มู่หรงชิ่งเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนั้น นางอดหัวเราะเยาะมิได้“องค์หญิงตานรั่ว ข้าเกือบหลงเชื่อเสียแล้วว่าเจ้าเก่งจริง ๆ! เมื่อครู่เจ้ามิได้โอ้อวดว่าเจ้าคล่องแคล่วว่องไวมากหรือ? เหตุใดจึงปล่อยให้พระชายาอ๋องอี้ผลักตนไปหาหมูป่าได้เล่า?”“จริงด้วย ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ พระชายาหลิงอี๋ไม่มีวิทยายุทธ์! นางจะผลักเจ้าได้อย่างไร?”“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเรามาถึง พี่หญิงหลิงอวี๋และคนของนางกำลังยิงหมูป่าที่อยู่ใต้ต้นไม้จริง ๆ ในขณะที่เจ้ากลับหวาดกลัวจนกอดต้นไม้แน่น มิกล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย!”“พี่หญิงหลิงอวี๋ช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับมิสำนึกในบุญคุณ ซ้ำยังพลิกขาวเป็นดำ ตอบแทนคุณด้วยความแค้น เจ้านี่เกินไปจริง ๆ!”เซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกมู่หรงชิ่งพูดจาเสียดสีจนหน้าแดงก่ำ นางมิกล้าเงยหน้าขึ้นเพราะความรู้สึกผิด กลัวสุดขีด คิดหาวิธีแก้ตัวเพื่อพลิกสถานการณ์ในเวลานี้ นางเพิ่งจะรู้ว่าเหตุใดองค์ชายหนิงถึงได้สั่งให้ตนขอโทษเพราะองค์ชายหนิงมองเห็นความจริงทั้งหมดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว!ทว่าด้วยความโง่เขลา นางกลับมิเข้าใจความหมายขององค์ชายหนิง ยังคงคิดว่าตนโชคดีสามารถกดให้หลิงอวี๋ประสบความสูญเสียได้แต่ตอนนี้ คำโกหก
การล่าสัตว์ยังมิจบ ผลแพ้ชนะยังมิปรากฏ เซียวหลินเทียนได้สละสิทธิ์ในการประลองเมื่อวานแล้ว วันนี้มิสามารถละทิ้งไปครึ่งทางได้เซียวหลินเทียนเห็นว่าอาภรณ์ของหลิงอวี๋สกปรก จึงเสนอว่า“อาอวี๋ ที่นี่อันตรายเกินไป เจ้าพาคนกลับไปก่อนเถอะ! พวกเรายังต้องล่าสัตว์ต่อ!”“มิต้องรีบร้อนหรอก พวกเราขอเดินเล่นแถวนี้ก่อนแล้วกัน ท่านไปล่าสัตว์ต่อเถิด!”หลิงอวี๋เป็นกังวลว่าหากกลุ่มของเซียวหลินเทียนมีคนได้รับบาดเจ็บ นางจะสามารถช่วยเหลือได้ก็ต่อเมื่ออยู่ใกล้ ๆ จึงขออยู่ต่อเซียวหลินเทียนจึงแบ่งลูกธนูให้หลิงอวี๋ แล้วพาจ้าวซวนและคนอื่น ๆ เดินหน้าต่อไปมู่หรงเหยียนซงและองค์ชายหนิงก็แยกย้ายกันไปเพื่อล่าสัตว์ต่อหลิงอวี๋คิดว่าเซี่ยโฮ่วตานรั่วจากไปแล้ว คงมิต้องแข่งขันกันอีก จึงพาเถาจื่อและหานเหมยไปเก็บสมุนไพรด้านเซียวหลินเทียนกำลังจดจ่ออยู่กับการล่าสัตว์ก่อนหน้านี้ ขาของเขาพิการจึงมิได้มีโอกาสได้ล่าสัตว์เช่นนี้มานานแล้วเมื่อครู่ที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วก่อเรื่อง เซียวหลินเทียนกำลังมุ่งมั่นตั้งใจที่จะช่วงชิงอันดับหนึ่ง เพื่อปราบพยศชาวฉีตะวันออก จึงพาจ้าวซวนและคนอื่น ๆ เดินหน้าลึกเข้าไปในภูเขาพวกเขาล่ากระต่าย
การปะทะที่รุนแรงครั้งนี้ ทำให้ทั้งหัวหน้าคนชุดดำและเซียวหลินเทียนต้องถอยหลังไปคนละสองก้าวเซียวหลินเทียนรู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ราวกับว่ามันฉีกขาด เลือดไหลออกมาตามรอยแยกหัวหน้าคนชุดดำเองก็มิได้ได้เปรียบไปกว่ากัน ง่ามมือของเขาก็ฉีกขาดเช่นกัน ดาบเกือบจะหลุดจากมือเขาแอบตื่นตระหนกในใจ มิคาดคิดว่าเซียวหลินเทียนแม้อายุยังน้อยแต่กลับมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นนี้หัวหน้าคนชุดดำมิกล้าเข้าปะทะแบบตัวต่อตัวอีกต่อไป ร่วมมือกับคนอื่น ๆ เพื่อโจมตีกระหนาบเข้าเซียวหลินเทียนรู้สึกกดดันอย่างมาก เขาขบฟันแน่น ดาบยาวฟาดฟันไปยังมือสังหารที่อยู่ใกล้ที่สุดเซียวหลินเทียนเรียกใช้กำลังภายในทั้งหมดของเขา เห็นว่าความสามารถโดยรวมของมือสังหารเหล่านี้เหนือกว่าฝั่งของตนมากพวกเขามิสามารถตั้งรับได้เป็นเวลานานนัก ฉะนั้นต้องฆ่าให้ได้มากที่สุดก่อนที่ศัตรูจะเข้าใจความแข็งแกร่งของฝ่ายตนอย่างถ่องแท้มือสังหารบางคนมิรู้จักประมาณกำลังตน อุกอาจฟาดดาบเข้ามา แต่เซียวหลินเทียนเพียงแค่หลอกล่อ แล้วเปลี่ยนทิศทางดาบด้วยความเร็วสูง กวาดไปที่หน้าอกและใบหน้าของพวกเขา...มือสังหารเหล่านี้รู้สึก
เซียวหลินเทียนคิดเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกว่ามิถูกต้องนักหลิงอวี๋และเซี่ยโฮ่วตานรั่วเจอหมูป่าระหว่างทางเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มือสังหารจำนวนมากเหล่านี้มิสามารถระดมมาได้ภายในมิกี่ชั่วยามเป็นแน่!เว้นเสียแต่... องค์ชายหนิงตั้งใจจะกำจัดตนในระหว่างการล่าสัตว์อยู่แล้วจึงได้ซุ่มซ่อนมือสังหารจำนวนมากไว้ล่วงหน้า!ฉึก...เซียวหลินเทียนเผลอไปครู่หนึ่ง ข้อมือก็ถูกมือสังหารแทงด้วยดาบอีกครั้งเขาเจ็บปวดจนเกือบจะทำดาบหลุดมือเซียวหลินเทียนรีบรวบรวมสติ กลับมาต่อสู้และถอยหนีไปพร้อมกับจ้าวซวนและคนอื่น ๆ“ท่านอ๋อง ท่านรีบหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากยังดื้อรั้นอยู่ เห็นทีพวกเราคงต้องตายกันหมดเสียที่นี่…”จ้าวซวนและลู่หนานทนมิไหวแล้ว จึงร้องออกมาพร้อมกันเซียวหลินเทียนเห็นว่าทุกคนได้รับบาดเจ็บหนัก ภายในใจร้อนเหมือนโดนไฟเผา เผยอวี้และคนอื่น ๆ วิ่งไปไกลแค่ไหนกัน เหตุใดวิกฤตถึงขั้นนี้แล้วยังมิมาช่วยอีก...ขณะที่กำลังร้อนใจ ก็ได้ยินเสียงของหลิงอวี๋ “เซียวหลินเทียน มาทางนี้!”เซียวหลินเทียนเหลือบมองอย่างรวดเร็วก็เห็นหลิงอวี๋ลุกขึ้นจากพุ่มไม้เซียวหลินเทียนดีใจอย่างยิ่ง หลิงอวี๋มาช่วยแล้ว นี่เหมือนการส่งถ่านยามห
“รีบไป…”หลิงอวี๋สาดผงยาออกไป มิทันได้ตรวจสอบอาการของมือสังหาร ก็ดึงเซียวหลินเทียนวิ่งหนีไปโดยมิรอช้าทว่าเซียวหลินเทียนยังมิทันได้ก้าว ลูกธนูหลายดอกก็พุ่งมาจากทิศทางต่าง ๆเซียวหลินเทียนกวัดแกว่งดาบเพื่อปัดป้องทว่าลูกธนูเหล่านั้นกลับหนาแน่นยิ่งขึ้นมิรู้จบ...คนสวมหน้ากากหลายคนในพุ่มไม้ลุกขึ้น ยิงธนูไปที่หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนคนหนึ่งในนั้นมีดวงตาร้อนแรงราวพ่นไฟ จ้องมองเซียวหลินเทียนอย่างโหดเหี้ยมนางซ่อนตัวอยู่ในที่มืด สายตาคมกริบดุจยาพิษ หากหลิงอวี๋มองเห็นอย่างชัดเจนก็จะรู้สึกคุ้นเคยบุคคลนี้คือเซี่ยโฮ่วตานรั่วที่ถูกฉาเค่อฉีพาลงจากภูเขาไปในตอนแรกนางมิสามารถกลืนคำพูดที่ตนถูกหลิงอวี๋ดูถูกเหยียบย่ำได้ จึงบังคับให้ฉาเค่อฉีพานางกลับมาเพื่อหาโอกาสฆ่าหลิงอวี๋เสียมิคาดคิดว่าจะพบหลิงอวี๋กำลังถูกมือสังหารไล่ล่าเสียก่อนเซี่ยโฮ่วตานรั่วได้จังหวะเหมาะนึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว รีบสวมหน้ากากพร้อมกับเหล่านางกำนัลแล้วดักรอเพื่อที่จะสังหารหลิงอวี๋เวลานี้ เซียวหลินเทียนถูกโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง นางยิงธนูเพียงดอกเดียวก็สามารถฆ่าหลิงอวี๋ได้ แล้ว จากนี้จะได้มิต้องกล่าวขอโทษนางซึ่งหน้า
มือสังหารทั้งหลายมิคาดคิดว่าเซียวหลินเทียนผู้โลหิตโชกไปทั่วทั้งร่างและดูอ่อนแรงราวกับสายธนูที่จวนขาด จู่ ๆ จะเกิดพลังโจมตีกลับอันรุนแรงเช่นนี้เขาพุ่งเข้ามาด้วยพลังอันมหาศาลราวกับภูเขาถล่มทลาย ด้วยความเร็วที่คนทั่วไปมิสามารถจินตนาการได้พลังการระเบิดอันทรงพลังนั้นเปรียบเสมือนพายุระดับสิบ ลมพัดกระโชก ใบไม้ปลิวว่อน หินทรายปลิวไปตามลม คำรามอย่างบ้าคลั่ง กดดันจนทุกคนหายใจมิออกในทันทีแม้แต่จ้าวซวนและคนอื่น ๆ ยังรู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สามารถทำลายล้างใต้หล้าได้ในดาบของเซียวหลินเทียน พลังแผ่กระจายออกกระทั่งอาภรณ์ของพวกเขาปลิวสะบัด…ใบไม้บนต้นไม้ก็ดูเหมือนจะต้านรับพายุที่โหมกระหน่ำและแผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้ามิไหว ร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว…ฉัวะ…เลือดอุ่น ๆ กระเซ็นออกมาสายแล้วสายเล่า ตัดกับใบไม้ที่ร่วงหล่นเต็มท้องฟ้า ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและฝนในทันที…แขนขาขาดกระเด็น เสียงกรีดร้องดังระงม…มือสังหารที่พุ่งเข้ามาเป็นกลุ่มแรกถูกเซียวหลินเทียนฟันเป็นสองท่อนโดยมิลังเล!หัวหน้ามือสังหารชุดดำเพิ่งตระหนักว่าสถานการณ์เริ่มมิดีและคิดจะวิ่งหนี แต่ก็ถูกเซียวหลินเทียนฟันศีรษะผ่
จักรพรรดิอู่อันประทับอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกวนเพื่อรอให้การแข่งขันจบลง ผลก็คือเห็นเซียวหลินเทียนที่ร่างโชกเลือดทั้งตัวอุ้มหลิงอวี๋ลงมาจากเขา จักรพรรดิอู่อันตกใจกับบาดแผลของเซียวหลินเทียนและหลิงอวี๋ เขาคำรามว่า “มือสังหารหน้าไหนกล้าลอบสังหารอ๋องอี้ในดินแดนของฉินตะวันตก พวกมันมิเห็นพวกเราอยู่ในสายตาแล้วรึ!” “สืบสวน ให้สืบสวนให้ดี สืบให้ได้ความว่าใครเป็นผู้สั่งการ ข้าจะต้องให้มันผู้นั้นชดใช้ด้วยเลือด!” จักรพรรดิอู่อันให้เซียวหลินเทียนรีบพาหลิงอวี๋กลับไปก่อน เมื่อกองทัพของเว่ยเหนือและเยวี่ยใต้กลับมา จักรพรรดิอู่อันก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วตรัสว่า “มีคนร้ายบังอาจสั่งให้คนไปลอบสังหารอ๋องอี้ในป่า การแข่งขันในวันนี้เกรงว่า อาจต้องยกเลิกไปก่อน การแข่งขันครั้งสุดท้ายจะจัดขึ้นในวันอื่น!” องค์ชายเว่ยและองค์ชายคังได้รับผลจากการล่าสัตว์ที่ดีในวันนี้ เมื่อได้ยินเช่นนั้น องค์ชายเว่ยก็พูดอย่างมิพอใจว่า “เสด็จพ่อ คำกล่าวของพระองค์มิยุติธรรม! น้องสี่ถอนตัวจากการแข่งขันก็จริง แต่ฉินตะวันตกของเรายังมีกระหม่อม น้องสามและน้องห้าที่สามารถเป็นตัวแทนได้พ่ะย่ะค่ะ!” องค์ชายเหยี่ยวแห่งเว่ยเหนือก็เผยรอยยิ้ม
“อาอวี๋… อาอวี๋…” ในรถม้า เซียวหลินเทียนอุ้มหลิงอวี๋ไว้ เลือดของนางไหลรินเปื้อนอาภรณ์ของเขาไปหมดเขาสัมผัสได้ว่าลมหายใจของนางยิ่งนานยิ่งรวยรินลงทีละน้อย เซียวหลินเทียนรู้สึกราวกับว่ามีมือที่มองมิเห็นขยำหัวใจของเขาไว้แน่น ทำให้หัวใจบีบรัดจนเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าดวงตาคู่งามของนางจะมิสามารถลืมขึ้นได้อีก... เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้นางเผชิญหน้ากับเซี่ยโฮ่วตานรั่วด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิและความมั่นใจเพียงใด“หม่อมฉันเชื่อว่าสิ่งที่เป็นของหม่อมฉัน มิว่าใครก็แย่งไปมิได้!” รอยยิ้มที่เจิดจ้าจนแสบตาเหมือนแสงอาทิตย์นั้นยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา พริบตาเดียวเท่านั้น ใบหน้าที่เคยสดใสและสวยงามกลับซีดขาวราวกับหิมะ... “อาอวี๋… อดทนไว้นะ เจ้ามิได้บอกว่าเจ้ายังมีอะไรอีกหลายสิ่งที่ต้องทำหรอกหรือ? เจ้ามิได้บอกว่าจะหาเงินให้ได้มาก ๆ แล้วพาเยวี่ยเยวี่ยและแม่นมท่องเที่ยวไปทุกที่หรอกหรือ? เจ้าคงมิอยากผิดสัญญากับพวกนางหรอกใช่หรือไม่…” “เจ้าต้องอดทนไว้… เจ้าจะต้องมิเป็นอะไร!”เสียงของเซียวหลินเทียนสั่นเครือ หานเหมยที่คุกเข่าอยู่ข้างหลิงอวี๋เพื่อตรวจสอบบาด
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก