แม้ว่าพระสนมฮุ่ยจะอ่อนแรง แต่ก็คว้ามือของหลิงอวี๋ไว้ราวกับคนจมน้ำที่คว้าเชือกช่วยชีวิตนางเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะเอาเนื้อร้ายออกแล้วจะทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งชั่วยาม ข้าก็อยากจะตายอย่างไร้มลทิน!”ดวงตาของเซียวหลินมู่รื้นน้ำตาอีกครั้งเพราะคำพูดของพระสนมฮุ่ย เขาจึงมิเอ่ยถามแล้วเอ่ยไปตรง ๆ“เสด็จแม่พูดเช่นนั้นแล้ว เช่นนั้นพี่สะใภ้สี่ก็ทำในสิ่งที่ควรทำเถิด! ข้าจะเชื่อฟังท่าน!”หลิงอวี๋เอ่ยทันที “เช่นนั้นหม่อมฉันจะเตรียมการผ่าตัด หานเหมย ไปที่ห้องโถงด้านข้างแล้วจัดโต๊ะให้ที! เถาจื่อ เตรียมเครื่องมือผ่าตัด!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซียวหลินเทียนก็ก้าวไปประคองหลิงอวี๋ พลางเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “เจ้าจะยืนหยัดทำการผ่าตัดจนเสร็จสิ้นได้หรือ?”เซียวหลินเทียนเคยเห็นหลิงอวี๋ทำการผ่าตัด ครั้งล่าสุดก็ที่หลิงซวนได้รับบาดเจ็บสาหัส นางต้องทำการผ่าตัดถึงสองชั่วยามตอนนี้นางอ่อนแอมากเช่นนี้แล้ว นางจะสามารถยืนสองชั่วยามได้หรือ?“มิเป็นไร หม่อมฉันยังทนได้เพคะ!”หลิงอวี๋ยิ้มให้เขาอย่างปลอบโยน กำลังเตรียมจะออกไปห้องโถงด้านข้างฮองเฮาเว่ยก็เอ่ยอย่างยิ้มภายนอกแต่ภายในมิได้ยิ
คำพูดเยินยอจนเกินจริงของเซียวหลินเทียนล้วนเลียนแบบหลิงอวี๋มาทั้งสิ้นหลิงอวี๋บอกว่าเสด็จพ่อก็เป็นคนเช่นกัน ซึ่งคนก็ชอบที่จะได้ยินสิ่งดี ๆเรื่องอื่น ๆ มองได้ขาดแต่ยกเว้นคำประจบสอพลอ เขาก็แค่พูดคำพูดดี ๆ ให้จักรพรรดิอู่อันมีความสุข ทั้งยังช่วยให้ความสัมพันธ์ของเซียวหลินมู่กับจักรพรรดิอู่อันผ่อนคลายลงด้วย เรื่องดี ๆ เหตุใดจะทำมิได้เล่า!จักรพรรดิอู่อันได้รับคำชมก็ยินดีอย่างยิ่งฮองเฮาฟังอยู่ข้าง ๆ ก็ทั้งโกรธทั้งโมโห เกลียดชังจนกัดฟันกรอด แต่มิสามารถพูดได้ว่าเซียวหลินเทียนทำมิถูกเซียวหลินมู่มีความรู้สึกที่ซับซ้อน ในด้านหนึ่งก็ดูถูกเซียวหลินเทียนที่เยินยอจักรพรรดิอู่อันเช่นนี้ และอีกด้านหนึ่งก็อิจฉาเซียวหลินเทียนหากตนได้รับมอบหมายให้สร้างร้านค้าขึ้นใหม่ เขาก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าเซียวหลินเทียนเช่นกันขณะที่คุยกันเช่นนี้ เวลาก็ผ่านไปโดยมิรู้ตัวในขณะที่ฮองเฮากำลังรออย่างใจจดใจจ่อนั้น เซี่ยเฉียวก็ถือถาดหนึ่งเข้ามาถาดนั้นถูกคลุมด้วยผ้าขาวและมีคราบเลือดติดอยู่“ฮองเฮา…องค์จักรพรรดิ... นี่… นี่คือเนื้องอกที่เอาออกมาจากร่างของพระสนมฮุ่ยเพคะ…”เซี่ยเฉียวยังคงมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่เลย ว
เถาจื่อเดินไปจับคอเสื้อของหมอจางอย่างมิเกรงใจแล้วยัดมีดผ่าตัดเข้าไปในมือของเขาพลางตะโกนอย่างดุร้าย “ตัดสิ!”หมอจางเห็นก้อนเนื้อเปื้อนเลือดนั้นก็มือสั่น เขามองแล้วรู้สึกคลื่นไส้ มีหรือจะกล้าตัด!“ตัดสิ!”เซียวหลินมู่ก็ตะคอกใส่เขาเช่นกัน“พวกมีปากก็พูดไปมิสนถูกผิด เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอย่างมิรับผิดชอบได้ แต่สิ่งที่เจ้าพูดมามันส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเสด็จแม่ข้า!”“เสด็จแม่ของข้าถูกปากอันชั่วร้ายของเจ้าบีบบังคับให้ต้องกระแทกเสาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์! ตอนนี้เจ้ายังจะใส่ร้ายพระนางอยู่อีกรึ?”“เจ้าบอกว่าเสด็จแม่ข้าแท้งแล้วมิใช่รึ? เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงบอกว่านี่คือทารกในครรภ์อีกเล่า?”“พี่สะใภ้สี่ก็บอกแล้วว่ามันเป็นเนื้องอก แต่เจ้ากลับยืนกรานจะบอกว่ามันคือทารกในครรภ์ เจ้าอยากจะฆ่าเสด็จแม่ของข้าจริง ๆ สินะ!”เสียงของเซียวหลินมู่เริ่มโหดร้ายขึ้นเรื่อย ๆ เขาเกลียดหมอไร้ฝีมือผู้นี้มาก วันนี้หากมิได้จัดการเขาก็จะมิยอมรามือเด็ดขาด!“ตัดสิ… หากเจ้ามิตัดวันนี้ ข้าจะตัดมันให้เจ้ากิน!”ประโยคนี้ เซียวหลินมู่แทบจะพูดลอดไรฟันออกมา!เอ่อ...หมอจางตัวสั่นไปทั้งร่าง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถ
“หมอหลี่ ทักษะการแพทย์มิดี ใส่ร้ายพระสนมฮุ่ย ลากไปประหารที่ประตูอู่เหมินต่อหน้าทุกคน!”“หมอจาง ทักษะการแพทย์มิดี มิรู้จักแยกแยะถูกผิด ช่วยคนชั่วทำชั่ว เกือบจะบีบพระสนมฮุ่ยให้ต้องตาย ปลดออกจากตำแหน่งราชการและเนรเทศไปให้ไกลสามพันลี้!”“อีกอย่าง ก่อนออกเดินทางให้ทหารพาเขาไปคำนับขอโทษพระชายาอ๋องอี้ที่ตลาดด้วย!”จักรพรรดิอู่อันประกาศคำตัดสิน เมื่อพูดจบก็จ้องมองฮองเฮาเว่ยอย่างเย็นชา“เว่ยเสียน เจ้าดูแลวังหลัง ยังมิทันเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก็สร้างปัญหาให้ใหญ่โต เกือบบีบพระสนมฮุ่ยให้ต้องตาย ทำให้ข้าเข้าใจราชองครักษ์ผางผิดไป!”“ความผิดของเจ้าเท่ากับการฆ่าคนอย่างน่าสะเทือนใจ เจ้าถูกลงโทษกักบริเวณหนึ่งเดือน ไปไตร่ตรองความผิดของเจ้าให้ดี ๆ! เมื่อพระสนมฮุ่ยพ้นขีดอันตรายแล้ว เจ้าจะถูกลงโทษให้ขอโทษนางกับราชองครักษ์ผางต่อหน้าธารกำนัล!”ฮองเฮาเว่ยคุกเข่าลงเบา ๆโดนกักบริเวณมิเป็นอะไร!แต่การขอโทษพระสนมฮุ่ยกับราชองครักษ์ผางในที่สาธารณะ ทำให้นางรู้สึกอับอายยิ่งกว่าการฆ่านางเสียอีก...หัวใจของฮองเฮาเว่ยเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อจักรพรรดิอู่อันทันที!ตนเป็นภรรยาของเขาที่แต่งงานด้วย รับใช้เขามาตั้
ฮองเฮาเว่ยก้มหน้าลงอย่างมิเต็มใจ แล้วบีบต้นขาของตนอย่างแรง มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นที่สามารถทำให้ตนมิลืมความเกลียดชังนี้ไปได้‘พระชายาเส้า… เจ้ารอข้าก่อนเถิด หากข้ามิฆ่าเจ้า ข้าก็มิใช่คนแล้ว!’“อาอวี๋...”จู่ ๆ เซียวหลินเทียนก็ร้องเรียก เสียงนั้นก็ทำให้สายตาของทุกคนมองไปทางนั้นหลิงอวี๋หลับตาแน่นแล้วหมดสติไปในอ้อมแขนของเซียวหลินเทียนเมื่อถังถีเตี่ยนเห็นสิ่งนี้ก็รีบเข้าไปตรวจชีพจรของหลิงอวี๋ พลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “อาจารย์ทำงานหนักเกินไป! นางได้รับบาดเจ็บมา เดิมทีร่างกายของนางก็อ่อนแออยู่แล้วแต่ยังฝืนทำการผ่าตัดให้พระสนมฮุ่ยอีก...”“รีบพานางกลับไปพักผ่อนแล้วป้อนน้ำหวานให้นางก่อนเถิด โสมโลหิตนั่น… สามารถหั่นเป็นชิ้น ๆ ป้อนนางก็ได้! ชีวิตสำคัญกว่า หากหมดก็หาซื้อใหม่ได้!”เมื่อจักรพรรดิอู่อันเห็นดังนั้น จึงเอ่ย “หากพากลับตำหนักต้องใช้เวลาอีกสักพัก ขันทีฉาง เจ้าไปที่ครัวหลวงแล้วนำต้มโสมที่พวกเขาทำไว้ให้ข้ามาให้พระชายาอ๋องอี้!”“แล้วไปที่ร้านโอสถ เลือกเครื่องยาสมุนไพรดี ๆ กลับมาเสริมให้พระชายาอ๋องอี้!”พระสนมฮุ่ยยังมิตื่น เซียวหลินมู่ยังต้องการหลิงอวี๋ จึงรีบเอ่ย “พี่สี่ อุ้มพี่สะใภ
เซียวหลินมู่ก้นกระแทกนั่งลงบนพื้นเขาคิดมิถึงเลยว่าจู่ ๆ เซียวหลินเทียนจะต่อต้านเขา จึงจ้องมองเซียวหลินเทียนอย่างมึนงงและมิพอใจ“เซียวหลินมู่… นี่เจ้ากำลังโทษข้ารึ?”เซียวหลินเทียนเห็นเถาจื่อกับหานเหมยตามมาแล้วจึงส่งหลิงอวี๋ไปให้พวกนาง “ประคองพระชายาไปนั่งด้านข้าง!”เถาจื่อกับหานเหมยรีบประคองหลิงอวี๋ไปนั่งที่นั่งด้านข้างอย่างรวดเร็วเซียวหลินเทียนเข้าไปใกล้เซียวหลินมู่ด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยวแล้วคว้าคอเสื้อของเขาพลางตะคอกด้วยความโกรธ“ข้าเห็นแก่หน้าของพระสนมฮุ่ยจึงมิอยากถือสาเอาความกับเจ้า แต่วันนี้หากมิพูดให้ชัดเจน เจ้าก็จะคิดไปว่าข้าเป็นหนี้เจ้าจริง ๆ!”“คนสารเลวเยี่ยงเจ้าเห็น ๆ อยู่ว่ามีโสมโลหิต แต่กลับมิบอกข้า! มาถ่วงเวลาข้าช่วยอาอวี๋ เจ้ายังคิดว่าเจ้ามีเหตุผลอยู่อีกรึ?”“อาอวี๋ช่วยพระชายากับลูกของเจ้า ถ้าเกิดเจ้ามีจิตสำนึกใด ๆ ก็ควรบอกข้าว่าเจ้าใช้โสมโลหิตไปแล้ว ให้ข้าคิดหาวิธีอื่น! แต่เจ้ามิบอก!”“ได้ ข้าเข้าใจได้ว่าเจ้ามีความยากลำบากเพื่อจะปกป้องเสด็จแม่ของเจ้า!”“แต่เหตุใดสมองโง่ ๆ ของเจ้ามิคิดบ้างเล่า? ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าเจ้ามีโสมโลหิต? คนที่เปิดเผยข้อมูลให้กับข้ากำล
หลิงอวี๋ทั้งหงุดหงิดทั้งโกรธเซียวหลินมู่ แต่เมื่อเห็นเขาขอร้องตนอย่างน่าสงสาร ก็นึกถึงว่าเขาเองก็กตัญญูต่อพระสนมฮุ่ย จึงระงับความโกรธไว้ได้“เนื้องอกของพระสนมฮุ่ยเป็นเนื้อร้ายหรือไม่นั้น ต้องรอการตรวจชิ้นเนื้อ วันนี้หม่อมฉันไม่มีแรงจะตรวจแล้ววันหลังหากรู้แน่ชัดแล้วจะบอกท่านอีกที!”“สำหรับการรักษาในภายหน้า หม่อมฉันจัดตำรับยาให้พระนางแล้ว วิธีการดูแลพระนางก็ได้ทำการสอนแม่นมกับนางกำนัลไว้แล้ว! กินยาตามตำรับยาไปก่อน รอหม่อมฉันตรวจเนื้องอกเสร็จแล้วค่อยปรับตำรับยากันอีกที!”“ได้ ๆ... พี่สะใภ้กลับไปพักผ่อนให้สบายเถิด วันหลังข้าจะไปขอบคุณที่ตำหนัก!”เซียวหลินมู่เห็นว่าหลิงอวี๋ยังคงช่วยเสด็จแม่ของตนโดยมิถือสาความบาดหมางครั้งก่อนเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ“มิต้องมาที่ตำหนัก ธรณีประตูตำหนักเราต่ำเกินไป มิสามารถทักทายคนสูงส่งเช่นเจ้าได้หรอก!”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างเย็นชา “อาอวี๋ทำการผ่าตัดให้เสด็จแม่ของเจ้าและจัดตำรับยาให้แล้ว ค่าตรวจรักษาหนึ่งแสน! คงมิแพงใช่หรือไม่!”“เจ้าจ่ายเงินหนึ่งแสนซื้อโสมโลหิต แต่ก็ยังมิสามารถช่วยเสด็จแม่ของเจ้าได้ อาอวี๋ของข้าตัดต้นเหตุให้พระนางไปแล้ว! เจ้ากลับไป
แม้ว่าจักรพรรดิอู่อันจะสั่งให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ปิดปากเงียบเรื่องของพระสนมฮุ่ยมิให้เอาไปพูดข้างนอก แต่ฮองเฮาเว่ยก็ถูกยึดตราหงส์ไปเพราะเหตุนี้ เช่นนี้ไหนเลยจะปิดข่าวได้วันรุ่งขึ้น ก็มีข่าวลือต่าง ๆ แพร่สะพัดออกไปแล้วบางคนบอกว่าเป็นเพราะเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋เข้าไปรายงานในวัง จึงทำให้ฮองเฮาเว่ยถูกองค์จักรพรรดิยึดตราหงส์ไปบางคนบอกว่าองค์ชายเย่มิได้มีโสมโลหิต พวกเรื่องความเนรคุณหรือเห็นคนใกล้ตายแล้วมิช่วยเหลือนั่นล้วนเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องอี้จงใจแต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้องค์ชายเย่เสื่อมเสียชื่อเสียงแม้แต่เรื่องราชองครักษ์ผางไร้ความสามารถทางเพศก็แพร่กระจายไปเช่นกันเรื่องราวต่าง ๆ เริ่มแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆท้ายที่สุดระบุไปว่าเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ใช้ความโปรดปรานที่จักรพรรดิอู่อันมีต่อพวกเขามาจัดการฮองเฮาเว่ยกับองค์ชายเย่ในช่วงเวลาหนึ่ง ขุนนางกับราษฎรมากมายในเมืองหลวงที่มิรู้ความจริงก็แอบดูถูกเซียวหลินเทียนกันคิดว่าเซียวหลินเทียนใช้วิธีการใส่ร้ายน้องชายของตนกับฮองเฮาเว่ยเพื่อชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทศฤคาลเงินรวบรวมข่าวลือต่าง ๆ แล้วส่งมาให้เซียวหลินเทียนเซียวหลินเ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก