Share

บทที่ 16  

Author: ซูเหยียน
ซวี่เป่าซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของจวินฉงอย่างว่าง่าย ในมือยังอุ้มกล่องอาหารที่เตรียมไว้ให้ท่านแม่

เมื่อจวินฉงเห็นภาพสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วตำหนัก ซากศพและเศษอวัยวะที่เกลื่อนเต็มพื้น

เขาหันสายตาไปมองสตรีที่จวินจิ๋วอิ่นปกป้องอยู่ในอ้อมกอด

สูงโปร่งอรชร รูปโฉมเจิดจรัส

แววตาเยียบเย็นราวมิใช่ปุถุชน เปล่งความน่าเกรงขามที่ทำให้คนยากจะเข้าใกล้

ในมือของนางยังกุมกระบี่เสินอิ่นที่เปล่งรัศมีสีทองแวววาว

เสียงกระบี่ยังคงกระเพื่อม กังวานอยู่ในอากาศอย่างแผ่วเบา

เมื่อเจียงเถียนเห็นจวินฉงมาแล้ว ก็รีบร้องไห้มาที่เบื้องหน้าของเขา

จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นดังตุบ

“ฝ่าบาท ต้องทรงให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ แม่นางน้อยผู้นี้ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา ถึงกับทำการเข่นฆ่าในตำหนักเฟิ่งหลิน ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยเพคะ!”

เจียงเถียนร้องไห้กระซิกกระซิก หยาดน้ำตาพรมหน้าดั่งดอกสาลี่ในสายฝน ทำให้ผู้บนเห็นเกิดความสงสาร

โดยเฉพาะกระโปรงที่เปรอะเปื้อนเลือดตัวนั้น ยังมีรอยเลือดที่หลงเหลืออยู่บนแก้ม

ยิ่งทำให้นางดูเปราะบางช่วยตนเองไม่ได้ ทั้งน้อยใจ ทั้งเศร้าโศก

กล้าลงมือในวังหลวง ในใจของจวินฉงก็ไม่พอใจเช่นกัน

ทว่า ทันทีที่สีหน้าเขาเคร่งขรึมลงเพียงเล็กน้อย ก็เห็นเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดเบะปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ

ทันใดนั้น ความโมโหที่มีอยู่เพียงนิดในใจก็สูญสลายไปในทันที

“เหตุใดเจ้าจึงลงมือสังหารผู้คน?”

จวินฉงมิได้สนใจเจียงเถียน แต่หันหน้าไปมองไป๋ซวงแทน

แม้น้ำเสียงจะเย็นชา ทว่าไม่มีเจตนาตำหนิ

เมื่อไป๋ซวงมองซวี่เป่าที่อยู่ในอ้อมกอดของจวินฉง ในใจก็บังเกิดความอดทนเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก

“ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาจะฆ่าข้า ข้าย่อมต้องโต้ตอบอยู่แล้ว!”

ไป๋ซวงผลักแขนของจวินจิ๋วอิ่นออกราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ยอบตัวสั้นๆ คารวะจวินฉงครั้งหนึ่ง

เมื่อเห็นไป๋ซวงทำความเคารพเขา แม้จะไม่ถูกธรรมเนียมทั้งหมด แต่ก็ไม่ถ่อมตนไม่ต่อต้าน

สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย

จวินฉงจึงอดพิจารณานางเพิ่มไม่ได้

เขารู้ว่า เป็นนางที่ช่วยจิ๋วอิ่นไว้

และก็เป็นนาง ที่ช่วยคุ้มครองคนตลอดทางจนปลอดภัยกลับมา

พลังวิญญาณของนางสูงส่งล้ำลึกเป็นอย่างมาก ในมือยังกุมกระบี่เสินอิ่นไว้อีก

สตรีเช่นนี้จึงจะคู่ควรยืนเคียงข้างกายของจิ๋วอิ่น

ยังไม่นับที่นางให้กำเนิดซวี่เป่า เด็กน้อยที่แสนวิเศษคนนี้อีก

สายตาที่จวินฉงมองนาง จึงเมตตาขึ้นมาหลายส่วนอย่างอดไม่ได้

จากนั้น เขาก็หัวไปมองเจียงเถียนที่ร้องไห้อย่างน่าเวทนาอยู่ด้านข้าง

“ฮองเฮา เหตุใดเจ้าต้องพยายามสังหารพระชายาขององค์ชายเก้า”

คำพูดประโยคนี้ กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม

และถือเป็นการยอมรับ ฐานะและตำแหน่งของไป๋ซวงไปในตัว

เจียงเถียนย่อมฟังออกได้ถึงความแตกต่างในน้ำเสียงของจวินฉง โทสะที่เป็นปมในใจจึงยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก

นางสะกดความไม่ยินยอมในใจลงไปอย่างยากลำบาก แหงนหน้าขึ้นมองจวินฉงอย่างน้อยใจ

“ฝ่าบาท เป็นนางที่ลงมือสังหารเฝิงหมัวมัวก่อน หลังเข้ามาในตำหนักเฟิ่งหลินชัด ๆ หม่อมฉันจึงสั่งให้องครักษ์ลงมือจับคนเพราะความโมโห”

“ฮองเฮาทรงมีโรคทางสายตาหรือ? คนที่ฆ่าเฝิงหมัวมัว คือองครักษ์หลวงชัด ๆ เหตุใดจึงโยนความผิดให้ข้าเล่า”

ไป๋ซวงเปิดปากพูดอย่างเย็นชา เก็บกระบี่เสินอิ่นลงในกำไลหยก จากนั้นชี้ไปที่ศพของเฝิงหมัวมัวที่อยู่ไม่ไกล

“ฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัย เฝิงหมัวมัวผู้นั้นตายเพราะถูกพลังกดดันจนอวัยวะภายในแหลกสลาย และเมื่อครู่ที่ร่วมกันใช้พลังกดดัน ก็คือองครักษ์หลวง”

“ช่างวาจาเราะร้ายคมคาย แก้ตัวเก่งนัก”

เจียงเถียนมองไป๋ซวงอย่างเกรี้ยวกราด โมโหจนดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ

“หากมิใช่เพราะเจ้าแช่แข็งเฝิงหมัวมัวก่อน จะเกิดเรื่องในภายหลังตามมาได้อย่างไร?”

“ยายเฒ่านั่นไม่แยกแยะเหตุผล พึ่งเจอหน้าก็คิดจบลงมือตบข้า ที่ข้าไม่ได้ฆ่านางเดี๋ยวนั้น ก็ถือเป็นการไว้หน้าฮองเฮาแล้ว”

“ช่างโอหังเหลือเกิน!”

เจียงเถียนโมโหจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง นางไม่เคยเห็นผู้ที่ผยองเช่นนี้มาก่อน

นางหันหน้าไปมองจวินฉงด้วยความโมโห

“ฝ่าบาท หรือเพราะองค์จะปล่อยให้นางหยิ่งผยอง ไร้เหตุผลต่อไปเช่นนี้หรือเพคะ? ที่นี่คือตำหนักเฟิ่งหลิน นางพกอาวุธ สังหารองครักษ์หลวง นี่มิใช่ความผิดที่มีโทษถึงตายหรือเพคะ?”

“ฮองเฮาอย่าได้กล่าวเกินจริงนัก!”

ในที่สุดจวินฉงก็เอ่ยปาก ในดวงตามีวี่แววของโทสะเล็กน้อย

“ข้ารับใช้ของเจ้ากล้าล่วงเกินชายาองค์ชายเก้า นางลงมือสั่งสอนก็เป็นเรื่องสมควร แต่เจ้าไม่ควรสั่งให้องครักษ์หลวงไปสังหารชายาองค์ชายเก้า และตอนที่นางนำกระบี่เสินอิ่นออกมา ยิ่งไม่ควรใช้องครักษ์ลับมาหมายจะสังหารนาง”

เมื่อจวินฉงพูดถึงตรงนี้ ความเย็นชาในดวงตาก็ยิ่งรุนแรง

“กระบี่เสินอิ่นได้เลือกนายแล้ว ต่อให้ถูกคนแย่งชิงไป ก็ไม่อาจใช้ได้ ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ของข้า ผู้ใดต้องการก็จงใช้ความใช้ความสามารถของตน มาแย่งชิงอย่างสง่าผ่าเผย แต่หากให้ข้ารู้ว่า มีผู้ใดจิตใจคิดคด ทำร้ายพี่น้อง ข้าก็จะดับฝันในการชิงบัลลังก์ของมันผู้นั้นซะ”

จวินฉงกล่าวจบ ก็อุ้มซวี่เป่าหมุนกายจากไป

ในตอนที่หมุนตัวจากไปนั้น ก็เอ่ยปากกล่าวกับไป๋ซวงเบา ๆ ว่า

“ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปกินอาหารเที่ยงเป็นเพื่อนข้าเถิด”

ซวี่เป่ารู้ว่าท่านแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ขยิบตาให้ไป๋ซวงอย่างเบิกบาน

มือน้อย ๆ แอบชี้ไปที่กล่องอาหาร บอกท่านแม่ว่าเขาเอาน้ำแกงไก่มาด้วยแล้ว

ไป๋ซวงไม่ได้สนใจเจียงเถียน นางรีบตามจวินฉงกับบุตรชายไปทันที

จวินจิ๋วอิ่นมองเจียงเถียนที่โมโหจนตัวสั่น คุกเข่าดวงตาแดงก่ำอยู่กลางตำหนัก

เขาค่อย ๆ ยอบตัวลง เผยรอยยิ้มที่ทำให้คนขนลุกไปทั่วร่างออกมา

“หากท่านยังอยากเป็นฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อีกสักหลายปี ก็ไปบอกลูกชายของท่าน ให้เขาทำตัวสงบเสงี่ยมเก็บหางให้ดี ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขามีเก้าหางคุ้มชีวิต ข้าก็จะค่อย ๆ ใช้มีดตัดหางของเขาออกทีละหาง แล้วเอากะโหลกของเขาไปแขวนไว้บนคานของตำหนักเฟิ่งหลิน”

จวินจิ๋วอิ่นยื่นมือออกมาทำท่าปาดคอ พร้อมหัวเราะออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

หลังจวินจิ๋วอิ่นจากไป เจียงเถียนทั้งโมโหทั้งโกรธ

นางนั่งพังพาบลงกับพื้นหินชนวนในตำหนัก สองมือจิกพื้นอย่างแรง จนเกิดเสียงเสียดสีที่แหลมบาดหู

“จวินจิ๋วอิ่น! ช้าเร็วข้าต้องฆ่าเจ้าแน่!”

เหอะ ๆ…

ให้อาศัยความสามารถของตนไปแย่งชิงหรือ!

มีใครไม่รู้บ้างว่า หัวใจของจวินฉงเอนเอียงไปทางผู้ใด?

ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวินจิ๋วอิ่น มีครั้งใดบ้างที่เขาไม่เข้าข้างจวินจิ๋วอิ่น

บัดนี้ สตรีบ้านนอกคอกนาคนหนึ่ง

สังหารองครักษ์มากเพียงนั้นในตำหนักเฟิ่งหลินของนาง ทว่าท้ายที่สุดนางกลับกลายเป็นผู้ผิด!

รอไปก่อนเถอะ คอยดูว่าผู้ใดจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย…

ในตำหนักเฉาเยวี่ย จีหรงได้ให้คนเตรียมอาหารเที่ยงไว้เรียบร้อยแล้ว

เห็นจวินฉงอุ้มซวี่เป่าเดินเข้ามา โดยมีจวินจิ๋วอิ่นกับไป๋ซวงติดตามอยู่ด้านหลัง

ก็เดินหัวเราะเข้าไป ยิ้มให้ไป๋ซวง

“ซวงเอ๋อร์มาแล้วหรือ ซวี่เป่าบอกว่าเจ้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย แม่ให้คนเตรียมไว้บางส่วนแล้ว รีบมาชิมดูเร็ว”

“ขอบพระทัยพระสนมเอก”

ไป๋ซวงขอบคุณอย่างเกรงใจ แต่จีหรงกลับแกล้งตีมือนางเบาๆ ด้วยความโมโห

“พระสนมเอกอะไรกัน เรียกเสด็จแม่สิ อยู่กับแม่ยังจะต้องเกรงใจอะไรอีก”

ความเป็นมิตรที่แสนกระตือรือร้นของจีหรง ทำให้ไป๋ซวงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

นางชินกับการตัวคนเดียวแล้ว!

เมื่อก่อน ต้องข้ามไปทำภารกิจตรวจสอบในมิติต่างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน

ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาอยู่ในสถานที่ที่ใช้ชีวิตไปอย่างเอื่อยเฉื่อยได้ จากนั้นก็อยู่ในภูเขาหลิงอิ่นกับซวี่เป่ามาอีกสี่ปี

จีหรงในตอนนี้อบอุ่นเป็นมิตรจนนางทำตัวไม่ถูก

แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านความเป็นมิตรของจีหรง แต่ในใจยังรู้สึกอบอุ่นอย่างมากด้วย

นางไม่ได้ตอบ ทว่ามุมปากยกขี้นเป็นรอยยิ้มบางๆ เดินตามจีหรงไปนั่งลงที่โต๊ะ

ซวี่เป่าเทน้ำแกงไก่ในกล่องอาหารออกมา ในตอนนั้นเอง กลิ่นหอมก็อบอวลไปทั่วห้อง

แม้แต่จวินฉงและจีหรงก็อดสูดไอร้อนนั้นเข้าไปหลายครั้งไม่ได้

“นี่เป็นน้ำแกงไก่ที่ผู้ใดทำกัน เหตุใดจึงได้หอมถึงเพียงนี้”

จีหรงพูดพลางอดเอ่ยปากชมไม่ได้

ซวี่เป่าตักใส่ชามเล็ก ๆ แล้ววางลงเบื้องหน้าของจีหรง พูดด้วยเสียงนุ่มนิ่มว่า

“นี่เป็นของที่ซวี่เป่าปรุงเพิ่มด้วยตัวเองเลยนะ พ่อครัวที่จวนของท่านพ่อ ฝีมือยังสู้ซวี่เป่าไม่ได้เลย”

ซวี่เป่ามีท่าทางแสนจะภาคภูมิใจ เขากำลังรอคำชมของท่านย่าอยู่

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่เพียงจีหรง แม้แต่จวินฉงก็หัวเราะออกมา

พวกเขาไม่เชื่อว่า เจ้าตัวเล็กที่อายุน้อยเพียงนี้ จะทำอาหารเป็น

“ถูกแล้ว ซวี่เป่าของเราเก่งที่สุดเลย”

คำชมที่ไม่ได้มาจากใจ ทำให้ซวี่เป่ารู้สึกหมดไฟในฉับพลัน

“พวกท่านไม่เชื่อซวี่เป่าหรือ?”

ซวี่เป่ารู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง เขากระโดดลงมาจากเก้าอี้ตัวน้อย เมื่อคว้ามือของจวินจิ๋วอิ่นได้ ก็มุ่งหน้าเดินออกไปทันที…
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 17  

    ในตำหนักของจีหรง มีห้องครัวเล็กอยู่ ในเวลานี้ ซวี่เป่ากำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวเล็ก บริเวณหน้าเตา จวินจิ๋วอิ่นกำลังหาเก้าอี้ม้านั่งตัวเล็ก ๆ มาให้เขาอย่างคุ้นชิน ซวี่เป่าเหยียบอยู่บนม้านั่งไม้ตัวน้อย ด้านหนึ่งตวัดกระบวยขนาดใหญ่ อีกด้านก็เติมเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ลงไปไม่หยุด ท่าทางที่แสนชำนาญนั่น ทำให้จวินฉงและจีหรงปากอ้าตาค้างด้วยความตกใจ “ซวี่เป่าทำอาหารเป็นจริง ๆ หรือ?” จีหรงแอบสะกิดแขนของจวินจิ๋วอิ่นอย่างอดไม่ได้ จวินจิ๋วอิ่นพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด และกล่าวชมอย่างไม่ตระหนี่แม้แต่น้อยประโยคหนึ่งว่า “รสชาติยอดเยี่ยมเป็นที่สุดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของจีหรงพลันเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมแล้ว จวินจิ๋วอิ่นเป็นคนที่พิถีพิถันอย่างมาก จะให้เขาชมว่ารสชาติเลิศล้ำได้ เทียบกับการขึ้นสวรรค์แล้วยังยากกว่าเสียอีก เดิมจีหรงยังคิดในใจว่า คำชมนี้น่าจะมาจากการที่จวินจิ๋วอิ่นหลงลูกมากเกินไป แต่เมื่อกลิ่นหอมนั่นลอยมา นางก็รู้ว่าตนเองผิดไปแล้ว กลิ่นหอมที่เย้ายวนนั่น แม้แต่จวินฉงก็ยังต้องแอบกลืนน้ำลาย เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย จวินฉงและจีหรงพลันไม่สนใจสิ่งอื่

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 18  

    ไป๋ซวงขมวดคิ้วแน่น ในตอนที่แส้อยู่ห่างจากตัวนางครึ่งแขน ก็ยื่นมือออกไปจับหางแส้ไว้แน่น ความเยียบเย็นสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากมือนาง แส้ที่กำลังสร้างพายุหมุน พลันแข็งค้างอย่างกะทันหัน ตัวแส้เริ่มเปล่งแสงวูบวาบ ภายในชั่วพริบตา แส้ก็ถูกแช่แข็งกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อไป๋ซวงออกแรงดึงไปด้านหลัง ผู้ถือแซ่ที่อยู่ทางนั้นก็ถูกลากเข้ามาในร้าน “บังอาจ” สตรีที่งดงามนางหนึ่ง สวมชุดที่ทอลายจากแพรไหมอันหรูหรา ซวนเซเข้ามาด้านใน ใบหน้าของนางประดับด้วยความโมโห ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายเยียบเย็น ไป๋ซวงแค่นเสียงเย็น โยนแส้ในมือทิ้งอย่างดูแคลน ทว่าในเสี้ยววินาทีที่นางปล่อยมือ ทั่วทั้งตัวแส้ก็แตกออกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน ตกสู่พื้นดังเกรียวกราว! “เจ้ากล้าทำลายแส้ของข้า?” สตรีนางนั้นโมโหยิ่งกว่าเดิม หยิบกระบี่ยาวด้ามหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นอีกครั้ง แม้ไป๋ซวงจะไม่อยากสร้างปัญหา แต่ก็ไม่กลัวจะมีปัญหาเช่นกัน ในเมื่อมีคนมาวอนขอความเจ็บปวดถึงที่ นางย่อมไม่มีทางยั้งมือ กระบวนท่าของสตรีนางนั้นดุร้ายอย่างมาก มุ่งโจมตีจุดอ่อนของคนโดยเฉพาะ เมื่อไป๋ซวงเห็นเช่นนั้น ดวงตาก็เคร่งขรึมลงเรื่

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 19  

    เมื่อจวินจิ๋วอิ่นเห็นเช่นนั้น ก็รีบเบี่ยงตัวหลบทันที บ่าวรับใช้ข้างกายหนิงเซวียนเห็นเช่นนั้น ก็รีบก้าวเข้าไปประคองนาง จวินจิ๋วอิ่นรีบเดินไปเบื้องหน้าไป๋ซวง ชูนิ้วขึ้นฟ้า สาบานด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสาบานว่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางแม้แต่น้อย!” พูดจบ เขาก็มองไป๋ซวงอย่างระมัดระวัง “นี่เป็นเรื่องของท่านกับนาง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!” ไป๋ซวงพูดจบก็ไม่สนใจอีกแล้วสาวท้าจากไป จวินจิ๋วอิ่นเห็นเช่นนั้น ก็รีบตามติดไปทันที หนิงเซวียนมองเขาอย่างเจ็บปวด จากนั้นก็ร้องตะโกนออกมาอย่างขมขื่น “พี่ชายเก้า เหตุใดท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้? เซวียนเอ๋อร์มีที่ใดที่สู้หญิงป่าเถื่อนนางนั้นไม่ได้กัน?” เมื่อจวินจิ๋วอิ่นได้ยินดังนั้น ก็จะชะงักฝีเท้าลงทันที เขาหันมามองหนิงเซวี่ยนที่ดูน่าเวทนาราวดอกสาลี่ในสายฝน “หญิงป่าเถื่อน?” ความโกรธที่ถูกซ่อนลงไปเพราะได้เห็นไป๋ซวงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง และในยามนี้ ได้ไหลบ่าออกมาอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป เขาโบกมืออย่างกริ้วโกรธ พลังวิญญาณสายหนึ่งพุ่งออกไป ทุกคนยังไม่ทันได้ตอบสนอง หนิงเซวียนที่แบกแขนขาดข้างหนึ่งไว้ก็ถูกเขาซัดกระเด็นออกไปทันที ร่างขอ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 20  

    แม้แต่ซวี่เป่าก็ไม่สนใจแล้ว! หากไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากอย่างมาก เขาคงไม่มีทางทำใจแยกห่างจากซวี่เป่าแน่ ประกอบเรื่องที่เขาบาดเจ็บสาหัสจนตกลงไปในเขาหลิงอิ่น และการถูกไล่สังหารตลอดเส้นทางที่กลับมาเมืองหลวง แม้เขาจะไม่เอ่ยปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ไป๋ซวงรู้ว่า เขามิใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบง่าย ๆ! ในเมื่อจวินจิ๋วอิ่นไม่พูด ไป๋ซวงก็ไม่อยากจะรู้ เพราะถึงอย่างไรเมื่อสิบวันที่ตกลงกับซวี่เป่าไว้จบลง นางก็จะพาซวี่เป่าจากเมืองหลวงไป จวินจิ๋วอิ่นเห็นไป๋ซวงกินอย่างมีความสุข ก็นั่งลงที่ข้างกายของนางโดยไม่สนใจสิ่งอื่นบ้าง “สามเดือนก่อน เสด็จพ่อได้รับสารลับจากชายแดน มีคนต้องสงสัยว่าสมคบคิดกับแคว้นเป่ยเซิ่ง เพื่อทำให้เกิดสงครามที่ชายแดน ดังนั้นจึงส่งข้าไปที่ชายแดนอย่างลับ ๆ เพื่อสืบหาความจริง” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชายแดน จวินฉงไม่วางใจคนอื่น จึงส่งจวินจิ๋วอิ่นไปแอบตรวจสอบอย่างลับๆ ส่วนข่าวที่เดิมลับเฉพาะอย่างมากนี้ กลับถูกคนทำให้รั่วไหลออกไป ดังนั้น นับตั้งแต่ที่จวินจิ๋วอิ่นออกจากเมืองหลวง ก็ถูกไล่สังหารไปตลอดทาง หากไม่ใช่พลังวิญญาณและวรยุทธ์ของเขาสูงส่ง

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 21  

    สี่ปี่ก่อนตอนที่พบกับจวินจิ๋วอิ่นครั้งแรก เป็นตอนที่ไป๋ซวงอ่อนแอที่สุด การไล่ล่าของทั้งฝ่ายธรรมและอธรรม ทำให้นางต้องใช้พลังวิญญาณไปเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ อาวุธลับที่ซัดใส่นางพวกนั้น ล้วนอาบยาสวาทฤทธิ์รุนแรงไว้ นางไม่ระวังถูกอาวุธลับเข้า จากนั้นยาสวาทก็เริ่มออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ไป๋ซวงไม่ต้องการตกอยู่ในเงื้อมมือของวิญญูชนจอมปลอมพวกนั้น ไม่อยากกลายเป็นเครื่องมือให้พวกเขาใช้ระบายอารมณ์และนำไปโอ้อวด ดังนั้น จึงกระโดดหน้าผาเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง ที่โชคดีก็คือ ระหว่างที่อยู่กลางอากาศ นางถูกกิ่งไม้ขวางไว้ครู่หนึ่ง และในตอนที่ตกลงมานั้น ก็เกือบกระแทกใส่จวินจิ๋วอิ่น เพื่อช่วยชีวิตตนเอง จวินจิ๋วอิ่นจึงรับนางไว้ และด้วยเหตุนั้น อาการบาดเจ็บภายในของจวินจิ๋วอิ่นจึงร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ จวินจิ๋วอิ่นไม่รู้ว่า คนที่เขาช่วยไว้ คือนางที่วิญญาณทะลุมิติมา ตอนที่ไป๋ซวง เจ้าของร่างเดิมตกลงมาแล้วถูกกิ่งไม้ขวางไว้ นางก็ตายอย่างอนาถไปแล้ว ส่วนตัวนางที่ถูกยาสวาททรมานจนสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว ยังจะมีทางเลือกใดอีก เมื่อย้อนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน คนทั้งสองก็นึกถึงเร

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 22  

    “เจ้ารู้หรือไม่ว่า นางมารนั่นฆ่าคนของตระกูลไป๋ของเราไปเท่าใด? ในเมื่อนางไม่ตาย ข้าผู้เป็นประมุขตระกูล ก็จะแก้แค้นแทนลูกหลานตระกูลไป๋ที่ตายไปเอง ไป๋หงหย่วน ข้าจะต้องทำให้ไป๋ซวงมีชีวิตอยู่ในสภาพเลวร้ายยิ่งกว่าพวกเจ้าเป็นหมื่นเท่า ” ภาพเหตุการณ์ที่ไป๋ซวงใช้เลือดล้างตระกูลไป๋ ปรากฏขึ้นในสมองของชายชุดครามอีกครั้ง เขาเป็นไป๋เส้าเจี๋ย ผู้เดียวที่รอดจากเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลในครั้งนั้น  เพราะท่านพ่อได้ผลักเขาเข้าไปในห้องลับด้วยความแตกตื่น แม้เขาจะไม่ได้เห็นไป๋ซวงฆ่าคนด้วยตาตนเอง ทว่าเขาได้เห็นสภาพที่เลวร้ายที่สุดหลังตระกูลไป๋ถูกฆ่าล้างตระกูล แขนและขาที่ตัดขาด ซากศพที่ไม่สมบูรณ์เกลื่อนไปทั่วลาน โลหิตแทบจะนองรวมกันเป็นสายน้ำ ที่แช่ทั้งเรือนไว้ ไป๋เส้าเจี๋ยก้าวเข้าหาไป๋หงหย่วนอย่างช้า ๆ มองเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาไม่หยุด จากจุดที่กระดูกสะบักถูกแทงจนทะลุ ในไม่ช้า ก็ทำให้พื้นใต้ร่างของเขาเปียกโชกไปหมด เขาจ้องไปที่ไป๋หงหย่วนอย่างอำมหิต ใช้นิ้วบีบคางของเขาไว้อย่างรุนแรง “ไม่เพียงแค่ไป๋ซวง ยังมีไป๋เฉินกับเจ้า ข้าจะจับพวกเจ้าแต่ละคนไปตอกตะปูไว้หน้าหลุมศพของบรรพบุรุษสกุลไป๋ ให้พวกเจ้าไ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 23  

    ผู้ที่มาแจ้งข่าวคือหลิ่วกงกง ขันทีที่อยู่ข้างกายจวินฉง เมื่อได้จวินจิ๋วอิ่นได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลากไป๋ซวงขึ้นรถม้าที่ใช้เข้าวังทันที ระหว่างทาง ฟังหลิ่วกงกงเล่าว่า ซวี่เป่าผลักบุตรชายที่เกิดจากพระชายาขององค์ชายใหญ่ ลงมาจากภูเขาจำลองในอุทยาน เพิ่งเดินเข้าไปในอุทยานหลวง ไป๋ซวงก็ได้ยินเสียงร้องดังด้วยความเจ็บปวดอย่างมากดังเป็นระยะ มีทั้งของเด็กและของสตรี “เสด็จแม่ เจ็บจังเลยพ่ะย่ะค่ะ เซวียนเอ๋อร์ใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่!” “เสวียนเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะลูก หมอหลวงกำลังตรวจอาการให้เจ้า อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” ผู้เป็นเด็กน้อยร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ส่วนฝ่ายสตรีก็ร้องไห้อย่างอดกลั้นและปวดใจ ไป๋ซวงอดเร่งฝีเท้าไม่ได้ หมอหลวงผู้นั้นเพิ่งวางมือลงข้างเท้าของเด็กชายเบาๆ ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใด เด็กชายผู้นั้นก็ร้องไห้อย่างน่าสงสารยิ่งกว่าเดิมแล้ว “เจ็บ เสด็จแม่ข้าเจ็บ” “องค์ชายน้อยเซวียน มือของข้ายังไม่ได้สัมผัสถูกบาดแผลของท่านเลย ท่านโปรดอดทนสักหน่อยเถิด” “ไม่เอา เจ้าหมอไม่ได้ความ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว!” จวินอวิ๋นเซวียนด้านหนึ่งร้องไห้ อีกด้านก็ชี้มือด่าทอหมอหลวง ราวกับนั่นยังไม่เ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 24  

    นางคุกเข่าลงต่อหน้าจวินฉง หลั่งน้ำตาลงมาเป็นสาย “เสด็จพ่อ พระองค์ก็ทรงได้ยินแล้วว่า เป็นซวี่เป่าจงใจผลักเซวียนเอ๋อร์ลงมาจากภูเขาจำลอง เขาต้องการฆ่าเซวียนเอ๋อร์ ขอเสด็จพ่อทรงตัดสินด้วยเพคะ” จวินฉงก็คิดไม่ถึงว่า จะเป็นซวี่เป่าที่ผลักคนลงมาจากภูเขาจำลองจริงๆ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็จินตนาการไม่ออกว่า ซวี่เป่าที่สดใส ไร้เดียงสา น่ารัก และเปี่ยมไปด้วยมีชีวิตชีวา จะทำเรื่องที่เกินขอบเขตไปมากเช่นนี้ พระชายารุ่ยเห็นจวินฉงเกิดความลังเลขึ้นมา ก็รีบร้องทุกข์ต่อทันที “เสด็จพ่อ ซวี่เป่าเพิ่งอายุยังน้อยก็จิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้แล้ว จะต้องเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่ได้รับการอบรมที่ดีแน่ ในเมื่อบัดนี้ ซวี่เป่าเข้าวังมาแล้ว ก็ขอเสด็จพ่อโปรดเพิ่มการอบรมสั่งสอน เพื่อป้องกันไม่ให้ในอนาคต เขาเดินทางผิดจนไม่อาจแก้ไขด้วยเถิดเพคะ” เมื่อพระชายารุ่ยกล่าวจบ จวินฉงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงของไป๋ซวงดังมาอย่างเย็นชา “พระชายารุ่ยทรงดูแลบุตรของท่านก็พอแล้ว ส่วนอนาคตของซวี่เป่าจะเป็นอย่างไร เรื่องนั้นก็ไม่ขอรบกวนให้พระชายารุ่ยมากังวลแล้ว” เมื่อไป๋ซวงกล่าวจบ ข้ารับใช้ในวังก็เปิดทางให้นางทันที เมื่อซวี

Latest chapter

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 100

    ไป๋ซวงยิ้มหวาน แต่สำหรับนักพรตชราแล้ว กลับเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษนักพรตชราเห็นแล้ว ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งแผ่นหลัง“มีคนชวนท่านอ๋องของข้าออกไปล่าสัตว์เป็นเรื่องโกหก วางยาพิษท่านอ๋องกลางทางต่างหากคือเรื่องจริง!”ไป๋ซวงพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไปแทนที่ด้วยแววตาที่ดุดันและเย็นเยียบโจวหลิงซางและโจวหวันฉี่ที่ยืนตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ รวมถึงฮองเฮาเจียงเถียนและจวินหงคังตอนนี้ทุกคนต่างหน้าซีดเผือด!โจวหลิงซางกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า ฝืนทำท่าทางสงบพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว“พระชายาองค์ชายเก้า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หรือว่าข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอ?”ไป๋ซวงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้โจวหลิงซาง“ท่านอ๋อง สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นยังคงจมดิ่งอยู่ในคำว่า ‘ท่านอ๋องของข้า’ จนถอนตัวจากความหวานนั้นไม่ได้เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋ซวง“ฮูหยินพูดถูกที่สุด”“เหลวไหล จวินจิ๋วอิ่น พวกเราก็แค่แข่งขันล่าสัตว์เท่านั้น เหตุใดข้าถึงต้องวางยาพิษท่านด้วย? ข้าเป็นถึงองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้ ไม่ใช่คนที่ใครจะใส่ร้ายป้ายสีได้ง่าย ๆ ”

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 99

    เวลานี้ สวีเหว่ยถือกระบี่แสงพุทธ ฟาดฟันกระบี่ไปที่ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีที่เพิ่งจะหักโค่นลงเบา ๆ ภายในชั่วพริบตา ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีต้นนั้น ก็ถูกตัดจนถึงโคนต้นสวีเหว่ยรู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า หันไปทางไป๋ซวงแล้วโขกศีรษะคำนับอย่างแรงสามครั้ง“ขอบพระทัยพระชายาองค์ชายเก้า ข้าน้อยจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้พระชายาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ซวงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าเชื่อฟังดีมาก’นักพรตชราชุดขาวมองไป๋ซวงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“เมื่อครู่เจ้าทำอะไรลงไป?”แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่า สวีเหว่ยไอ้ขยะไร้ค่านั่น จะสามารถครอบครองกระบี่แสงพุทธของเขาได้“เจ้าก็เดาออกอยู่แล้วมิใช่หรือ?”ไป๋ซวงยิ้มแต่ไม่ตอบ พลางเหลือบมองไปที่เส้นเลือดบริเวณจุดชีพจรของเขาทันใดนั้น นักพรตชราชุดขาวก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยท่าทางสิ้นหวังใช่แล้ว หากต้องการให้กระบี่แสงพุทธที่เลือกนายแล้ว เชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่นเช่นนั้น มีเพียงทางเดียวคือต้องเปลี่ยนนายของกระบี่แสงพุทธ ลวดลายกระบี่อันงดงามเมื่อครู่นั้น แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 98

    ทุกคนสำลักจนต้องโบกมือไปมา ใช้แขนเสื้อปิดปากและจมูกทว่ามนุษย์ยักษ์นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยนักพรตชราไปเพราะเหตุนี้นักพรตชราเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บพลังวิญญาณของตนกลับคืน อาศัยช่วงที่ควันฝุ่นฟุ้งกระจาย หายตัวไปแล้วปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ซวงคมกระบี่อันแหลมคม จ่อตรงไปที่คอของไป๋ซวง“อย่าขยับ มิฉะนั้นข้าจะฆ่านางเดี๋ยวนี้!”จวินจิ๋วอิ่นเห็นดังนั้น ก็รีบเก็บพลังวิญญาณของตนเองในทันที“เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”สายตาอันคมกริบของจวินจิ๋วอิ่น จ้องมองไปที่นักพรตชราผู้นั้นอย่างเต็มไปด้วยคำเตือนนักพรตชราหัวเราะอย่างลำพองใจ สายตามองสำรวจไป๋ซวงไม่หยุด“เจ้าคือศิษย์ของตาเฒ่าเฮยฉีนั่น?”“ตาเฒ่าเฮยฉีอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก!”ไป๋ซวงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เป็นไปไม่ได้ ของในร้านฟู่หลิงซวนนั้น รวมถึงสมุนไพรในร้านเจินเฉ่าเก๋อ หากมิใช่ของตาเฒ่าเฮยฉี แล้วเด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปหามาจากไหนได้?”สีหน้าของนักพรตชราชุดขาวเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แถมยังรู้สึกโกรธขึ้นมาเพราะคำพูดของไป๋ซวงไป๋ซวงยกยิ้มมุมปาก ไม่แม้แต่จะมองนักพรตชราชุดขาว“ของของข้า เหตุใดต้องบอกเจ้าด้วย?”“มีอย่างที่ไหนกั

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 97

    ไป๋ซวงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นทว่านางเพิ่งคิดจะลงมือ ก็เห็นจวินจิ๋วอิ่นยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วสะบัดแขนเสื้อกว้างเบา ๆ พลังวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับว่าอากาศสั่นสะเทือนไปหลายครั้งสีหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเต็มไปด้วยความเย็นชา ดวงตาคมกริบราวกับมีดมองไปยังนักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองข้างไขว้หลังชุดคลุมยาวตัวใหญ่ พลิ้วไสวอยู่กลางอากาศ และในขณะนี้ ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามา ล้อมรอบนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นอย่างช้า ๆ “บังอาจนักเจ้ามือสังหาร ยังไม่ยอมจำนนอีก!”สวีเหว่ย หัวหน้าทหารองครักษ์ถือกระบี่วิเศษ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่นักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวหัวเราะลั่น มองสวีเหว่ยด้วยสายตาเหยียดหยามยิ่งไปกว่านั้น สายตายังมองกวาดมองทุกคนอย่างไม่เกรงกลัวราวกับกำลังกวาดมองฝูงมดปลวก“แค่ระดับจอมปราชญ์ยุทธ์ ก็กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า!”พูดจบ ก็ปล่อยแรงกดดันลงมาสวีเหว่ยขมวดคิ้วแน่น คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบปากยังถูกบังคับให้กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำจากนั้น แรงกดดันยังไม่จบสิ้นแรงกดดันที่ต่อเนื่อง

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 96

    น่าเสียดายที่โจวหลิงซางกลับเชิญจวินจิ๋วอิ่นไปเข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วยกันอย่างกระตือรือร้นท่ามกลางเสียงเรียกของผู้คน ทั้งสองคนไม่เพียงแต่รับคำท้า แต่ยังตั้งรางวัลอีกด้วยผู้ชนะสามารถสั่งให้ผู้แพ้ทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างดังนั้น สงครามระหว่างบุรุษสองคนจึงเริ่มขึ้นเมื่อจุดธูปขึ้น ทั้งสองคนก็ควบม้าออกไปอย่างบ้าคลั่งการแข่งขันครั้งนี้ ใครล่าได้จำนวนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะเมื่อธูปเผาไหม้จนหมด ทั้งสองคนก็ควบม้ากลับมาพร้อมกันเหยื่อที่อยู่บนหลังม้าของทั้งสอง ดูเหมือนจะพอ ๆ กันเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เข้ามาตรวจนับจำนวนเหยื่อที่ล่าได้ภายในเวลาธูปหนึ่งดอก โจวหลิงซางล่าสัตว์ได้สี่สิบสองตัวส่วนบนหลังม้าของจวินจิ๋วอิ่น มีสัตว์อยู่สี่สิบสามตัวยังดีที่ต่างกันแค่ตัวเดียว!โจวหลิงซางครุ่นคิดในใจ เมื่อครู่ เขาแอบมองจวินจิ๋วอิ่นจากระยะไกลความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนูของเขานั้น ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เนื่องจากผู้คนในดินแดนฮุ่นตุ้นล้วนเป็นผู้ฝึกตน เพื่อสัมผัสกับความสนุกสนานในการล่าสัตว์ของคนธรรมดา จึงได้มีการจัดงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงขึ้นและกฎข้อแรกของงานล่าสัตว์ฤดูใบ

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 95

    หลายวันมานี้ นางพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าใกล้ไป๋ซวงแต่ก็จนปัญญา ไป๋ซวงไม่เคยให้โอกาสนางเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะสืบหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังไป๋ซวงได้อย่างไรโจวหลิงซางมองผิวน้ำอันเงียบสงบด้วยแววตาเย็นเยียบใช้นิ้วชี้ หมุนแหวนหยกขาวที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ “หวันฉี่ เสด็จพ่อรอไม่ไหวแล้ว งานล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา”“แต่เสด็จพี่ ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเขาไม่ให้โอกาสข้าเข้าใกล้เลย”โจวหวันฉี่จะไม่ร้อนใจได้อย่างไรจดหมายของเสด็จพ่อ นางก็เห็นแล้วเช่นกันถ้อยคำที่รุนแรงนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของเสด็จพ่อแล้วหากพวกเขายังไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เสด็จพ่อได้ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องเปลี่ยนคนมาแทนและฐานะของพวกเขาพี่น้องสองคนก็จะสั่นคลอนแล้ว“ดังนั้น พี่จึงให้ฮ่องเต้จัดงานล่าสัตว์นี้ขึ้นมา ที่นี่เป็นสถานที่ที่สามารถเข้าใกล้ไป๋ซวงได้ง่ายที่สุด”โจวหลิงซางกล่าวจบก็ส่งสายตาที่มั่นใจให้กับโจวหวันฉี่จากนั้น ก็เดินตรงไปยังกระโจมของจวินหงคังเวลานี้ แม้ว่าจวินหงคังจะยังไม่สามารถเดินได้ แต่บาดแผลอื่น ๆ ตามร่างกาย ก็ได้รับการรักษาจนเกือบหายด

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 94

    งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เนื่องจากมีองค์หญิงและองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้เข้าร่วมด้วย พื้นที่จึงใหญ่กว่าครั้งก่อน ๆ เล็กน้อยขุนนางทุกคนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าไปด้านในได้สองคนดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว ขุนนางหนึ่งคนจะพาภรรยาและลูกมาด้วยหนึ่งคนและเด็กคนนั้นต้องเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นพิเศษจากครอบครัวอย่างแน่นอนเดิมทีจีหรงก็ควรจะมาด้วย แต่นางทุ่มเทใจให้กับซวี่เป่า จึงไม่สนใจการล่าสัตว์แม้แต่น้อยดังนั้น นางจึงอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนซวี่เป่าขบวนเดินทางมาถึงภูเขาเจี้ยงเหลียง ทุกคนต่างปฏิบัติตามคำแนะนำ ไปพักผ่อนในกระโจมของตนเองไป๋ซวงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย จิตใจรู้สึกหนักอึ้งใบหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเผยรอยยิ้มเอ็นดู แล้วค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้านาง“เป็นอะไรไป?”ไป๋ซวงเงยหน้าขึ้น สายตาแฝงไปด้วยความสงสัย“ทรัพย์สินของท่านเยอะหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงเลยว่าไป๋ซวงจะถามเช่นนี้เขายิ้มสดใสมากขึ้น แล้วยื่นมือไปกุมมือเล็ก ๆ ของนาง“ก็พอได้ น่าจะมากพอให้ฮูหยินใช้อย่างสบาย ๆ ”ไป๋ซวงปัดมือของเขาออก สายตาหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม“ข

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 93

    จวินจิ๋วอิ่นไม่ได้หยุดฝีเท้า เพียงแต่ตอบกลับอย่างเย็นชา“วันนั้นถ้าไม่มีซวี่เป่าช่วยไว้ เกรงว่าเสด็จพ่อคงไม่ได้เจอหน้าลูกตลอดกาลแล้ว”จวินหงคังต้องการเอาชีวิตของเขา แต่เขาแค่เอาขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไปเท่านั้นจวินฉงได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกทันทีความรักในครอบครัวราชวงศ์นั้น บางเบาราวกับปีกจักจั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจสูงสุด การห้ำหั่นกันเองในครอบครัว การฆ่าฟันกันเองระหว่างพี่น้องก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาก็ผ่านการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเช่นนี้มาแล้วเช่นกันแล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องให้ลูก ๆ รักใคร่ปรองดองกันกันเล่า?เขาหวังเพียงแค่ว่า ลูกของตนจะสามารถเอาชีวิตรอดจากเกมการต่อสู้แย่งชิงนี้ไปได้ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่มีชีวิตรอดก็พอส่วนเขาก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อตัดความคิดที่ไม่ควรมีของผู้อื่นเสียจวินจิ๋วอิ่นออกมาจากวังหลวง ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องด้วยซ้ำเขาพาองครักษ์ลับสิบคน มุ่งหน้าไปยังจวนองค์ชายสามโดยตรงเป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่กลับพังประตูเข้าไปองครักษ์ของจวนองค์ชายสาม ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ถูกซัดจนกระเจิง ใบหน้าปูดบวมกันทุกคน

  • ยอดหนูน้อยซวี่เป่า : มารดานางมารสะท้านเมือง   บทที่ 92

    มือสังหารถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุสิบคน จับเป็นได้สามคนและหลังจากการสอบสวน พบว่าทั้งสามคนนั้นเป็นคนของท่านอ๋องเก้าด้วยเหตุนี้ เจียงเถียนจึงไปร้องไห้ฟูมฟายกับจวินฉงในคืนนั้นจวินฉงจึงจำต้องเรียกตัวจวินจิ๋วอิ่นเข้าวังในคืนนั้นจวินฉงนำหลักฐานที่ส่งมาจากจวนองค์ชายสาม โยนใส่มือของจวินจิ๋วอิ่น“ว่าอย่างไร?”จวินจิ๋วอิ่นถือหนังสือรับสารภาพที่เปื้อนเลือดเหล่านั้น มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา“ไม่มีอะไร!”จากนั้น ก็วางหลักฐานความผิดลงในมือของจวินฉงอีกครั้ง“คนพวกนั้นเป็นคนของเจ้าจริง ๆ หรือ?”จวินฉงไม่สนใจหลักฐานความผิดเหล่านั้น และมองเขาด้วยสายตาล้ำลึก“หากข้าต้องการเอาชีวิตของเขา ตอนนั้นข้าคงไม่ทำแค่หักขาของเขาเท่านั้น”จวินจิ๋วอิ่นไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย นั่งลงหน้าโต๊ะที่อยู่ทางด้านข้างอย่างไม่เกรงกลัว“ก็จริง พ่อก็เดาว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า”เรื่องนี้ จวินฉงยังคงมั่นใจในตัวเองมากเรื่องที่จวินจิ๋วอิ่นลอบสังหารจวินหงคัง เขารู้มาตั้งนานแล้วแม้กระทั่งในวินาทีที่ข่าวเข้ามาถึงวังหลวง เขาก็เดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของจวินจิ๋วอิ่นเพราะว่าก่อนหน้านี้ คนเหล่านั้นลอบสังหารจ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status