โสมโลหิตอยู่ในมือของเซียวหลินมู่หรือไม่นั้น จักรพรรดิอู่อันก็มิสามารถตรวจสอบได้แต่เมื่อคิดว่าต้นโสมโลหิตต้นเดียวที่มีมูลค่าหนึ่งแสนนั้น ดูจากการเงินของเซียวหลินมู่แล้วก็ใช่ว่าจะให้มิได้เซียวหลินมู่คงมิจำเป็นต้องทำให้ตนเองมาตกอยู่ในสถานะของการเป็นคนไร้ความเมตตาและเนรคุณเช่นนี้เพราะโสมโลหิตหรอกจักรพรรดิอู่อันเชื่อคำพูดของเซียวหลินมู่อยู่มากทีเดียวเมื่อนึกถึงท่าทีร้อนรนของเซียวหลินเทียนในตอนนั้น เขาเองก็มิสามารถโกรธเซียวหลินเทียนได้เช่นกัน จึงเอ่ย “ในเมื่อโสมโลหิตมิได้อยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นวันหลังเจ้ากับพี่ของเจ้าก็คุยกันให้ชัดเจนเสีย!”“อย่าต้องให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพี่น้องเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้! ส่วนทางด้านพี่ของเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าอธิบายกับเขาด้วย!”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”เซียวหลินมู่ถอนหายใจโล่งอก ขอเพียงเสด็จพ่อมิสงสัยในตัวเขาก็พอแล้วแต่เรื่องโสมโลหิตแพร่สะพัดออกไปแล้ว เขาต้องคิดหาทาง โยนเรื่องที่ตนครอบครองโสมโลหิตไปไว้ที่ตัวของคนอื่นให้หมดสิ้นมิเช่นนั้นหากให้ข่าวลือแพร่ต่อไป มิช้าก็เร็วเรื่องนี้จะต้องถูกเปิดเผย!เมื่อถึงเวลานั้น อย่าว่าแต่ความผิดที่ตนหลอกลวงองค์จั
ฮองเฮาเว่ยมิสบายใจเพราะเรื่องที่ไทเฮาถูกวางยาพิษนางมิคาดคิดว่าหลิงอวี๋จะสามารถช่วยไทเฮาได้แล้วบอกเรื่องที่ไทเฮาถูกวางยาพิษ ทั้งยังทำให้จักรพรรดิอู่อันเกิดความสงสัยต่อตนอีกด้วยตอนนี้พระตำหนักเหยียนฝูได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และคนของนางมิสามารถสืบข่าวใด ๆ ได้เลยส่วนองค์ชายเว่ยก็ถูกพวกองค์ชายบดขยี้ในการแข่งขันสี่แคว้น ทำให้จักรพรรดิอู่อันยิ่งผิดหวังในตัวเขามากขึ้นไปอีกบารมีของเซียวหลินเทียนก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย!หากเป็นเช่นนี้ต่อไป องค์ชายเว่ยก็จะยิ่งห่างไกลจากตำแหน่งองค์รัชทายาทไปมากขึ้นเรื่อย ๆ!นางกำลังรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างยิ่งเซี่ยเฉียวนางกำนัลใหญ่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พลางกระซิบ “ฮองเฮาเพคะ บ่าวได้ข่าวมาว่าองค์ชายเย่ซื้อต้นโสมโลหิตในราคาสูงเพคะ!”“เมื่อวานท่านอ๋องอี้กับภรรยาถูกลอบสังหารมิใช่หรือเพคะ? ได้ยินว่าพระชายาอ๋องอี้กำลังจะตาย ท่านอ๋องอี้จึงไปขอโสมโลหิตนี้ที่ตำหนักองค์ชายเย่! ผลคือองค์ชายเย่ปฏิเสธบอกว่าไม่มีเพคะ!”“มันมีอะไรแปลกกัน ตอนนี้ท่านอ๋องอี้กับภรรยาได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง ใครจะมิอยากให้พวกเขาซวยเล่า!”ฮองเฮาเว่ยยิ้มเยาะอย่
ครั้งที่แล้วหลิงอวี๋ฆ่าจ่างหนิง เดิมทีมั่นใจแล้วว่าจะตัดหัวได้ก็เป็นพระสนมฮุ่ยกับลูกชายของนางที่ช่วยหลิงอวี๋ขอร้ององค์จักรพรรดิ ถึงทำให้หลิงอวี๋รอดพ้นไปได้ฮองเฮาเว่ยเกลียดพระสนมฮุ่ยมาก แต่มิเคยจับจุดอ่อนอะไรได้เลย ไหนเลยจะคิดว่าพระสนมฮุ่ยจะมาส่งให้เองถึงหน้าประตู“มิน่า องค์ชายเย่ถึงพยายามอย่างหนักเพื่อปกปิดว่าตนมิได้มีโสมโลหิตอยู่ในมือ ที่แท้ก็มิอยากเปิดเผยเรื่องนี้นี่เอง!”ฮองเฮาเว่ยรู้สึกว่าการเดาของนางนั้นใกล้เคียงมากแน่นอน จึงยิ้มอย่างยินดีพลางเอ่ย “ข้าจะดูว่าครั้งนี้ใครจะช่วยนางได้!”แม่นมเจิ้งแนะนำ “ฮองเฮา หากจะจับชู้ต้องจับให้ได้ทั้งคู่เพคะ หากนางตั้งครรภ์จริง ๆ เช่นนั้นใครคือชายชู้เล่าเพคะ?”ฮองเฮาเว่ยถูกเตือนจึงนึกถึงจุดสำคัญนี้ได้แล้วก็เอ่ยอย่างเร่งรีบ “แม่นมเจิ้ง เจ้ารีบออกไปสืบดูทีว่า ในหลายเดือนมานี้ใครไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับพระสนมฮุ่ย!”นอกจากขันทีในวังแล้ว ก็แทบไม่มีชายใดกล้าเข้าไปในวังหลังแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเลยผู้ที่สามารถเข้าไปได้มีเพียงแค่กองทัพหลวงเท่านั้นแต่กองทัพหลวงก็ทำได้เพียงลาดตระเวนอยู่ที่ศาลาในสวนเท่านั้น แทบไม่มีใครกล้าเข้าไปในตำหนักของนางสนมแบบสุ่มส
“เสด็จพ่อ มือสังหารจากฉีตะวันตกเหล่านี้กล้าแหกคุกฆ่าคนที่เรือนจำกระทรวงยุติธรรม! คนเหล่านี้มีวรยุทธแข็งแกร่งมาก หากเรามิจับพวกเขา ก็จะเป็นการส่งเสริมความเย่อหยิ่งอวดดีของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ!”ในห้องทรงพระอักษร เซียวหลินเทียนเอ่ยกับจักรพรรดิอู่อันด้วยความโกรธ“ลูกคิดว่าหากพึ่งแค่นักการของศาลาว่าการนครหลวงเพียงอย่างเดียวมิสามารถจัดการกับคนเหล่านี้ได้พ่ะย่ะค่ะ! ในเวลาสั้น ๆ เพียงสองวัน องครักษ์ของลูกและผู้ใต้บังคับบัญชาของอันเจ๋อ รวมถึงนักการของศาลาว่าการนครหลวงตายไปยี่สิบกว่าคนแล้ว!”“ลูกขอเสนอให้ส่งกองทัพหลวงกับค่ายกองทหารเสือไปช่วยเหลือแม่ทัพเฉินพ่ะย่ะค่ะ ต้องจับมือสังหารเหล่านี้โดยเร็วที่สุด!”ค่ายกองทหารเสือ?จักรพรรดิอู่อันได้ยินเซียวหลินเทียนเอ่ยถึงกองกำลังชั้นยอดนี้ก็ขมวดคิ้วโดยมิรู้ตัวนี่คือกลุ่มกองกำลังลับ!อยู่ภายใต้การควบคุมส่วนพระองค์ของจักรพรรดิอู่อัน ปกติแล้วล้วนเป็นองครักษ์เงาของจักรพรรดิอู่อันมีเพียงจักรพรรดิอู่อันเท่านั้นที่มีสิทธิ์ระดมพลพวกเขาจำนวนของพวกเขามีมิถึงห้าสิบคน แต่ว่าแต่ละคนมีวรยุทธที่แข็งแกร่งมาก มีความสามารถทั้งทางบุ๋นและบู๊ มีความกล้าหาญและเก่งในกา
จักรพรรดิอู่อันมิยอมรับการมีอยู่ของค่ายกองทหารเสือ เซียวหลินเทียนก็มิสามารถไปบังคับเขาได้ เขาจึงรู้สึกท้อแท้เล็กน้อยศัตรูที่แข็งแกร่งบุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว แต่เสด็จพ่อยังคงปกปิดความลับเพื่อผลประโยชน์ของเขาเองอยู่เช่นนี้จะมีความหมายอะไรกัน!“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ เช่นนั้นลูกขอทูลลา!”ได้กองทัพหลวงมาก็ย่อมดีกว่ามิได้อะไรเลย เซียวหลินเทียนเดินออกจากห้องทรงพระอักษรไปเลือกคนกับหัวหน้าราชองครักษ์ผางอย่างหน้าบึ้งเมื่อราชองครักษ์ผางได้ยินว่าเซียวหลินเทียนต้องการคนก็ยินดีมาก สั่งทหารกองทัพหลวงสิบกว่านายที่ค่อนข้างเก่งวรยุทธ ให้พวกเขาติดตามเซียวหลินเทียนไปสนับสนุนอันเจ๋อเซียวหลินเทียนทำงานเสร็จแล้วกำลังจะไป องครักษ์กองทัพหลวงนายหนึ่งก็เข้ามาพบราชองครักษ์ผางเซียวหลินเทียนจึงถือโอกาสกล่าวลาเขามีเรื่องคิดอยู่ในใจเต็มไปหมด จึงก้มหน้าคิดเรื่องค่ายกองทหารเสือของจักรพรรดิอู่อันความยอดเยี่ยมของกองกำลังนี้ทำให้เขาโหยหามาตลอด แม้ว่าเขาจะมิเคยคิดที่จะควบคุมกองกำลังนี้ แต่ก็อยากเห็นพลังการต่อสู้ของพวกเขาสักหน่อยตอนนี้ถูกองค์จักรพรรดิอู่อันปฏิเสธมา เซียวหลินเทียนจึงโกรธและแอบสาบานว่า เขาจะต้องฝ
“ท่านอ๋องอี้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว กระหม่อมเองก็ปิดบังท่านมิได้แล้ว!”ราชองครักษ์ผางกระซิบ “คนที่กระหม่อมจะขอให้ท่านช่วยมิใช่ใครอื่น แต่เป็นพระสนมฮุ่ยกับองค์ชายเย่พ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายเย่?คิ้วหนาของเซียวหลินเทียนเลิกขึ้นทันที เขามิลืมเรื่องที่องค์ชายเย่นิ่งดูดายมิช่วยเหลือหลิงอวี๋!ทันทีที่เขาได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับองค์ชายเย่ สัญชาตญาณของเซียวหลินเทียนก็อยากปฏิเสธทันทีเลยแต่ยังมิทันที่เขาจะเอ่ยปาก ราชองครักษ์ผางก็ดูเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออก จึงรีบเอ่ยออกไป“กระหม่อมได้ยินเรื่องที่ท่านไปขอโสมโลหิตจากองค์ชายเย่แล้ว! โสมโลหิตนั้นอยู่ในมือขององค์ชายเย่จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านอ๋องอี้เข้าใจองค์ชายเย่ผิดไป... โสมโลหิตนั้นถูกใช้ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“โสมโลหิตนั้นถูกใช้กับพระสนมฮุ่ยไปแล้ว ดังนั้นองค์ชายเย่จึงมิสามารถมอบให้ท่านได้!!”เซียวหลินเทียนตะลึงไปทันที เขามิเคยคาดคิดว่าองค์ชายเย่ซื้อโสมโลหิตให้กับพระสนมฮุ่ย!แต่นี่ก็ผิดปกติอยู่ดี!หากลูกชายซื้อโสมโลหิตให้มารดา ก็สามารถทำได้อย่างเปิดเผย เหตุใดองค์ชายเย่จึงต้องเก็บเป็นความลับด้วยเล่า?ยิ่งไปกว่านั้น เขายังฆ่าปิดปากผู้ค้าคนกลางอีก
คำพูดของราชองครักษ์ผางที่ยกทั้งตระกูลมาสาบาน เรียกได้ว่าเป็นคำสาบานที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เซียวหลินเทียนเคยได้ยินมาเลยเซียวหลินเทียนจึงเชื่อสิ่งที่ราชองครักษ์ผางบอกในทันทีใครจะชั่วร้ายถึงขนาดเอาคนทั้งตระกูลของตนมาสาบานกันเล่า!ราชองครักษ์ผางบริสุทธิ์ใจจึงได้กล้าสาบานร้ายแรงเช่นนี้“ราชองครักษ์ผาง ข้าเชื่อเจ้า เจ้าพูดต่อเถิด ต้องการให้ข้าช่วยอย่างไร?”เซียวหลินเทียนรู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เขาเกลียดองค์ชายเย่ที่ไร้เมตตาต่อตน แต่ครั้งที่แล้วที่ราชองครักษ์ผางกับพระสนมฮุ่ยช่วยเรื่องของหลิงอวี๋เป็นการช่วยที่ยิ่งใหญ่มากตอนนี้พวกเขามาข้องเกี่ยวในเรื่องใหญ่เช่นนี้แล้วเซียวหลินเทียนจะมิช่วยเหลือได้อย่างไร!“ท่านอ๋องอี้ คาดว่าตอนนี้จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับมิได้แล้ว เมื่อครู่องครักษ์ของกระหม่อมมาบอกว่าฮองเฮาเว่ยแอบไปตรวจสอบบันทึกการปรนนิบัติแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”ราชองครักษ์ผางกังวลใจมาก “ดูท่าทาง เรื่องโสมโลหิตจะไปกระตุ้นความสงสัยของฮองเฮาเว่ยเข้าแล้ว ขอเพียงตรวจพบว่าพระสนมฮุ่ยไม่มีบันทึกการปรนนิบัติ แต่กลับตั้งครรภ์ ทั้งพระสนมฮุ่ยกับองค์ชายเย่ก็จะถูกองค์จักรพรรดิตัดเศียรแน่พ
“อาอวี๋ ดูเหมือนสภาพจิตใจเจ้าจะดีขึ้นมากแล้ว!”เซียวหลินเทียนเห็นใบหน้าของหลิงอวี๋มีสีเลือดฝาดก็รู้สึกโล่งใจเขาให้หานเหมยกับคนอื่น ๆ ออกไปแล้วก็รีบเอ่ย “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! อาอวี๋ เจ้ารีบช่วยข้าคิดหาวิธีว่าจะช่วยพระสนมฮุ่ยกับราชองครักษ์ผางได้อย่างไรทีเถิด!”หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างสับสน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ?”เซียวหลินเทียนรีบเล่าเรื่องที่ราชองครักษ์ผางบอกกับตนให้หลิงอวี๋ฟังอย่างรวดเร็วแล้วสุดท้ายก็เอ่ย“ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ราชองครักษ์ผางพูดคือความจริง! แต่ข้ามิค่อยเชื่อสิ่งที่พระสนมฮุ่ยบอกนัก!”“คนเราหากไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นจะท้องโดยไม่มีเหตุผลได้เยี่ยงไรกัน!”ครั้งที่แล้วหลิงอวี๋ได้รับบุญคุณของพระสนมฮุ่ย ยังคิดอยู่ว่าจะตอบแทนพระสนมฮุ่ยอย่างไร หลังจากฟังคำพูดของเซียวหลินเทียน นางก็สูดลมหายใจและเป็นกังวลแทนพระสนมฮุ่ย“พระสนมฮุ่ยตั้งครรภ์จริงหรือเพคะ? มิได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่?”ในวังมิเท่าข้างนอก หากพระสนมฮุ่ยถูกคนลอบวางแผนจริง ๆ หลังจากเกิดเรื่องนางจะมิสังเกตเห็นได้เยี่ยงไร!ยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถรับใช้ในตำหนักพระสนมฮุ่ยได้ ก็น่าจะเป็นคนสนิทของนางมิใช่หรือ หรือพวก
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก