ผู้ที่มาแจ้งข่าวคือหลิ่วกงกง ขันทีที่อยู่ข้างกายจวินฉง เมื่อได้จวินจิ๋วอิ่นได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลากไป๋ซวงขึ้นรถม้าที่ใช้เข้าวังทันที ระหว่างทาง ฟังหลิ่วกงกงเล่าว่า ซวี่เป่าผลักบุตรชายที่เกิดจากพระชายาขององค์ชายใหญ่ ลงมาจากภูเขาจำลองในอุทยาน เพิ่งเดินเข้าไปในอุทยานหลวง ไป๋ซวงก็ได้ยินเสียงร้องดังด้วยความเจ็บปวดอย่างมากดังเป็นระยะ มีทั้งของเด็กและของสตรี “เสด็จแม่ เจ็บจังเลยพ่ะย่ะค่ะ เซวียนเอ๋อร์ใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่!” “เสวียนเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะลูก หมอหลวงกำลังตรวจอาการให้เจ้า อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” ผู้เป็นเด็กน้อยร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ส่วนฝ่ายสตรีก็ร้องไห้อย่างอดกลั้นและปวดใจ ไป๋ซวงอดเร่งฝีเท้าไม่ได้ หมอหลวงผู้นั้นเพิ่งวางมือลงข้างเท้าของเด็กชายเบาๆ ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใด เด็กชายผู้นั้นก็ร้องไห้อย่างน่าสงสารยิ่งกว่าเดิมแล้ว “เจ็บ เสด็จแม่ข้าเจ็บ” “องค์ชายน้อยเซวียน มือของข้ายังไม่ได้สัมผัสถูกบาดแผลของท่านเลย ท่านโปรดอดทนสักหน่อยเถิด” “ไม่เอา เจ้าหมอไม่ได้ความ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว!” จวินอวิ๋นเซวียนด้านหนึ่งร้องไห้ อีกด้านก็ชี้มือด่าทอหมอหลวง ราวกับนั่นยังไม่เ
นางคุกเข่าลงต่อหน้าจวินฉง หลั่งน้ำตาลงมาเป็นสาย “เสด็จพ่อ พระองค์ก็ทรงได้ยินแล้วว่า เป็นซวี่เป่าจงใจผลักเซวียนเอ๋อร์ลงมาจากภูเขาจำลอง เขาต้องการฆ่าเซวียนเอ๋อร์ ขอเสด็จพ่อทรงตัดสินด้วยเพคะ” จวินฉงก็คิดไม่ถึงว่า จะเป็นซวี่เป่าที่ผลักคนลงมาจากภูเขาจำลองจริงๆ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็จินตนาการไม่ออกว่า ซวี่เป่าที่สดใส ไร้เดียงสา น่ารัก และเปี่ยมไปด้วยมีชีวิตชีวา จะทำเรื่องที่เกินขอบเขตไปมากเช่นนี้ พระชายารุ่ยเห็นจวินฉงเกิดความลังเลขึ้นมา ก็รีบร้องทุกข์ต่อทันที “เสด็จพ่อ ซวี่เป่าเพิ่งอายุยังน้อยก็จิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้แล้ว จะต้องเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่ได้รับการอบรมที่ดีแน่ ในเมื่อบัดนี้ ซวี่เป่าเข้าวังมาแล้ว ก็ขอเสด็จพ่อโปรดเพิ่มการอบรมสั่งสอน เพื่อป้องกันไม่ให้ในอนาคต เขาเดินทางผิดจนไม่อาจแก้ไขด้วยเถิดเพคะ” เมื่อพระชายารุ่ยกล่าวจบ จวินฉงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงของไป๋ซวงดังมาอย่างเย็นชา “พระชายารุ่ยทรงดูแลบุตรของท่านก็พอแล้ว ส่วนอนาคตของซวี่เป่าจะเป็นอย่างไร เรื่องนั้นก็ไม่ขอรบกวนให้พระชายารุ่ยมากังวลแล้ว” เมื่อไป๋ซวงกล่าวจบ ข้ารับใช้ในวังก็เปิดทางให้นางทันที เมื่อซวี
เมื่อพระชายารุ่ยได้ยิน ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที นางหมอบกราบลงกับพื้น เอ่ยปากอย่างน้อยใจว่า “เสด็จพ่อโปรดทรงพิจารณา ลูกจะกล้าวิจารณ์พระชายาขององค์ชายเก้ากับองค์ชายน้อยลับหลังได้อย่างไรเพคะ นี่เป็นเพียงการทะเลาะกันระหว่างเด็ก ๆ เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสะใภ้แม้แต่น้อยเลย” “ในเมื่อเป็นเพียงการทะเลาะกันของเด็ก ๆ เช่นนั้นก็ให้แล้วกันไปเถอะ” จวินฉงขมวดคิ้ว พูดด้วยเสียงทุ้มหนัก แม้ว่าพระชายารุ่ยจะไม่พอใจเพียงใด ทว่า ก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก นางมองออกแล้ว ว่าเสด็จพ่อกับสนมเอกจี ไม่มีทางลงโทษเจ้าเด็กนอกคอกนั่นแน่ หากนางยังเอาความต่อไป เกรงว่าเรื่องนี้คงจะลามมาถึงตัวนางและรุ่ยอ๋องด้วย จวินฉงกล่าวจบ ก็หันสายตามามองซวี่เป่า “ซวี่เป่า วันหลังห้ามทะเลาะวิวาทและผลักคนในที่สูงอีก การกระทำเช่นนั้นอันตรายมาก อาจทำให้ตกลงมาได้” พูดจบ จวินฉงยังชี้ไปที่จวินอวิ๋นเซวียน ที่เวลานี้กำลังเหงื่อออกเต็มศีรษะเพราะความเจ็บจากการต่อกระดูกของหมอหลวง ซวี่เป่าที่อยู่ในอ้อมกอดของมารดา พยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านปู่ท่านวางใจได้ ความสูงแค่นี้ทำอะไรซวี่เป่าไม่ได้หรอก ที่ซวี่เป่าผลักพี่อวิ๋นเซวียน ก็เพราะคิดว่า
นางรู้ว่าซวี่เป่าไม่เพียงฝึกปรือจนมีรากวิญญาณสองสายคือน้ำกับดินแต่ไม่คาดคิดถึงวรยุทธ์ของเขาหลังออกจากภูเขาหลิงอิ่นเพียงไม่กี่วันซวี่เป่ากลับพัฒนาถึงขั้นรากวิญญาณที่สามด้วยตัวเองแม้รากวิญญาณธาตุไฟจะยังอ่อนกำลังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับซวี่เป่า“ฮ่า ๆๆ...”จวินฉงนอกจากหัวเราะ ดูเหมือนจะไม่ได้เอ่ยคำพูดภาคภูมิใจใด ๆเขาอุ้มซวี่เป่าและหอมอีกหลายฟอด จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใดเขาลืมไปเสียสนิทว่า ยังมีหลานชายอีกหนึ่งคนที่เพิ่งได้รับการต่อกระดูกพระชายารุ่ยถึงกับทรุดตัวนั่งลงกับพื้น นานกว่าจะเรียกสติกลับคืนมา เพราะเหตุใด!จวินจิ๋วอิ่นเป็นอัจฉริยะฝืนลิขิตฟ้า เหตุใดบุตรชายของเขาก็เป็นเช่นเดียวกันอายุเพียงสามขวบเท่านั้น แต่กลับมีรากวิญญาณสามสาย!เช่นนั้นบุตรชายของนาง สามีของนาง ยังจะมีโอกาสอยู่อีกหรือไม่?พระชายารุ่ยกำหมัดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อไว้แน่น! จะไม่มีทางปล่อยให้คนสารเลวผู้นั้นมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!ไป๋ซวงจะไม่สังเกตเห็นเพลิงริษยาในดวงตาของพระชายารุ่ยได้อย่างไร!หากนางเห็นเด็กคนอื่นที่แววตาเปล่งประกายเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องรู้สึกอิจฉาเป็นแน่ แต่นอก
“ท่านทำอะไร?”ไป๋ซวงดึงซวี่เป่าเข้ามาใกล้ตัวนาง เพื่อเขยิบออกห่างจากจวินจิ๋วอิ่นด้วยความรู้สึกคัดค้าน “ฮูหยิน เก้าอี้ตัวนั้นแข็งมาก ซวี่เป่าเห็นใจข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้ความกตัญญูของซวี่เป่านั้นสูญเปล่า”ไป๋ซวงยังคิดจะเอ่ยต่อ แต่ได้ยินคำวิงวอนอันอ่อนโยนของซวี่เป่า“ท่านแม่ ซวี่เป่ายังไม่เคยนอนกับท่านพ่อท่านแม่ใช่หรือไม่? ซวี่เป่าอยากสัมผัสความรู้สึกนั้นสักครั้ง ลูกขอร้องท่านแม่ด้วย”เมื่อได้ยินเช่นนั้นในใจของไป๋ซวงพลันรู้สึกขมขื่นขึ้นมาทันใดนางเข้าใจว่าซวี่เป่าอยู่กับนางที่ภูเขาหลิงอิ่นมาเป็นเวลานาน ไม่มีบิดาอยู่เคียงข้างก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เช่นกันทว่าหลังจากที่ซวี่เป่าได้พบกับจวินจิ๋วอิ่น นางจึงเริ่มสงสัยในการตัดสินใจก่อนหน้าของตนเองซวี่เป่าติดจวินจิ๋วอิ่นอย่างมาก!เมื่ออยู่กับจวินจิ๋วอิ่นแล้วเขามีความสุขอย่างที่สุดความสุขแบบนั้นแตกต่างจากความสุขเมื่อเขาอยู่กับนาง แม้นางจะไม่รู้ว่าความแตกต่างอยู่ที่ใด แต่ไป๋ซวงก็สัมผัสได้บางทีซวี่เป่าอาจไม่ได้ต้องการเพียงแค่นาง“รีบนอนเถอะ!”ไป๋ซวงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ แต่ค่อย ๆ ดึงผ้ามาห่มให้กับซวี่เป่า ส่วนชายผ้าห่มที่เหลืออ
สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือริมฝีปากของนางเผลอไปจูบตรงลำคอของจวินจิ๋วอิ่นนางรู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างกายของบุรุษแข็งเกร็งชั่วขณะจากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นในทันที พลิกตัวและกดนางลง“นี่ฮูหยินทำอะไร?”“แล้วท่าน...ท่านทำอะไร?”ไป๋ซวงไม่เคยรู้สึกอับอายเช่นนี้มาก่อน?นางไม่กล้าสบตากับจวินจิ๋วอิ่น และหันไปมองหาตัวของซวี่เป่าที่อยู่ข้างเตียง“ซวี่เป่า... ซวี่เป่าเล่า เหตุใดเขาจึงไม่อยู่บนเตียง?”“ซวี่เป่าตื่นแต่เช้าแล้ว และบอกว่าจะไปคารวะท่านปู่ท่านย่า”จวินจิ๋วอิ่นนัยน์ตาแฝงรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับมองไปที่ริมฝีปากแดงสดอย่างห้ามใจไม่ได้“เจ้าเด็กดื้อคนนี้ ตื่นแล้วเหตุใดจึงไม่เรียกข้า?”ไป๋ซวงนัยน์ตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางคงเข้าใจผิดว่าจวินจิ๋วอิ่นเป็นซวี่เป่าดังนั้นจึงนอนกอดจวินจิ๋วอิ่น!“ท่านหลีกไป ข้าจะไปดูซวี่เป่า ไม่รู้ว่าร่างกายเขาดีขึ้นหรือไม่?”ไป๋ซวงคิดจะผลักแขนของจวินจิ๋วอิ่นออกไปด้วยความรู้สึกอึดอัด ทว่าแขนของจวินจิ๋วอิ่นกลับแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าไป๋ซวงผลักถึงสองครั้งก็ยังไม่ไหวติง“ฮูหยินจะร้อนใจไปไย? เมื่อครู่ยังสวมกอดสามีอยู่มิใช่หรือ?”“สวมกอดอะไรกัน นั่นไม่ได้ตั้ง
ไป๋ซวงบอกกับตนเองว่า นางจะหลงกลคำพูดหวานซึ้งของบุรุษไม่ได้นางเดินทางข้ามเวลามาหลายครั้ง เห็นการหักหลังทรยศของบุรุษมามากมายตอนที่เขารักเจ้า จะพูดจาหวานซึ้ง ดูอบอุ่นและใส่ใจทันทีเมื่อเขาเบื่อเจ้า เขากลับไม่แยแสดูดำดูดีพอหันหลังกลับ เขาจะเข้าไปอยู่ในสถานที่งดงามอบอุ่นแห่งใหม่ ดูแลห่วงใยคนรักใหม่ และให้ความรักใคร่โปรดปรานในยุคสมัยที่มีชายาสามสนมสี่เช่นนี้ น้อยนักที่จะมีเพียงสองคนไปตลอดชีวิตส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนหลายใจที่เห็นแต่รอยยิ้มของคนรักใหม่และไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของคนรักเก่าไป๋ซวงไม่ได้ผลักมือของ จวินจิ๋วอิ่นออกไป เพียงแค่จ้องมองเขาอย่างเรียบนิ่ง“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้าเป็นใคร มันสำคัญเช่นนั้นหรือ? ข้าชอบเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นขอทานข้างถนน ข้าก็ยังจะปฏิบัติกับเจ้าราวกับสมบัติล้ำค่า หากข้าไม่ชอบเจ้า แม้เจ้าจะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ข้าก็จะไม่ชายตาแล คนที่ข้าชอบก็คือเจ้า”จวินจิ๋วอิ่นมองไป๋ซวงด้วยความจริงใจ ในดวงตาไม่เห็นการปกปิดหรือหลอกลวงใด ๆแววตาที่อ่อนโยนของเขาจ้องมองนางไม่กระพริบหัวใจของไป๋ซวงเต้นแรงขึ้นทันทีเจ้าเล่ห์เพทุบายจริง ๆ !แม้นางจะรู้ดีว่
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดหลังจากได้ยินเรื่องนี้ไป๋ซวงใช้เวลานานกว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าพ่อกับน้องชายยังมีชีวิตอยู่ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาอีกด้วยนางไม่สามารถรอได้แม้แต่วินาทีเดียว!เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋ซวงจึงรีบจัดแจงแต่งกายให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอกทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก หัวเล็ก ๆ ของซวี่เป่าก็โผล่เข้ามา“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านตื่นแล้วหรือ?”ซวี่เป่าพูดพร้อมทั้งหัวเราะร่า จากนั้นใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก และเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ“ท่านแม่ ซวี่เป่าตั้งใจทำอาหารมื้อเช้าให้ท่านโดยเฉพาะ”หลังจากซวี่เป่าเข้ามาในเมืองหลวง แม้จะปลีกเวลามาทำอาหารให้มารดาได้ทานแต่หากเทียบกับตอนอยู่ที่ภูเขาหลิงอิ่นแล้วถือว่าน้อยครั้งกว่ามากดังนั้น เขาจึงยังรู้สึกผิดในใจอยู่บ้างมื้อเช้าในวันนี้เขาตั้งใจไปที่ห้องครัวตั้งแต่เช้าเขาทำอาหารไว้เต็มโต๊ะ เพื่อต้องการแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ท่านย่า รวมถึงยังได้ดูแลท่านแม่ของเขาด้วยช่างมีความสุขเสียจริง“ซวี่เป่าเก่งมากจริง ๆ”จวินจิ๋วอิ่นก้าวมาข้างหน้า และจูงมือไป๋ซวงมานั่
ไป๋ซวงยิ้มหวาน แต่สำหรับนักพรตชราแล้ว กลับเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษนักพรตชราเห็นแล้ว ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งแผ่นหลัง“มีคนชวนท่านอ๋องของข้าออกไปล่าสัตว์เป็นเรื่องโกหก วางยาพิษท่านอ๋องกลางทางต่างหากคือเรื่องจริง!”ไป๋ซวงพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไปแทนที่ด้วยแววตาที่ดุดันและเย็นเยียบโจวหลิงซางและโจวหวันฉี่ที่ยืนตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ รวมถึงฮองเฮาเจียงเถียนและจวินหงคังตอนนี้ทุกคนต่างหน้าซีดเผือด!โจวหลิงซางกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า ฝืนทำท่าทางสงบพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว“พระชายาองค์ชายเก้า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หรือว่าข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอ?”ไป๋ซวงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้โจวหลิงซาง“ท่านอ๋อง สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นยังคงจมดิ่งอยู่ในคำว่า ‘ท่านอ๋องของข้า’ จนถอนตัวจากความหวานนั้นไม่ได้เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋ซวง“ฮูหยินพูดถูกที่สุด”“เหลวไหล จวินจิ๋วอิ่น พวกเราก็แค่แข่งขันล่าสัตว์เท่านั้น เหตุใดข้าถึงต้องวางยาพิษท่านด้วย? ข้าเป็นถึงองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้ ไม่ใช่คนที่ใครจะใส่ร้ายป้ายสีได้ง่าย ๆ ”
เวลานี้ สวีเหว่ยถือกระบี่แสงพุทธ ฟาดฟันกระบี่ไปที่ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีที่เพิ่งจะหักโค่นลงเบา ๆ ภายในชั่วพริบตา ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีต้นนั้น ก็ถูกตัดจนถึงโคนต้นสวีเหว่ยรู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า หันไปทางไป๋ซวงแล้วโขกศีรษะคำนับอย่างแรงสามครั้ง“ขอบพระทัยพระชายาองค์ชายเก้า ข้าน้อยจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้พระชายาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ซวงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าเชื่อฟังดีมาก’นักพรตชราชุดขาวมองไป๋ซวงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“เมื่อครู่เจ้าทำอะไรลงไป?”แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่า สวีเหว่ยไอ้ขยะไร้ค่านั่น จะสามารถครอบครองกระบี่แสงพุทธของเขาได้“เจ้าก็เดาออกอยู่แล้วมิใช่หรือ?”ไป๋ซวงยิ้มแต่ไม่ตอบ พลางเหลือบมองไปที่เส้นเลือดบริเวณจุดชีพจรของเขาทันใดนั้น นักพรตชราชุดขาวก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยท่าทางสิ้นหวังใช่แล้ว หากต้องการให้กระบี่แสงพุทธที่เลือกนายแล้ว เชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่นเช่นนั้น มีเพียงทางเดียวคือต้องเปลี่ยนนายของกระบี่แสงพุทธ ลวดลายกระบี่อันงดงามเมื่อครู่นั้น แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร
ทุกคนสำลักจนต้องโบกมือไปมา ใช้แขนเสื้อปิดปากและจมูกทว่ามนุษย์ยักษ์นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยนักพรตชราไปเพราะเหตุนี้นักพรตชราเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บพลังวิญญาณของตนกลับคืน อาศัยช่วงที่ควันฝุ่นฟุ้งกระจาย หายตัวไปแล้วปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ซวงคมกระบี่อันแหลมคม จ่อตรงไปที่คอของไป๋ซวง“อย่าขยับ มิฉะนั้นข้าจะฆ่านางเดี๋ยวนี้!”จวินจิ๋วอิ่นเห็นดังนั้น ก็รีบเก็บพลังวิญญาณของตนเองในทันที“เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”สายตาอันคมกริบของจวินจิ๋วอิ่น จ้องมองไปที่นักพรตชราผู้นั้นอย่างเต็มไปด้วยคำเตือนนักพรตชราหัวเราะอย่างลำพองใจ สายตามองสำรวจไป๋ซวงไม่หยุด“เจ้าคือศิษย์ของตาเฒ่าเฮยฉีนั่น?”“ตาเฒ่าเฮยฉีอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก!”ไป๋ซวงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เป็นไปไม่ได้ ของในร้านฟู่หลิงซวนนั้น รวมถึงสมุนไพรในร้านเจินเฉ่าเก๋อ หากมิใช่ของตาเฒ่าเฮยฉี แล้วเด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปหามาจากไหนได้?”สีหน้าของนักพรตชราชุดขาวเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แถมยังรู้สึกโกรธขึ้นมาเพราะคำพูดของไป๋ซวงไป๋ซวงยกยิ้มมุมปาก ไม่แม้แต่จะมองนักพรตชราชุดขาว“ของของข้า เหตุใดต้องบอกเจ้าด้วย?”“มีอย่างที่ไหนกั
ไป๋ซวงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นทว่านางเพิ่งคิดจะลงมือ ก็เห็นจวินจิ๋วอิ่นยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วสะบัดแขนเสื้อกว้างเบา ๆ พลังวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับว่าอากาศสั่นสะเทือนไปหลายครั้งสีหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเต็มไปด้วยความเย็นชา ดวงตาคมกริบราวกับมีดมองไปยังนักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองข้างไขว้หลังชุดคลุมยาวตัวใหญ่ พลิ้วไสวอยู่กลางอากาศ และในขณะนี้ ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามา ล้อมรอบนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นอย่างช้า ๆ “บังอาจนักเจ้ามือสังหาร ยังไม่ยอมจำนนอีก!”สวีเหว่ย หัวหน้าทหารองครักษ์ถือกระบี่วิเศษ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่นักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวหัวเราะลั่น มองสวีเหว่ยด้วยสายตาเหยียดหยามยิ่งไปกว่านั้น สายตายังมองกวาดมองทุกคนอย่างไม่เกรงกลัวราวกับกำลังกวาดมองฝูงมดปลวก“แค่ระดับจอมปราชญ์ยุทธ์ ก็กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า!”พูดจบ ก็ปล่อยแรงกดดันลงมาสวีเหว่ยขมวดคิ้วแน่น คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบปากยังถูกบังคับให้กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำจากนั้น แรงกดดันยังไม่จบสิ้นแรงกดดันที่ต่อเนื่อง
น่าเสียดายที่โจวหลิงซางกลับเชิญจวินจิ๋วอิ่นไปเข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วยกันอย่างกระตือรือร้นท่ามกลางเสียงเรียกของผู้คน ทั้งสองคนไม่เพียงแต่รับคำท้า แต่ยังตั้งรางวัลอีกด้วยผู้ชนะสามารถสั่งให้ผู้แพ้ทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างดังนั้น สงครามระหว่างบุรุษสองคนจึงเริ่มขึ้นเมื่อจุดธูปขึ้น ทั้งสองคนก็ควบม้าออกไปอย่างบ้าคลั่งการแข่งขันครั้งนี้ ใครล่าได้จำนวนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะเมื่อธูปเผาไหม้จนหมด ทั้งสองคนก็ควบม้ากลับมาพร้อมกันเหยื่อที่อยู่บนหลังม้าของทั้งสอง ดูเหมือนจะพอ ๆ กันเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เข้ามาตรวจนับจำนวนเหยื่อที่ล่าได้ภายในเวลาธูปหนึ่งดอก โจวหลิงซางล่าสัตว์ได้สี่สิบสองตัวส่วนบนหลังม้าของจวินจิ๋วอิ่น มีสัตว์อยู่สี่สิบสามตัวยังดีที่ต่างกันแค่ตัวเดียว!โจวหลิงซางครุ่นคิดในใจ เมื่อครู่ เขาแอบมองจวินจิ๋วอิ่นจากระยะไกลความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนูของเขานั้น ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เนื่องจากผู้คนในดินแดนฮุ่นตุ้นล้วนเป็นผู้ฝึกตน เพื่อสัมผัสกับความสนุกสนานในการล่าสัตว์ของคนธรรมดา จึงได้มีการจัดงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงขึ้นและกฎข้อแรกของงานล่าสัตว์ฤดูใบ
หลายวันมานี้ นางพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าใกล้ไป๋ซวงแต่ก็จนปัญญา ไป๋ซวงไม่เคยให้โอกาสนางเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะสืบหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังไป๋ซวงได้อย่างไรโจวหลิงซางมองผิวน้ำอันเงียบสงบด้วยแววตาเย็นเยียบใช้นิ้วชี้ หมุนแหวนหยกขาวที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ “หวันฉี่ เสด็จพ่อรอไม่ไหวแล้ว งานล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา”“แต่เสด็จพี่ ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเขาไม่ให้โอกาสข้าเข้าใกล้เลย”โจวหวันฉี่จะไม่ร้อนใจได้อย่างไรจดหมายของเสด็จพ่อ นางก็เห็นแล้วเช่นกันถ้อยคำที่รุนแรงนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของเสด็จพ่อแล้วหากพวกเขายังไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เสด็จพ่อได้ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องเปลี่ยนคนมาแทนและฐานะของพวกเขาพี่น้องสองคนก็จะสั่นคลอนแล้ว“ดังนั้น พี่จึงให้ฮ่องเต้จัดงานล่าสัตว์นี้ขึ้นมา ที่นี่เป็นสถานที่ที่สามารถเข้าใกล้ไป๋ซวงได้ง่ายที่สุด”โจวหลิงซางกล่าวจบก็ส่งสายตาที่มั่นใจให้กับโจวหวันฉี่จากนั้น ก็เดินตรงไปยังกระโจมของจวินหงคังเวลานี้ แม้ว่าจวินหงคังจะยังไม่สามารถเดินได้ แต่บาดแผลอื่น ๆ ตามร่างกาย ก็ได้รับการรักษาจนเกือบหายด
งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เนื่องจากมีองค์หญิงและองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้เข้าร่วมด้วย พื้นที่จึงใหญ่กว่าครั้งก่อน ๆ เล็กน้อยขุนนางทุกคนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าไปด้านในได้สองคนดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว ขุนนางหนึ่งคนจะพาภรรยาและลูกมาด้วยหนึ่งคนและเด็กคนนั้นต้องเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นพิเศษจากครอบครัวอย่างแน่นอนเดิมทีจีหรงก็ควรจะมาด้วย แต่นางทุ่มเทใจให้กับซวี่เป่า จึงไม่สนใจการล่าสัตว์แม้แต่น้อยดังนั้น นางจึงอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนซวี่เป่าขบวนเดินทางมาถึงภูเขาเจี้ยงเหลียง ทุกคนต่างปฏิบัติตามคำแนะนำ ไปพักผ่อนในกระโจมของตนเองไป๋ซวงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย จิตใจรู้สึกหนักอึ้งใบหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเผยรอยยิ้มเอ็นดู แล้วค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้านาง“เป็นอะไรไป?”ไป๋ซวงเงยหน้าขึ้น สายตาแฝงไปด้วยความสงสัย“ทรัพย์สินของท่านเยอะหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงเลยว่าไป๋ซวงจะถามเช่นนี้เขายิ้มสดใสมากขึ้น แล้วยื่นมือไปกุมมือเล็ก ๆ ของนาง“ก็พอได้ น่าจะมากพอให้ฮูหยินใช้อย่างสบาย ๆ ”ไป๋ซวงปัดมือของเขาออก สายตาหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม“ข
จวินจิ๋วอิ่นไม่ได้หยุดฝีเท้า เพียงแต่ตอบกลับอย่างเย็นชา“วันนั้นถ้าไม่มีซวี่เป่าช่วยไว้ เกรงว่าเสด็จพ่อคงไม่ได้เจอหน้าลูกตลอดกาลแล้ว”จวินหงคังต้องการเอาชีวิตของเขา แต่เขาแค่เอาขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไปเท่านั้นจวินฉงได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกทันทีความรักในครอบครัวราชวงศ์นั้น บางเบาราวกับปีกจักจั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจสูงสุด การห้ำหั่นกันเองในครอบครัว การฆ่าฟันกันเองระหว่างพี่น้องก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาก็ผ่านการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเช่นนี้มาแล้วเช่นกันแล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องให้ลูก ๆ รักใคร่ปรองดองกันกันเล่า?เขาหวังเพียงแค่ว่า ลูกของตนจะสามารถเอาชีวิตรอดจากเกมการต่อสู้แย่งชิงนี้ไปได้ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่มีชีวิตรอดก็พอส่วนเขาก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อตัดความคิดที่ไม่ควรมีของผู้อื่นเสียจวินจิ๋วอิ่นออกมาจากวังหลวง ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องด้วยซ้ำเขาพาองครักษ์ลับสิบคน มุ่งหน้าไปยังจวนองค์ชายสามโดยตรงเป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่กลับพังประตูเข้าไปองครักษ์ของจวนองค์ชายสาม ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ถูกซัดจนกระเจิง ใบหน้าปูดบวมกันทุกคน
มือสังหารถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุสิบคน จับเป็นได้สามคนและหลังจากการสอบสวน พบว่าทั้งสามคนนั้นเป็นคนของท่านอ๋องเก้าด้วยเหตุนี้ เจียงเถียนจึงไปร้องไห้ฟูมฟายกับจวินฉงในคืนนั้นจวินฉงจึงจำต้องเรียกตัวจวินจิ๋วอิ่นเข้าวังในคืนนั้นจวินฉงนำหลักฐานที่ส่งมาจากจวนองค์ชายสาม โยนใส่มือของจวินจิ๋วอิ่น“ว่าอย่างไร?”จวินจิ๋วอิ่นถือหนังสือรับสารภาพที่เปื้อนเลือดเหล่านั้น มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา“ไม่มีอะไร!”จากนั้น ก็วางหลักฐานความผิดลงในมือของจวินฉงอีกครั้ง“คนพวกนั้นเป็นคนของเจ้าจริง ๆ หรือ?”จวินฉงไม่สนใจหลักฐานความผิดเหล่านั้น และมองเขาด้วยสายตาล้ำลึก“หากข้าต้องการเอาชีวิตของเขา ตอนนั้นข้าคงไม่ทำแค่หักขาของเขาเท่านั้น”จวินจิ๋วอิ่นไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย นั่งลงหน้าโต๊ะที่อยู่ทางด้านข้างอย่างไม่เกรงกลัว“ก็จริง พ่อก็เดาว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า”เรื่องนี้ จวินฉงยังคงมั่นใจในตัวเองมากเรื่องที่จวินจิ๋วอิ่นลอบสังหารจวินหงคัง เขารู้มาตั้งนานแล้วแม้กระทั่งในวินาทีที่ข่าวเข้ามาถึงวังหลวง เขาก็เดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของจวินจิ๋วอิ่นเพราะว่าก่อนหน้านี้ คนเหล่านั้นลอบสังหารจ