เมื่อเผยอวี้เอ่ยเช่นนี้ หัวใจของหลิงหว่านก็ดูเหมือนมีบางสิ่งมาตรึงเอาไว้ ความโกรธของนางหายไปแล้ว“หว่านเอ๋อร์ เจ้ามิได้เห็นว่าตอนนั้นอาเทียนคล้ายคนบ้าเลือดไปแล้ว! ชีวิตของพี่หลิงหลิงแขวนอยู่บนเส้นด้าย กลิ่นอายสังหารที่เขาปล่อยออกมานั้นแทนที่จะมุ่งไปหามือสังหารมันดูจะมุ่งหาตัวเขาเองมากกว่า...”เผยอวี้นึกถึงท่าทางบ้าคลั่งของเซียวหลินเทียนในเวลานั้นแล้วก็ทอดถอนใจพลางเอ่ย“ยามมีชีวิตอยู่ควรทะนุถนอมชีวิตไว้ดี ๆ อย่ารอให้ถึงการที่จะต้องจากลากันชั่วนิรันดร์แล้วจึงมาเสียใจ!”“ข้าคิดเช่นนี้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว... ข้าหวังว่าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านในวันพรุ่งนี้แล้ว! หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะมิต้องเสียใจที่มิสามารถกอดเจ้าได้ก่อนที่ข้าจะตาย…”หลิงหว่านฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจ นางยกมือขึ้นปิดปากเขาโดยมิรู้ตัว“เอ่ยวาจาไร้สาระอะไรกัน! เรื่องเป็นเรื่องตายอะไร… ข้ามิอยากได้ยินเรื่องเช่นนี้!”“มิว่าจะอยู่ที่ใด ท่านจะต้องสัญญาว่าจะมีชีวิตที่ดี! ข้า… ข้ายังอยากให้เราอยู่กันไปจนแก่เฒ่าไปด้วยกัน มีลูกมีหลานเต็มเรือน!”แม้ว่าพูดเช่นนี้แล้วใบหน้าของหลิงหว่านจะแดงก่ำด้วยความเขินอาย แต่ก็ยังคงเอ่ยอย่างเปิดเผยตรงไปตร
แต่เซียวหลินเทียนมิกล้า!ความอ่อนแอของหลิงอวี๋ในเวลานี้ทำให้เขารู้สึกว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้อาการบาดเจ็บของนางรุนแรงขึ้นอีก...“หิวน้ำหรือ? ข้าจะรินน้ำให้ เจ้าหิวหรือไม่? ข้าจะให้คนเอาโจ๊กมาให้เจ้า!”เซียวหลินเทียนเอ่ยถามอย่างสะเปะสะปะเขาที่ดูสงบมาโดยตลอด ดูเหมือนจะกลายเป็นเด็กที่ทำอะไรมิถูกไปในทันใดมิรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะดูแลหลิงอวี๋ให้ดียิ่งขึ้นได้“หม่อมฉันจะไปรินน้ำเองเพคะ!”หานเหมยปาดน้ำตาจากหางตาอย่างเงียบ ๆ แล้ววิ่งไปรินน้ำ“เจ็บหรือไม่? มันคงจะเจ็บมากสินะ!”เซียวหลินเทียนพูดเองเออเองดวงตาของหลิงอวี๋ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น นางเห็นท่าทางทำตัวมิถูกของเซียวหลินเทียนแล้วก็แย้มยิ้มขึ้นมาโดยมิรู้ตัวนางนึกถึงบาดแผลแส้ห้าสิบครั้งที่ได้รับตอนข้ามเวลามา บาดแผลทั่วทั้งร่างกายนั้นเจ็บปวดกว่าตอนนี้หลายเท่าตัวนัก!ในเวลานั้น เซียวหลินเทียนมิเคยคิดที่จะถามนางเลยว่าเจ็บหรือไม่!เมื่อเห็นนาง เขาก็ดูรำคาญและเกลียดชัง!แต่ในเวลานี้ ใบหน้าและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและทุกข์ใจ...“เจ็บ!”หลิงอวี๋พึมพำออกมาโดยมิรู้ตัวเมื่อโตขึ้น คนอื่นจะสนใจเพียงแค่ว่าเจ้าบินได้สูงหรือไม่ ไม่
เผยอวี้จะกลับแล้ว หลิงหว่านจึงส่งเขากลับแต่เมื่อหลิงหว่านนึกถึงเรื่องฉินรั่วซือ ก็ดึงเผยอวี้ให้หยุดก่อน“ท่านพี่เผย มีบางเรื่องที่ข้ารู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย มิรู้ว่าควรจะบอกท่านอ๋องอี้ดีหรือไม่ ท่านแนะนำข้าที!”“เรื่องอะไรหรือ?”เผยอวี้เอ่ยถามไปอย่างสบาย ๆ“ตอนที่พวกท่านยังมิมา ฉินรั่วซือมาเยี่ยมท่านพี่หลิงหลิง นางบอกว่าองค์ชายเย่มีโสมโลหิตที่เป็นยาศักดิ์สิทธิ์ช่วยบำรุงโลหิต ท่านอ๋องอี้จึงไปขอยา!”แล้วหลิงหว่านก็เอ่ยด้วยความโกรธ “แต่ท่านอ๋องอี้ไปเสียเที่ยว มิได้ยามาเจ้าค่ะ!”เผยอวี้เลิกคิ้วอย่างสงสัย “เรื่องนี้มีอะไรแปลกหรือ? บางทีนางอาจจะได้ยินมาผิดก็เป็นได้!”“หว่านเอ๋อร์ เจ้าโกรธนางเพราะฮองเฮาเว่ยต้องการจะประทานงานแต่งงานให้ฉินรั่วซือกับท่านอ๋องอี้หรือ?”หลิงหว่านเบิกตากลมโตจ้องมองเผยอวี้อย่างโกรธเคืองทันที “ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร? ท่านจะบอกว่าข้าใจแคบหรือ? หากฉินรั่วซือมีจิตใจดีจริง ๆ ข้าก็มีแต่จะขอบคุณนางก็เท่านั้น!”“แต่ท่านมิรู้เรื่องราวภายในเลย ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงกล้าว่าข้าโกรธนาง! ข้าเป็นคนใจแคบเช่นนี้หรือ?”“หึ หากรู้ว่าท่านจะคิดเช่นนี้ ข้าก็มิพูดแล้ว!”เมื่อเผยอว
เผยอวี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการกระทำของฉินรั่วซือมีเจตนาแอบแฝง เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะไปคุยกับท่านอ๋อง!”เผยอวี้หันกลับไปอีกครั้งแล้วเรียกเซียวหลินเทียนออกมาทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในห้องตำรา เผยอวี้ก็เอ่ยถามอย่างกังวล“อาเทียน ข้าได้ยินหว่านเอ๋อร์บอกว่า เจ้าไปขอยาที่ตำหนักองค์ชายเย่ องค์ชายเย่ตอบเจ้าเยี่ยงไรหรือ?”ทันใดนั้นใบหน้าของเซียวหลินเทียนก็มืดมนลง เรื่องมิดีระหว่างพี่น้องของพวกเขา เขาไม่มีหน้าจะไปบอกเผยอวี้เลยจริง ๆ“เจ้ามิจำเป็นต้องปิดบังอะไรจากข้าหรอก เรื่องนี้ยังมีเรื่องราวที่แอบแฝงอยู่ภายในอีก เจ้าบอกข้าก่อนแล้วเราค่อยคุยเรื่องอื่นกัน!”เผยอวี้เอ่ยเร่งเซียวหลินเทียนจึงทำได้เพียงเล่าเรื่องที่ตนไปที่ตำหนักองค์ชายเย่ แล้วสุดท้ายก็ตัดสัมพันธ์กับองค์ชายเย่ไปให้เขาฟังเขากัดฟันอย่างดุร้ายพลางเอ่ย “ข้ามั่นใจว่าเขาต้องมีโสมโลหิตอยู่ในมือเป็นแน่! เขานิ่งดูดายมิยอมช่วยเหลือ ตอบแทนคุณด้วยความแค้นเช่นนี้ ข้าจะจดจำความเนรคุณนี้ไว้!”“จากนี้ไป นับว่าข้าไม่มีน้องชายผู้นี้อีก!”เผยอวี้เชื่อการตัดสินใจของเซียวหลินเทียน เขาบอกว่าโสมโลหิตอยู่ในมือขององค์ชายเย่ ก็ต้องเป็นเช่นนั้
หลิงอวี๋หลับสนิท นางฉวยโอกาสตอนที่เซียวหลินเทียนออกไป และเข้าไปดื่มน้ำในมิติเพื่อเร่งการสมานแผลกระทั่งนางตื่นขึ้นมากลางดึก อาการบาดเจ็บของนางก็มิเจ็บปวดถึงเพียงนั้นแล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมามากแล้วเมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นเซียวหลินเทียนเอนกายหลับอยู่ข้างเตียงไฟในห้องยังคงสว่างอยู่แสงสลัวส่องลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวหลินเทียน ร่องรอยใต้ดวงตาของเขาดำคล้ำเขามิได้นอนทั้งคืนแล้วเฝ้าตนอยู่เช่นนี้หรือ?หัวใจของหลิงอวี๋อบอุ่นขึ้นมา นางมิกล้าส่งเสียงเพราะกลัวจะรบกวนการนอนหลับของเขานางมองเขาอย่างเงียบ ๆ อยู่เช่นนี้แล้วคำพูดที่เซียวหลินเทียนเอ่ยกับตนก็แวบขึ้นมาในหัว“เรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีหรือไม่?”เริ่มต้นใหม่แล้วลืมความแค้นที่ผ่านมาหรือ?ลืมการลงแส้ห้าสิบครั้งนั้นหรือ? แล้วความเกลียดชังที่เขามีต่อตนเล่า?หลิงอวี๋เดินทางข้ามเวลามา นางมิได้มีความเกลียดชังฝังใจกับการลงแส้เฆี่ยนตีห้าสิบครั้งนั้นมากนัก เพราะมันเกิดจากเรื่องโง่ ๆ มากมายที่หลิงอวี๋คนก่อนทำเอาไว้นางยอมรับว่าในตอนแรกนางก็เกลียดเซียวหลินเทียนเช่นกันเขาเป็นคนที่ถือชายเป็นใหญ่ ทั้งเผด็จการ ทั้งไร้ความเม
“จะมาเกรงใจอะไรข้าเล่า!”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างมิเห็นด้วย “ข้าบาดเจ็บ เจ้าก็ดูแลข้าเช่นกันมิใช่หรือ? ข้าแค่กลัวว่าข้าจะซุ่มซ่ามแล้วดูแลเจ้าได้มิดี!”“ดีมากแล้วเพคะ!”หลิงอวี๋ยิ้มแล้วดึงเขาไว้ “ขึ้นมานอนเถิดเพคะ! ฟ้ายังมิสางเลย!”“มิต้องหรอก ข้านั่งตรงนี้ก็ได้!”เซียวหลินเทียนกังวลว่าเขาจะเบียดนางหลิงอวี๋ค่อย ๆ ขยับเข้าไปข้างในแล้วตบเตียงตรงที่ว่าง“ขึ้นมาเถิดเพคะ… หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บ มิสามารถดูแลท่านได้! หากท่านล้มป่วยไป หม่อมฉันอุ้มท่านมิไหวหรอกเพคะ!”เซียวหลินเทียนจึงทำได้เพียงถอดรองเท้าแล้วนอนลงข้าง ๆ นางอย่างระมัดระวังทั้งยังยกมือข้างหนึ่งไปช่วยห่มผ้าห่มให้หลิงอวี๋อย่างอ่อนโยนด้วย“ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว!”หลิงอวี๋นอนหลับมากแล้วจึงมิง่วง และกระซิบ “หม่อมฉันได้ยินหว่านเอ๋อร์บอกว่า เสด็จพ่อทรงนำโอสถบำรุงโลหิตอันล้ำค่ามาช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้! วันหลังหม่อมฉันจะเตรียมโอสถบำรุงโลหิตให้เสด็จพ่อสักหน่อย ท่านก็เก็บไว้บ้างบางส่วน เผื่อไว้ในยามจำเป็น!”“อืม! ข้าลืมไปว่าเสด็จพ่อยังมีโอสถบำรุงโลหิตอยู่ ครั้งนี้ที่พระองค์พระทัยกว้างถึงเพียงนี้ข้าเองก็คิดมิถึงเช่นกัน! วันหลังข้าต้อ
หลิงอวี๋รู้สึกกระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เซียวหลินเทียนบอก นางลืมไปว่านี่เป็นสมัยโบราณเป็นเรื่องปกติที่บุรุษจะมีภรรยาและอนุหลายคน นี่มันก็เท่ากับนิสัยการนอกใจของบุรุษสมัยใหม่มิใช่หรอกหรือแต่นางก็ยังคงมิยอมทิ้งความคิดนี้ จึงยิ้มพลางเอ่ย “บางที่คนผู้นี้อาจจะเป็นคนที่เขามิสะดวกที่จะแต่งงานเข้าตำหนักก็ได้กระมัง?”ความคิดของหลิงอวี๋เปิดกว้างพลางเอ่ย “บางทีนางอาจเป็นภรรยาของผู้อื่น… เขาใช้เงินจำนวนมากช่วยภรรยาของคนอื่น หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันจะทำให้เขามีชื่อเสียงที่มิดี!”“เป็นไปมิได้!”เซียวหลินเทียนนึกมิออกเลยว่าน้องชายของตนจะไปกะลิ้มกะเหลี่ยภรรยาของคนอื่นได้ ใต้หล้านี้มีสตรีมากมาย เหตุใดต้องทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้ด้วย!หลิงอวี๋ยังรู้สึกว่า สิ่งที่ตนคิดนั้นเหลือเชื่อเกินไป แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว นางก็คิดมิออกจริง ๆ ว่าจะมีใครที่ทำให้องค์ชายเย่ปกปิดไว้ได้“มิพูดถึงเขาแล้ว ข้าให้เผยอวี้ไปตรวจสอบแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตอนนี้คือการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ อย่าได้กังวลเรื่องเขาเลย!”เซียวหลินเทียนวางมือใหญ่ไว้บนดวงตาของหลิงอวี๋อย่างเอาแต่ใจ“นอนเถิด! มิให้คิดฟุ้ง
เซียวหลินเทียนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ต้องทูลองค์จักรพรรดิอู่อัน จึงเข้ามาคุยกับหลิงอวี๋แล้ววางแผนเข้าวัง“เซียวหลินเทียน หลังจากที่ท่านคุยกับองค์จักรพรรดิแล้วก็ไปเยี่ยมไทเฮาเสียหน่อยเถิดเพคะ ดูว่าอาการของไทเฮาดีขึ้นแล้วหรือไม่!”หลิงอวี๋ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ จึงเอ่ยกำชับออกไป“ได้… เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเสียเถิด ข้าไปก่อน...”เซียวหลินเทียนเข้าวังไปด้วยหัวใจที่หนักหน่วงแต่สิ่งที่เซียวหลินเทียนมิคาดคิดก็คือ เรื่องที่องค์ชายเย่มีโสมโลหิตแต่กลับนิ่งดูดายมิช่วยเหลือได้แพร่กระจายไปทั่วราชสำนักในชั่วข้ามคืนบางคนยังเล่าเรื่องที่ตอนแรกหลิงอวี๋ช่วยเหลือพระชายาเย่กับลูกชายอย่างเติมไข่ใส่สีด้วยความคิดเห็นของราษฎรทั้งหมดต่างมุ่งตรงไปที่องค์ชายเย่ ดุด่าหาว่าเขาไร้ความเมตตาและเนรคุณเรื่องนี้ไปถึงหูจักรพรรดิอู่อันก่อนที่เซียวหลินเทียนจะเข้าวังเสียอีกจักรพรรดิอู่อันโกรธจัดทันที ก็แค่โสมโลหิตมูลค่าหนึ่งแสนมิใช่หรือ?หากองค์ชายเย่มอบมันให้กับเซียวหลินเทียน ก็มิจำเป็นที่ตนต้องเอาโอสถบำรุงโลหิตที่มีมูลค่ามากกว่าโสมโลหิตออกมาช่วยหลิงอวี๋น่ะสิ?เขายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมาก ยังมิทันที่เซ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก