกัน! นางจึงตามข้าน้อยกลับมา กำลังรออยู่ในห้องรับรองแขกพ่ะย่ะค่ะ!”หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนสบตากัน ทั้งสองรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว“พี่
หลิงอวี๋ถามเช่นนั้นมู่หรงชิ่งก็พลันตกใจ และนึกถึงคำพูดของพี่ชายบนเรือเช่นกันมู่หรงชิ่งสีหน้าลำบากใจ พูดอย่างอึดอัดว่า “พี่หญิงหลิงหลิง ข้ามิรู้! เสด็จพี่มิได้บอกข้าเรื่องนี้เลย เขาบอกว่าไว้รอคุยกับพวกท่านทีเดียว ข้าก็จะรู้พร้อมกัน!”หลิงอวี๋รู้สึกหงุดหงิด หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ควรจะพามู่หรงเหยียนซงกลับไปที่ตำหนักอ๋องอี้เพื่อถามให้ชัดเจนแล้ว“พี่หญิงหลิงหลิง พวกท่านไปที่ตระกูลเฮ่อและพาเสด็จพี่ของข้าออกมา แล้วถามค่อยเขามิได้หรือ?!”มู่หรงชิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์ชายจิ้น จึงพูดอย่างรีบร้อน “เสด็จพี่ของข้าเป็นองค์ชายแห่งเยวี่ยใต้ ตระกูลเฮ่อไม่มีสิทธิ์กักขังเขา!”“ใจเย็นลงก่อน!”คิ้วของเซียวหลินเทียนขมวดเข้าหากัน กล่าวอย่างสงบใจว่า “องค์หญิงชิ่ง เจ้าคิดได้ ตระกูลเฮ่อก็คิดได้เช่นกัน! แต่เหตุใดตระกูลเฮ่อถึงกล้ากักขังพี่ชายของเจ้าเล่า?”“ข้าคิดว่าเรื่องนี้มิง่ายอย่างที่คิด หากเรามิทำให้เรื่องนี้กระจ่าง ต่อให้เราไปที่นั่นก็คงพาพี่ชายของเจ้ากลับมาพร้อมพวกเรามิได้!”“องค์หญิงชิ่ง ท่านอ๋องตรัสถูกแล้ว เราต้องคิดให้รอบคอบ!”หลิงอวี๋ดึงมู่หรงชิ่งให้นั่งลง แล้วถามว่า “ท่านอ๋
เมื่อกล่าวถึงองค์หญิงใหญ่ หลิงซวนก็ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น “อาจารย์ ข้ารู้จักองค์หญิงใหญ่มิมากนัก เพราะในวังแทบไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่เลย นี่เป็นเรื่องต้องห้ามเจ้าค่ะ!”“ข้ารู้เพียงว่าตั้งแต่ที่องค์หญิงใหญ่เสด็จไปยังอารามจิ้งซือ ก็มิเคยเสด็จกลับวังหลวงมาเยี่ยมไทเฮาอีกเลยเจ้าค่ะ!!”หลิงอวี๋รู้สึกเหลือเชื่อ ถึงอย่างไรไทเฮาก็เป็นพระมารดาขององค์หญิงใหญ่ มีธิดาองค์ใดที่จากไปหลายปีแล้วมิห่วงใยพระมารดาของตนเองบ้าง“แล้วไทเฮาเคยเสด็จไปเยี่ยมบ้างหรือไม่?”หลิงซวนพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “น่าจะเคยเสด็จไปเยี่ยมครั้งหนึ่ง นั่นคือสามปีหลังจากที่องค์หญิงใหญ่เสด็จไปที่อารามจิ้งซือ ไทเฮาทรงพาฮองเฮาเว่ยไปด้วย เมื่อเสด็จกลับมา ไทเฮาก็ทรงประชวรหนัก!”“ตอนนั้นมีข่าวลือว่า องค์หญิงใหญ่มิกตัญญู ทำให้ไทเฮาเสียพระทัย จึงทรงประชวรเมื่อเสด็จกลับมา!”“ต่อมาไทเฮาออกมาปฏิเสธข่าวลือด้วยพระองค์เอง โดยกล่าวว่า ที่ทรงประชวรนั้นเป็นเพียงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง มิเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่ ข่าวลือจึงค่อย ๆ เงียบหายไป!”“ดูเหมือนว่าตั้งแต่นั้นมา ไทเฮาก็มิเคยเสด็จไปเยี่ยมอีกเลย! ฝ่าบา
ไทเฮาและพระราชธิดาที่พลัดพรากจากกันมานานโผเข้ากอดกันพลางร่ำไห้ ฉากเช่นนี้ฟังดูซาบซึ้งใจยิ่งนัก!กระนั้น หลิ่งอวี๋กลับพบบรรยากาศที่แตกต่างออกไปเมื่อมินานมานี้ ฮองเฮาเว่ยเพิ่งถูกไล่ไปอยู่ตำหนักเย็น ตระกูลเว่ยก็รับตัวองค์หญิงใหญ่กลับคืนมาในเวลานี้ ทั้งยังมีเรื่องการพระราชทานสมรสระหว่างเฮ่อหรงกับมู่หรงชิ่งอีกหากพิจารณาเหตุการณ์เหล่านี้แยกกันก็อาจไม่มีอะไร ทว่าหากนำมารวมกันแล้ว กลับมีความแปลกประหลาดซ่อนอยู่ในทุกเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลิงอวี๋คิดว่า ก่อนหน้านี้ฮองเฮาเว่ยวางยาพิษไทเฮา แล้วมู่หรงเหยียนซงก็ยังเอ่ยถึงสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิสูงสุดที่ผิดปกติอีก...องค์หญิงผู้นี้เป็นพระราชธิดาของไทเฮา หากนางคิดร้ายต่อไทเฮา ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าไทเฮาจะมิถูกพิษของนาง!“เซียวหลินเทียน ท่านลองเข้าไปหาทางใกล้ชิดกับมู่หรงเหยียนซงดู ส่วนหม่อมฉันจะเข้าวังไปสืบข่าวในวันพรุ่ง!”หลิงอวี๋มิรู้ว่าเมื่อองค์หญิงใหญ่กลับมา ไทเฮาจะยังคงปฏิบัติต่อตนเช่นเดิมหรือไม่มิว่านางจะสนิทสนมกับไทเฮาเพียงใด ก็เทียบมิได้กับพระราชธิดาแท้ ๆ ของพระองค์!ยิ่งไปกว่านั้น หลิงอวี๋ยังต้องการสืบถามข่าวคราวจากข
เซียวหลินเทียนถูขมับเล็กน้อย เพราะปวดศีรษะจากการนอนหลับมิสนิทตลอดทั้งคืน“เฮ่อหรงอาจจะมีส่วนร่วม แต่ท่านจินต้ายังไม่มีหลักฐาน! เพราะเพิ่งพบเบาะแสจากบัญชีของตระกูลหยางที่รวบรวมไว้ก่อนหน้านี้!”“ตระกูลหยางขายอาวุธ อาหาร และยาให้องค์ชายเว่ย แต่เงินบางส่วนถูกบันทึกเป็นชื่ออ๋องกำมะลอ! แม้จำนวนเงินแต่ละครั้งมิมาก แต่เมื่อรวมกันก็นับว่ามากทีเดียว!”“ท่านจินต้าตรวจสอบรายชื่อเหล่านี้แล้วพบว่าเป็นชื่อปลอมทั้งหมด ไม่มีผู้ใดรู้แน่นอนว่าบุคคลนี้เป็นใคร!”“ไม่มีเหตุผล เหตุใดตระกูลหยางจึงให้เงินมากมายและอำนาจกับคนพวกนั้น?”หลิงอวี่พึมพำ “อ๋องกำมะลอ... อ๋องกำมะลอ... อ๋องกำมะลอ! เฮ่อหรงไม่มีอำนาจ และไม่มีตำแหน่งใด ๆ ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าอ๋องกำมะลอ!”“เช่นนั้นมันเป็นชื่อที่เฮ่อหรงตั้งให้ตัวเองจนเกือบถูกเยาะเย้ยหรือ?”เซียวหลินเทียนเหน็บแนม “ก่อนหน้านี้ข้ามิเคยสนใจเขาเลย เพราะคนผู้นี้มักทำตัวมิโดดเด่น! แต่คราวนี้กลับหลุดพิรุธออกมา หากพวกเราตรวจสอบ เขาต้องปกปิดมันมิได้แน่นอน!”“ข้าขอให้ท่านจินต้าและอิ๋นฮู๋รวบรวมข้อมูลของเขาไว้แล้ว ครั้งนี้ข้าจะมิปล่อยให้หางจิ้งจอกของเขาหดกลับเข้าไปได้อีก!”หลิ
“พี่สะใภ้สี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เมื่อเห็นหลิงอวี๋จมอยู่ในห้วงความคิด จูหลานจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านสงสัยเหมือนกันใช่หรือไม่ว่าเหตุใดองค์หญิงใหญ่จึงเสด็จกลับมา?”หลิงอวี๋ออกจากห้วงความคิดแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังมิเคยเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่เลยสงสัยว่าพระองค์มีนิสัยอย่างไรน่ะ?”จูหลานตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็อยากรู้เช่นกัน! เราจะได้เข้าเฝ้าพระนางเร็ว ๆ นี้แล้ว! ไทเฮาคงทรงพระเกษมสำราญมิน้อยที่ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็ทรงคิดได้และทรงยินดีที่จะดูแลรับใช้พระนาง!” จูหลานมิรู้เรื่องการเมืองสักเท่าไร ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาด้วยการพูดคุยเรื่องเสี่ยวเป่าให้หลิงอวี๋ฟังว่าเหตุใดเสี่ยวเป่าถึงยังหัวเราะได้ในตอนที่ฟันงอกในฐานะแม่ ลูก ๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับนางหลิงอวี๋เห็นความตื่นเต้นของอีกฝ่ายจึงรู้สึกอิจฉาแม้หลิงเยวี่ยจะเป็นลูกของนาง แต่ก็มิเคยมีประสบการณ์ในการคลอดและมิเคยมีประสบการณ์เลี้ยงหลิงเยวี่ย จึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการหัวเราะครั้งแรก หรือเริ่มเดินครั้งแรกน่าเสียดายอย่างยิ่ง!ในภายภาคหน้านางจะต้องมีลูกเป็นของตัวเองเท่านั้นจึงจะได้สัมผัสความสุขเช่นนี้!“ตอนนี