นี่ทำให้ชีหยวนหัวใจสั่นไหวนางให้ป๋ายจื่อพาหานเยว่เอ๋อไปที่โถงบุบฝาที่อยู่ด้านข้าง ส่วนตัวเองก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหานเยว่เอ๋อยืนอยู่ริมหน้าต่าง เมื่อเห็นนางมา ก็รีบก้าวไปข้างหน้าย่อตัวทำความเคารพ และเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “พี่หญิงใหญ่ อย่าถือสาที่ดึกขนาดนี้ข้ายังมารบกวนเลยนะเจ้าคะ”หานเยว่เอ๋อหน้าตาจิ้มลิ้ม หว่างคิ้วสะอาดสะอ้าน ช่วงที่มองชีหยวนในเวลานี้ ก็จริงใจอย่างมาก “ความจริงข้าอยากจะมาขอพบพี่สาวนานแล้ว เพียงแค่ไม่มีโอกาสอยู่ตลอดเท่านั้นเจ้าค่ะ”ชีหยวนยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าเพิ่งกลับมาถึงจวน ญาติยังรู้จักไม่หมด น้องเยว่เอ๋อก็ไม่อย่าถือสาเลย”“จะได้อย่างไรกันเจ้าคะ?” หานเยว่เอ๋อถอนหายใจอย่างเศร้าใจ “พี่สาวอยู่บ้านนอกคงทุกข์ทรมานมากแล้ว ไม่ง่ายที่จะกลับมา แล้วยังมาประสบกับเรื่องมากมายเช่นนี้อีก ข้าแค่ยืนมองอยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกว่าพี่สาวยากลำบากแล้ว”ชีหยวนสีหน้ายังคงสงบนิ่ง และคิดอย่างรวดเร็วถึงจุดประสงค์ของหานเยว่เอ๋อในใจหานเยว่เอ๋อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอ๋องฉี ชาติก่อนยังพยายามอย่างเต็มที่ในเรื่องการแต่งงานของอ๋องฉีกับชีจิ่นจนสำเร็จ สุดท้ายตัวนางเองก็แต่งให้กับอ๋องฉีและเป็นพ
รอยยิ้มที่อยู่บนในหน้าของหานเยว่เอ๋อยังคงรักษาไว้จนกระทั่งกลับมาถึงห้องของตนเองจึงจะหายไปอย่างสิ้นเชิงเหลียนเอ๋อร์สาวใช้ของนางเห็นสีหน้านางดูเรียบเฉย ก็ถามนางเสียงเบาว่า คุณหนู ตอนนี้คุณหนูรองเกิดเรื่องแล้ว มันจะกระทบเรื่องของท่านอ๋องหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หานเยว่เอ๋อจึงนวดหว่างคิ้วของตนเอง และเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่มีชีจิ่นแล้ว ชีหยวนก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่มีสถานะสูงส่งเพียงหนึ่งเดียวของจวนนี้ ถึงนางจะแต่งงานกับท่านอ๋อง ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน”เหลียนเอ๋อร์เห็นนางไปนั่งด้านหลังโต๊ะตำรา ก็รีบตามไปและคลี่กระดาษออกให้นาง แถมยังฝนหมึกให้นางด้วยเอ่ยอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “แต่ความรู้สึกของนางกับคนของตระกูลชีสุดท้ายก็ยังคงไม่ลึกซึ้ง และคนของตระกูลชีกับชีอวิ๋นถิงเกรงว่าจะไม่ยอมเข้าข้างท่านอ๋องเพราะนางนะเจ้าคะ”การแต่งงานกับชีจิ่น นั่นก็เป็นเพราะชีจิ่นคือไข่มุกที่อยู่บนมือของตระกูลชี และตระกูลชีก็คาดหวังกับนางสูงมากชีจิ่นแต่งงานให้กับอ๋องฉี นั่นคือการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล และเพื่อให้ทั้งสองตระกูลช่วยเหลือเกื้อกูลกันแถมอ๋องฉียังสามารถได้รับสิ่งของสำคัญที่อยู่ในมือ
ในสายตาของอ๋องฉีคนนี้มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น เขาแต่งงานกับชีจิ่นก็เป็นเพราะตอนนั้นชีจิ่นเป็นสมบัติของตระกูลชี และก็เป็นเพราะชีเจิ้นด้วยนางกำจัดชีจิ่นก่อนล่วงหน้า เหตุใดอ๋องฉีถึงรีบร้อนให้หานเยว่เอ๋อมาใกล้ชิดตนเองเช่นนี้?ถึงอย่างไรในความคิดของคนนอก เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับนางเลยตรงกันข้ามชีจิ่นกับชีอวิ๋นถิงกลับก่อเรื่องขึ้นโดยไม่ชัดเจน แถมเพราะเรื่องนี้ยังได้รับการลงโทษจากในบ้านอีกตอนนี้อ๋องฉีควรจะรังเกียจตระกูลชีถึงขีดสุด และเกลียดจนแทบอยากจะทำลายตระกูลชีทิ้งจึงจะถูกเขาคนนี้หากไม่ได้อะไรก็มักจะทำลายทิ้งเสมอแต่เขาให้หานเยว่เอ๋อเข้ามาใกล้ชิดกับตนเอง เป็นเพราะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้วเช่นนั้นหรือ?เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ในใจของชีหยวนก็รู้สึกขนพองสยองเกล้าค่ำคืนนี้ นางฝันร้ายอยู่เรื่องหนึ่งในความฝันนางได้รับการช่วยชีวิตจากเซียวอวิ๋นถิง หลังจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นทหารลับที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเซียวอวิ๋น ถิงชาติก่อนนางใช้ชีวิตราวกับเดินบนน้ำแข็งบาง ๆ ทุกคนล้วนพิจารณาว่านางมีประโยชน์หรือไม่ มูลค่าของนางพอหรือไม่ หลังจากนั้นค่อยชั่งน้ำหนักว่าต้องรับนางไว้หรื
เวลานี้ชีเจิ้นรู้สึกหงุดหงิดจะตายอยู่แล้วเขาเตะหลิวจงอย่างรุนแรงไปทีหนึ่ง และถามด้วยความโมโหว่า “เจ้าทำงานอย่างไร? ไอ้คนโง่เขลา! ข้าบอกเจ้าว่าให้ตายต้องเห็นศพ ถ้าหายไปต้องเห็นตัว เจ้าแกล้งทำเป็นหูทวนลมใช่หรือไม่!?”หวิงจงถูกเตะอย่างแรงจนแทบจะอาเจียนออกมา เมื่อได้ยินก็ร้องไห้คร่ำครวญและรีบส่ายหน้าว่า “ท่านโหว ข้ากล้าเสียที่ใดกันขอรับ? เรื่องที่ท่านสั่ง ข้าตั้งใจทำทุกเรื่อง แต่ตอนที่ข้าไป มันก็ไม่พบอะไรแล้วจริง ๆ ขอรับ!”ตอนที่เขาไป คนของนางหวังได้ปล่อยชีจิ่นไปแล้วหลิวจงไม่กล้ารอช้า จึงรีบออกมาสอบถามในทันที และรู้ว่าชีจิ่นจะไปเมืองเจียงซี ตอนนั้นก็ตามไปแล้วใครจะรู้ระหว่างทางกลับสืบหาร่องรอยของชีจิ่นไม่พบเลยตัวเขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ ถึงได้รีบกลับมารายงาน“นางจะไปที่ใดได้?!” ตอนนี้ชีเจิ้นปวดศีรษะแล้ว ชีหยวนคนหนึ่งไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เห็นภายนอกเช่นนั้น ความจริงแล้วเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตบุตรสาวอีกคนที่เห็นตั้งแต่เด็กจนโตคิดไม่ถึงว่าก็จะเป็นคนที่เก็บความสามารถเอาไว้และไม่เปิดเผยไม่ต้องพูดถึงความโหดเหี้ยมและไร้ความรู้สึก ครั้งนี้ยังสามารถหายตัวไปจากใต้สายตาข
เขาทำท่าทางหนึ่ง และมองชีเจิ้นอย่างเย็นชา “เข้าใจหรือไม่?”ชีเจิ้นแข็งทื่อไปทั้งตัว และตอบรับอย่างหนักแน่นค่ำคืนที่มืดมนและลมแรง ชีจิ่นชุกตัวอยู่มุมห้อง เหมือนกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่สิ้นหวังตัวหนึ่งด้านข้างนาง เป็นอวิ๋นเยี่ยนกับสาวใช้อีกหลายที่คนนอนอยู่ เวลานี้ล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว ร่างกายแข็งทื่อ และใบหน้าเริ่มมีรอยช้ำไต่ขึ้นไปแล้ว ลมพัดมาทีหนึ่ง เปลวเทียนก็ถูกพัดจนสั่นไหว ต้นไม้ที่อยู่นอกหน้าต่างพัดตีหน้าต่างเสียงดังปัง และเงาต้นไม้ที่แปลกประหลาดเหล่านั้นก็สะท้อนอยู่บนหน้าต่าง เล่นเอานางตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อนางทนไม่ไหวจจึงกอดห่อผ้าและร้องไห้เสียงดังสิ่งเลวร้ายที่สุดที่นางทำในชีวิตนี้ มีเพียงแค่คิดจะทำลายความบริสุทธิ์ของชีหยวน และยุยงให้ชีอวิ๋นถิงจัดการกับชีหยวนเท่านั้น แต่ไม่เคยฆ่าคนด้วยมือตนเองเลยทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้มันเกินขอบเขตความสามารถที่นางจะรับมือได้แล้วประตูถูกถีบจนเกิดเสียงดังปัง จากนั้นก็มีคนถือคบเพลิงบุกเข้ามาทันใดนั้นภายในห้องก็ส่องสว่างราวกับกลางวันแสก ๆ ชีจิ่นตกใจมากจนเด้งตัวลุกขึ้นยืน และมองไปทางผู้ที่มาด้วยความหวาดกลัวภายใต้แสงไฟสาดส่อง
นางรู้สึกว่าตนเองวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยอ๋องฉีรู้เรื่องของตระกูลชีอย่างแจ่มชัดได้เช่นไรกัน?หากเป็นเมื่อก่อน นางอาจจะภาคภูมิใจในตนเอง และรู้สึกว่าตนเองมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ถึงดึงดูดให้อ๋องฉีก้มหัว และพยายามอย่างมากเพื่อนางเช่นนี้แต่เรื่องที่ประสบในช่วงนี้ ทำให้นางไม่สามารถใสซื่อและมั่นใจในตนเองเช่นนี้ได้อีกต่อไปโดยเฉพาะ อ๋องฉีในตอนนี้ แตกต่างจากอ๋องฉีที่นางเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิงอ๋องฉีในเมื่อก่อนเป็นองค์ชายที่ถ่อมตัว แต่อ๋องฉีในตอนนี้มองดูแล้วยิ่งเหมือนกับ...คนหน้าเนื้อใจเสือเสียมากกว่าและดูเหมือนว่าอีกไม่นานก็จะดึงมีดออกมาฆ่าคนได้เลยสมองของนางหมุนอย่างรวดเร็ว และกำชายเสื้อของตนเองไว้แน่นพลางมองอ๋องฉี “ฝ่า ฝ่าบาทเหตุใด เหตุใดถึงรู้เรื่องของชีหยวนได้เจ้าค่ะ?”อ๋องฉีโน้มตัวไปบีบแก้มของนางเบา ๆ จากนั้นก็ยิ้มหัวเราะอย่างเย้ยหยันและทั้งดูถูก จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ รับดาบสั้นที่ผู้ติดตามมอบให้อย่างเชื่องช้า และหยิบผ้ามาเช็ดเบา ๆ “ชีหยวน? เจ้าเรียกนางว่าชีหยวนหรือ? ข้านึกว่า เจ้าจะเรียกนาง ว่าสวี่อินอินเสียอีก”ทันทีที่พูดสวี่อินอินสามคำนี้ออกมา ใบหน้าของชิจิ่นก็ไร้สีอย่างสิ้นเชิง ความ
อ๋องฉีได้หมุนตัวออกจากประตูไปแล้ว เขาดมมือของตนอย่างรังเกียจไม่ว่าจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดอย่างไร กลิ่นคาวเลือดก็ยังค้างติดอยู่ที่ปลายจมูก เขาแค่นเสียงทีหนึ่ง “หานเยว่เอ๋อร์ส่งข่าวกลับมาหรือยัง?”ขันทีสวีส่ายศีรษะ “ยามนี้ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ แต่อาจเป็นเพราะพวกเราออกมาแล้ว จึงยังไม่ได้รับข่าวที่คุณหนูหานส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”อ๋องฉีพยักหน้า เลิกคิ้วพลางคลึงดวงตาที่รู้สึกปวดเล็กน้อยขันทีสวีถามเขาว่า “ท่านอ๋อง ใช่รู้สึกไม่ค่อยสบายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ช่วงนี้มักทรงรู้สึกปวดหัว จะเรียกหมอมาดูหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ช่วงนี้สุขภาพของอ๋องฉีไม่ค่อยดีนักมาตลอด เริ่มแรกมีไข้ขึ้นไม่หยุด ภายหลังยังมีอาการพูดเพ้อด้วย รอจนได้สติขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ อ๋องฉีก็ราวเปลี่ยนเป็นคนละคนขันทีสวีเป็นคนเก่าแก่ที่รับใช้เขามาตั้งแต่เด็กแล้ว ทว่าช่วงนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอ๋องฉี ก็ยังรู้สึกราวกับตนกำลังปรนนิบัตินายคนใหม่อยู่นอกจากนี้ หลังจากที่อ๋องฉีฟื้นขึ้นมา ก็ให้พวกเขาไปสืบเรื่องของตระกูลชีแม้ก่อนหน้านี้องค์ชายจะให้ความสนใจต่อตระกูลชีมาก แต่ที่เมื่อก่อนองค์ชายทรงสนใจตระกูลชีก็เป็นเพราะเรื่องนั้น มิใช่เพราะเด็กสาวผู
นางหวังที่เกิดความขัดแย้งกับชีหยวน จากไปอย่างไม่สบอารมณ์ในยามที่กลับไปถึงห้องนั้น อารมณ์โกรธก็ยังคงคุกรุ่นพอดีกับที่หานเยว่เอ๋อร์มาหานาง และรออยู่ที่เรือนของนางโดยตลอด เมื่อเห็นนาง ก็รีบยอบกายคารวะทันทีเมื่อเห็นหานเยว่เอ๋อร์ ความโมโหของนางหวังจึงสงบลงเล็กน้อย นางฝืนยิ้มออกมาบางๆ “เป็นเยว่เอ๋อร์หรือ เหตุใดจึงมาที่นี่เล่า?”กองทัพให้ความสำคัญต่อมิตรภาพของสหายในกอง เมื่อก่อนบิดาของหานเยว่เอ๋อร์เคยช่วยชีเจิ้นไว้ดังนั้น หลังจากที่ชีเจิ้นรับปากคำสั่งเสีย รับทายาทของผู้ที่จากไปมาดูแล ก็ให้ความสำคัญต่อหานเยว่เอ๋อร์เป็นอย่างมากแต่ไรมานางหวังก็เชื่อฟังสามีตนมาโดยตลอด เมื่อสามีให้ความสำคัญกับหลานสาว นางก็ย่อมใส่ใจอย่างมากเช่นกันรวมกับที่หานเยว่เอ๋อร์ก็เชื่อฟังว่าง่ายจริงๆ ไม่เคยเรื่องมากมาก่อน ความสัมพันธ์กับบรรดาเด็กในบ้านก็ไม่เลว ดังนั้นนางหวังจึงมีความรู้สึกที่แท้จริงต่อนางอยู่บ้างเวลานี้ หานเยว่เอ๋อร์กำลังมองไปที่นางหวัง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ช่วงนี้ท่านป้าดูซูบผอมลงไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”แม้แต่เด็กที่เพิ่งเข้ามาอยู่ระหว่างทางก็ยังมองออกว่าช่วงนี้อารมณ์ของตนไม่ดีนัก แต่ชีหยวน ยัยเ
กลับกัน นางมีความเก่งกาจโดดเด่นมาโดยตลอดจนเรียกว่าแข่งกับองค์หญิงลั่วชวนในทุก ๆ เรื่อง แม้กระทั่งการเล่นตีคลีก็เช่นกัน งานแข่งตีคลีครั้งนี้ นับเป็นการลงสนามแข่งขันอย่างเป็นทางการหลังพิธีปักปิ่นของพวกนางสองคน ทั้งคู่ต่างแบ่งกลุ่มมาก่อนเรียบร้อยแล้ว บัดนี้หลิ่วหมิงจูกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง ในสายตาขององค์หญิงลั่วชวนมองแล้วชัดเจนว่าจงใจยั่วโทสะอย่างไม่ต้องสงสัย หลิ่วหมิงจูกลั้วหัวเราะเสียงเบา: “ชนะข้า? องค์หญิง หากท่านคิดอยากจะชนะข้า…ชนะคนอื่นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” สีหน้าของนางดูราบเรียบ เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม: “ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลชีแห่งจวนหย่งผิงโหว ได้รับการชี้แนะอบรมโดยตรงจากองค์หญิงใหญ่ ฝีมือการขี่อาชาเรียกว่าโดดเด่นไม่เป็นรอง หากองค์หญิงสามารถเอาชนะนางได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ โดยที่ไม่ต้องแข่งขัน เช่นนั้นเป็นอย่างไร?” แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงใหญ่โปรดปรานการเล่นตีคลีเป็นที่สุด แม้แต่บรรดาพระเชษฐาอย่างอ๋องโจวและอ๋องอู๋ยังไม่สามารถเอาชนะนางได้ ดังนั้นได้ยินหลิ่วหมิงจูเอ่ยเช่นนี้ขึ้น องค์หญิงลั่วชวนก็ขมวดคิ้วขึ้นและโพล่งถามออกไปทันใด: “ใครกัน?
งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจวมิได้จัดขึ้นที่จวนอ๋องโจวจริง ๆ ทว่าจัดที่เรือนพักนอกเมืองของจวนอ๋องโจว ซึ่งอยู่นอกเขตเมืองหลวง และต่อให้จวนในเมืองหลวงจะใหญ่โตกว้างขวางสักเพียงใด ทว่าจะสร้างสนามตีคลีขึ้นสักหนึ่งสนามนั้นก็ค่อนข้างลำบากเกินไปอยู่ดี แต่กับนอกเขตเมืองหลวงนั้นแตกต่างกัน สนามตีคลีของจวนอ๋องโจวใหญ่จนน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งรอบข้างยังสร้างที่นั่งซึ่งมีลักษณะเป็นขั้นบันไดไล่ขึ้นไปจากต่ำไปสูง เพื่อให้ผู้ชมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในสนามแข่งขันได้จากทุกทิศทาง ตอนที่ฮูหยินรองชีพาชีหยวนไปถึง บรรยากาศในงานยังไม่เร่าร้อนคึกคัก นางพาชีหยวนไปกล่าวทักทายพระชายาโจวก่อน พระชายาโจวกำลังยุ่ง อันที่จริงเหตุผลที่ส่งเทียบเชิญให้ตระกูลชี พูดตามตรงแล้วก็เป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าฮูหยินซื่อจื่อฉู่กั๋วกงซึ่งเป็นพี่สาวผู้พี่ของนางต่างหาก และแน่นอนว่านางไม่มีความจำเป็นจะต้องลดเกียรติลงไปสนทนากับชีหยวนด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เองกระทั่งฮูหยินรองชีทำความเคารพแล้ว นางไม่แม้แต่มองให้ชัดเจนด้วยซ้ำว่าชีหยวนรูปโฉมโนมพรรณเป็นอย่างไร เพียงแต่อมยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินรองชีว่า: “พวกเด็ก ๆ ต่างอยู่ในตำหนักเถาฮวาอู้ที่ลาน
เซียวอวิ๋นถิงจ้องมองชีหยวนอยู่ครู่ใหญ่: “ไฉนชีวิตเจ้าจะต้องต่ำต้อยไร้ค่า?” ในน้ำเสียงของเขาเจือด้วยโทสะที่ปกปิดไม่มิด นั่นกลับทำให้ชีหยวนที่ตอนแรกยังอยู่ในความตื่นเต้นฮึกเหิมสงบลง นางลูบปอยผมของตนเองที่หลุดลงมาอย่างสุขุมเยือกเย็น: “ข้าน้อยพูดผิดไปแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ ข้าน้อยจะจดจำใส่ใจเจ้าค่ะ” นางสำนึกผิดรวดเร็วเพียงนี้ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลใดโทสะแต่เดิมที่ไม่รู้มาจากไหนของเซียวอวิ๋นถิงกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นมา ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ประโยคนั้นที่ว่าชีวิตต่ำต้อยหนึ่งชีวิตของข้า กลับทำให้สายใยบางอย่างในใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา ความรู้สึกอึดอัดแล่นพล่านอยู่ภายในใจของเขา ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง พลางจ้องชีหยวนและกล่าวว่า: “เจ้าอย่าเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย หากมีเรื่องอันใด ข้าสามารถช่วยเหลือเจ้าได้” ชีหยวนไม่ตอบกลับ เรื่องราวในชาตินี้ไม่มีอะไรแน่นอน พึ่งพิงขุนเขาขุนเขาก็อาจจะถล่มลงมา สิ่งเดียวที่สามารถพึ่งพิงได้ มีเพียงตนเอง เพียงแต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปโต้เถียงกับผู้ใดอีกแล้ว นางยิ้มพลางกล่าวขอบคุณในน้ำใจและความหวังดีของเซียวอวิ๋นถิง จากนั้นค่อยเล่าข้อ
เซียวอวิ๋นถิงขมวดคิ้วพลางจ้องมองชีหยวนซึ่งอยู่ตรงหน้า เห็นนางยังผงกศีรษะ ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้: “ที่แห่งนั้นไม่เหมาะกับเจ้า!” กลัวว่าชีหยวนจะคิดเรื่องนี้ง่ายดายเกินไป เซียวอวิ๋นถิงจึงเอ่ยปากแนะนำด้วยเสียงเคร่งขรึม: “พูดถึงอ๋องโจว ก็เป็นท่านปู่น้อยของข้า เขาเป็นพี่น้องร่วมครรภ์มารดาเดียวกับเสด็จปู่ของข้า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแน่นแฟ้นยิ่งนัก และด้วยเหตุผลนี้ พระธิดาของเขาจึงได้รับความรักความโปรดปรานเป็นที่สุด นับแต่เยาว์วัยก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงลั่วชวนแล้ว อีกทั้งยังได้รับการเลี้ยงดูในวังหลวงโดยไทเฮาด้วย” ชีหยวนเพียงส่งเสียงอืมรับคำ นางรู้อยู่แล้ว “องค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างสูงศักดิ์เลิศล้ำเช่นนี้ ในสายตาในหัวใจยอมรับได้เพียงแค่พวกนางกันเองเท่านั้น” เซียวอวิ๋นถิงกลัวว่าชีหยวนจะไม่เข้าใจ ก็อธิบายคำพูดเมื่อครู่ให้ชัดเจนกระจ่างขึ้นอีกหน่อย: “ข้าบอกเจ้าง่าย ๆ แล้วกัน บรรดาดรุณีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง สามารถแบ่งคร่าว ๆ ออกมาได้ห้าลำดับขั้น ลำดับขั้นแรก แน่นอนว่าต้องเป็นเหล่าองค์หญิงของราชสำนักอย่างเช่นองค์หญิงลั่วชวน องค์หญิงเสียนหนิงกลุ่มนั้น ส่วนอั
นางไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว เพียงแต่บอกให้พวกชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่าวางใจ มีลูกหลานที่มีความสามารถเก่งกาจเกินไปก็มิใช่เรื่องน่ายินดีอะไรนัก เพราะเมื่อใดที่เราอยากเป็นผู้ตัดสินใจบ้างก็เป็นเรื่องที่ยากมากเกินไปจริง ๆ ทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี หนนี้กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้สึกยินดีอย่างถึงที่สุด: “ให้น้าสะใภ้รองของเจ้าพาเจ้าไปสิ! ข้าจะให้คนไปตัดอาภรณ์ชุดใหม่มาให้เจ้า เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจงเที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ” เที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ… ชีเจิ้นคล้ายจะเอ่ยบางอย่างแต่ชะงักไป ชีหยวนกลับผุดยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าชี จากนั้นก็หยัดกายขึ้นและกลับไปที่หอหมิงเยว่ ครั้นกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เหลียนเฉียวมารออยู่หน้าประตูเรือนได้พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะสืบเท้าเดินเข้าไปหาอย่างรีบร้อน: “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว!” จากนั้นก็กดเสียงลงเอ่ยว่า: “ท่านอ๋องอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” นางแทบจะตกใจตายให้ได้เลยจริง ๆ ก่อนหน้าตอนที่นางเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นเซียวอวิ๋นถิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในตอนนั้น ก็เกือบจะตกใจตายแล้ว ช่วงนี้มันอย่าง
ครั้นได้รับเทียบเชิญ คนทั้งตระกูลชีต่างรู้สึกประหลาดใจและไม่มั่นใจเล็กน้อย สาเหตุเพราะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นในสกุลโจว ดังนั้นระยะนี้ชีฟางอวิ๋นจึงต้องพำนักอยู่ที่เรือนมารดามาตลอด พอได้ยินข่าวนี้ก็เผลอมองชีหยวนหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แอบกระซิบถามฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า: “ท่านแม่ พี่หยวนนางเป็น…” เป็นใครมาจากไหนกันแน่? เรื่องที่ทำไมตอนนี้ทุกคนในตระกูลชีถึงยอมรับกลาย ๆ ว่านางเป็นผู้นำบังไม่เท่าไร ทว่าเหตุใดแม้กระทั่งบรรดาบุคคลผู้มีชื่อเสียงนอกเรือนยังพากันให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้อีก? งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว ใช่ว่าจวนหย่งผิงโหวจะไม่เคยได้รับเทียบเชิญมาก่อนเสียเมื่อไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยระบุเจาะจงชัดเจนว่าเชิญผู้ใดอย่างเช่นตอนนี้ แบบนี้จะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ? ชีหยวนเพิ่งจะกลับมาได้เพียงไม่นาน ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองหลวงมีใครบ้างเกรงว่ายังรู้จักไม่ครบเสียด้วยซ้ำไป นับดูให้ดีแล้วที่ออกไปเยี่ยมเยียนเป็นแขกก็มีเพียงตระกูลเซี่ยงตระกูลเดียวเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นการไปที่มิใช่เรื่องน่ายินดี แวะไปเพียงครู่เดียวก็กลับแล้ว จวนอ๋องโจวมีเหตุผลใดถึงต้องเจาะจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่หลิ่วก็โกรธจัด: “งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เจ้าไม่ต้องไป!”หลิ่วหมิงจูกังวลใจทันที: “ทำไมล่ะ?! ข้าเตรียมตัวมาครึ่งปีแล้ว ข้าต้องไปให้ได้!”ทุกปีในฤดูหนาว นอกจากงานชุมนุมดอกไม้ของบรรดาจวนขุนนางแล้ว งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เป็นงานที่ผู้คนในเมืองหลวงเฝ้ารอมากที่สุดราชวงศ์นี้ยกย่องทักษะด้านการต่อสู้ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้หย่งชางยังเป็นอ๋องอยู่ พระองค์ก็โปรดปรานการเล่นตีคลีอย่างมาก นายว่าขี้ข้าพลอย หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว บรรดาอ๋องทั้งหลายก็เล่นตีคลีคล้อยตามพระองค์ การแข่งตีคลีจึงกลายเป็นกระแสนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหญิงชาย การได้แสดงฝีมือและโดดเด่นในสนามแข่งของจวนอ๋องโจวถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดหลิ่วหมิงจูเริ่มฝึกขี่ม้าตั้งแต่อายุสิบสองปี และฝึกฝนการเล่นตีคลีมาโดยตลอด ทว่าสองปีที่ผ่านมา นางยังอายุน้อย จึงได้เล่นอย่างไม่เต็มที่ เป็นแค่ตัวสำรอง ปีนี้นางรอคอยมานานจนกระทั่งอายุครบวัยปักปิ่น และนางยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมในกลุ่มบุตรสาวขุนนาง นางจะพลาดงานนี้ไปได้อย่างไร?ฮูหยินใหญ่หลิ่วกำลังจะพูดต่อ แต่หลิ่วจิง
หลิ่วจิงหงพยักหน้า ยิ้มพร้อมกล่าวให้บิดาของตนวางใจ: “ลูกมีแผนการในใจแล้วขอรับ”ต่างจากลูกหลานขุนนางทั่วไป ส่วนใหญ่พอรุ่นที่สองก็มักอาศัยเกียรติยศของบรรพบุรุษกินสมบัติเก่า แต่สำหรับหลิ่วจิงหง เขายืนหยัดอยู่ในแวดวงขุนนางด้วยความสามารถของตนเองตระกูลหลิ่วของพวกเขาเป็นขุนนาง และยังเป็นพระญาติชั้นนอก เพราะเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอย่างมาก สถานะของตระกูลหลิ่วจึงสูงส่งยิ่งขึ้นกล่าวโดยทั่วไปแล้ว ตำแหน่งขุนนางที่ได้มาจากพระมาหกรุณาธิคุณ ล้วนใช้คำว่าเฉิงเอิน (รับพระมหากรุณาธิคุณ) เป็นคำนำหน้าตำแหน่ง เช่น ตระกูลของฮองเฮาเฝิงก็มีตำแหน่ง “เฉิงเอินโหว”แต่ตระกูลหลิ่วกลับได้เป็นจวนฉู่กั๋วกง สาเหตุหนึ่งมาจากพระสนมหลิ่วได้รับความโปรดปรานอย่างมาก และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพราะความสามารถของหลิ่วจิงหงเอง หลิ่วจิงหงเป็นคนมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำดินปืนได้ ในอดีตเมื่อครั้งอยู่ฝูเจี้ยน เขาเติบโตเข้าออกจวนอ๋อง เรียกอ๋องหมิ่น ซึ่งก็คือฮ่องเต้หย่งชางในปัจจุบันว่า “พี่เขย” ตั้งแต่เด็กเรียกได้ว่าหลิ่วจิงหงมีทั้งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น กับฮ่องเต้หย่งชาง และความสามารถอันโดดเด่นดังนั้น ตอนนี้เขาจ
เมื่อเขาเดินออกไป คนเฝ้าประตูก็เข้าไปรายงานท่านผู้เฒ่าหลิ่วทำเสียงฮึดฮัด: “ไร้ประโยชน์สิ้นดี มีแต่ทำเรื่องเสียหาย! เจ้าเองก็เถอะ ไฉนถึงเลียนแบบสตรีไปได้?”คนที่เขาหมายถึงย่อมไม่พ้นบุตรชายของตน ผู้สืบทอดของจวนฉู่กั๋วก๋ง หลิ่วจิงหงหลิ่วจิงหงหัวเราะเบาๆ นั่งอยู่ตรงข้ามเขาอย่างสง่างาม: “ก็คิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นคนเคยใช้งานมาก่อน อีกอย่างเขาก็เป็นญาติเกี่ยวดองกับจวนหย่งผิงโหว เลยช่วยพูดแทนสักสองสามคำ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไร้ความสามารถเพียงนี้?”ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถสร้างปัญหาให้จวนหย่งผิงโหวได้ ยังทำอะไรตระกูลชีไม่ได้เลยสักนิด ซ้ำร้ายยังทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเสียอีกท่านผู้เฒ่าหลิ่วสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี: “เจ้าต้องระวังให้มาก คนประเภทนี้ พบเจอเรื่องราวมามากจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หากตระกูลโจวเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็จะพูดอะไรไม่ควรพูดออกมา”นี่คือกำลังเตือนเขาถึงเรื่องราวในตอนนั้นหลิ่วจิงหงเข้าใจดี ยื่นมือรินน้ำชาให้ท่านผู้เฒ่า: “ท่านก็วางใจเถิด ลูกไม่ใช่คนโง่เยี่ยงนั้น เขาไม่มีโอกาสอีกแล้ว”กล่าวจบก็หัวเราะเยาะ: “พูดไปท่านอาจไม่เชื่อ ไอ้คนโง่นี่ ตอนเราปูทางให้เข้าไปทำงานในกรมทหารม้าในตอน