จักรพรรดิอู่อันประทับอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกวนเพื่อรอให้การแข่งขันจบลง ผลก็คือเห็นเซียวหลินเทียนที่ร่างโชกเลือดทั้งตัวอุ้มหลิงอวี๋ลงมาจากเขา จักรพรรดิอู่อันตกใจกับบาดแผลของเซียวหลินเทียนและหลิงอวี๋ เขาคำรามว่า “มือสังหารหน้าไหนกล้าลอบสังหารอ๋องอี้ในดินแดนของฉินตะวันตก พวกมันมิเห็นพวกเราอยู่ในสายตาแล้วรึ!” “สืบสวน ให้สืบสวนให้ดี สืบให้ได้ความว่าใครเป็นผู้สั่งการ ข้าจะต้องให้มันผู้นั้นชดใช้ด้วยเลือด!” จักรพรรดิอู่อันให้เซียวหลินเทียนรีบพาหลิงอวี๋กลับไปก่อน เมื่อกองทัพของเว่ยเหนือและเยวี่ยใต้กลับมา จักรพรรดิอู่อันก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วตรัสว่า “มีคนร้ายบังอาจสั่งให้คนไปลอบสังหารอ๋องอี้ในป่า การแข่งขันในวันนี้เกรงว่า อาจต้องยกเลิกไปก่อน การแข่งขันครั้งสุดท้ายจะจัดขึ้นในวันอื่น!” องค์ชายเว่ยและองค์ชายคังได้รับผลจากการล่าสัตว์ที่ดีในวันนี้ เมื่อได้ยินเช่นนั้น องค์ชายเว่ยก็พูดอย่างมิพอใจว่า “เสด็จพ่อ คำกล่าวของพระองค์มิยุติธรรม! น้องสี่ถอนตัวจากการแข่งขันก็จริง แต่ฉินตะวันตกของเรายังมีกระหม่อม น้องสามและน้องห้าที่สามารถเป็นตัวแทนได้พ่ะย่ะค่ะ!” องค์ชายเหยี่ยวแห่งเว่ยเหนือก็เผยรอยยิ้ม
“อาอวี๋… อาอวี๋…” ในรถม้า เซียวหลินเทียนอุ้มหลิงอวี๋ไว้ เลือดของนางไหลรินเปื้อนอาภรณ์ของเขาไปหมดเขาสัมผัสได้ว่าลมหายใจของนางยิ่งนานยิ่งรวยรินลงทีละน้อย เซียวหลินเทียนรู้สึกราวกับว่ามีมือที่มองมิเห็นขยำหัวใจของเขาไว้แน่น ทำให้หัวใจบีบรัดจนเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าดวงตาคู่งามของนางจะมิสามารถลืมขึ้นได้อีก... เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้นางเผชิญหน้ากับเซี่ยโฮ่วตานรั่วด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิและความมั่นใจเพียงใด“หม่อมฉันเชื่อว่าสิ่งที่เป็นของหม่อมฉัน มิว่าใครก็แย่งไปมิได้!” รอยยิ้มที่เจิดจ้าจนแสบตาเหมือนแสงอาทิตย์นั้นยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา พริบตาเดียวเท่านั้น ใบหน้าที่เคยสดใสและสวยงามกลับซีดขาวราวกับหิมะ... “อาอวี๋… อดทนไว้นะ เจ้ามิได้บอกว่าเจ้ายังมีอะไรอีกหลายสิ่งที่ต้องทำหรอกหรือ? เจ้ามิได้บอกว่าจะหาเงินให้ได้มาก ๆ แล้วพาเยวี่ยเยวี่ยและแม่นมท่องเที่ยวไปทุกที่หรอกหรือ? เจ้าคงมิอยากผิดสัญญากับพวกนางหรอกใช่หรือไม่…” “เจ้าต้องอดทนไว้… เจ้าจะต้องมิเป็นอะไร!”เสียงของเซียวหลินเทียนสั่นเครือ หานเหมยที่คุกเข่าอยู่ข้างหลิงอวี๋เพื่อตรวจสอบบาด
แม้ว่าเถาจื่อจะใช้ยาห้ามเลือดที่ดีที่สุดของนางกับหลิงอวี๋แล้ว แต่ลูกธนูที่ปักอยู่ที่หลังของหลิงอวี๋ก็ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาอยู่เรื่อย ๆเซียวหลินเทียนรู้สึกว่าเส้นทางนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน ช้าเสียจนมิถึงสักทีเลือดของหลิงอวี๋ไหลจากอาภรณ์ของนางเปื้อนไปถึงอาภรณ์ของเขา ผิวของเขาสัมผัสได้ถึงความเหนียวหนืดและความอุ่นร้อนเลือดร้อนราวกับน้ำเดือด แผดเผาความโกรธเกรี้ยวที่มิรู้ที่มาในตัวเซียวหลินเทียนให้พลุ่งพล่านขึ้นเขาพยายามซ่อนความกลัวของตัวเองอย่างสุดความสามารถ กอดหลิงอวี๋ไว้แน่น‘เจ้าจะมิตาย…’‘เจ้าจะต้องมิตาย!’เขาตะโกนอยู่ในใจ“ข้ายังติดหนี้เจ้าอีกมากมายและยังมิได้ชดใช้ เจ้าต้องให้โอกาสข้าได้ชดใช้เจ้า!”“อาอวี๋ เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เหตุใดต้องเอาตัวมาขวางลูกธนูแทนข้าด้วย!”“แม้ตัวข้าเองจะบาดเจ็บเจียนตาย ข้าก็มิต้องการให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายเลยสักนิด…”“ท่านอ๋อง... ถึงแล้วเพคะ... หมอเลี่ยวมาแล้ว…”มิรอให้เฉาอี้พูดจบ เซียวหลินเทียนก็อุ้มหลิงอวี๋พุ่งออกจากรถม้า รีบรุดเข้าไปคนรับใช้ในตำหนักอ๋องอี้ต่างก็ตื่นตระหนกกันหมด หมิ่นกูได้รับข่าวล่วงหน้าแล้ว จึงรีบสั่งการอย่างเ
“อย่าตกใจ... อย่าตกใจ!”หมอเลี่ยวพลอยตกใจกับสีหน้าของเซียวหลินเทียน แต่ก็ยังคงปลอบโยนอย่างใจเย็น กดสำลีห้ามเลือดลงไปอย่างรวดเร็วหลี่ชุงก็ช่วยกันหยดน้ำยาห้ามเลือดลงบนบาดแผลของหลิงอวี๋เซียวหลินเทียนเฝ้ามองการกระทำของทั้งสองด้วยใจระทึกจนกระทั่งรู้สึกว่าหัวใจของหลิงอวี๋กลับมาเต้นอีกครั้ง เซียวหลินเทียนจึงถอนหายใจออก รู้สึกราวกับว่าตนก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งเช่นเดียวกัน!แต่สถานการณ์ก็ยังมิน่าไว้วางใจนัก ลมหายใจของหลิงอวี๋แผ่วระโหย หัวใจเต้นช้าเป็นช่วง ๆ ราวกับนางสามารถสิ้นลมหายใจภายในอีกมิกี่อึดใจ!เซียวหลินเทียนภาวนาอยู่ในใจ จ้องมองใบหน้าซีดเซียวของหลิงอวี๋มิวางตาแม้ว่าจะเป็นใบหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาบ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหลินเทียนได้พินิจมองนางอย่างใกล้ชิดขนตาของนางยาวมาก สั่นไหวเล็กน้อยตามจังหวะการหายใจเหมือนปีกเล็ก ๆ สองปีกที่เปราะบาง หากหายใจแรงเกินไปก็อาจหักได้!สันจมูกของนางโด่ง บอบบางและงดงามในเวลาเดียวกันริมฝีปากแดงเรื่อที่เคยชุ่มชื้น เวลานี้กลับซีดขาวเช่นเดียวกับสีหน้าของนางเซียวหลินเทียนจ้องมองริมฝีปากของนาง หวนนึกถึงเรื่องราวมากมาย.
คืนนั้น กลายเป็นฝันร้ายของหลิงอวี๋ไปอีกนานนางหวาดกลัวการที่ต้องอยู่คนเดียว กลัวความมืดยิ่งกว่าสิ่งใด!แม้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น นางเพียรกดเก็บจุดอ่อนนี้ของตนไว้ในใจส่วนลึกแล้วก็ตาม พยายามแสดงด้านที่สดใสออกมากระนั้นฝันร้ายนี้ก็ยังโผล่มาทิ่มแทงนางเป็นครั้งคราวหลิงอวี๋ติดอยู่ในภวังค์ความมืดเช่นนี้ ความรู้สึกสิ้นหวังดังเดิมหวนกลับมาอีกครั้งนางอยากหลบหนี แต่หมอกควันสีดำนั้นเหมือนกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ มิว่านางจะวิ่งหนีอย่างไรก็หนีมิพ้น“อาอวี๋…”มีเสียงเรียกนาง...นางปีติอย่างยิ่ง!นางมิได้อยู่คนเดียว ยังมีคนเรียกหานาง!ดูเหมือนจะเป็นเสียงของเซียวหลินเทียน แต่ฟังอีกครั้งก็ดูเหมือนมิใช่!เสียงนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น ความร้อนรน และความประหม่า...“เจ้าต้องอดทนนะ เยวี่ยเยวี่ยต้องการเจ้า แม่นมลี่และคนอื่น ๆ ก็ต้องการเจ้าเช่นกัน!”“หากเจ้าจากไปเช่นนี้ ท่านอดีตเสนาบดี หลิงหว่าน และคนอื่น ๆ จะต้องเสียใจเป็นแน่!”เสียงนั้นสั่นเครือเล็กน้อยเซียวหลินเทียนจริง ๆ ด้วย!หลิงอวี๋รู้สึกราวกับความมืดมีรอยแยก แสงสว่างส่องผ่านเข้ามา นางคิดจะเดินเข้าไปหาแสงสว่างนั้น...แต่เมื่อขยับตัว ความเจ
เดิมทีท่านอดีตเสนาบดีโกรธเคืองเซียวหลินเทียนอยู่บ้าง ดั้นด้นไปล่าสัตว์แล้วไยต้องพาหลิงอวี๋ไปด้วยทว่าเมื่อเห็นเซียวหลินเทียนตาแดงก่ำ ความโกรธของท่านอดีตเสนาบดีก็หายไปสิ้น เขาฟังออกว่าในน้ำเสียงของเซียวหลินเทียนแฝงไว้ด้วยความกังวลและสิ้นหวัง…“เป็นไปมิได้! อวี๋เอ๋อร์เป็นเด็กดื้อรั้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ นางจะต้องทนอยู่ได้!”“อย่าเพิ่งร้อนใจไป เราจะคิดหาวิธีด้วยกัน!”แม้ท่านอดีตเสนาบดีจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่เขาก็มิแสดงออก เขาเป็นผู้อาวุโส ต้องเป็นเสาหลักให้พวกเขา!หลิงหว่านโผล่หน้ามาเห็นหลิงอวี๋ที่หมดแรง ทันใดนั้นดวงตาก็แดงก่ำ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดรินไหลอาบแก้มนางรีบหันหน้าหนีไปเช็ดน้ำตา พยายามฝืนใจพูดว่า “ท่านพี่หลิงหลิงเป็นคนจิตใจดี ช่วยชีวิตคนไว้มากมาย สวรรค์คงมิใจร้ายพรากนางไปแน่!”“ท่านปู่พูดถูก เราจะคิดหาวิธีด้วยกัน เราจะต้องช่วยชีวิตท่านพี่หลิงหลิงให้ได้!”“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีหมู่เลือดเดียวกับท่านพี่หลิงหลิง หม่อมฉันจะถ่ายเลือดให้ท่านพี่หลิงหลิงเองเพคะ!”หลิงหว่านเห็นสีหน้าของเซียวหลินเทียนเริ่มซีดเซียวลงเพราะเสียเลือดมาก จึงรีบสั่งหลี่ชุง “เปลี่ยนมาให้ข้า!”หลี่ช
โสมโลหิต?ดวงตาของเซียวหลินเทียนเป็นประกายขึ้นมา สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยหลิงอวี๋ได้จริงหรือ?โดยสัญชาตญาณ เขาหันไปมองหมอเลี่ยวหมอเลี่ยวก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ท่านอ๋อง โสมโลหิตนี้ ลือกันว่าเป็นยาบำรุงเลือดชั้นเลิศ เกิดจากเกาะน้ำแข็งซวนปิงในทะเลเหนือ ลำต้นมีสามใบ สีแดงดุจเลือด นี่คือยาบำรุงเลือดที่สามารถช่วยชีวิตคนได้จริง ๆ!”"หากองค์ชายเย่มีโสมโลหิตนี้ พระชายาก็จะรอดแล้ว!"เซียวหลินเทียนยินดีมาก รีบพูดว่า “จ้าวซวน รีบไปที่วังองค์ชายเย่เดี๋ยวนี้ มิว่าองค์ชายเย่จะต้องการเงินจำนวนเท่าใดก็ตาม ขอให้เขามอบโสมโลหิตนี้ให้ข้า!""พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้!"เซียวหลินเทียนกลัวว่าจ้าวซวนไปแล้วองค์ชายเย่จะมิยินยอม เสียเวลาเปล่า จึงเปลี่ยนใจมู่หรงเหยียนซงได้ยินแล้วใจก็กระตุก รีบร้องว่า “อ๋องอี้…”“องค์ชายจิ้น ข้าไม่มีเวลาอยู่หารือกับท่าน เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง!"เซียวหลินเทียนรีบฝากหลิงอวี๋ไว้กับหมอเลี่ยวและหลิงหว่าน แล้วรีบเตรียมม้าไปยังตำหนักองค์ชายเย่“ท่านอ๋อง เปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!"ลู่หนานเห็นเซียวหลินเทียนยังสวมอาภรณ์เปื้อนเลือดอยู่ จึงรีบหยิบอาภรณ์มาแล้ววิ่งไ
กล้าดีอย่างไรใช้คำว่าเสนอหน้า?นาง… จูหลาน ทำอะไรที่ทำให้เซียวหลินมู่ดูหมิ่นตนเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นหรือ?น้ำตาแห่งความน้อยใจของจูหลานไหลลงจากเบ้าตา ยังมิทันได้พูดอะไร เซียวหลินมู่ก็พุ่งเข้ามาหาแล้วจูหลานฝืนกลั้นความน้อยใจเอาไว้แล้วพูดผ่านฉากกั้น “ท่านอ๋องอี้ พระสวามีของหม่อมฉันกลับมาแล้ว หากท่านมีธุระอะไรก็ปรึกษากับเขาโดยตรงเถิด จูหลานขอตัวก่อนเพคะ!”แม้จูหลานจะพูดเช่นนี้ แต่มิได้จากไปเสียทีเดียว ฟังอยู่หลังฉากกั้นหากเป็นวันปกติ เซียวหลินมู่พูดกับตนเช่นนี้ เซียวหลินเทียนคงโกรธไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เป็นการขอความช่วยเหลือ เขาจึงระงับความโกรธไว้“น้องห้า พระชายาของข้าถูกทำร้าย จวนสิ้นใจแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้ามีโสมโลหิต ข้าสามารถซื้อเพิ่มได้ในราคาอีกเท่าตัว ขอเจ้าเมตตาด้วย!”เซียวหลินเทียนวิงวอน“พูดจาไร้สาระอะไรกัน! ข้าไม่มีของพรรค์นั้นเสียหน่อย ท่านไปได้ยินมาจากที่ใด?”องค์ชายเย่เห็นจูหลานพบกับเซียวหลินเทียนผ่านฉากกั้น ความโกรธก็เบาบางลงไปบ้างแต่ในวันนี้การที่เขาได้อันดับโหล่ในการแข่งขันล่าสัตว์ ถูกองค์ชายคังและองค์ชายเว่ยเยาะเย้ย ความโกรธนี้ยังไม่มีที่ระบาย!“น้องห้า มีควันย่อมมี
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก