Share

บทที่ 12

Author: ซูเหยียน
ไป๋ซวงยกมุมปากขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างไม่แยแส

จากนั้นค่อย ๆ โบกมือ พลางมองดูจวินหงคังที่ทำหน้าเย็นชาด้วยความสนใจ

เพียงชั่วพริบตา ลมจากฝ่ามืออันแข็งกร้าวก็ปะทะเข้ากับน้ำที่เย็นยะเยือก

น้ำที่เย็นยะเหยือกดูดซับแรงลมฝ่ามือ แต่ก็ถูกแรงปะทะจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว

ทว่าละอองน้ำที่สาดกระจายออกไปนั้น ไม่ได้เปียกแม้แต่ชายกระโปรงของไป๋ซวงเลย

แต่จวินหงคังที่ยืนอยู่ไม่ไกล กลับถูกละอองน้ำสาดซัดจนเปียกโชกไปทั้งร่าง

ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่มีแม้แต่ส่วนใดที่ยังคงแห้งอยู่เลย

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นถึงกับตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

จวินหงคังคือใครกัน?

นั่นคือโอรสแท้ ๆของฮ่องเต้และฮองเฮา เป็นถึงองค์ชายสามผู้สูงศักดิ์

ไม่เคยมีใครกล้ากระทำเช่นนี้กับจวินหงคังมาก่อน

“บังอาจนัก! กล้าลงมือทำร้ายองค์ชายสาม ยังไม่รีบจับตัวนางอีก!”

ซินฮุย ข้ารับใช้คนสนิทของจวินหงคังเอ่ยขึ้นก่อน แล้วสั่งบรรดาทหารองครักษ์ที่ติดตามมาไปจับตัวไป๋ซวง

ส่วนตัวเขาเองก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าบนตัวออกมา แล้วช่วยเช็ดน้ำบนใบหน้าของจวินหงคังอย่างลนลาน

จวินหงคังถูกเล่นงานเป็นครั้งแรก ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาต

“สังหารนางให้ข้า!”

เขากัดฟันพูด ก่อนจะยื่นมือไปแย่งผ้าเช็ดหน้าจากมือของซินฮุยมาเช็ดแก้มและลำคอท่าทีเกรี้ยวกราด

ทันทีที่จวินหงคังพูดจบ บรรดาองครักษ์ที่ติดตามมาก็ชักอาวุธออกมาแล้วพุ่งเข้าหาอย่างว่องไว

ถึงแม้นางจะเป็นสตรีของจวินจิ๋วอิ่นแล้วอย่างไรเล่า?

ไร้ชื่อเสียงไร้ฐานะ แถมยังล่วงเกินองค์ชายสามอีกด้วย

บรรดาองครักษ์ลงมือจัดการ โดยมิได้สนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย

กระบวนท่าโหดเหี้ยมรุนแรง พุ่งตรงไปที่จุดสำคัญ

ไป๋ซวงคร้านจะเอ่ยปาก เพียงแค่ทะยานตัวข้ามไป ผมดำขลับนับสามพันเส้นปลิวสะบัดอยู่กลางอากาศ

จากนั้นก็เห็นนางหมุนปลายนิ้วเล็กน้อย ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางลานก็สั่นไหวขึ้นมาในทันที

ต่อมา กิ่งไม้เรียวยาวก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมา

ยืดยาวพุ่งขึ้นฟ้า ปกคลุมท้องฟ้าจนมืดมิด

ทั่วทั้งลานถูกล้อมรอบด้วยกิ่งไม้ที่หนาทึบ

ยอดอ่อนที่อ่อนช้อยนั้นราวกับดาบยาวคมกริบ แทงเข้าใส่จุดสำคัญของหัวใจองครักษ์

บรรดาองครักษ์ไม่เคยพบเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาพวกเขาลืมที่จะสังหารไป๋ซวง แต่หลบหนีการโจมตีของกิ่งไม้แทน

ทว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะหลบหนีได้พ้น

ได้ยินเพียงเสียงร้องอันโหยหวนดังก้องขึ้น เมื่อจวินหงคังจึงหันมองไปยังเสียงเหล่านั้น

เพียงชั่วพริบตา จวินหงคังก็ตกใจจนหน้าตาซีดเผือด

“เจ้า...เจ้ากล้าดีเยี่ยงไร...สังหารองครักษ์ของข้า!”

เขามองไปที่เหล่าองครักษ์ที่ถูกยอดอ่อนแทงทะลุหัวใจ แต่ละร่างห้อยต่องแต่งอยู่บนกิ่งไม้ราวกับผลไม้

เลือดหยดติ๋ง ๆ ลงมา

ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก

อาวุธในมือของพวกเขาร่วงลงพื้นดังเคร้ง ๆ

แม้ว่าพวกเขาไม่ยินยอมอีกเพียงใด แต่ก็หลับตาสองข้างลง

ไม่ใช่แค่จวินหงคังเท่านั้น แม้แต่บ่าวไพร่ขององค์ชายเก้าก็ต่างตกตะลึงจนนิ่งอยู่กับที่

ตรงข้ามกับไป๋ซวงที่สีหน้าไม่เปลี่ยน ถึงขนาดที่ยังปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าอีกด้วย

นางโบกมืออย่างช้า ๆ ลำต้นไม้ที่หนาทึบ ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตา

ส่วนศพขององครักษ์เหล่านั้นกองสุมอยู่ตรงหน้าจวินหงคังทั้งหมด

นางก้าวไปข้างหน้า สายตาที่ดุดันและแฝงไปด้วยอำนาจ

“ยังไม่รีบไปอีกหรือ? หรือว่าเจ้าอยากลองลิ้มรสชาติของการถูกกระบี่แทงทะลุกหัวใจดูบ้าง?”

จวินหงคังทั้งโกรธทั้งโมโห ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

เขาไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ทำให้เขาอยากจะสังหารสตรีที่อยู่ตรงหน้าทันที

แต่ว่าเขาอยากจะก้าวไปข้างหน้า ซินฮุยกลับดึงเขาไว้

“องค์ชาย พวกเราไม่เหลือใครแล้วพ่ะย่ะค่ะ!'"

พวกเขาพาองครักษ์มาสิบกว่าคน แค่ชั่วพริบตาเดียว ทุกคนกลับสิ้นชีวิตลงทั้งหมด

จวินหงคังมองศพของเหล่าองครักษ์ตรงหน้า ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ

เขากัดฟันแน่น จ้องไปที่ไป๋ซวงด้วยความอาฆาตแค้น

“ดี ดีมาก! รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ แน่นอน!”

เมื่อจวินหงคังพูดจบ เขาสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ แล้วหันหลังเดินจากไป

ตอนที่เดินเข้ามาในจวน เขาช่างหยิ่งผยองเพียงใด ตอนที่ออกไป เขาก็อับอายขายหน้ามากเท่านั้น

ผู้คนในจวนองค์ชาย ต่างอดไม่ได้ที่จะเริ่มเป็นห่วงไป๋ซวง

อย่างไรเสียนั่นคือองค์ชายสาม บัดนี้ผู้คนของเขาจำนวนมากต้องมาล้มตายในเงื้อมมือของพระชายา

เกรงว่าเขาจะทำให้เรื่องใหญ่ไปถึงฝ่าบาทเป็นแน่!

แล้วศพเหล่านั้นที่กองอยู่กลางลาน จะจัดการเช่นไรดี?

ขณะที่หัวหน้าผู้คนใช้กำลังกังวลอยู่นั้น กลับเห็นไป๋ซวงสะบัดแขนเสื้ออีกครั้งอย่างแผ่วเบา

เปลวไฟลุกโชนห้อมล้อมร่างของเหล่าศพทั้งหมด ในชั่วพริบตา พวกมันละลายกลายเป็นเพียงควันไฟจาง ๆ ที่เลือนหายไป

ผู้คนในลานต่างตกตะลึงในถูกความสามารถของว่าที่พระชายาอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่านั้น คือพลังวิญญาณที่ไป๋ซวงใช้

เมื่อครู่ พระชายาของพวกเขากลับใช้รากวิญญาณทั้งสามได้แก่ น้ำ ไฟ และไม้!

พระชายาของพวกเขา ที่แท้นางก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ครอบครองรากวิญญาณทั้งสาม!

มิน่าล่ะ องค์ชายถึงได้ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้!

พระชายาของพวกเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ครอบครอบรากวิญญาณทั้งสามเหมือนกับองค์ชายนี่เอง!

จวินหงคังโกรธมากจนไฟในใจลุกโชน ความอับอายนี้มิอาจกล้ำกลืนได้

แม้แต่เสื้อผ้าก็หาได้เปลี่ยนไม่ รีบเร่งตรงไปฟ้องฝ่าบาทในทันที

เวลานี้จวินฉงและจีหรงกำลังเล่นกับซวี่เป่าอย่างสำราญใจ

แต่พอเห็นจวินหงคังพุ่งเข้ามาในท้องพระโรงในสภาพราวกับลูกหมาตกน้ำ ขนลุกชันด้วยความโกรธแค้น

อารมณ์สำราญใจก็พลันมลายหายไปกว่าครึ่งในทันใด

“เจ้าสาม นี่เจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน”

จวินฉงกำลังอุ้มซวี่เป่าไว้ในอ้อมแขน หันมองจวินหงคังด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรำคาญ

จวินหงคังคุกเข่าลงต่อหน้าจวินฉงด้วยเสียงดังตุ้บ

“เสด็จพ่อทรงโปรดให้ความยุติธรรมแก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ขณะที่พูดอยู่ ดวงตาของจวินหงคังก็เริ่มแดงก่ำด้วยความน้อยใจ

ศีรษะของเขาโขกกับพื้นเสียงดังปึก ๆ ท่าทางเช่นนั้นราวกับได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก

“ว่ามา เจ้าอยู่ในสภาพแต่งตัวไม่เรียบร้อยเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ซวี่เป่าเห็นว่าท่านปู่กำลังสนทนาเรื่องสำคัญ จึงค่อย ๆ ขยับตัวลงจากตัก แล้วเดินไปหาท่านย่า

จู่ ๆ อ้อมแขนว่างเปล่า หัวใจของจวินฉงก็รู้สึกว่างเปล่าตามไปด้วย

สายตาที่จวินฉงมองจวินหงคังเต็มไปด้วยความรำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ จวินหงคังจึงไม่ได้สังเกตเห็นความไม่พอใจของเสด็จพ่อแม้แต่น้อย

เขาจ้องมองจวินจิ๋วอิ่นด้วยความโกรธ และเอ่ยออกมาด้วยความปวดใจอย่างเต็มเปี่ยม

“เสด็จพ่อ วันนี้ลูกได้ยินข่าวว่าน้องเก้ากลับมาแล้ว จึงไปเยี่ยมเยือนที่จวนอ๋อง ใครจะรู้ว่าในจวนอ๋องนั้นกลับมีสตรีนางหนึ่ง อวดดีเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจไร้เหตุผล นางไม่เพียงแต่ทำร้ายกระหม่อม ยังสังหารองครักษ์ที่ลูกพาไปสิบกว่าคนจนหมดสิ้น”

จวินหงคังนึกถึงเหล่าองครักษ์ของตน ล้วนเป็นผู้ที่เขาฝึกฝนมาด้วยความทุ่มเทและตั้งใจ

ในใจเขายิ่งทวีความเศร้าเสียใจ น้ำเสียงก็ยิ่งแฝงไว้ด้วยความเคียดแค้น

“เสด็จพ่อ ใต้ร่มพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ในเมืองหลวงนี้ กลับมีผู้บังอาจทำเรื่องอำมหิตเช่นนี้ มิได้ยำเกรงต่อพระราชอำนาจ อีกทั้งยังละเมิดกฎหมายแผ่นดินอย่างไม่เกรงกลัว กระหม่อมขอให้เสด็จพ่อทรงออกคำสั่งลงโทษคนร้ายสังหารผู้คนให้สาสมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ยังไม่ทันที่จวินฉงจะตอบกลับ จวินจิ๋วอิ่นก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา

“เสด็จพี่สามไปที่จวนของข้าหรือ?”

“ใช่ พี่สามได้ยินว่าน้องเก้ากลับมา จึงไปเยี่ยมเยือน...”

"นำองครักษ์สิบกว่าคนไปเยี่ยมเยือนหรือ?”

จวินจิ๋วอิ่นจ้องมองจวินหงคังด้วยดวงตาดุดันไม่เป็นมิตร

ในเมืองหลวง เมื่อองค์ชายเสด็จพระราชดำเนิน

หากมิได้มีเหตุสำคัญอันใด ปกติก็เพียงมีองครักษ์สามสี่คนคุ้มกัน!

จวินหงคังถึงกับนำองครักษ์ไปกว่าสิบคนยังจวนองค์ชายเก้า ซ้ำยังเลือกช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่เสียอีก

ใบหน้าของจวินจิ๋วอิ่นยิ่งทวีความเย็นชาและเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ

จวินหงคังเพิ่งตระหนักได้ว่า การที่เขานำองครักษ์จำนวนมากเข้าไปในจวนเช่นนี้ ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง

เขารีบหาเริ่มหาข้อแก้ตัว “พี่สามออกไปทำธุระนิดหน่อยพอดี ตอนที่กลับมาผ่านจวนอ๋องของน้องเก้า ในใจคิดถึงน้องเก้า จึงตรงเข้าไปทันที”

“ซวงเอ๋อร์เป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดีที่สุด ข้าไม่รู้ว่าพี่สามทำสิ่งใดให้ซวงเอ๋อร์โกรธเคือง ถึงได้บีบให้ซวงเอ๋อร์โกรธจนสังหารองครักษ์ของพี่สาม?”

จวินจิ๋วอิ่นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น แฝงด้วยความหยิ่งทะนงและอำนาจที่เหนือกว่า

สายตาที่ดุดันนั้น ราวกับเหยี่ยวที่กำลังล่าเหยื่อ

จวินหงคังที่ถูกมองถึงกับสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว...
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 13

    เมื่อรับรู้ถึงปฏิกิริยาของตนเอง จวินหงคังก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ชี้นิ้วไปที่จวินจิ๋วอิ่นด้วยความโกรธแล้วโต้แย้ง“นางอ่อนโยนและใจดี? เจอข้าแล้วยังไม่แสดงความเคารพก็พอว่า แต่แค่โบกมือก็สังหารองครักษ์สิบคนของข้า โดยที่ไม่แม้แต่จะกะพริบตา! คนใจโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่าน้องเก้าไปหามาจากที่ใดกัน!”ทันทีที่จวินหงคังพูดจบ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจโดยความจนใจเสียงอ่อนเยาว์นั้นเต็มไปด้วยความจนใจและความเศร้าใจ“เฮ้อ...”ซวี่เป่าก้าวไปข้างหน้าสองก้าวด้วยสายตาเศร้าหมอง มองดูจวินหงคังที่โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ“ท่านลุงลูกหมาตกน้ำ สตรีใจดำอำมหิตที่ท่านกล่าวถึงนั้น ใช่คนที่สวมชุดสีขาว งดงามราวกับเทพธิดาใช่หรือไม่?”“บังอาจนัก! เด็กไร้มารยาทจากที่ไหนกัน ถึงกล้าพูดกับข้าเช่นนี้?”จวินหงคังเพียงมองแค่แวบเดียว ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือเด็กที่เล่าลือว่าเป็นบุตรของจวินจิ๋วอิ่นเพราะว่า เขามีหน้าตาคล้ายกับจวินจิ๋วอินมากเหลือเกินจริง ๆเมื่อคิดถึงสตรีอำมหิตนางนั้น เขาย่อมไม่ทำสีหน้าดี ๆ อะไรให้กับเด็กนอกคอกคนนี้อย่างแน่นอนยิ่งไปกว่านั้น เด็กคนนี้ถึงกับกล้าบอกเขาว่าลูกหมาตกน้ำด้วยช่างเป็นเรื่องที่ไม่

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 14

    ในยามดึกสงัด ไป๋ซวงกอดซวี่เป่าพลางพูดคุยอยู่เนิ่นนาน แต่ซวี่เป่าก็ไม่มีท่าทีง่วงนอนซวี่เป่าเล่าเรื่องราวสนุกสนานในวังหลวงให้นางฟังด้วยความตื่นเต้นดูออกว่าซวี่เป่าชื่นชอบท่านปู่กับท่านย่าที่เพิ่งได้พบกันเป็นอย่างมากหากมิใช่เพราะซวี่เป่ายืนกรานจะกลับมานอนกับนางให้ได้ เกรงว่าคืนนี้ซวี่เป่าคงไม่ได้กลับมาศีรษะน้อย ๆ ของซวี่เป่าหนุนแขนของไป๋ซวงไป๋ซวงมีรอยยิ้มที่หางตา นิ้วเรียวบางลูบไล้ท้องน้อยของเขาเบา ๆ“ซวี่เป่า ยังจำเรื่องการอยู่ใกล้ฮ่องเต้เหมือนอยู่ใกล้เสือได้หรือไม่?”ฝ่ามือน้อย ๆ ของซวี่เป่าตบแขนของขอท่านแม่เบา ๆใบหน้ามีรอยยิ้มสดใส เอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ “อยู่ใกล้ฮ่องเต้เหมือนอยู่ใกล้เสือ ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว”ซวี่เป่าพลิกตัว เอามือทั้งสองข้างเท้าคางพลางยิ้มมองท่านแม่“เรื่องที่ท่านแม่เล่าให้ซวี่เป่าฟังนั้น ซวี่เป่าจดจำไว้ในใจเสมอ ท่านแม่ ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่ ท่านย่า หรือว่าท่านพ่อ พวกเขาดีกับซวี่เป่า ดีกับท่านแม่ เป็นญาติใกล้ชิดของซวี่เป่า ซวี่เป่าย่อมเคารพรัก”ซวี่เป่ากล่าว ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม ริมฝีปากเล็ก ๆ ก็เบะขึ้นมา“แต่ว่า หากพวกเขาทำไม่ดีกับท่านแม่หรือ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 15

    ไป๋ซวงแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาคมกริบหันไปมองเฝิงหมัวมัวเสียงฝ่ามือที่ควรจะดังก้องกลับเงียบงัน สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นเพียงเสียงร้องโหยหวนของเฝิงหมัวมัวที่ดังขึ้นแทนเพราะว่า ฝ่ามือที่นางยกขึ้นมาเมื่อครู่นี้ เมื่อสบกับสายตาของไป๋ซวงในชั่วพริบตานั้นกลับถูกแช่เย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง!ถึงขนาดที่ทั่วทั้งแขนเริ่มเย็นยะเยือกจนหนาวสะท้านถึงกระดูกร่างกายครึ่งซีกก็เริ่มแข็งทื่อช้า ๆ“บังอาจนัก กล้าลงมือทำร้ายคนในตำหนักเฟิ่งหลิน ใครก็ได้ จับตัวนางให้ข้า”เสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามดังเข้ามา เจียงเถียนค่อย ๆ เดินเข้ามาท่ามกลางผู้คนที่ล้อมรอบนางเห็นเฝิงหมัวมัวที่ถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งแล้ว นึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่บุตรชายได้รับเมื่อวานทันใดนั้น โทสะในใจก็ยิ่งลุกโชนขึ้น“กล้าฆ่านางกำนันของข้า ข้าจะให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”ขณะที่พูด เจียงเถียนก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธแค้นทันใดนั้น เหล่าทหารองครักษ์ที่ประจำการอยู่ในตำหนักเฟิ่งหลินต่างชักอาวุธและกระโจนออกมาทหารแต่ละคนมีพลังวิญญาณพลันพุ่งทะลักออกมา ดูน่าเกรงขามไม่หยุดไป๋ซวงมองเหล่าองครักษ์ที่ล้อมตัวนางไว้ มุมปากยกขึ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 16  

    ซวี่เป่าซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของจวินฉงอย่างว่าง่าย ในมือยังอุ้มกล่องอาหารที่เตรียมไว้ให้ท่านแม่ เมื่อจวินฉงเห็นภาพสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วตำหนัก ซากศพและเศษอวัยวะที่เกลื่อนเต็มพื้น เขาหันสายตาไปมองสตรีที่จวินจิ๋วอิ่นปกป้องอยู่ในอ้อมกอด สูงโปร่งอรชร รูปโฉมเจิดจรัส แววตาเยียบเย็นราวมิใช่ปุถุชน เปล่งความน่าเกรงขามที่ทำให้คนยากจะเข้าใกล้ ในมือของนางยังกุมกระบี่เสินอิ่นที่เปล่งรัศมีสีทองแวววาว เสียงกระบี่ยังคงกระเพื่อม กังวานอยู่ในอากาศอย่างแผ่วเบา เมื่อเจียงเถียนเห็นจวินฉงมาแล้ว ก็รีบร้องไห้มาที่เบื้องหน้าของเขา จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นดังตุบ “ฝ่าบาท ต้องทรงให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ แม่นางน้อยผู้นี้ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา ถึงกับทำการเข่นฆ่าในตำหนักเฟิ่งหลิน ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยเพคะ!” เจียงเถียนร้องไห้กระซิกกระซิก หยาดน้ำตาพรมหน้าดั่งดอกสาลี่ในสายฝน ทำให้ผู้บนเห็นเกิดความสงสาร โดยเฉพาะกระโปรงที่เปรอะเปื้อนเลือดตัวนั้น ยังมีรอยเลือดที่หลงเหลืออยู่บนแก้ม ยิ่งทำให้นางดูเปราะบางช่วยตนเองไม่ได้ ทั้งน้อยใจ ทั้ง

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 17  

    ในตำหนักของจีหรง มีห้องครัวเล็กอยู่ ในเวลานี้ ซวี่เป่ากำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวเล็ก บริเวณหน้าเตา จวินจิ๋วอิ่นกำลังหาเก้าอี้ม้านั่งตัวเล็ก ๆ มาให้เขาอย่างคุ้นชิน ซวี่เป่าเหยียบอยู่บนม้านั่งไม้ตัวน้อย ด้านหนึ่งตวัดกระบวยขนาดใหญ่ อีกด้านก็เติมเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ลงไปไม่หยุด ท่าทางที่แสนชำนาญนั่น ทำให้จวินฉงและจีหรงปากอ้าตาค้างด้วยความตกใจ “ซวี่เป่าทำอาหารเป็นจริง ๆ หรือ?” จีหรงแอบสะกิดแขนของจวินจิ๋วอิ่นอย่างอดไม่ได้ จวินจิ๋วอิ่นพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด และกล่าวชมอย่างไม่ตระหนี่แม้แต่น้อยประโยคหนึ่งว่า “รสชาติยอดเยี่ยมเป็นที่สุดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของจีหรงพลันเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมแล้ว จวินจิ๋วอิ่นเป็นคนที่พิถีพิถันอย่างมาก จะให้เขาชมว่ารสชาติเลิศล้ำได้ เทียบกับการขึ้นสวรรค์แล้วยังยากกว่าเสียอีก เดิมจีหรงยังคิดในใจว่า คำชมนี้น่าจะมาจากการที่จวินจิ๋วอิ่นหลงลูกมากเกินไป แต่เมื่อกลิ่นหอมนั่นลอยมา นางก็รู้ว่าตนเองผิดไปแล้ว กลิ่นหอมที่เย้ายวนนั่น แม้แต่จวินฉงก็ยังต้องแอบกลืนน้ำลาย เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย จวินฉงและจีหรงพลันไม่สนใจสิ่งอื่

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 18  

    ไป๋ซวงขมวดคิ้วแน่น ในตอนที่แส้อยู่ห่างจากตัวนางครึ่งแขน ก็ยื่นมือออกไปจับหางแส้ไว้แน่น ความเยียบเย็นสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากมือนาง แส้ที่กำลังสร้างพายุหมุน พลันแข็งค้างอย่างกะทันหัน ตัวแส้เริ่มเปล่งแสงวูบวาบ ภายในชั่วพริบตา แส้ก็ถูกแช่แข็งกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อไป๋ซวงออกแรงดึงไปด้านหลัง ผู้ถือแซ่ที่อยู่ทางนั้นก็ถูกลากเข้ามาในร้าน “บังอาจ” สตรีที่งดงามนางหนึ่ง สวมชุดที่ทอลายจากแพรไหมอันหรูหรา ซวนเซเข้ามาด้านใน ใบหน้าของนางประดับด้วยความโมโห ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายเยียบเย็น ไป๋ซวงแค่นเสียงเย็น โยนแส้ในมือทิ้งอย่างดูแคลน ทว่าในเสี้ยววินาทีที่นางปล่อยมือ ทั่วทั้งตัวแส้ก็แตกออกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน ตกสู่พื้นดังเกรียวกราว! “เจ้ากล้าทำลายแส้ของข้า?” สตรีนางนั้นโมโหยิ่งกว่าเดิม หยิบกระบี่ยาวด้ามหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นอีกครั้ง แม้ไป๋ซวงจะไม่อยากสร้างปัญหา แต่ก็ไม่กลัวจะมีปัญหาเช่นกัน ในเมื่อมีคนมาวอนขอความเจ็บปวดถึงที่ นางย่อมไม่มีทางยั้งมือ กระบวนท่าของสตรีนางนั้นดุร้ายอย่างมาก มุ่งโจมตีจุดอ่อนของคนโดยเฉพาะ เมื่อไป๋ซวงเห็นเช่นนั้น ดวงตาก็เคร่งขรึมลงเรื่

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 19  

    เมื่อจวินจิ๋วอิ่นเห็นเช่นนั้น ก็รีบเบี่ยงตัวหลบทันที บ่าวรับใช้ข้างกายหนิงเซวียนเห็นเช่นนั้น ก็รีบก้าวเข้าไปประคองนาง จวินจิ๋วอิ่นรีบเดินไปเบื้องหน้าไป๋ซวง ชูนิ้วขึ้นฟ้า สาบานด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสาบานว่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางแม้แต่น้อย!” พูดจบ เขาก็มองไป๋ซวงอย่างระมัดระวัง “นี่เป็นเรื่องของท่านกับนาง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!” ไป๋ซวงพูดจบก็ไม่สนใจอีกแล้วสาวท้าจากไป จวินจิ๋วอิ่นเห็นเช่นนั้น ก็รีบตามติดไปทันที หนิงเซวียนมองเขาอย่างเจ็บปวด จากนั้นก็ร้องตะโกนออกมาอย่างขมขื่น “พี่ชายเก้า เหตุใดท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้? เซวียนเอ๋อร์มีที่ใดที่สู้หญิงป่าเถื่อนนางนั้นไม่ได้กัน?” เมื่อจวินจิ๋วอิ่นได้ยินดังนั้น ก็จะชะงักฝีเท้าลงทันที เขาหันมามองหนิงเซวี่ยนที่ดูน่าเวทนาราวดอกสาลี่ในสายฝน “หญิงป่าเถื่อน?” ความโกรธที่ถูกซ่อนลงไปเพราะได้เห็นไป๋ซวงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง และในยามนี้ ได้ไหลบ่าออกมาอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป เขาโบกมืออย่างกริ้วโกรธ พลังวิญญาณสายหนึ่งพุ่งออกไป ทุกคนยังไม่ทันได้ตอบสนอง หนิงเซวียนที่แบกแขนขาดข้างหนึ่งไว้ก็ถูกเขาซัดกระเด็นออกไปทันที ร่างขอ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 20  

    แม้แต่ซวี่เป่าก็ไม่สนใจแล้ว! หากไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากอย่างมาก เขาคงไม่มีทางทำใจแยกห่างจากซวี่เป่าแน่ ประกอบเรื่องที่เขาบาดเจ็บสาหัสจนตกลงไปในเขาหลิงอิ่น และการถูกไล่สังหารตลอดเส้นทางที่กลับมาเมืองหลวง แม้เขาจะไม่เอ่ยปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ไป๋ซวงรู้ว่า เขามิใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบง่าย ๆ! ในเมื่อจวินจิ๋วอิ่นไม่พูด ไป๋ซวงก็ไม่อยากจะรู้ เพราะถึงอย่างไรเมื่อสิบวันที่ตกลงกับซวี่เป่าไว้จบลง นางก็จะพาซวี่เป่าจากเมืองหลวงไป จวินจิ๋วอิ่นเห็นไป๋ซวงกินอย่างมีความสุข ก็นั่งลงที่ข้างกายของนางโดยไม่สนใจสิ่งอื่นบ้าง “สามเดือนก่อน เสด็จพ่อได้รับสารลับจากชายแดน มีคนต้องสงสัยว่าสมคบคิดกับแคว้นเป่ยเซิ่ง เพื่อทำให้เกิดสงครามที่ชายแดน ดังนั้นจึงส่งข้าไปที่ชายแดนอย่างลับ ๆ เพื่อสืบหาความจริง” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชายแดน จวินฉงไม่วางใจคนอื่น จึงส่งจวินจิ๋วอิ่นไปแอบตรวจสอบอย่างลับๆ ส่วนข่าวที่เดิมลับเฉพาะอย่างมากนี้ กลับถูกคนทำให้รั่วไหลออกไป ดังนั้น นับตั้งแต่ที่จวินจิ๋วอิ่นออกจากเมืองหลวง ก็ถูกไล่สังหารไปตลอดทาง หากไม่ใช่พลังวิญญาณและวรยุทธ์ของเขาสูงส่ง

Latest chapter

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 100

    ไป๋ซวงยิ้มหวาน แต่สำหรับนักพรตชราแล้ว กลับเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษนักพรตชราเห็นแล้ว ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งแผ่นหลัง“มีคนชวนท่านอ๋องของข้าออกไปล่าสัตว์เป็นเรื่องโกหก วางยาพิษท่านอ๋องกลางทางต่างหากคือเรื่องจริง!”ไป๋ซวงพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไปแทนที่ด้วยแววตาที่ดุดันและเย็นเยียบโจวหลิงซางและโจวหวันฉี่ที่ยืนตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ รวมถึงฮองเฮาเจียงเถียนและจวินหงคังตอนนี้ทุกคนต่างหน้าซีดเผือด!โจวหลิงซางกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า ฝืนทำท่าทางสงบพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว“พระชายาองค์ชายเก้า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หรือว่าข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอ?”ไป๋ซวงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้โจวหลิงซาง“ท่านอ๋อง สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นยังคงจมดิ่งอยู่ในคำว่า ‘ท่านอ๋องของข้า’ จนถอนตัวจากความหวานนั้นไม่ได้เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋ซวง“ฮูหยินพูดถูกที่สุด”“เหลวไหล จวินจิ๋วอิ่น พวกเราก็แค่แข่งขันล่าสัตว์เท่านั้น เหตุใดข้าถึงต้องวางยาพิษท่านด้วย? ข้าเป็นถึงองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้ ไม่ใช่คนที่ใครจะใส่ร้ายป้ายสีได้ง่าย ๆ ”

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 99

    เวลานี้ สวีเหว่ยถือกระบี่แสงพุทธ ฟาดฟันกระบี่ไปที่ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีที่เพิ่งจะหักโค่นลงเบา ๆ ภายในชั่วพริบตา ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีต้นนั้น ก็ถูกตัดจนถึงโคนต้นสวีเหว่ยรู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า หันไปทางไป๋ซวงแล้วโขกศีรษะคำนับอย่างแรงสามครั้ง“ขอบพระทัยพระชายาองค์ชายเก้า ข้าน้อยจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้พระชายาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ซวงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าเชื่อฟังดีมาก’นักพรตชราชุดขาวมองไป๋ซวงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“เมื่อครู่เจ้าทำอะไรลงไป?”แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่า สวีเหว่ยไอ้ขยะไร้ค่านั่น จะสามารถครอบครองกระบี่แสงพุทธของเขาได้“เจ้าก็เดาออกอยู่แล้วมิใช่หรือ?”ไป๋ซวงยิ้มแต่ไม่ตอบ พลางเหลือบมองไปที่เส้นเลือดบริเวณจุดชีพจรของเขาทันใดนั้น นักพรตชราชุดขาวก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยท่าทางสิ้นหวังใช่แล้ว หากต้องการให้กระบี่แสงพุทธที่เลือกนายแล้ว เชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่นเช่นนั้น มีเพียงทางเดียวคือต้องเปลี่ยนนายของกระบี่แสงพุทธ ลวดลายกระบี่อันงดงามเมื่อครู่นั้น แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 98

    ทุกคนสำลักจนต้องโบกมือไปมา ใช้แขนเสื้อปิดปากและจมูกทว่ามนุษย์ยักษ์นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยนักพรตชราไปเพราะเหตุนี้นักพรตชราเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บพลังวิญญาณของตนกลับคืน อาศัยช่วงที่ควันฝุ่นฟุ้งกระจาย หายตัวไปแล้วปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ซวงคมกระบี่อันแหลมคม จ่อตรงไปที่คอของไป๋ซวง“อย่าขยับ มิฉะนั้นข้าจะฆ่านางเดี๋ยวนี้!”จวินจิ๋วอิ่นเห็นดังนั้น ก็รีบเก็บพลังวิญญาณของตนเองในทันที“เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”สายตาอันคมกริบของจวินจิ๋วอิ่น จ้องมองไปที่นักพรตชราผู้นั้นอย่างเต็มไปด้วยคำเตือนนักพรตชราหัวเราะอย่างลำพองใจ สายตามองสำรวจไป๋ซวงไม่หยุด“เจ้าคือศิษย์ของตาเฒ่าเฮยฉีนั่น?”“ตาเฒ่าเฮยฉีอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก!”ไป๋ซวงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เป็นไปไม่ได้ ของในร้านฟู่หลิงซวนนั้น รวมถึงสมุนไพรในร้านเจินเฉ่าเก๋อ หากมิใช่ของตาเฒ่าเฮยฉี แล้วเด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปหามาจากไหนได้?”สีหน้าของนักพรตชราชุดขาวเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แถมยังรู้สึกโกรธขึ้นมาเพราะคำพูดของไป๋ซวงไป๋ซวงยกยิ้มมุมปาก ไม่แม้แต่จะมองนักพรตชราชุดขาว“ของของข้า เหตุใดต้องบอกเจ้าด้วย?”“มีอย่างที่ไหนกั

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 97

    ไป๋ซวงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นทว่านางเพิ่งคิดจะลงมือ ก็เห็นจวินจิ๋วอิ่นยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วสะบัดแขนเสื้อกว้างเบา ๆ พลังวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับว่าอากาศสั่นสะเทือนไปหลายครั้งสีหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเต็มไปด้วยความเย็นชา ดวงตาคมกริบราวกับมีดมองไปยังนักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองข้างไขว้หลังชุดคลุมยาวตัวใหญ่ พลิ้วไสวอยู่กลางอากาศ และในขณะนี้ ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามา ล้อมรอบนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นอย่างช้า ๆ “บังอาจนักเจ้ามือสังหาร ยังไม่ยอมจำนนอีก!”สวีเหว่ย หัวหน้าทหารองครักษ์ถือกระบี่วิเศษ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่นักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวหัวเราะลั่น มองสวีเหว่ยด้วยสายตาเหยียดหยามยิ่งไปกว่านั้น สายตายังมองกวาดมองทุกคนอย่างไม่เกรงกลัวราวกับกำลังกวาดมองฝูงมดปลวก“แค่ระดับจอมปราชญ์ยุทธ์ ก็กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า!”พูดจบ ก็ปล่อยแรงกดดันลงมาสวีเหว่ยขมวดคิ้วแน่น คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบปากยังถูกบังคับให้กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำจากนั้น แรงกดดันยังไม่จบสิ้นแรงกดดันที่ต่อเนื่อง

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 96

    น่าเสียดายที่โจวหลิงซางกลับเชิญจวินจิ๋วอิ่นไปเข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วยกันอย่างกระตือรือร้นท่ามกลางเสียงเรียกของผู้คน ทั้งสองคนไม่เพียงแต่รับคำท้า แต่ยังตั้งรางวัลอีกด้วยผู้ชนะสามารถสั่งให้ผู้แพ้ทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างดังนั้น สงครามระหว่างบุรุษสองคนจึงเริ่มขึ้นเมื่อจุดธูปขึ้น ทั้งสองคนก็ควบม้าออกไปอย่างบ้าคลั่งการแข่งขันครั้งนี้ ใครล่าได้จำนวนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะเมื่อธูปเผาไหม้จนหมด ทั้งสองคนก็ควบม้ากลับมาพร้อมกันเหยื่อที่อยู่บนหลังม้าของทั้งสอง ดูเหมือนจะพอ ๆ กันเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เข้ามาตรวจนับจำนวนเหยื่อที่ล่าได้ภายในเวลาธูปหนึ่งดอก โจวหลิงซางล่าสัตว์ได้สี่สิบสองตัวส่วนบนหลังม้าของจวินจิ๋วอิ่น มีสัตว์อยู่สี่สิบสามตัวยังดีที่ต่างกันแค่ตัวเดียว!โจวหลิงซางครุ่นคิดในใจ เมื่อครู่ เขาแอบมองจวินจิ๋วอิ่นจากระยะไกลความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนูของเขานั้น ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เนื่องจากผู้คนในดินแดนฮุ่นตุ้นล้วนเป็นผู้ฝึกตน เพื่อสัมผัสกับความสนุกสนานในการล่าสัตว์ของคนธรรมดา จึงได้มีการจัดงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงขึ้นและกฎข้อแรกของงานล่าสัตว์ฤดูใบ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 95

    หลายวันมานี้ นางพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าใกล้ไป๋ซวงแต่ก็จนปัญญา ไป๋ซวงไม่เคยให้โอกาสนางเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะสืบหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังไป๋ซวงได้อย่างไรโจวหลิงซางมองผิวน้ำอันเงียบสงบด้วยแววตาเย็นเยียบใช้นิ้วชี้ หมุนแหวนหยกขาวที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ “หวันฉี่ เสด็จพ่อรอไม่ไหวแล้ว งานล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา”“แต่เสด็จพี่ ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเขาไม่ให้โอกาสข้าเข้าใกล้เลย”โจวหวันฉี่จะไม่ร้อนใจได้อย่างไรจดหมายของเสด็จพ่อ นางก็เห็นแล้วเช่นกันถ้อยคำที่รุนแรงนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของเสด็จพ่อแล้วหากพวกเขายังไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เสด็จพ่อได้ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องเปลี่ยนคนมาแทนและฐานะของพวกเขาพี่น้องสองคนก็จะสั่นคลอนแล้ว“ดังนั้น พี่จึงให้ฮ่องเต้จัดงานล่าสัตว์นี้ขึ้นมา ที่นี่เป็นสถานที่ที่สามารถเข้าใกล้ไป๋ซวงได้ง่ายที่สุด”โจวหลิงซางกล่าวจบก็ส่งสายตาที่มั่นใจให้กับโจวหวันฉี่จากนั้น ก็เดินตรงไปยังกระโจมของจวินหงคังเวลานี้ แม้ว่าจวินหงคังจะยังไม่สามารถเดินได้ แต่บาดแผลอื่น ๆ ตามร่างกาย ก็ได้รับการรักษาจนเกือบหายด

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 94

    งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เนื่องจากมีองค์หญิงและองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้เข้าร่วมด้วย พื้นที่จึงใหญ่กว่าครั้งก่อน ๆ เล็กน้อยขุนนางทุกคนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าไปด้านในได้สองคนดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว ขุนนางหนึ่งคนจะพาภรรยาและลูกมาด้วยหนึ่งคนและเด็กคนนั้นต้องเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นพิเศษจากครอบครัวอย่างแน่นอนเดิมทีจีหรงก็ควรจะมาด้วย แต่นางทุ่มเทใจให้กับซวี่เป่า จึงไม่สนใจการล่าสัตว์แม้แต่น้อยดังนั้น นางจึงอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนซวี่เป่าขบวนเดินทางมาถึงภูเขาเจี้ยงเหลียง ทุกคนต่างปฏิบัติตามคำแนะนำ ไปพักผ่อนในกระโจมของตนเองไป๋ซวงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย จิตใจรู้สึกหนักอึ้งใบหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเผยรอยยิ้มเอ็นดู แล้วค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้านาง“เป็นอะไรไป?”ไป๋ซวงเงยหน้าขึ้น สายตาแฝงไปด้วยความสงสัย“ทรัพย์สินของท่านเยอะหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงเลยว่าไป๋ซวงจะถามเช่นนี้เขายิ้มสดใสมากขึ้น แล้วยื่นมือไปกุมมือเล็ก ๆ ของนาง“ก็พอได้ น่าจะมากพอให้ฮูหยินใช้อย่างสบาย ๆ ”ไป๋ซวงปัดมือของเขาออก สายตาหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม“ข

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 93

    จวินจิ๋วอิ่นไม่ได้หยุดฝีเท้า เพียงแต่ตอบกลับอย่างเย็นชา“วันนั้นถ้าไม่มีซวี่เป่าช่วยไว้ เกรงว่าเสด็จพ่อคงไม่ได้เจอหน้าลูกตลอดกาลแล้ว”จวินหงคังต้องการเอาชีวิตของเขา แต่เขาแค่เอาขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไปเท่านั้นจวินฉงได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกทันทีความรักในครอบครัวราชวงศ์นั้น บางเบาราวกับปีกจักจั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจสูงสุด การห้ำหั่นกันเองในครอบครัว การฆ่าฟันกันเองระหว่างพี่น้องก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาก็ผ่านการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเช่นนี้มาแล้วเช่นกันแล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องให้ลูก ๆ รักใคร่ปรองดองกันกันเล่า?เขาหวังเพียงแค่ว่า ลูกของตนจะสามารถเอาชีวิตรอดจากเกมการต่อสู้แย่งชิงนี้ไปได้ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่มีชีวิตรอดก็พอส่วนเขาก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อตัดความคิดที่ไม่ควรมีของผู้อื่นเสียจวินจิ๋วอิ่นออกมาจากวังหลวง ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องด้วยซ้ำเขาพาองครักษ์ลับสิบคน มุ่งหน้าไปยังจวนองค์ชายสามโดยตรงเป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่กลับพังประตูเข้าไปองครักษ์ของจวนองค์ชายสาม ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ถูกซัดจนกระเจิง ใบหน้าปูดบวมกันทุกคน

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 92

    มือสังหารถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุสิบคน จับเป็นได้สามคนและหลังจากการสอบสวน พบว่าทั้งสามคนนั้นเป็นคนของท่านอ๋องเก้าด้วยเหตุนี้ เจียงเถียนจึงไปร้องไห้ฟูมฟายกับจวินฉงในคืนนั้นจวินฉงจึงจำต้องเรียกตัวจวินจิ๋วอิ่นเข้าวังในคืนนั้นจวินฉงนำหลักฐานที่ส่งมาจากจวนองค์ชายสาม โยนใส่มือของจวินจิ๋วอิ่น“ว่าอย่างไร?”จวินจิ๋วอิ่นถือหนังสือรับสารภาพที่เปื้อนเลือดเหล่านั้น มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา“ไม่มีอะไร!”จากนั้น ก็วางหลักฐานความผิดลงในมือของจวินฉงอีกครั้ง“คนพวกนั้นเป็นคนของเจ้าจริง ๆ หรือ?”จวินฉงไม่สนใจหลักฐานความผิดเหล่านั้น และมองเขาด้วยสายตาล้ำลึก“หากข้าต้องการเอาชีวิตของเขา ตอนนั้นข้าคงไม่ทำแค่หักขาของเขาเท่านั้น”จวินจิ๋วอิ่นไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย นั่งลงหน้าโต๊ะที่อยู่ทางด้านข้างอย่างไม่เกรงกลัว“ก็จริง พ่อก็เดาว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า”เรื่องนี้ จวินฉงยังคงมั่นใจในตัวเองมากเรื่องที่จวินจิ๋วอิ่นลอบสังหารจวินหงคัง เขารู้มาตั้งนานแล้วแม้กระทั่งในวินาทีที่ข่าวเข้ามาถึงวังหลวง เขาก็เดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของจวินจิ๋วอิ่นเพราะว่าก่อนหน้านี้ คนเหล่านั้นลอบสังหารจ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status