“อาอวี๋ ดูเหมือนสภาพจิตใจเจ้าจะดีขึ้นมากแล้ว!”เซียวหลินเทียนเห็นใบหน้าของหลิงอวี๋มีสีเลือดฝาดก็รู้สึกโล่งใจเขาให้หานเหมยกับคนอื่น ๆ ออกไปแล้วก็รีบเอ่ย “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! อาอวี๋ เจ้ารีบช่วยข้าคิดหาวิธีว่าจะช่วยพระสนมฮุ่ยกับราชองครักษ์ผางได้อย่างไรทีเถิด!”หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างสับสน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ?”เซียวหลินเทียนรีบเล่าเรื่องที่ราชองครักษ์ผางบอกกับตนให้หลิงอวี๋ฟังอย่างรวดเร็วแล้วสุดท้ายก็เอ่ย“ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ราชองครักษ์ผางพูดคือความจริง! แต่ข้ามิค่อยเชื่อสิ่งที่พระสนมฮุ่ยบอกนัก!”“คนเราหากไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นจะท้องโดยไม่มีเหตุผลได้เยี่ยงไรกัน!”ครั้งที่แล้วหลิงอวี๋ได้รับบุญคุณของพระสนมฮุ่ย ยังคิดอยู่ว่าจะตอบแทนพระสนมฮุ่ยอย่างไร หลังจากฟังคำพูดของเซียวหลินเทียน นางก็สูดลมหายใจและเป็นกังวลแทนพระสนมฮุ่ย“พระสนมฮุ่ยตั้งครรภ์จริงหรือเพคะ? มิได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่?”ในวังมิเท่าข้างนอก หากพระสนมฮุ่ยถูกคนลอบวางแผนจริง ๆ หลังจากเกิดเรื่องนางจะมิสังเกตเห็นได้เยี่ยงไร!ยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถรับใช้ในตำหนักพระสนมฮุ่ยได้ ก็น่าจะเป็นคนสนิทของนางมิใช่หรือ หรือพวก
เซียวหลินเทียนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใต้หล้านี้มีเรื่องเช่นนี้จริง ๆ หรือ?แต่หลิงอวี๋บอกว่ามี เช่นนั้นก็น่าจะมีกระมัง“ถึงกระนั้นเจ้าก็มิสามารถเข้าวังตอนนี้ได้! นั่นจะมิทำให้เกิดความสงสัยหรือ?”เซียวหลินเทียนสงบลง เขากดหลิงอวี๋ไว้พลางรีบคิดหามาตรการตอบโต้ต้องทำอย่างไรถึงจะให้หลิงอวี๋ตรวจว่าพระสนมฮุ่ยตั้งครรภ์จริง ๆ หรือเป็นอาการป่วยในเวลานั้นเองภายในวังมินานหลังจากที่ราชองครักษ์ผางส่งเซียวหลินเทียนกลับไป เขาก็เห็นขันทีฉางพารองราชองครักษ์เฮ่อจู้และองครักษ์กองทัพหลวงอีกสิบกว่านาย ด้วยใบหน้าบึ้งตึงแย่แล้ว!ราชองครักษ์ผางหัวใจเต้นแรง แต่มิแสดงสีหน้าใด ๆ เขาลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม “ขันทีฉาง รองราชองครักษ์เฮ่อ นี่มีเรื่องอะไรหรือ? พวกเจ้าสองคนถึงมาด้วยกันได้!”เฮ่อจู้ยืนอยู่ข้างหลังขันทีฉางด้วยรอยยิ้มมิพูดอะไร แต่มือของเขากดลงบนดาบอย่างตั้งใจและมิตั้งใจ“ราชองครักษ์ผาง องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้ท่านไปพูดคุยที่พระตำหนักฮุ่ยจู๋!”ขันทีฉางเองก็มีสีหน้าเศร้าหมองเช่นกัน เขาถ่ายทอดคำสั่งของจักรพรรดิอู่อันแล้วหันหลังเดินออกไปราชองครักษ์ผางเหลือบมองเหยียนเจ๋อ มิพูดอะไรแล้วเดินตามขันทีฉา
ทันใดนั้นกลิ่นอายสังหารที่รุนแรงก็พุ่งออกมาจากดวงตาที่หลุบต่ำของผางเซิง…เขาเสี่ยงชีวิตนับครั้งมิถ้วนเพื่อช่วยชีวิตจักรพรรดิอู่อัน!หากทรราชนั่นนึกถึงความดีของตน ก็คงจะใจกว้างเปิดโอกาสให้ตนกับพระสนมฮุ่ยไปแล้วหากทนพระสนมฮุ่ยมิได้จริง ๆ เช่นนั้นเขาก็คงต้องเสี่ยงชีวิตฆ่าเขาเสียก่อน...กลุ่มคนก้าวเดินกันไปที่พระตำหนักฮุ่ยจู๋องครักษ์กองทัพหลวงบางส่วนที่ลาดตระเวนในวังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของราชองครักษ์ผาง เมื่อเห็นสิ่งนี้ก็ตกใจกันท่าทางของราชองครักษ์ผาง ดูอย่างไรก็เหมือนกำลังถูกรองราชองครักษ์เฮ่อพาตัวไป!นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?กระทั่งราชองครักษ์ผางเดินไปถึงที่พระตำหนักฮุ่ยจู๋ เพิ่งก้าวผ่านประตูไปก็รู้สึกได้ถึงเสียงลมที่มาจากด้านหลัง...วินาทีต่อมา ราชองครักษ์ผางก็ถูกเฮ่อจู้กับองครักษ์กองทัพหลวงหลายคนตรึงลงกับพื้นเฮ่อจู้เอื้อมมือออกไปคว้าดาบของราชองครักษ์ผางออกไปอย่างรวดเร็ว เขากดเข่าลงบนหลังของราชองครักษ์ผาง พลางเอ่ยอย่างแปลก ๆ“ผางเซิง เรื่องของท่านมันแดงแล้ว... องค์จักรพรรดิเห็นแก่ที่ท่านร่วมรบกับเขา จึงให้โอกาสท่านได้อธิบาย... ส่วนดาบนี่ข้าจะเก็บไว้ให้ท่านก่อน!”ราชองค
หมอหลี่ดูแก่ลงกว่าก่อนหน้านี้มาก เขาเหลือบมองราชองครักษ์ผางแล้วคุกเข่าลงพื้นเสียงดัง“ฝ่าบาท กระหม่อมบอกไปแล้วว่า… พระสนมฮุ่ยกำลังตั้งครรภ์ นางกลัวว่าจะถูกเปิดโปง จึงขอให้กระหม่อมสั่งยาทำแท้งให้ อีกทั้งนางยังให้เงินกระหม่อมแล้วให้ลาออกและกลับบ้านเกิดไปพ่ะย่ะค่ะ…”หมอหลี่กลัวจนตัวสั่น พลางเอ่ยอย่างสะเปะสะปะ “ฝ่าบาท กระหม่อมมิบังอาจปิดบังฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แต่ราชองครักษ์ผางบอกว่าหากกระหม่อมกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเขาจะฆ่าทั้งครอบครัวของกระหม่อม...”“กระหม่อมไม่มีทางเลือก! ขอฝ่าบาทโปรดเข้าใจด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ราชองครักษ์ผางจ้องมองตรงไป เขาเคยบอกว่าจะฆ่าครอบครัวหมอหลี่เมื่อใดกัน?หากเขาเป็นคนเลวทรามเช่นนั้น เขาจะปล่อยหมอหลี่ไปหรือ?“ปั้ก...”ทันใดนั้นถ้วยชาก็ตกลงมากระแทกหัวราชองครักษ์ผางน้ำชาร้อน ๆ รดลงบนหัวกับใบหน้าของราชองครักษ์ผางทันทีหากเป็นราชองครักษ์ผางสมัยหนุ่ม เขาคงจะโกรธขึ้นมาแล้ว แต่เขามิใช่คนหุนหันพลันแล่นเช่นในตอนนั้นอีกต่อไปแล้วราชองครักษ์ผางแอบกัดฟันแล้วมองจักรพรรดิอู่อันอย่างสงบ พลางเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ“ฝ่าบาท นี่มันหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดจู่ ๆ ห
หลังจากนั้นมินาน ถังถีเตี่ยนกับหมอจางก็เดินเข้ามาด้วยกันจักรพรรดิอู่อันมิพูดอะไร ถือเป็นการอนุญาตโดยปริยายเขาอารมณ์มิดีมากแล้ว นี่จะทำให้ทุกคนรู้โดยทั่วกันว่าตนถูกสวมเขาหรือ?เขาแค่อยากจะจัดการพระสนมฮุ่ยกับราชองครักษ์ผางอย่างเงียบ ๆแต่ฮองเฮาเว่ยบอกว่า ราชองครักษ์ผางควบคุมกองทัพหลวงมาหลายปี หากฆ่าราชองครักษ์ผางไปโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ รังแต่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเคียดแค้น...องครักษ์มากมายถึงเพียงนี้ ต่อไปใครไว้วางใจได้หรือไว้วางใจมิได้ เรื่องนี้คือสิ่งที่จะมาทดสอบ!จักรพรรดิอู่อันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนองครักษ์กองทัพหลวงทั้งหมดได้ทันที ดังนั้นจึงอยากใช้โอกาสนี้เพื่อดูว่าใครในบรรดาองครักษ์กองทัพหลวงเหล่านี้ที่คู่ควรกับการไว้วางใจ!“ถังถีเตี่ยน หมอจาง พวกท่านผลัดกันขึ้นไปตรวจชีพจรของพระสนมฮุ่ย!”ฮองเฮาเว่ยออกคำสั่งถังถีเตี่ยนกลืนน้ำลายแล้วก้าวไปข้างหน้าแม้ว่าเขาจะถูกกองทัพหลวงเรียกตัวมาจากสถาบันหมอหลวง แต่ก็มิรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หลังจากคลุกคลีอยู่ในวังมาหลายปี ถังถีเตี่ยนได้กลิ่นแปลก ๆเขาเดินไปหาพระสนมฮุ่ย เห็นพระสนมฮุ่ยคุกเข่าอยู่ที่พื้น ถังถีเตี่ยนจึงทำได้เพ
“ถังถีเตี่ยน ท่านมิเก่งนรีเวชวิทยาใช่หรือไม่? มิน่าท่านถึงได้รับผิดชอบในการรักษาองค์จักรพรรดิ…”“ชีพจรของชายและหญิงนั้นแตกต่างกันมาก ถังถีเตี่ยนหากท่านจับแล้วมิรู้ก็ตำหนิอะไรท่านมิได้เช่นกัน!”เมื่อหมอจางได้ยินดังนั้นก็รีบขัดจังหวะถังถีเตี่ยนทันที“ฝ่าบาท ฮองเฮา กระหม่อมได้ศึกษาทางนรีเวชวิทยามาบ้างแล้ว ชีพจรของพระสนมฮุ่ยเลือดลมพร่องเป็นผลมาจากการแท้งบุตรพ่ะย่ะค่ะ!”“เนื่องจากการดูแลที่มิเหมาะสม ทั้งยังมีการอุดตันของน้ำคาวปลา ดังนั้นชีพจรจึงสะดุดดังที่ถังถีเตี่ยนว่าไว้พ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเชื่อในการวินิจฉัยของตน แม้ว่าจะหาหมอผู้อื่นมาพวกเขาก็จะต้องเห็นด้วยกับการวินิจฉัยของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”ฮองเฮาเว่ยแค่อยากจะกดพระสนมฮุ่ยให้ตาย ขอเพียงหมอจางเออออไปกับตนเรื่องที่พระสนมฮุ่ยตั้งครรภ์ นางจะให้พระสนมฮุ่ยไปหาหมอหลวงคนอื่นให้มีปัญหาใหม่สอดแทรกมาด้วยเหตุใดเล่า“พระสนมฮุ่ย หลักฐานแน่นหนา เจ้ายังจะพูดตลบตะแลงอีกรึ? บอกมา ชายชู้ของเจ้าคือราชองครักษ์ผางใช่หรือไม่?”“เขากับองค์ชายเย่ช่วยเจ้าให้ทำแท้ง คิดจะหลอกลวงองค์จักรพรรดิใช่หรือไม่?”พระสนมฮุ่ยฟังคำที่ฮองเฮาเว่ยพูดยืนยันออกมาอย่างชัดถ้
“ฝ่าบาท! กระหม่อมจงรักภักดีต่อพระองค์ พระองค์จะอาศัยคำพูดที่ไม่มีเหตุผลมาบอกให้กระหม่อมยอมรับในเรื่องตนมิได้ทำหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ผางเซิงมิสนตรงคอที่มีเลือดไหลออกมาแล้วตะคอกด้วยความเศร้าและความโกรธ“กระหม่อมจะไม่มีวันยอมรับผิด… กระหม่อมจะไม่มีวันให้ครอบครัวของกระหม่อมต้องมารับความอัปยศอดสูเช่นนี้ไปกับกระหม่อม!”“คุกเข่าลง...”เฮ่อจู้เห็นว่าเลือดของผางเซิงไหลลงมาที่คอจนเปื้อนเสื้อผ้าของเขาเป็นสีแดงแล้ว แต่เขาก็ยังตั้งคอตรงตะโกนใส่องค์จักรพรรดิอยู่เขาทั้งตกใจทั้งกังวล เกรงว่าตนจะปรามผางเซิงมิอยู่แล้วทำให้เขาไปทำร้ายองค์จักรพรรดิได้“ใครก็ได้ ให้เขาคุกเข่าลง!”พวกองครักษ์กองทัพหลวงรีบพุ่งเข้ามา กดหัวและมือของเขาเอาไว้แล้วเตะที่ขาคิดจะกดผางเซิงลงทันใดนั้น ผางเซิงก็ยกแขนขึ้นพลิกให้หลายคนล้มลงไปกับพื้นจักรพรรดิอู่อันเห็นดวงตาของผางเซิงเป็นสีแดงเลือดและท่าทางดุร้ายเช่นนั้นก็ทำให้จักรพรรดิอู่อันตระหนกตกใจ นี่ผางเซิงคิดจะปลงพระชนม์จริง ๆ หรือ?“คุ้มกันเร็วเข้า!”ขันทีฉางที่ดูอยู่ด้านข้างรีบวิ่งไปตรงหน้าจักรพรรดิอู่อัน เหยียดแขนสองข้างออกทำท่าทางป้องกันพระสนมฮุ่ยมองภาพนี้อย่างมึนงง น
เมื่อราชองครักษ์ผางเห็นฮองเฮาเว่ยบิดเบือนคำพูดของตนครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจะยุยงให้องค์จักรพรรดิโกรธตนยิ่งขึ้นเขาก็มิสามารถควบคุมความโกรธของตนได้อีกต่อไป จึงตะคอกใส่ฮองเฮาเว่ย“ฮองเฮา ผางเซิงมิได้จะทวงบุญคุณ ผางเซิงมั่นคงแน่วแน่ว่าชีวิตนี้จะภักดีต่อองค์จักรพรรดิ!”“แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปทำเรื่องผิดพลาด ขุนนางที่สอบสวนคดีก็ยังให้โอกาสเขาได้พูด! กระหม่อมผางเซิงมิได้มีความดีความชอบต่อฉินตะวันตกแต่ก็ทำงานอย่างหนัก!”“หรือกระหม่อมจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะโต้แย้งให้ตัวกระหม่อมเองเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ฮองเฮา ท่านมิทรงทราบว่าอะไรถูกอะไรผิดเช่นนี้ แต่ยืนกรานที่จะตำหนิผางเซิง ท่านมีเจตนาอันใดหรือ?”“อ๋อ หรือว่าผางเซิงเป็นหัวหน้าราชองครักษ์กองทัพหลวงแล้วไปทำให้ท่านเสียเรื่อง? หากกำจัดกระหม่อมไป ท่านก็สามารถเลื่อนตำแหน่งเฮ่อจู้ให้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ได้กระนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”คำพูดของผางเซิงทำให้ฮองเฮาเว่ยโกรธและใจมิเป็นสุข เฮ่อจู้เองได้ยินดังนั้นก็เหงื่อตกเช่นกันนี่มิได้เป็นการบอกว่าตนกับฮองเฮาเว่ยสมรู้ร่วมคิดกันใส่ร้ายราชองครักษ์ผางหรอกหรือ?“ผางเซิง จะพูดอะไรก็พูดมา ท่านจะลากข้าไปเกี่ยวเพื่อ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก