“ฝ่าบาท ทองคำแท้ไม่กลัวไฟหลอม! หลิงอวี๋ก็ไร้สิ่งใดต้องกลัวเพคะ!”หลิงอวี๋เงยศีรษะขึ้นพลางกล่าวหนักแน่น“เชิญหมอหลวง… ตรวจหยาดเลือดรู้ญาติ!”ตามคำบัญชาของจักรพรรดิอู่อัน หมอหลวงก็ไปเตรียมการทันควันเซียวหลินเทียนกำลังฟังมาตลอด ครั้นได้ยินหลิงอวี๋พูดถึงสาเหตุหลายประเภทของการคลอดก่อนกำหนด หัวใจเขาก็สั่นไวถ้าหลิงอวี๋ติดตามตนด้วยความบริสุทธิ์จริง ๆ การคลอดก่อนกำหนดสองเดือนของเด็กคนนั้นก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน!ก่อนหน้าเขาโกรธแค้นหลิงอวี๋ที่มีเจตนาร้ายกับตน บีบคั้นให้ตนทิ้งคนที่รักไป ทำให้พอหลังแต่งงานกันเขาก็ไปสนามรบทันทีขณะที่เด็กเกิดเขาไม่ได้อยู่เมืองหลวง เลยไม่รู้แจ้งถึงสาเหตุที่หลิงอวี๋คลอดก่อนกำหนดในครานั้นเมื่อได้ยินข่าวลือว่า หลิงอวี๋ออกเรือนกับเขาแต่กำลังอุ้มท้องบุตรชายนอื่น ทว่านั่นคือเหตุที่ทำให้นางคลอดลูกแปดเดือน!ความโกรธเข้าครอบงำเขาในเวลานั้นจึงไม่ได้ส่งคนไปตรวจสอบ คิดเอาเองว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่บุตรของตน!หรือว่าเขาจะเข้าใจผิดจริง?ครั้นได้ยินหลิงอวี๋กล่าวยินยอมตรวจหยาดเลือดรู้ญาติ เซียวหลินเทียนพลันกำหมัดแน่นอารมณ์ตึงเครียดฉับพลัน ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดที่หลิงอวี๋เอ
“ความจริงกระจ่างแล้ว ข้าขอประกาศว่าเยวี่ยเยวี่ยคือบุตรชายของอ๋องอี้เซียวหลินเทียน! เรื่องนี้ให้มันจบลงที่นี่และวันข้างหน้าจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องลูกนอกสมรสอีก!”จักรพรรดิอู่อันกวาดสายตามองทั่วลานพลางป่าวประกาศอย่างไร้ทางเลี่ยงคราวนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะเล่นงานหลิงอวี๋เช่นไรแล้ว ไร้ซึ่งข้ออ้างจะประหาร!มีเพียงความยินดีปรีดาเดียวเท่านั้นคือ เด็กคนนี้มีสายเลือดของราชวงศ์โดยแท้จริง ช่วยล้างมลทินความอัปยศอดสูที่ราชวงศ์ต้องประสบมานับหลายปีลง!“หลิงอวี๋ขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงยืนยันฐานะของเยวี่ยเยวี่ย! ฝ่าบาท หลิงอวี๋ยังมีเรื่องจะขอกราบทูลอีกเพคะ!” หลิงอวี๋คำนับพลางกล่าวเคร่งขรึมจักรพรรดิอู่อันทอดมองท่านอดีตเสนาบดีที่ยังคงคุกเข่าอยู่พลางนึกถึงความปรารถนาประหารแม่ลูกหลิงอวี๋อันแรงกล้าเมื่อครู่…หลิงอวี๋ช่างหัวมัน! จะฆ่าหรือไม่ไม่สำคัญ!แต่เด็กมีสายเลือดราชวงศ์และถือเป็นหลานชายตน!ท่านอดีตเสนาบดีแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนอีกครั้ง สิ่งนี้ทำให้ความหลงใหลเกียรติศักดิ์ศรีของจักรพรรดิอู่อันพึงพอใจยิ่งยวด!ถือว่าเห็นแก่เด็ก และให้หน้าหลิงอวี๋เล็กน้อย!จักรพรรดิอู่อันผงกศีรษะแสดงความเคาร
จักรพรรดิอู่อันตกตะลึงต่อฉากนี้จนพูดอะไรไม่ออก นี่เป็นความบันเทิงที่ไม่เคยพบในวังหลวงมาก่อน!เมื่อชายาผิงหยางคุกเข่าลง เขาถึงได้สติคืนพลางมองค้อนไปยังหลิงอวี๋อย่างไม่พอใจ กล่าวตำหนิว่า “หลิงอวี๋ ขอประทานอภัยต่ออ๋องผิงหยางเสีย!”หลิงอวี๋ตอบอย่างหัวรั้น “ฝ่าบาท หลิงอวี๋มิใช่กล่าวสิ่งใดผิด! หลิงอวี๋กล้าเอาศีรษะเป็นประกันเลยเพคะ! ว่าท่านอ๋องผิงหยางประสบภาวะมีบุตรยาก!”“หมอหลวงก็อยู่ที่นี่ โปรดฝ่าบาทอนุญาตให้เขาวินิจฉัยท่านอ๋องผิงหยางเถิด! หากยืนยันได้ว่า หลิงอวี๋ใส่ไคล้ หลิงอวี๋ไม่เพียงจะโขกหัวแสดงความขออภัยเท่านั้น แต่ยังจะให้ศีรษะที่อยู่บนคอนี้ถวายพวกเขาด้วยเพคะ!”เมื่อวาจานี้ได้เผยออกมา ทุกคนต่างเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงนกเสียงกาหลิงอวี๋กระทั่งเอาหัวตัวเองมาเดิมพันเช่นนี้ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?ท่านอดีตเสนาบดีเดิมทีคิดไกล่เกลี่ยยุติขัดแย้งให้หลิงอวี๋ ทว่าวาจาห้ามปรามยังมิทันเอ่ย หลิงอวี๋ก็โพล่งออกมาซะแล้วเขานึกถึงความคับแค้นระหว่างตนกับท่านอ๋องอี้ แล้วก็นึกถึงฉากสองแม่ลูกหลิงอวี๋เมื่อครู่เกือบจะถูกพระชายาผิงหยางฆ่าตาย เขาก็ส่ายหัวสักพักไม่คิดเตือนใด ๆ แล้ว“ฝ่าบาท พระชายาผิง
เมื่อหลิงอวี๋เห็นสถานการณ์ก็แทบอ้าปากตาค้าง ทว่าท้ายที่สุดยั้งกิริยาไว้ได้!คำก็ชินอ๋อง(1) สองคำก็อ๋องเพียงอาศัยสายสัมพันธ์ญาติพี่น้องกล่าวอ้างว่าการตรวจสายเลือดราชวงศ์ไม่ได้แม่นยำเสมอไป แต่อย่างไรเสียชายาผิงหยางควรถูกหย่าร้างก็เพียงพอแล้ว!นางยังไม่ได้โหดเหี้ยมถึงขั้นจะให้ชายาผิงหยางอยู่ในสภาพจิ้นจูหลงแน่นอน!สามารถไว้ชีวิตคนได้ก็ไว้ไปเถอะ!ครั้นทุกคนเห็นสถานการณ์ต่างปิดหน้าละอายแทนตระกูลอ๋องผิงหยางไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด!“ข้าก็บอกแล้วว่าบุตรชายนางเป็นลูกนอกสมรส! พวกเจ้าไม่เห็นหรือ? อธิราชน้อยผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนท่านอ๋องผิงหยางสักนิด!”“ใช่แล้ว เจ้าไม่เห็นรึ บุตรชายของท่านอ๋องอี้ผู้นั้นมีมารยาท สุภาพและวางตัวดี! ถูกกรีดมือก็ไม่งอแงเลย! ”“ไฉนเลยจะเหมือนลูกนอกสมรสผู้นี้ ครั้นถูกกรีดมือก็ด่าคน… แถมยังด่าหมอหลวงเป็นทาสด้วย! ไม่เข้าใจเรื่องมรรยาทเลยสักนิดเดียว!”“เมื่อกี้พวกเจ้าไม่เห็นมารยาทบนโต๊ะของเขาหรือ? ยัดทุกสิ่งอย่างเข้าปาก! ราวกับผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดก็ไม่ปาน!”“ลูกนอกสมรสก็คือลูกนอกสมรสนั่นแหละ! ไฉนเลยจะเทียบเคียงสายเลือดแห่งราชวงศ์ได้!”หลิงอวี๋ได้ยิน
“ใช่ พระชายาอ๋องอี้ พวกเราไม่ได้มีเงินแบบพระชายา แต่พ่อของข้าก็ถวายหยกแกะสลักให้ไทเฮาหนึ่งชิ้น มูลค่าห้าหมื่นตำลึงเงิน!”เพื่อที่จะขัดขวางหลิงอวี๋ เจิงจื่ออวี้เองก็ไม่ละความพยายามและพูดอย่างภาคภูมิใจ“เงินที่พระชายาซื้อแจกันดินเผาเคลือบสีนั่น คาดว่าจะซื้อไม่ได้แม้แต่กล่องหยกแกะสลักของพ่อข้าเลยนะ!”หลิงอวี๋ยิ้มไม่พูดอะไร ห้าหมื่น? เจิงจื่ออวี้จะกล้าพูดมากกว่านี้หรือไม่นะ?เจ้ากรมผู้หนึ่ง มีเงินเดือนในหนึ่งปีแค่เท่าไหร่เอง?นางยิ่งโอ้อวด เชื่อไหมว่าเดี๋ยวก็คล้ายกับที่พวกลูกสาวไร้สมองที่อวดรถหรูลงบนโซเชี่ยลในสมัยปัจจุบัน จนทำให้พ่อของนางต้องเข้าคุกเหล่าสตรีคนอื่นที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้นึกถึงขั้นนั้นเลย ต่างก็หัวเราะเยาะเย้ยของกำนัลที่ถวายไปกระทั่งมูลค่ากล่องของคนอื่นยังเทียบไม่ได้เลย พระชายาอ๋องอี้นี่ ช่างน่าสงสารเสียจริง!“ท่านอ๋องอี้ถวายฉากกั้นลมแกะสลักหนึ่งคู่ ส่วนพระชายาอ๋องอี้ถวายแจกันดินเผาเคลือบสีหนึ่งชิ้น!”“แจกันดินเผาเคลือบสีเนี่ยนะ! พระชายาอ๋องอี้ถวายสิ่งนั้นจริงหรือ?”เมื่อครู่ตอนที่เจ้าหน้าที่ลงทะเบียน ก็มีคนรับใช้จำนวนไม่น้อยที่เห็นแล้วรายงานต่อเจ้านายของตนเอง
ท่านลุงไม่รอให้จักรพรรดิอู่อันได้ซักไซ้เอาความใด ๆ ก็ชิงเอ่ยขึ้นมา “พระชายาอ๋องอี้ แม้ว่าเจ้าจะติดหนี้เงินกู้อยู่ไม่น้อย ไม่มีเงินที่จะไปซื้อของกำนัลราคาแพง ๆ แต่ก็ไม่ควรถวายแจกันดินเผาเคลือบสีนี่มาแค่พอเป็นพิธีเช่นนี้นะ!”“สิ่งนั้นมันราคาเท่าไหร่กันเอง! ยังจะเป็นของที่แตกอีก!”“ได้ยินว่าเจ้าก็ไปกู้ยืมเงินมาเป็นหมื่นเพื่อที่จะซื้อดาบมีชื่อเสียงให้กับอ๋องอี้นี่! เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่กู้อีกสักหน่อย มาซื้อของกำนัลเช่นนั้นให้ไทเฮาเล่า?”“หรือว่าในสายตาของเจ้า ไทเฮายังไม่ได้มีคุณค่าเทียบเทียมอ๋องอี้!”ทันทีที่ประโยคนี้ออกมา สีหน้าของจักรพรรดิอู่อันก็แย่อีกกว่าเดิม สีหน้าของไทเฮาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแล้ว เรื่องสมบัติเงินทองนางไม่ได้สนใจเลยจะให้มากให้น้อย แค่ให้ด้วยใจก็พอแล้ว!เพื่อที่จะให้เกียรติหลิงอวี๋ นางยังเขียนเทียบเชิญให้หลิงอวี๋ด้วยตัวของนางเอง แต่หลิงอวี๋กลับละเลยตนเองเช่นนี้หรือ?เดิมทีทุกคนจะผสมโรงคำพูดของท่านลุงไปเพื่อจะดูถูกหลิงอวี๋ แต่นึกถึงเมื่อครู่ที่เอ็ดตะโรกันจนเกือบถูกองค์จักรพรรดิลงโทษพอนึกถึงจุดจบของพระชายาผิงหยางอีก คนที่คิดจะช่วยพูดสนับสนุนในครั้งนี้ล้วนไม่กล้าเอ่ยอ
เส้าเจิ้งซานอึ้งไปครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็โวยขึ้นมาอย่างหวั่นวิตก “หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจอะไรก็อย่าเที่ยวพูดจาเหลวไหล! นี่จะไม่ใช่งานแกะสลักของปรมาจารย์จูจู้ได้เยี่ยงไร?”“เจ้าไม่เคยเห็นงานฝีมือของปรมาจารย์จูจู้เสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงกล้าพูดอย่างไม่ละอายว่าเป็นของปลอม? อีกอย่าง ทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนเจ้าเองก็ไม่รู้สักอย่าง แล้วเจ้าจะเข้าใจงานศิลปะเช่นนี้หรือ?”เหล่าขุนนางและฮูหยินด้านล่างที่ชื่นชอบงานแกะสลักต่างพากันพยักหน้าหลิงอวี๋นั้นโง่เขลาเบาปัญญา ชื่อเสียงของนางที่ไม่มีความสามารถทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางจะมาเข้าใจงานศิลปะที่งดงามชั้นสูงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!“หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจก็อย่างแสร้งทำเป็นเข้าใจเลย! มาแอบอ้างทำเป็นผู้เชี่ยวชาญ มันจะไม่ให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!”“เจ้าแยกแยะได้เพียงแค่เสื้อผ้าดีหรือไม่น่ะสิ! เพราะว่าสามารถทะเลาะกับคนอื่นเพื่อเสื้อผ้าเครื่องประดับได้!”“ใช่ คนเช่นเจ้ามาเชยชมผลงานของปรมาจารย์จูจู้ ก็จะเป็นการดูหมิ่นปรมาจารย์จูจู้ รีบหุบปากไปเสียเถิด!”คนจำนวนต่างพากันดูถูกหลิงอวี๋ แ
เส้าเจิ้งซานมองอย่างสับสน พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “งานทุกชิ้นของปรมาจารย์จูจู้นั้นมีรูปแบบต่างกัน ท่าทางของมือต่างกันก็เป็นเรื่องปกติมาก!”“ท่านลุงพูดเช่นนี้ผิดแล้ว!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เทพเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์จูจู้ปฏิบัติต่องานทุกชิ้นของตัวเอง โดยเฉพาะการแกะสลักรูปเทพเจ้านั้น ไม่มีทางที่จะดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่!”“ท่าทางนี้ มันคือการดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์! ผู้ที่แกะสลักมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ หรือไม่ก็มีความสามารถแต่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือไม่ก็ชิงชังโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรม ถึงได้ดูหมิ่นท้าววิรุฬหกมหาราชด้วยท่าทางเช่นนี้!”หลิงอวี๋ยกนิ้วก้อยของตนเองขึ้นมา พลางเอ่ยกับทุกคน “ในใต้หล้าของพวกเราการดูหมิ่นคนผู้หนึ่ง ก็ใช้นิ้วนี้แทนใช่หรือไม่?”“ปรมาจารย์จูจู้เป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา อีกทั้งยังภูมิใจในความสามารถของตน งานของเขาไม่มีทางที่จะมีท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยามใครเช่นนี้! นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลยนะ อย่างแรกเลยก็คือ การไม่เคารพผลงานของตน!”“พวกท่าาคิดดูเถิด ปรมาจารย์จูจู้เป็นอัจฉริยะแห่งยุค เขาอาจจะมีการแสดงผลงานที่ไม่เหมือนกันได้ แต
“องค์หญิงใหญ่ เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า ตั๊กแตนจับจิ้งหรีด นกเหยี่ยวรอจับตั๊กแตนหรือไม่?”หลิงอวี๋หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะโง่ ไม่มีการเตรียมตัวอะไรเลย แล้วขึ้นเขามาตาย?”“ลองหันไปดูข้างหลังสิ ข้างหลังท่านมีอะไรบ้าง?”องค์หญิงใหญ่หันหลังไปโดยสัญชาตญาณ ก็เห็นกองทัพหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ พวกเขาสวมเครื่องแต่งกายแปลก ๆ แต่ธนูที่ถืออยู่ล้วนเล็งมาที่พวกนาง“วางอาวุธลง มิเช่นนั้นจะฆ่ามิเลี้ยง”เผยอวี้นำหน้า ทหารตะโกนพร้อมกัน เสียงดังกังวานมาจากทุกทิศทุกทาง ดูเหมือนว่ามิใช่เสียงของคนหลายสิบคน แต่เป็นเสียงของคนหลายร้อยคน“พวกเจ้าถูกล้อมแล้ว! วางอาวุธลง ฮองเฮาของเราทรงเห็นว่าพวกเจ้าถูกผู้อื่นหลอกใช้ จึงจะเมตตามิลงโทษ หากยังดื้อดึงก็มีแต่รนหาที่ตาย!” อิ้งเฉิงตะโกนเสียงดังเหล่ามือสังหารมองหน้ากันและต่างพากันลังเล เพื่อเงินมิกี่ร้อยตำลึงแลกกับชีวิต คุ้มค่าหรือ? แม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะสัญญาว่า หากสำเร็จจะให้พวกเขาเลื่อนตำแหน่ง ทว่าหากตายไปแล้วสัญญาเหล่านั้นก็ไร้ค่า!“เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว องค์ชายคังทำให้ทหารหลายพันนายตายโดยไร้ซึ่งความผิด คนโหดร้ายเช่นนี้ พวกเจ้ายังอย
เรือนจำราชสำนักฝ่ายในที่ทั้งมืดมนและชื้นแฉะ ห้องขังมืดมิดมิเคยมีแสงแดดเล็ดลอดเข้ามาองค์ชายคังนอนมิหลับมาหลายคืน ผ่ายผอมลงไปสิบกว่าจินทุกครั้งที่หลับตาลง เขาจะได้ยินเสียงคนตะโกนขอชีวิตอยู่ข้างหูเดิมทีเขาคิดว่ามีคนแกล้งหลอกให้หวาดกลัว แต่รอบ ๆ กลับไม่มีใครเลยบางครั้งเขายังเห็นแม้กระทั่งเงาผีล่องลอยไปมา เมื่อเรียกทหารยาม ทหารยามก็บอกว่ามิเห็นอะไรทั้งยังเยาะเย้ยว่าเขาน่าจะเห็นผีเข้าแล้ว!หลังจากหลายคืนที่ถูกหลอกหลอนเช่นนี้ นานเข้าจิตใจขององค์ชายคังก็รับมิไหว บางครั้งก็สติฟั่นเฟือน บางครั้งก็ปกติยามสติฟั่นเฟือนก็เอาหัวโขกกำแพง เวลาปกติก็ด่ากราดกระทบหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนในคุกที่จริงแล้วมีคนแกล้งหลอกหลอนองค์ชายคังจริง ๆและคนที่แกล้งหลอกหลอนนั้นก็คือทหารที่แม่ทัพสือส่งมา พวกเขาคือผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ขนส่งเบี้ยหวัดทหารในเวลานั้นแม่ทัพสือเองก็เกลียดชังองค์ชายคังที่ฆ่าน้องชายของตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้แม่ทัพสือฝันร้ายถึงน้องชายที่ตายอย่างน่าอนาถมาตลอดหลายปีส่วนผู้รอดชีวิตเหล่านั้นแม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็หมดอนาคตเพราะเรื่องเบี้ยหวัดทหารหาย และยังต้องแบกรับภาระทาง
เผยอวี้ได้ประโยชน์จากกองพยัคฆ์เหินหาวได้ชุดลายพรางมาด้วย เขาใส่แล้วรู้สึกว่าตนมีพลังขึ้นมา แล้วก็รู้สึกอิจฉาอิ้งเฉิงขึ้นมาทันทีที่ได้เป็นผู้นำกองกำลังชั้นยอดเช่นนี้อิ้งเฉิงมองออกถึงความมิพอใจของเขาจึงยิ้มพลางเอ่ย “ฮองเฮาได้บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ข้าเป็นผู้นำค่ายกองทหารเสือก็เพียงพอแล้ว กองพยัคฆ์เหินหาวนี้ข้าแค่มาดูแลเพียงชั่วคราวเท่านั้น!”“แม่ทัพเผย หากเจ้าอยากเป็นผู้นำกองพยัคฆ์เหินหาว เช่นนั้นต่อไปก็มาเข้าร่วมการฝึกเถิด ขอเพียงเจ้าเป็นที่หนึ่งในการแข่งขัน เช่นนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการก็จะเป็นของเจ้า!”เผยอวี้สนใจขึ้นมาทันที จึงซักถามอิ้งเฉิงว่ามีรายการอะไรบ้างกระทั่งรู้ว่ากองพยัคฆ์เหินหาวต้องเรียนรู้มากมาย เผยอวี้ก็มิได้ตกใจจนล่าถอย แต่กลับยิ่งสนใจมากขึ้นอีกเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่า กองกำลังชั้นยอดจำเป็นต้องเรียนรู้มากมายถึงเพียงนี้ นี่มิใช่สิ่งที่หลิงอวี๋พูดมาเปล่า ๆ แต่ล้วนเป็นทักษะที่แท้จริงทั้งนั้นหากเชี่ยวชาญทักษะเหล่านี้ กองกำลังนี้ก็จะเป็นกองกำลังชั้นยอดในสี่แคว้นแผ่นดินใหญ่ผู้ที่สามารถเป็นผู้บัญชาการของกองกำลังชั้นยอดนี้ได้จึงจะคู่ควรกับการเป็นแม่ทัพใหญ่อย่างแท้จ
เดิมทีจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้หาแพะรับบาปไว้แล้ว และมิกังวลว่าเรื่องนี้จะโยงมาถึงตนแต่จ้าวฮุยถูกเซียวหลินเทียนพาตัวกลับเมืองหลวง เช่นนั้นแม้ว่าตนจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจน แต่สุดท้ายแล้วก็หลีกเลี่ยงมิได้ที่จะถูกจ้าวฮุยทำให้เดือดร้อนหรืออาจเป็นเรื่องดีกับตนที่หลิงอวี๋มาถึงประตูเองเช่นนี้!จ้าวเฉียงฮั๋วให้ตนบุกเข้าวังมิใช่หรือ? สังหารหลิงอวี๋ตอนนี้และรีบบุกเข้าวังก็มีผลเช่นเดียวกัน!“จ้าวเฉียงฮั๋ว ได้ยินหรือไม่ หลิงอวี๋มาถึงหน้าประตูเองแล้ว!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเอ่ยทันที “รีบพาคนของเจ้าตามข้าไป วันนี้เราจะสังหารหลิงอวี๋กัน!”“หนานฮุ่ย เจ้าไปเรียกเฉียวเค่อมาประเดี๋ยวนี้ แล้วให้เขาร่วมมือกับข้าจัดการหลิงอวี๋!”จ้าวเฉียงฮั๋วตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นดินด้วยความยากลำบาก เขามองออกว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย การจะเอาป้ายตระกูลจ้าวทำได้เพียงเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง สิ่งสำคัญที่สุดคือการร่วมมือกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสังหารหลิงอวี๋ เช่นนี้จึงจะปกป้องตระกูลจ้าวได้“สุ่ยเหอ เจ้าพาคนไปเฝ้าห้องกลั่นโอสถไว้ อย่าให้ใครบุกรุกเข้าไปเป็นอันขาด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยสั่งนางรับใช้อีกคนกระทั่งจัดการเสร็จส
“เจ้าอยากเป็นจักรพรรดิหรือ?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมองปราดเดียวก็เห็นความคิดของจ้าวเฉียงฮั๋วได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว นางจึงยิ้มเยาะเย้ยจ้าวเฉียงฮั๋วคิดว่าการเป็นจักรพรรดิง่ายเหมือนกับที่เขาทำการค้าหรืออย่างไร?หากเป็นเช่นนั้น ทุกคนก็สามารถเป็นจักรพรรดิได้หมดแล้ว!“มีอะไรมิได้!”จ้าวเฉียงฮั๋วเอ่ยอย่างแข็งกร้าว “ข้าแข็งแกร่งกว่าองค์ชายคังผู้ขี้ขลาดของเจ้าเป็นร้อยเท่า เขาเป็นจักรพรรดิได้ เหตุใดข้าจะเป็นมิได้!”“จ้าวหรุ่ยหรุ่ย คนที่มีไหวพริบก็จะส่งมอบป้ายกับรายชื่อมาให้เอง เห็นแก่ที่เราคือคนตระกูลเดียวกัน ข้าเป็นจักรพรรดิแล้ว เจ้าก็ยังคงเป็นพระชายาคัง!”เขากวาดสายตามองคนที่ตนพามาด้วยเพื่อเป็นการเตือนจ้าวหรุ่ยหรุ่ยว่าอย่าบังคับให้ตนลงมือจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเหลือบมองผู้ติดตามรูปร่างกำยำเหล่านั้นอย่างดูถูกจ้าวเฉียงฮั๋วคิดว่าจะอาศัยคนเหล่านี้มาจัดการตนได้หรือ เขาประเมินตนต่ำไปหรือไม่?จ้าวหรุ่ยหรุ่ยระงับอารมณ์ของตนไว้ พลางเอ่ยอย่างอดทน “จ้าวเฉียงฮั๋ว การเป็นจักรพรรดิมิง่ายอย่างที่เจ้าคิด แม้ว่าข้าจะให้รายชื่อกับเจ้าไป แต่ก็เป็นไปมิได้ที่เจ้าจะให้พวกเขาเชื่อฟังเจ้า!”“เจ้าให้เวลาข้าอีกคืนเดียว!
หากจ้าวฮุยถูกพาตัวกลับเมืองหลวงจะหมายความว่าอย่างไร?คนตระกูลจ้าวต่างก็รู้ดีว่าหากจ้าวฮุยถูกนำตัวกลับมา ตระกูลจ้าวก็จะต้องจบลงจ้าวฮุยเป็นผู้นำตระกูลจ้าว ภายใต้การคุ้มครองของจ้าวฮุยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตระกูลจ้าวได้ทำสิ่งน่าอับอายไว้มากมายหากเซียวหลินเทียนจัดให้มีการสอบสวนอย่างละเอียด ตระกูลจ้าวก็มิสามารถต้านทานการสอบสวนได้เมื่อถึงเวลานั้นการยึดบ้านและกวาดล้างจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้!ทันทีที่คนตระกูลจ้าวได้รับข่าว ไหนเลยจะนิ่งเฉยอยู่ได้ ต่างก็รีบไปหาไท่เฟยเส้ากับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเพื่อหารือ อยากจะอาศัยตอนที่เซียวหลินเทียนยังมิกลับมารีบจัดการหลิงอวี๋แล้วเข้าวังไปก่อนวันนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย นางกำลังเตรียมเครื่องยาสมุนไพรอยู่ในห้องกลั่นโอสถ เตรียมไว้เมื่อคนส่งยามาถึงก็จะกลั่นยาอายุวัฒนะทันที และจะเลื่อนขั้นไปดินแดนที่เจ็ดตระกูลจ้าวขอเข้าพบ นางก็ให้หนานฮุ่ยไปไล่อย่างรำคาญแต่ครานี้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลจ้าว ลุงรองและจ้าวเฉียงฮั๋วลูกพี่ลูกน้องของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยท่าทีของทั้งสองคนแข็งกร้าวนัก มิใช่คนที่คนรับใช้คนหนึ่งเช่นหนานฮุ่ยจะไล่ไปได้“จ้าวหรุ่ยหร
หลังจากที่ทั้งสองบรรลุข้อตกลงกันแล้ว หลิงอวี๋ก็ให้คนไปเชิญขันทีโม่กับแม่นมอูมา แล้วแนะนำให้พวกเขารู้จักกับเย่หรงขันทีโม่มิอยากจะเชื่อเลยว่าหลิงอวี๋จะชักชวนลูกชายผู้มิสนใจสิ่งใดของตระกูลเย่ผู้นี้ได้ เขามีข้อสงสัยและกังวลว่าเย่หรงแสร้งทำเป็นยินดีแล้วจงใจหลอกลวงหลิงอวี๋นับตั้งแต่ที่แม่นมอูถูกหลงหมิงหลอก นางก็มิชอบบุรุษหน้าตาหล่อเหล่าเช่นนี้นัก จึงเอ่ยมิกี่คำพอเป็นพิธีแล้วก็ออกไปท่าทีของขันทีโม่กับแม่นมอูที่มีต่อเย่หรงทำให้หลิงอวี๋รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เย่หรงมิสนใจ เขาได้พบกับการจ้องมองอย่างเย็นชาจากตระกูลเย่มามากพอแล้ว เขาเคยชินกับมันแล้ว“พี่หรง เจ้าไม่มีปัญหาที่จะจัดการกับเฉียวเค่อใช่หรือไม่?” หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างกังวลเย่หรงส่งเสียงเย็นชา “พลังของนายน้อยตระกูลเฉียวนั้นยังมิสู้ข้าเลย เขาอาศัยว่าเกิดมาในตระกูลดีจึงได้เป็นนายน้อย หากมาเปลี่ยนสถานะกับข้า คาดว่าเขาคงมิสามารถมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงอายุเท่านี้หรอก!”หลิงอวี๋ฟังดูจากคำพูดของเย่หรงก็รู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ในตระกูลเย่อย่างมิดีนัก แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาถามเกี่ยวกับอดีตของเขา ทำได้เพียงค่อยถามในภายหลังเท่านั้น“เช่นนั้นเฉียวเค่อกั
“ข้า...”เย่หรงมองไปทางหลิงอวี๋ อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไปเขาพูดมิได้ หากพูดเรื่องมารดาผู้ให้กำเนิดตนก็ต้องเล่าภูมิหลังชีวิตของตนด้วย เขามิอยากพูดถึงอดีตที่ทนมิได้เหล่านั้นแล้ว“พี่หรง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าคนเรามีชาติก่อนและชาตินี้?”หลิงอวี๋เพิ่งจะรู้จักเย่หรงได้มินานนัก รู้ว่าเย่หรงมิสามารถพูดเรื่องที่เขาถูกข่มขู่ออกมาโดยไม่มีเหตุผลได้ จึงเอ่ยอย่างอดทน“เมื่อคืนตอนที่เห็นเจ้าพุ่งเข้ามาตรงที่ซ่อนตัวของข้า มีชั่วครู่หนึ่งที่ข้าคิดจะลงมือ! แต่ข้าก็มิทำ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”“เพราะเหตุใด?”“เพราะข้ามักจะฝันในแบบเดียวกัน ในฝันข้ารู้จักเจ้า… เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ชื่อว่าหลิงหรง!”“ใบหน้าของเจ้าดูเหมือนกับที่ข้าเห็นในความฝันทุกประการ!”หลิงอวี๋ยังมิอาจแน่ใจได้ว่าเย่หรงคู่ควรที่จะเชื่อใจหรือไม่ จึงมิกล้าเล่าเรื่องยุคปัจจุบันของตนออกไป ดังนั้นจึงใช้ข้ออ้างว่าเคยเห็นเขาในความฝัน“เจ้าจำคำแรกที่ข้าพูดกับเจ้าในตอนนั้นได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้ข้ามิเคยพบเจ้ามาก่อน แต่ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวหรง!”เย่หรงนึกขึ้นได้แล้ว ตอนนั้นหลิงอวี๋เห็นตนแล้วเรียกตนว่าเสี่ยวหรงจริง ๆ ทั้ง
เดิมทีราษฎรธรรมดาไม่มีความผิด แต่เมื่อมีหยกในครอบครองก็ถือเป็นโทษ!หลิงอวี๋มิได้มีความจำเป็นต้องครอบครองหยกหล้าสุขาวดีชิ้นนี้ แต่โชคชะตากลับมอบให้นางโดยมิให้โอกาสนางได้เลือกนางได้ชีวิตนี้กลับคืนมาใหม่ นางมิอยากตาย นางไม่มีทางให้ใครมาทำเรื่องที่โหดร้ายกับตนเช่นนี้แน่เย่หรงเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของหลิงอวี๋ แล้วก็นึกถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสแอบพูดกับตนก่อนออกเดินทาง แล้วก็เชื่อไปครึ่งหนึ่งเขาพูดมิออกอยู่ครู่หนึ่ง มิรู้ว่าควรจะพูดอะไรเย่หรงเป็นดังที่ขันทีโม่บอกไว้ เขาทำการสิ่งใดมิคล้ายคนที่อยู่ในความถูกต้องของตระกูลเย่ เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแต่เขาก็มีขอบเขตของตน และจะมิสังหารผู้บริสุทธิ์!หากหลิงอวี๋เป็นคนเช่นจ้าวหรุ่ยหรุ่ย แม้ว่าเย่หรงจะได้ยินว่าจำเป็นต้องใช้วิธีการที่โหดร้ายเช่นนี้เพื่อเอาหยกหล้าสุขาวดีออกมา เขาก็ไม่มีทางขมวดคิ้วแต่เย่หรงมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว และได้รู้จักหลิงอวี๋อยู่บ้าง เขาจะให้หลิงอวี๋ไปตายเช่นนี้ได้อย่างไร!สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลิงอวี๋มีดวงตาที่คุ้นเคยและสนิทสนมคู่นี้อยู่!ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เย่หรงลังเล นี่เป็นเหตุผลหลักที่เขาตกลง