เซียวอวิ๋นถิงควบม้าพุ่งทะยานไปตามทางบนภูเขา เพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขา ระหว่างทางเจอกับองครักษ์ลับที่ออกมาขัดขวางอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเห็นตราประจำตัวของเขา ทุกคนต่างรีบถอยหลีกทางให้เมื่อมาถึงวัด ขอบฟ้าก็เริ่มมีแสงสว่างส่องออกมาจางๆ เหล่าแม่ชีที่ตื่นเช้ากำลังเริ่มสวดมนต์ และเลือกผักเพื่อเตรียมทำอาหารม้าของเซียวอวิ๋นถิงหยุดอยู่หน้าประตูวัด เขาเห็นกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในระยะไกลเหล่าแม่ชีเมื่อได้ยินเสียงจึงออกมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามที่กำลังควบม้าสูงสง่า พวกนางต่างรีบทำความเคารพอย่างลนลาน “โยม วัดของเรามิได้รับการบริจาคจากสาธุชน หากโยมต้องการจุดธูปไหว้พระ โปรดไปยังวัดอื่นเถิด”วัดแห่งนี้เป็นที่ประทับขององค์หญิงใหญ่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ราชสำนักล้วนเป็นผู้ออกให้ และไม่ได้เปิดรับคนนอกเซียวอวิ๋นถิงไม่สนใจพวกนาง เขาเพียงตะโกนเสียงดังลั่น “ท่านย่าทวด! ท่านย่าทวด!”ไม่นานนัก หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีที่เกล้าผมอย่างเป็นระเบียบ ก็วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเซียวอวิ๋นถิง นางก็แปลกใจไม่น้อย ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความยินดีอย่างห้ามไม่ได้ “อ้าว! ท่านอ๋องนี่เอง! ท่านอ๋องม
หลังจากที่กลับมาจากเรือนพักนอกเมืองแล้ว จวนหย่งผิงโหวก็ราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกมืดครึ้ม บรรดาบ่าวไพร่ที่คอยอยู่ปรนนิบัติต่างทำงานด้วยความละเอียดรอบคอบมากขึ้น เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรที่ผิดพลาดขึ้นแต่ทว่าบรรยากาศในหอหมิงเยว่กลับดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดไป๋จื่อและไป๋อินขยันขันแข็งจนเกินพอดี พวกนางดูแลวิถีชีวิตของคุณหนูใหญ่อย่างเป็นสัดเป็นส่วน อีกทั้งบรรดาบ่าวไพร่ที่อยู่ใต้อาณัติของพวกนางก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดหลังจากที่แม่นมจางเกิดเรื่องขึ้น นางหวังจึงได้ให้แม่นมเฉินมาทำหน้าเป็นผู้ดูแลภายในเรือนของชีหยวนแม่นมเฉินเป็นคนซื่อสัตย์และเชื่อใจได้ ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น แม่นมจางถูกชีหยวนทำให้ถึงแก่ชีวิต — ความจริงแล้ว ภายในจวน มีการถกเถียงเรื่องนี้กันไม่น้อยทุกคนต่างเห็นว่าแม่นมจางถูกใส่ความว่าทำร้ายชีหยวน ทำให้นางหวังและชีเจิ้นฆ่านางจนตายแต่บ่าวบางคนที่เฉลียวฉลาดจะรู้ดีว่าในจวนแห่งนี้ หากไร้ความสามารถ ย่อมถูกกลั่นแกล้งได้โดยง่าย บางคนถึงกับไม่มีโอกาสได้โต้ตอบเมื่อคุณหนูใหญ่กลับมา ไม่เพียงแต่จะสามารถยืนหยัดได้อย่างเต็มภาคภูมิ อีกทั้งยังจัดการแม่นมจางจนถึงแก่ชีวิตได้อีกด้ว
หลังจากนี้ ชีหยวนจะต้องทำอะไรอีกมากมาย จึงจำต้องมีผู้ที่ไว้ใจได้อยู่ข้างกายและแน่นอนว่า บ่าวรับใช้ที่อยู่ดูแลปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด จึงต้องเป็นบ่าวที่จงรักภักดีโดยปราศจากความน่าสงสัยนางไม่อยากที่จะเลือกคนบ่าวคนใหม่อีก เพราะสำหรับนางแล้ว หากจะเลือกคนใหม่ ก็ต้องสร้างความไว้ใจขึ้นมาใหม่อย่างช้า ๆ ด้วยเช่นกันถ้าอย่างนั้น ก็ปบ่อยให้เป็นไปตามนี้ก่อนก็แล้วกันแม่นมเฉินเข้าใจดีว่า คำพูดที่ทั้งอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยวนี้ เป็นการเตือนพวกนาง โดยเฉพาะตนที่เป็นแม่นมผู้ดูแลนางจึงคุกเข่าลงอย่างแน่วแน่ “คุณหนูสบายใจเถิด ต่อไปนี้บ่าวเฒ่าผู้นี้จะมีเพียงคุณหนูเป็นเจ้านายเพียงผู้เดียว คุณหนูสั่งอะไร บ่าวจะทำตามทุกอย่าง”“อืม” ชีหยวนตอบกลับ ขณะนั้นเอง ก็มีคนจากเรือนหน้ามาขอพบพวกเขาเป็นคนของตระกูลเกาเมื่อคนของตระกูลเกาเดินเข้ามา ก็พบว่าหอหมิงเยว่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงในเรือนกำลังติดตั้งชิงช้า ภายในห้องสะอาดเอี่ยมจนแทบจะสะท้อนแสงออกมานางหวังไม่มีเวลามาสนใจเรือนของชีหยวน บ่าวรับใช้ที่มอบให้ชีหยวน นางก็เลือกให้แบบส่ง ๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อบ่าวรับใช้เหล่านี้มาอยู่กับชีหยวน กลับว่าง่ายและเชื่อ
ไม่ว่านางหวังจะมองยังไง ก็ไม่ชอบชีหยวนเลยสักนิดเดียวทำไมก่อนที่ชีหยวนจะกลับมา ทุกอย่างภายในจวนราบรื่นดี ลูกชายของนางก็ว่านอนสอนง่าย ลูกสาวก็แสนจะน่ารักอ่อนหวาน ไม่เคยมีเรื่องให้ต้องปวดหัวแต่พอชีหยวนกลับมา ในจวนก็วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น!นางถึงขั้นคิดอยากจะเอาวันเดือนปีเกิดของชีหยวนไปดูดวง เพื่อดูว่านางเป็นตัวกาลกิณีหรือเปล่าแม่นมเกาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจเงียบ ๆถ้าชีหยวนเป็นคนโง่เง่าก็ว่าไปอย่าง อย่างน้อยคนโง่ก็ไร้พิษสง ไม่มีปัญญาคิดอะไรได้ และคงจะพึ่งพาแค่แม่บังเกิดเกล้าของตัวเองเท่านั้น ต่อให้แม่จะไม่รักก็เถอะ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วแต่ชีหยวนกลับฉลาดล้ำเกินคาด!หากฮูหยินยังกดดันและทำตัวเย็นชาต่อนางเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคุณหนูใหญ่จะไม่มีวันยอมญาติดีกับฮูหยินอีกแม่นมเกาอยากจะพูดอะไรออกมาหลายครั้ง แต่ก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาในใจส่วนชีหยวนก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งใดนางหวังไม่ชอบชีหยวน ในชาติที่แล้ว คำพูดเย็นชาเช่นนี้ นางได้ฟังมามากพอแล้ว คำพูดที่รุนแรงและบาดหัวใจยิ่งกว่านี้ นางก็เคยได้ยินมาแล้วเพราะเหตุนี้ คำพูดของนางหวังในตอนนี้จึงไม่ได้มีผลใด ๆ ต่อนางอีกชีหยวนก้มมองช
ชีหยวนก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง และฮูหยินผู้เฒ่าชีก็ยื่นมือออกไปจับมือของนาง เหลือบมองตั้งแต่บนลงล่าง เอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “ช่างหน้าตาเหมือนกับบิดาของเจ้ายิ่งนัก”ทั้งยังถามเรื่องที่ชีหยวนอาศัยอยู่บ้านนอกอีกหลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็ถามเสียงเบา “พ่อแม่บุณธรรมปฏิบัติต่อเจ้าดีหรือไม่?”นางหวังก้มหน้าลงชีเจิ้นก็กระแอมไอเบา ๆ ชีหยวนกลับมาจนถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่มีใครถามชีหยวนเรื่องที่บ้านนอกเลยสักคนไม่รู้เพราะเหตุใด จึงมักจะหลีกเลี่ยงเรื่องที่นางเคยถูกเลี้ยงดูอยู่ในบ้านคนขายเนื้อที่บ้านนอกนานกว่าสิบปีโดยไม่รู้ตัวเมื่อเอ่ยขึ้นมาก็รู้สึกขายขี้หน้าชีหยวนคิดสักพัก ก็ถามฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านอยากฟังความจริง หรือว่าเรื่องโกหกเจ้าคะ?”การกระทำของฮูหยินผู้เฒ่าชีหยุดชะงัก และมองนางอย่างครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงจะเอ่ย “ความจริง”“เช่นนั้นก็ไม่ค่อยดีเท่าใดเจ้าค่ะ” ชีหยวนหลุบตาลงต่ำ “ก่อนรุ่งสางข้าต้องเก็บหญ้าเพื่อให้อาหารปลา พอรุ่งสางแล้วต้องให้อาหารหมู ตอนกลางวันต้องตัดฟืน ทำอาหาร ตอนเย็นต้องซักเสื้อผ้า ทำงานบ้าน ไม่มีเวลาพักเลย และเวลาที่เจ็บป่วย พ่อกับแม่บุญธรรมยังเอาชามที่เ
ชีเจิ้นรู้สึกซับซ้อนในใจของเขา รู้สึกว่าชีหยวนเป็นดอกไม้สีขาวดอกเล็ก ๆ ที่น่าสงสารและต้องการความช่วยเหลือมาโดยตลอด เขาก็คิดมาตลอดด้วยว่าเป็นชีอวิ๋นถิงกับชีจิ่นรังแกชีหยวนที่เพิ่งจะมาบ้าน และชีหยวนเพียงแค่ถูกคิดร้ายโดยเป็นฝ่ายถูกกระทำเท่านั้นแต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนี้เลยชีอวิ๋นถิงกับชีจิ่นลงมืออย่างโหดร้ายอำมหิตก็จริง แต่ชีหยวนกลับไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยตุ๊กตาสาปแช่งของแม่นมจางนั้น ชีหยวนก็เป็นคนทำลายชีหยวนยังส่งคนไปยุยงเสวี่ยซงอยู่ตรงหน้าเสวี่ยซง ทำให้ชีอวิ๋นคิดว่าชีจิ่นต้องถูกส่งไปที่อื่นและจะไม่กลับมาอีก เขาจึงตามไปถึงเรือนพักนอกเมืองแม้กระทั่ง ชีเจิ้นสงสัยเซี่ยงหรงกับเซี่ยงเจี้ยจึงแวะไปเรือนพักนอกเมืองโดยเฉพาะ ก็เป็นเพราะชีหยวนส่งข่าวไปบอกช่างใจกล้า และช่างเป็นกลอุบายกับเล่ห์เหลี่ยมที่น่ากลัวยิ่งนัก!เขายิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เขาบอกกับชีหยวนว่า ชีจิ่นจะไม่กลับมาอีกคำพูดนั้นสุดท้ายชีหยวนกลับถามเขาว่า ท่านแม่ทำใจได้จริง ๆ หรือ?เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงส่งหลิวจงออกไปตัดรากถอนโคนทิ้งเสียตอนนี้คิดดู แค่เกรงว่านางหวังจะยอมปล่อยชิจิ่น ซึ่งก็อยู่ในการคาด
หากชาติที่แล้วตนเองสามารถอดทนจนยืนอยู่ต่อหน้าท่านโหวผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าได้ ผลลัพธ์ยังจะเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?นางหลับตา หยุดตนเองจากการนึกถึงเรื่องเหล่านี้ และโขกศีรษะต่อท่านโหวผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าสามครั้งเบาๆ “ขอบคุณท่านปู่ท่านย่าเจ้าค่ะ” ท่านโหวผู้เฒ่าโบกมือให้นางถอยไปก่อน และเรียกนางไว้อีกครั้ง “ในงานเลี้ยงรับญาติ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้บุตรสาวของจวนโหวพวกเราต้องเสียหน้า ทำได้หรือไม่?”ชีหยวนตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ข้าจะต้องทำอย่างเต็มที่แน่นอนเจ้าค่ะ”ท่านโหวผู้เฒ่าส่งเสียงอืมคำหนึ่ง และโบกมืออย่างพึงพอใจเล็กน้อยเมื่อรอให้นางจากไปแล้ว ชีเจิ้นทนไม่ไหวจึงอธิบายกับท่านโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านางจะมีความคิดที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ขอรับ...”“หากความคิดไม่ลึกซึ้ง ล้วนไม่สามารถกลับมาที่จวนโหวได้” ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “สะใภ้ของเจ้านางนั้น ก็แค่สมองเลอะเลือน! ตอนนั้นข้าเคยบอกแล้วว่า ในเมื่อรู้ว่าอุ้มผิดคน ก็ควรต่างคนต่างกลับไปอยู่ในสถานะของตนเอง แต่นางดันตัดใจไม่ได้ หากตัดใจไม่ได้ก็ช่างเถอะ กลับยังแสดงออกอย่างชัดเจน และบุ
ท่านโหวผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก็เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “บางทีอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้?”ฮูหยินผู้เฒ่าคัดค้านอย่างคาดไม่ถึง “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านโหวผู้เฒ่าท่านก็รู้ไม่ใช่หรือว่า องค์หญิงใหญ่กับฝ่าบาททะเลาะกันจนตึงเครียดแค่ไหน! หลายปีมานี้นางใช้ชีวิตที่เงียบสงบตามเส้นทางพระพุทธและไม่เคยลงมาจากภูเขา จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้ข้อยกเว้นแก่เด็กสาวคนหนึ่ง?”เอ่ยตามจริง นางก็ไม่รู้สึกว่าชีหยวนมีอะไรที่คู่ควรให้องค์หญิงใหญ่ต้องย่อตัวและก้มศีรษะได้เลยจริง ๆ ท่านโหวผู้เฒ่ายกมือขึ้น “ใช่หรือไม่ใช่ มาคาดเดากันตรงนี้ยังจะมีประโยชน์อันใดอีก? ในเมื่อนางกล้าเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ลองฟัง ๆ ไปก่อนก็ได้ ถึงอย่างไรก็เหลือเวลาเพียงไม่กี่วันแล้ว ไม่ใช่หรือ?”จุดสำคัญนี้ความอดทนก็ต้องมีอยู่เสมอฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่เอ่ยอะไรมากอีกแล้วภายในหอหมิงเยว่เงียบอย่างมาก เมื่อรู้ว่าชีหยวนไปพบท่านโหวผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่า คนที่รอคอยล้วนตึงเครียดกันไปหมดทุกคนอยู่ในจวนโหว ต่างก็รู้นิสัยที่เข้มงวดของท่านโหวผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าดี จึงเกรงว่าชีหยวนจะทำให้ท่านโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบผล
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เกาเจียก็รีบเร่งฝีเท้าเข้ามาปลอบประโลมนางหวัง “ฮูหยิน ไฟด้านหน้าถูกดับลงหมดแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้ไม่มีปัญหาใดแล้วเจ้าค่ะ!”ขอบคุณฟ้าดิน!นางหวังพนมมือขึ้นท่องชื่อองค์พระอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เชิญองค์หญิงใหญ่ให้ไปชมการแสดงงิ้วที่เรือนด้านหน้าองค์หญิงใหญ่มองชีหยวนอย่างอบอุ่น พลางตบหัวของชีหยวนเบาๆ “ช่างเถอะ ข้ามิได้ฟังงิ้วมานานหลายสิบปีแล้ว ยามนี้ ไม่มีความสนใจต่อสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว เมื่อมาเยือนและได้พบกับสาวน้อยผู้นี้แล้ว ก็ให้จบเพียงเท่านี้เถิดนี่หมายความว่าจะจากไปแล้วลู่ฮูหยินเม้มปาก รู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่ช่างให้เกียรติยัยเด็กนี่เหลือเกิน ก็ไม่รู้ว่าที่แท้เด็กผู้นี้มีสิ่งใดพิเศษกันแน่หานเยว่เอ๋อร์กลับขมวดคิ้วเบาๆเพลิงไหม้ในครั้งนี้รุนแรงถึงเพียงนี้ องค์หญิงใหญ่กลับไม่ทรงรู้สึกว่า นี่เป็นความอัปมงคลที่ชีหยวนนำพามาเลยหรือ?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ภรรยาของหลิวจงก็กลับมาจากด้านนอกอีกครั้ง นางกล่าวกับนางหวังเบาๆ ว่า “ฮูหยิน ท่านโหวให้เชิญคุณหนูใหญ่และคุณหนูหานไปทางนั้นสักรอบเจ้าค่ะ”อะไรนะ?นางหวังตกตะลึง มองไปที่หานเยว่เอ๋อร์อย่างไม่คาดคิดอยู่บ้าง
ไฟที่ไหม้อยู่ในศาลบรรพบุรุษ ทำให้แขกในเรือนส่วนหน้ากว่าครึ่งแสดงความเจตจำนงที่จะไปช่วยไปดับไฟเพราะไม่ว่าอย่างไร เมื่อมาเป็นแขกที่จวนของผู้อื่นแล้วพบเรื่องแบบนี้เข้า จะเอาแต่นั่งเป็นห่วงโดยไม่ทำสิ่งใด ก็ออกจะไม่เหมาะนักทว่า ท่านโหวผู้เฒ่ากับชีเจิ้น จะให้แขกเหรื่อทั้งหลายไปได้อย่างไร?ต่างพากันรีบหยุดพวกเขาไว้ บอกว่าคนจากกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครและหน่วยลาดตระเวนล้วนมากันแล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถดับไฟได้แล้วและในความเป็นจริง สิ่งที่ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นพูดก็ถูกต้องอย่างมาก เพราะหลังจากนั้นไม่นาน กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครและหน่วยลาดตระเวน ก็ร่วมมือกันดับไฟลงได้จริงๆทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้น ล้วนพากันถอนใจอย่างโล่งอกโดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่ถามออกมาทันทีว่า สถานการณ์เป็นเช่นใดแล้ว? ป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษไม่เป็นไรกระมัง?”หากเกิดสิ่งใดขึ้นมา นั่นก็จะเป็นเรื่องชวนให้หดหู่อย่างแท้จริงชีเจิ้นรีบเชิญผู้บัญชาการของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครเข้ามา ผลคือ ทันทีที่ใต้เท้าหยวนเข้ามาก็กล่าวว่า “ท่านโหวเพลิงไหม้ของพวกในครั้งนี้ มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”......หมายความว่าอย่างใดก
แขกคนอื่นๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปมา คนละคำสองคำเช่นกัน“นั่นสิ กลับมาหาครอบครัว พิธีรับญาติยังไม่ทันเสร็จ ศาลบรรพบุรุษก็ไหม้ขึ้นมาแล้ว คุณหนูใหญ่ผู้นี้ คงมิใช่สิ่งอัปมงคลอะไรหรอกนะ?”“หรืออาจไปโดนของสกปรกอะไรเข้าก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้น จะบังเอิญถึงขนาดนี้ได้อย่างไร”เสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ล้วนเข้าไปถึงหูของนางหวังนางหวังโมโหจนปวดท้อง จึงหันไปถลึงตาใส่ชีหยวนอย่างไม่ปรานีผู้คนต่างกังวลใจ และมีความคิดเห็นมากมาย เวลานี้ สายตาที่สตรีบางคนในกลุ่มนี้มองชีหยวน เริ่มไม่ปกติขึ้นมาแล้วสายตาขององค์หญิงใหญ่ทอดลงบนตัวชีหยวน เมื่อเห็นนางสงบมั่นคง มิได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ก็อดชื่นชมอยู่ในใจก่อนมิได้เรื่องอื่นยังไม่พูดถึง การที่อายุเท่านี้ก็มีความสุขุมใจเย็นเช่นนี้ได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนางมองไปยังสาวน้อยที่อยู่เบื้องหน้า ถามนางเบาๆ ว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”ชีหยวนเงยหน้าขึ้นมามองนางแล้วยิ้มออกมา ในตอนที่นางยิ้มออกมานั้น ดวงตาของนางสุกสกาวราวกับดวงดาว จากนั้น นางก็กะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “เมื่อไม่ได้ทำผิดอันใด ย่อมมิกลัวผีร้ายมาเคาะประตู หม่อมฉันไม่กลัวดอกเพคะ”แม่นมเจียงและอ
เหลียนเอ๋อร์ที่เห็นว่าเปลือกหอยมุกที่ประดับอยู่บนหน้าผากของนางเบี้ยว ก็รีบยื่นมือไปจัดให้นาง และเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็หัวเราะตามไปด้วยว่า “คุณหนูท่านก็ช่างจริงๆ เลย คนเขาน่าเวทนาถึงเพียงนั้นแล้ว ท่านยังชมเรื่องสนุกอยู่อีก”หานเยว่เอ๋อร์เลิกคิ้ว “ข้าย่อมได้แต่ชมดูเรื่องสนุกอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นยังจะทำสิ่งใดได้? ในศาลบรรพบุรุษของตระกูลชี ยังมีเหล่าวีรชนที่ร่วมปราบพวกชาวหว่าล่า [1] กับองค์ฮ่องเต้เกาจู่อยู่ด้วย เหอะๆ ไฟกองนี้เมื่อไหม้ขึ้นมา…”ตัวชีอวิ๋นถิงในยามนี้กำลังเหงื่อออกเต็มศีรษะ เขาเพียงขยับบั้นท้ายของตนเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเจ็บปวดสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติยกน้ำมาเพื่อใส่ยาให้เขาอย่างระมัดระวัง แต่กลับถูกเขายื่นมือไปปัดอ่างจนพลิกคว่ำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวออกไป!”ตอนนี้อารมณ์ของเขาแปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้ายั่วยุเขา สาวใช้จึงรีบเก็บอ่างน้ำแล้วถอยออกไปทันทีชีอวิ๋นถิงสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง ยืนกรานที่จะลงจากเตียงและเขยื้อนกายไปริมหน้าต่าง เมื่อเห็นทางทิศของศาลบรรพบุรุษมีกลุ่มควันหนาทึบลอยขึ้นมา เวียนวนดำมืดอยู่กลางอากาศ
เดิมคิดว่านางได้ตัดขาดจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา [1] ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกียวิสัยแล้วแต่นี่มิใช่ ยังเลี้ยงบุตรสาวไว้อีกคนหนึ่งหรือ?!ชีหยวนไม่รู้ถึงอารมณ์ในตอนนี้ของลู่ฮูหยิน แต่ต่อให้รู้ นางก็ไม่มีทางสนใจนักเมื่อเห็นแม่นมเจียงที่อยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ ก็บังเกิดความรู้สึกแสบจมูกอยากร้องไห้ขึ้นมา ทำให้นางเกือบอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วนางคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์หญิงใหญ่ ทำการคารวะอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมสีหน้าขององค์หญิงใหญ่อ่อนโยนลง พยักหน้าพลางประคองนางขึ้นมา “เดิมยังคิดว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กสาวชาวชนบทในหมู่บ้านคนหนึ่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะยังมีโชคชะตาเช่นนี้”แม่นมเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูและเมตตาว่า “แค่ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กสาวที่มีวาสนาเพคะ”นางหวังเกร็งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดอยู่บ้างยังคงเป็นฮูหยินรองแห่งตระกูลผู้ที่อยู่ด้านข้าง ที่รีบรับคำว่า “แม้นางจะเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ทว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกหรือระเบียบมารยาทก็ล้วนไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย พวกเราก็มารู้ในภายหลังเช่นกันว่า นางถึงกับได้รับการแนะนำสั่งสอนจากท่านแม่นมเจียง”แม่นมเจียงอมยิ้ม “ไม่นั
ตอนนี้ สายตาที่เกาเจียมองชีหยวนล้วนแฝงไปด้วยความนับถือหลายส่วนนี่เป็นเรื่องที่ใครก็คาดไม่ถึงจริงๆ!เป็นความจริงที่ชีหยวนพูดมาตลอดว่า ตนได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทจากแม่นมเจียง และยังรู้จักกับองค์หญิงใหญ่ด้วยทว่าในความเป็นจริงนั้น ก็ไม่มีผู้ใดถือเป็นจริงนักก่อนหน้านี้ ที่ลู่ฮูหยินประชดประชันถากถางอยู่ที่เรือนหน้า ก็เพราะคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้และต่อให้สอนสิ่งใดให้ชีหยวนจริง นั่นก็คงเป็นเพราะอยู่ว่างจนเบื่อ ดังนั้นจึงให้คำแนะนำอย่างผิวเผินสองสามประโยค จะไปสั่งสอนชีหยวนจริงๆ ได้อย่างไรแล้วจะใส่ใจต่อชีหยวนจริงๆ ได้อย่างไร?ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงจากเขา เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงรับญาติที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรด้วยซ้ำด้วย!ในตอนที่เทียบเชิญฉบับนั้นถูกส่งออกไป แม้แต่ชีเจิ้นก็มิได้จริงจังกับมัน!ผู้ใดจะรู้ว่า คนเขาจะมาแล้วจริงๆ!ไม่เพียงสายตาที่เกาเจียมองชีหยวนเปลี่ยนไปในความเป็นจริง ในตอนที่ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่เสด็จมาถึง แม้แต่ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นที่กำลังต้อนรับแขกอยู่เรือนฝ่ายหน้าก็สบตากัน ต่างไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นที่อยู่ภายในใจสีหน้าของบรรดาแขกเหรื่อ ก็เต็มไปด้
แต่เมื่อได้ยินว่า แม้แต่การนอนก็ไม่อาจนอนดีๆ ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกตี นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ใต้หล้าถึงกับมีพ่อแม่ที่ไม่เห็นลูกเป็นมนุษย์เช่นนี้! พวกเขาไม่คู่ควรจะเป็นคนจริงๆ!”ชีหยวนทำเพียงยิ้มเท่านั้น เพราะนางเห็นเหลียนเฉียวที่มีสีหน้าร้อนใจ กำลังชะโงกหัวผลุบโผล่เข้ามาจากนอกศาลาพอดีหัวใจของนางกระตุก เพราะเหลียนเฉียวไปสืบข่าวมา จึงหาข้ออ้างว่าจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบออกจากศาลา แล้วถามเหลียนเฉียวว่า “เกิดสิ่งใดขึ้นกัน?”กล่าวจบก็เดินไปที่ทางเดินเส้นเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง เช่นนี้คนในศาลาก็จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกนางพูด และสามารถมองเห็นได้เมื่อมีคนมาด้วยเหลียนเฉียวตื่นตระหนกจนน้ำเสียงสั่นสะท้านเล็กน้อย “คุณหนู คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่เขาส่งชิงซงไป…”เมื่อเห็นเหลียนเฉียวตกใจจนใบหน้าซีดขาว สีหน้าของชีหยวนก็เคร่งขรึมลงเช่นกันนางยื่นมือไปกดหัวไหล่ของเหลียนเฉียวเบาๆ “เจ้าค่อยๆ พูด ไม่ต้องรีบร้อน”ไม่ง่ายเลย กว่าเหลียนเฉียวจะควบคุมอาการสั่นสะท้านของตนได้ นางเม้มริมฝีปากกระซิบว่า “คุณหนู คุณชายใหญ่เขาให้ชิงซงไปวางเพลิงศาลบรรพบุรุษเจ้าค่ะ!”เผาศาลบรรพบุรุษ?ในใจของชีหยวนเกิดความตกใจขึ้นมา
องค์หญิงใหญ่มีสถานะสูงส่ง เป็นพระเชษฐภคินีแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทุกคนต่างรู้ดีว่า ทุกปีฮ่องเต้จะต้องเสด็จไปที่วัด มีอยู่ปีหนึ่งก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ยิ่งเสด็จขึ้นเขาไปเชิญองค์หญิงใหญ่กลับวังเพื่อไปอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าด้วยพระองค์เองแต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น องค์หญิงใหญ่ก็มิได้ทรงรับปากบุคคลที่ขนาดฮ่องเต้ก็เชิญไม่ได้ แต่บุตรสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ภายนอกของตระกูลชีนับสิบปีกลับเชิญมาได้ แล้วผู้ใดจะเชื่อกัน?ดังนั้น นางย่อมต้องมาชมดูความครึกครื้นอย่างแน่นอนบัดนี้เมื่อได้พบชีหยวน นางยิ่งเลิกคิ้วถามชีหยวนอย่างไม่เกรงใจว่า “ก็อยากถามคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลชีว่า เจ้าขึ้นเขาไปอย่างไร และได้พบองค์หญิงได้อย่างไรกัน? เหตุใดพวกเราจึงไม่มีชะตาวาสนาเช่นนี้บ้าง”สตรีในครอบครัวของขุนนางราชสำนักที่คิดจะไปเสี่ยงโชคดูมีน้อยหรือ?แม้นยอดเขาป๋ายอวิ๋นซานจะไม่อนุญาตให้ขึ้น และอารามที่องค์หญิงใหญ่ทรงประทับอยู่ก็เข้าไปไม่ได้ ทว่าวัดวาอารามที่อยู่รายรอบนั้น ก็แทบจะฮูหยินผู้สูงศักดิ์เหล่านี้เหยียบย่ำจนทุกหนแห่งแล้วนั่นก็เพราะพวกนางอยากลองดูว่า จะหาทางเข้าหาองค์หญิงใหญ่ได้หรือไม่ความเป็นศัตรูของลู่ฮูหยินเ
เหลียนเฉียวรีบรับคำทันทีชีหยวนปฏิบัติต่อข้ารับใช้แตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้นตั้งแต่บนลงล่างล้วนเชื่อฟังนางโดยเฉพาะเหลียนเฉียวที่ถือกำเนิดจากบ่าวรับใช้ในตระกูล ยามสืบข่าวในจวน ก็ไม่มีผู้ใดหัวไวกว่านางแล้วแม่นมเสิ่นปรนนิบัติรับใช้ชีหยวนด้วยรอยยิ้ม ขณะเดินทางไปที่เรือนของนางหวังขณะนี้ นางหวังเริ่มรู้สึกประหม่ากังวลขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นหนนี้ นางจึงมีความอดทนเพิ่มเป็นพิเศษหลายส่วน นางมองชีหยวนพลางกำชับว่า “อีกครู่เมื่อแขกเหรื่อมาถึงแล้ว ข้าจะต้อนรับแขกสตรีพวกนั้น ส่วนบรรดาพี่น้องสตรีที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า ก็ต้องให้เจ้าเป็นผู้พาไปเที่ยวเล่นในสวนดอกไม้แล้ว เข้าใจหรือไม่?”ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงรับญาติ ล้วนเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่มีไมตรีต่อกันดังนั้น ย่อมไม่อาจนั่งเฉย ชมพิธีรับญาติอย่างไร้รสชาติแน่นอนว่าต้องมีการดูงิ้ว รับประทานอาหาร จึงจะถือเป็นท่าทางของการเชิญแขกมางานรับญาติแม้นางหวังจะมิพึงใจในตัวชีหยวน แต่ก็เกรงว่าเรื่องนี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้นมาอีก ถึงเวลานั้น ก็ยากจะอธิบายต่อทางชีเจิ้น ท่านโหวผู้เฒ่า และฮูหยินผู้เฒ่าแล้วชีหยวนก็มิได้ขัดนางหวัง ครั้งนี้ นางรับปาก