เดิมทีท่านอดีตเสนาบดีโกรธเคืองเซียวหลินเทียนอยู่บ้าง ดั้นด้นไปล่าสัตว์แล้วไยต้องพาหลิงอวี๋ไปด้วยทว่าเมื่อเห็นเซียวหลินเทียนตาแดงก่ำ ความโกรธของท่านอดีตเสนาบดีก็หายไปสิ้น เขาฟังออกว่าในน้ำเสียงของเซียวหลินเทียนแฝงไว้ด้วยความกังวลและสิ้นหวัง…“เป็นไปมิได้! อวี๋เอ๋อร์เป็นเด็กดื้อรั้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ นางจะต้องทนอยู่ได้!”“อย่าเพิ่งร้อนใจไป เราจะคิดหาวิธีด้วยกัน!”แม้ท่านอดีตเสนาบดีจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่เขาก็มิแสดงออก เขาเป็นผู้อาวุโส ต้องเป็นเสาหลักให้พวกเขา!หลิงหว่านโผล่หน้ามาเห็นหลิงอวี๋ที่หมดแรง ทันใดนั้นดวงตาก็แดงก่ำ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดรินไหลอาบแก้มนางรีบหันหน้าหนีไปเช็ดน้ำตา พยายามฝืนใจพูดว่า “ท่านพี่หลิงหลิงเป็นคนจิตใจดี ช่วยชีวิตคนไว้มากมาย สวรรค์คงมิใจร้ายพรากนางไปแน่!”“ท่านปู่พูดถูก เราจะคิดหาวิธีด้วยกัน เราจะต้องช่วยชีวิตท่านพี่หลิงหลิงให้ได้!”“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีหมู่เลือดเดียวกับท่านพี่หลิงหลิง หม่อมฉันจะถ่ายเลือดให้ท่านพี่หลิงหลิงเองเพคะ!”หลิงหว่านเห็นสีหน้าของเซียวหลินเทียนเริ่มซีดเซียวลงเพราะเสียเลือดมาก จึงรีบสั่งหลี่ชุง “เปลี่ยนมาให้ข้า!”หลี่ช
โสมโลหิต?ดวงตาของเซียวหลินเทียนเป็นประกายขึ้นมา สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยหลิงอวี๋ได้จริงหรือ?โดยสัญชาตญาณ เขาหันไปมองหมอเลี่ยวหมอเลี่ยวก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ท่านอ๋อง โสมโลหิตนี้ ลือกันว่าเป็นยาบำรุงเลือดชั้นเลิศ เกิดจากเกาะน้ำแข็งซวนปิงในทะเลเหนือ ลำต้นมีสามใบ สีแดงดุจเลือด นี่คือยาบำรุงเลือดที่สามารถช่วยชีวิตคนได้จริง ๆ!”"หากองค์ชายเย่มีโสมโลหิตนี้ พระชายาก็จะรอดแล้ว!"เซียวหลินเทียนยินดีมาก รีบพูดว่า “จ้าวซวน รีบไปที่วังองค์ชายเย่เดี๋ยวนี้ มิว่าองค์ชายเย่จะต้องการเงินจำนวนเท่าใดก็ตาม ขอให้เขามอบโสมโลหิตนี้ให้ข้า!""พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้!"เซียวหลินเทียนกลัวว่าจ้าวซวนไปแล้วองค์ชายเย่จะมิยินยอม เสียเวลาเปล่า จึงเปลี่ยนใจมู่หรงเหยียนซงได้ยินแล้วใจก็กระตุก รีบร้องว่า “อ๋องอี้…”“องค์ชายจิ้น ข้าไม่มีเวลาอยู่หารือกับท่าน เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง!"เซียวหลินเทียนรีบฝากหลิงอวี๋ไว้กับหมอเลี่ยวและหลิงหว่าน แล้วรีบเตรียมม้าไปยังตำหนักองค์ชายเย่“ท่านอ๋อง เปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!"ลู่หนานเห็นเซียวหลินเทียนยังสวมอาภรณ์เปื้อนเลือดอยู่ จึงรีบหยิบอาภรณ์มาแล้ววิ่งไ
กล้าดีอย่างไรใช้คำว่าเสนอหน้า?นาง… จูหลาน ทำอะไรที่ทำให้เซียวหลินมู่ดูหมิ่นตนเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นหรือ?น้ำตาแห่งความน้อยใจของจูหลานไหลลงจากเบ้าตา ยังมิทันได้พูดอะไร เซียวหลินมู่ก็พุ่งเข้ามาหาแล้วจูหลานฝืนกลั้นความน้อยใจเอาไว้แล้วพูดผ่านฉากกั้น “ท่านอ๋องอี้ พระสวามีของหม่อมฉันกลับมาแล้ว หากท่านมีธุระอะไรก็ปรึกษากับเขาโดยตรงเถิด จูหลานขอตัวก่อนเพคะ!”แม้จูหลานจะพูดเช่นนี้ แต่มิได้จากไปเสียทีเดียว ฟังอยู่หลังฉากกั้นหากเป็นวันปกติ เซียวหลินมู่พูดกับตนเช่นนี้ เซียวหลินเทียนคงโกรธไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เป็นการขอความช่วยเหลือ เขาจึงระงับความโกรธไว้“น้องห้า พระชายาของข้าถูกทำร้าย จวนสิ้นใจแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้ามีโสมโลหิต ข้าสามารถซื้อเพิ่มได้ในราคาอีกเท่าตัว ขอเจ้าเมตตาด้วย!”เซียวหลินเทียนวิงวอน“พูดจาไร้สาระอะไรกัน! ข้าไม่มีของพรรค์นั้นเสียหน่อย ท่านไปได้ยินมาจากที่ใด?”องค์ชายเย่เห็นจูหลานพบกับเซียวหลินเทียนผ่านฉากกั้น ความโกรธก็เบาบางลงไปบ้างแต่ในวันนี้การที่เขาได้อันดับโหล่ในการแข่งขันล่าสัตว์ ถูกองค์ชายคังและองค์ชายเว่ยเยาะเย้ย ความโกรธนี้ยังไม่มีที่ระบาย!“น้องห้า มีควันย่อมมี
“หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้สายฟ้าฟาดผ่าลงมาทำลายสิ้น!”เซียวหลินเทียนกล่าวคำสาบานอย่างหนักแน่นและมั่นคงเมื่อเทียบกับชีวิตของหลิงอวี๋ ตำแหน่งนั้นช่างไร้ค่าเหลือเกิน!เซียวหลินมู่และจูหลานที่อยู่หลังฉากต่างก็ตะลึงเซียวหลินมู่มองไปที่เซียวหลินเทียนด้วยความตกใจ ตำแหน่งรัชทายาทเป็นสิ่งที่เซียวหลินเทียนมีโอกาสได้ครองมากที่สุดแต่ตอนนี้เขากลับยอมสละมันเพื่อโสมโลหิตเพียงต้นเดียวสำหรับเขาหลิงอวี๋สำคัญเพียงนั้นเลยหรือ?แน่นอนว่าเซียวหลินมู่มิเชื่อ เขาคิดสงสัยในใจเรื่องที่พระมารดาต้องการโสมโลหิต เขาปิดบังไว้เป็นความลับอย่างดี แม้แต่จูหลานเขาก็มิได้บอกแต่เซียวหลินเทียนรู้ได้อย่างไรว่าตนมีโสมโลหิตอยู่ในมือ?หรือว่าเซียวหลินเทียนให้คนคอยจับตามองเขาอยู่?เซียวหลินมู่ทั้งตกใจและโกรธ หากเรื่องของพระมารดาถูกเปิดเผย ทั้งตระกูลของเขาอาจต้องตาย...เขามิยอมรับเด็ดขาดว่าโสมโลหิตอยู่ในมือของเขา!“พี่สี่ ข้าต้องบอกอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่มีโสมโลหิต! ท่านไปหาที่อื่นเสียเถอะ!”ยิ่งคิดเซียวหลินมู่ก็ยิ่งหงุดหงิด พูดจบก็ตะโกนว่า “พ่อบ้าน ส่งแขก!”เซียวหลินเทียนจ้องมองเซียวหลินมู่ด้วยสายตาเย็นชา อารมณ์ปะ
“จูหลาน เจ้าควรเข้าใจให้ชัดเจน ข้าเป็นสามีของเจ้า มิใช่ศัตรูของเจ้า!"“เจ้าถือดีอย่างไรมาจ้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้?”เซียวหลินมู่ทั้งน้อยใจและโกรธ พวกเขามิใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกหรือ?ความสัมพันธ์ตั้งแต่วัยเยาว์ทำให้ความสัมพันธ์ของเซียวหลินมู่และจูหลานดีกว่าสามีภรรยาทั่วไป เขามิสามารถทนสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของจูหลานได้“ข้ารู้สึกขอบคุณพี่สะใภ้สี่ที่ช่วยเจ้า แต่ข้าไม่มีสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ต่อให้อ๋องอี้จะฆ่าข้า เขาก็มิสามารถทำให้ข้าเสกมันออกมาได้หรอก!”จูหลานยิ้มหยัน “เซียวหลินมู่ หม่อมฉันรู้จักท่านมานานเท่าไรแล้ว? หม่อมฉันมักจะพูดว่าข้าเข้าใจท่านมากกว่าสตรีอื่น!”“แต่หม่อมฉันมิอยากเข้าใจท่าน! เช่นนั้นหม่อมฉันจะเชื่อคำพูดของท่านในตอนนี้!”“โสมโลหิตอยู่ในมือท่าน!”จูหลานพูดอย่างมั่นใจ “ยิ่งตะโกนเสียงดังเท่าไร ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าท่านรู้สึกผิดมากเท่านั้น!”“นอกจากนี้ อย่าลืมเสียว่าหม่อมฉันเป็นผู้ดูแลเงินของท่าน เมื่อมิกี่วันก่อนท่านใช้เงินไปหมื่นตำลึง ในเมื่อท่านมิได้เล่นการพนันหรือเที่ยวหอนางโลม เช่นนั้นเงินดังกล่าวถูกใช้ไปกับสิ่งใดเล่า?”“ข้า…”เซียวหลินมู่พูดมิออก
“เสด็จพ่อ…”น้ำตาของเซียวหลินเทียนไหลพราก เขาสะอื้นไห้ มิรู้ควรจะกล่าวอะไรเพื่อแสดงความขอบคุณต่อจักรพรรดิอู่อันจักรพรรดิอู่อันมองดูเซียวหลินเทียนหลั่งน้ำตา หัวใจของเขารู้สึกมิยินดีนักเขาคิดอยู่นานทีเดียวกว่าจะตัดสินใจนำยานี้มาเมื่อเห็นหลิงหว่านป้อนยาให้หลิงอวี๋ มีช่วงเวลาหนึ่งที่จักรพรรดิอู่อันอยากจะคืนคำแต่เมื่อนึกถึงไทเฮาที่ยังคงสลบไสลอยู่ในวัง และนึกถึงการลอบสังหารเซียวหลินเทียนในวันนี้ จักรพรรดิอู่อันก็กดความคิดที่จะคืนคำของตนลงไปมือสังหารของฉีตะวันออกกล้าลอบสังหารเซียวหลินเทียนในดินแดนของฉินตะวันตกเช่นนี้!เพราะเหตุใด?มิใช่เพราะว่าเซียวหลินเทียนเป็นบุคคลที่พวกเขาหวาดกลัวหรอกหรือ?สอดแนมศัตรูที่แข็งแกร่ง!ยังมีอสรพิษที่มิรู้จักมากมายซ่อนตัวอยู่ในวังจักรพรรดิอู่อันมิใช่คนเขลา เขาสามารถรับรู้ถึงลางสังหรณ์อันตรายจากเรื่องราวต่อเนื่องเหล่านี้ได้หากจะพลิกหาทั้งเมืองหลวงแล้ว ฝีมือการแพทย์ของหลิงอวี๋ไม่มีใครสามารถเทียบได้หากหลิงอวี๋ตายในวันนี้ แล้ววันหนึ่งเขาประสบภัย ผู้ใดกันจะช่วยเหลือเขา?แผ่นดินฉินตะวันตกแห่งนี้ยังต้องการให้เซียวหลินเทียนคอยปกป้อง หากวันนี้มีบางส
ฉินรั่วซือมีหรือจะยอมปล่อยโอกาสที่จะได้แสดงตัวต่อหน้าเซียวหลินเทียนไป นางสะบัดมือฉินซาน พลางเอ่ยอย่างงอแง“ท่านพี่ ท่านอ๋องอี้มิได้ไล่ข้า เหตุใดท่านพี่ถึงต้องไล่ข้าออกไปเล่า!”“แม้ว่าท่านพี่จะมิช่วยข้า ก็อย่าได้ขวางมิให้ข้าใช้วิธีของตัวเองแต่งงานเข้าตำหนักอ๋องอี้เลย!”ตอนนี้หลิงอวี๋หมดสติอยู่ นี่ก็เป็นโอกาสที่ตนจะได้ใกล้ชิดเซียวหลินเทียนมิใช่หรือ?ฉินรั่วซือต้องใช้โอกาสนี้ทำให้เซียวหลินเทียนเห็นความดีของตน และมิปฏิเสธการประทานงานแต่งงานของฮองเฮาเว่ยอีกฉินซานโกรธคำพูดของฉินรั่วซือจนตัวสั่น เขาดุนางด้วยเสียงต่ำ “เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่? ตอนนี้พระชายาหมดสติอยู่ เจ้าก็จะมาฉวยโอกาสตอนที่นางลำบากอยู่อีก!”“คราแรกหากมิใช่เพราะพระชายาปล่อยเจ้าไป และหากเรื่องนั้นที่เจ้าทำกับนางได้แพร่กระจายไปในเมืองหลวง มันก็จะเพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้าสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียง!”ฉินรั่วซือถูกพูดใส่เช่นนี้ก็รู้สึกอับอายจนพาลโกรธ นางกระทืบเท้าพลางตะโกนออกมา “ท่านพี่ นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ท่านพี่ยังจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกเพื่อสิ่งใดกัน?”“ตอนนี้ข้าก็มิได้ทำร้ายนางอีกแล้ว… นอกจากนี้ ท่าน
เซียวหลินเทียนจำได้ว่าหลังจากเรื่องหมูป่าสิ้นสุดลง องค์ชายหนิงให้ฉาเค่อฉีส่งเซี่ยโฮ่วตานรั่วลงจากภูเขาไปแล้วเหตุใดนางถึงยังอยู่บนภูเขาเล่า?“ตอนนั้นนางแสดงท่าทีเยี่ยงไรบ้าง?”เซียวหลินเทียนเริ่มสงสัยเซี่ยโฮ่วตานรั่วมือสังหารกับคนที่ยิงธนูใส่หลิงอวี๋นั้นเป็นสองกลุ่มอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นตอนที่ตนต่อสู้กับมือสังหารอยู่ พวกคนที่ยิงธนูเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะลอบโจมตีตนได้!“องค์หญิงตานรั่วบอกว่า นางมาหาองค์ชายหนิง พอได้ยินว่าทางนี้มีเสียงต่อสู้กันจึงวิ่งเข้ามาดูแล้วจึงพบพวกเรา!”เผยอวี้เห็นว่าสีหน้าของเซียวหลินเทียนดูผิดปกติ จึงเอ่ยถาม “เจ้าสงสัยว่าคนของนางยิงธนูใส่พวกเจ้าหรือ? แต่เหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนั้นเล่า?”“เพราะนี่ยังอยู่ในอาณาเขตของฉินตะวันตกของเรา นางเป็นแขก หากกล้าลอบสังหารเจ้า จะมิกลัวหรือว่าเราจะมิให้กลุ่มของพวกเขาออกจากฉินตะวันตก?”เซียวหลินเทียนกัดฟันแล้วเล่าเรื่องที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วใส่ความหลิงอวี๋ให้ทั้งสองคนฟังสุดท้ายเซียวหลินเทียนก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ยออกไป “อาอวี๋ทำให้พวกเขาเสียหน้ามากถึงเพียงนั้น ดูจากนิสัยวางอำนาจของเซี่ยโฮ่วตานรั่วแล้ว เมื่อสบโอกาสเช่นนี้จะมิแก้แ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก