อ๋องฉีได้หมุนตัวออกจากประตูไปแล้ว เขาดมมือของตนอย่างรังเกียจไม่ว่าจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดอย่างไร กลิ่นคาวเลือดก็ยังค้างติดอยู่ที่ปลายจมูก เขาแค่นเสียงทีหนึ่ง “หานเยว่เอ๋อร์ส่งข่าวกลับมาหรือยัง?”ขันทีสวีส่ายศีรษะ “ยามนี้ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ แต่อาจเป็นเพราะพวกเราออกมาแล้ว จึงยังไม่ได้รับข่าวที่คุณหนูหานส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”อ๋องฉีพยักหน้า เลิกคิ้วพลางคลึงดวงตาที่รู้สึกปวดเล็กน้อยขันทีสวีถามเขาว่า “ท่านอ๋อง ใช่รู้สึกไม่ค่อยสบายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ช่วงนี้มักทรงรู้สึกปวดหัว จะเรียกหมอมาดูหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ช่วงนี้สุขภาพของอ๋องฉีไม่ค่อยดีนักมาตลอด เริ่มแรกมีไข้ขึ้นไม่หยุด ภายหลังยังมีอาการพูดเพ้อด้วย รอจนได้สติขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ อ๋องฉีก็ราวเปลี่ยนเป็นคนละคนขันทีสวีเป็นคนเก่าแก่ที่รับใช้เขามาตั้งแต่เด็กแล้ว ทว่าช่วงนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอ๋องฉี ก็ยังรู้สึกราวกับตนกำลังปรนนิบัตินายคนใหม่อยู่นอกจากนี้ หลังจากที่อ๋องฉีฟื้นขึ้นมา ก็ให้พวกเขาไปสืบเรื่องของตระกูลชีแม้ก่อนหน้านี้องค์ชายจะให้ความสนใจต่อตระกูลชีมาก แต่ที่เมื่อก่อนองค์ชายทรงสนใจตระกูลชีก็เป็นเพราะเรื่องนั้น มิใช่เพราะเด็กสาวผู
นางหวังที่เกิดความขัดแย้งกับชีหยวน จากไปอย่างไม่สบอารมณ์ในยามที่กลับไปถึงห้องนั้น อารมณ์โกรธก็ยังคงคุกรุ่นพอดีกับที่หานเยว่เอ๋อร์มาหานาง และรออยู่ที่เรือนของนางโดยตลอด เมื่อเห็นนาง ก็รีบยอบกายคารวะทันทีเมื่อเห็นหานเยว่เอ๋อร์ ความโมโหของนางหวังจึงสงบลงเล็กน้อย นางฝืนยิ้มออกมาบางๆ “เป็นเยว่เอ๋อร์หรือ เหตุใดจึงมาที่นี่เล่า?”กองทัพให้ความสำคัญต่อมิตรภาพของสหายในกอง เมื่อก่อนบิดาของหานเยว่เอ๋อร์เคยช่วยชีเจิ้นไว้ดังนั้น หลังจากที่ชีเจิ้นรับปากคำสั่งเสีย รับทายาทของผู้ที่จากไปมาดูแล ก็ให้ความสำคัญต่อหานเยว่เอ๋อร์เป็นอย่างมากแต่ไรมานางหวังก็เชื่อฟังสามีตนมาโดยตลอด เมื่อสามีให้ความสำคัญกับหลานสาว นางก็ย่อมใส่ใจอย่างมากเช่นกันรวมกับที่หานเยว่เอ๋อร์ก็เชื่อฟังว่าง่ายจริงๆ ไม่เคยเรื่องมากมาก่อน ความสัมพันธ์กับบรรดาเด็กในบ้านก็ไม่เลว ดังนั้นนางหวังจึงมีความรู้สึกที่แท้จริงต่อนางอยู่บ้างเวลานี้ หานเยว่เอ๋อร์กำลังมองไปที่นางหวัง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ช่วงนี้ท่านป้าดูซูบผอมลงไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”แม้แต่เด็กที่เพิ่งเข้ามาอยู่ระหว่างทางก็ยังมองออกว่าช่วงนี้อารมณ์ของตนไม่ดีนัก แต่ชีหยวน ยัยเ
เกาเจียมองสีหน้าของนาง “ฮูหยิน ท่านยังคงต้องหาวิธีปลอบคุณชายใหญ่ ยามนี้ เขายังเอาแต่คิดถึงคุณหนูรองไม่วางเลยเจ้าค่ะ…”ทุกครั้งที่มีคนไปใส่ยาให้ชีอวิ๋นถิง ชีอวิ๋นถิงล้วนถามถึงที่อยู่ของชีจิ่น ถามไปก็ด่าไปแถมยังกล่าวคำพูดประเภทที่ว่าไม่มีทางให้ชีหยวนได้เป็นสุขออกมาด้วยทว่ายามนี้ เกาเจียถือว่าเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เกรงว่าฐานะของชีหยวนในบ้านตอนนี้คงจะมั่นคงยิ่งและตัวของชีหยวนเองก็มีความสามารถ นางสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงก่อนหน้านี้ แม้แต่ชีอวิ๋นถิงรวมกับชีจิ่นยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ไม่มีชีจิ่นแล้วหากเขาทำตัวเป็นปรปักษ์กับชีหยวนจริง เกรงว่าสุดท้ายผู้ที่จะโชคร้ายเขาเอง!นางหวังโมโหจนเขวี้ยงถ้วยชาที่อยู่ด้านข้างจนแตกแล้วเวรกรรมจริงๆ!เจ้าลูกเวรคนนี้ยิ่งทำให้คนปวดหัว!เหตุใดเขาถึงไม่รู้จักคิดถึงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ มั่งนะ?หากยังก่อเรื่องเช่นนี้ ท่านโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจแน่!นางหวังโมโหจนลุกยืนขึ้นมา แม้แต่ฝีเท้าก็ซวนเซอยู่บ้างแล้ว “ข้าจะไปดูเขา!”หานเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่บนพื้นหินปูนด้านหลังภูเขาจำลอง เมื
เมื่ออ๋องฉีนึกถึงเรื่องที่ ชีจิ่นยั่วยวนชีอวิ๋นถิงแล้วถูกเซี่ยงหรงพบเข้าจนกลายเป็นเรื่องขายหน้า จึงถูกตระกูลชีสละทิ้ง ก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินไม่ ว่าไปแล้วเรื่องนี้ยังเป็นชีหยวนที่ช่วยส่งเสริมด้วยเขานั่งกลับไปบนเก้าอี้เชียนหยี่ [1] ถามเสียงหนักว่า “จากนั้นล่ะ?”สวีถงโจวกลืนน้ำลายอย่างประหม่าเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงที่ลดเบาลงว่า “กระหม่อม กระหม่อมได้ยินว่า ในวันที่ตระกูลเซี่ยงเชิญคณะงิ้วไปร้องที่จวน จิ้งอ๋องจับนักฆ่าได้ผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”นักฆ่าที่พูดถึงคนนี้ ก็น่าจะเป็นคนที่เคลื่อนย้ายสมุดบัญชีไปแล้วสีหน้าของอ๋องฉีแปรเปลี่ยนหลายครั้ง น้ำเสียงก็ไม่มั่นคงเช่นกัน “ความหมายของพวกเจ้าคือ จัดการไปตั้งนาน หลักฐานคดีทุจริตการขนส่งทางน้ำ สุดท้ายยังคงตกไปอยู่ในมือของเซียวอวิ๋นถิง?!”ครั้งนี้มิใช่เพียงสวีถงโจวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ทว่า แม้แต่ขันทีสวีและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นกันสวีถงโจวแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว เขาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโขกศีรษะอย่างแรงอีกหลายครั้ง เสียงดังจนขันทีสวีที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างอดสูดหายใจลึกในใจไม่ได้แต่เขาก็มิได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดแม้แต่น
เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย รอคอยคำสั่งจากอ๋องฉีผ่านไปครู่หนึ่ง อ๋องฉีจึงกล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ต้าปั้น เจ้าให้คนไปสักรอบ ช่วยข้าส่งคำพูดไปตอบหานเยว่เอ๋อร์ประโยคหนึ่ง”ขันทีสวีรับคำอย่างไม่ลังเลขอบฟ้าทอแสงสีขาวออกมา เห็นได้ว่าฟ้ากำลังจะสว่างแล้วหานเยว่เอ๋อร์สวมเสื้อคลุมกันลมเข้าไปในเรือนของชีอวิ๋นถิงชีอวิ๋นถิงยังนอนอยู่บนเตียง เพราะเขาบาดเจ็บค่อนข้างหนัก บาดแผลจึงเจ็บปวดอย่างมาก ทำให้ได้แต่พักรักษาตัวอยู่บนเตียงชั่วคราวเนื่องจากบาดเจ็บสาหัส อารมณ์ของเขาจึงเป็นหงุดหงิดเป็นพิเศษ หลายวันมานี้ เมื่อลืมตาได้ก็ด่าทอคนในตอนที่หานเยว่เอ๋อร์เข้าไป ก็ได้ยินชีอวิ๋นถิงกำลังพูดไปด่าไปข้ารับใช้ในเรือนต่างเงียบกริบราวจักจั่นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เกรงว่าจะถูกเขาจับผิดนางเดินเข้าไปพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาทีหนึ่ง “บาดแผลของพี่ชายใหญ่คงเจ็บปวดมากกระมัง? ยังไม่ทันเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงท่านว่าคนแล้ว”เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าเป็นหานเยว่เอ๋อร์ สีหน้าของชีอวิ๋นถิงก็อ่อนลงไม่น้อยเขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้อย่างไม่สะดวกใจอยู่บ้าง “เจ้ามาทำไมกัน?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หานเยว่เอ๋อร์ก็หยิบผ้าเช็ดหน
แม้อากาศจะยังคงหนาวอยู่ ทว่าวันนี้ ท้องฟ้ากระจ่างสดใส มีแสงอาทิตย์เฉิดฉายออกมา ส่องผ่านร่มไม้ลงมาต้องเรือนจนเกิดประกายทองระยิบระยับไป๋จื่อและไป๋อินรีดเสื้อผ้าของชีหยวนไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ยามนี้กำลังสวมลงบนตัวนาง เมื่อเห็นนางงดงามเจิดจรัส ก็ต่างยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้เหลียนเฉียวมองนางด้วยดวงตาเปล่งประกาย “คุณหนูช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ!”ชีหยวนก็เหลือบมองกระจกคราหนึ่งเช่นกัน เวลานี้ คนในกระจกก็กำลังมองมาที่นาง ดวงตาสบประสาน จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของหานเยว่เอ๋อร์ดังมา “พี่หญิงใหญ่ ท่านเตรียมการเสร็จแล้วหรือไม่?”คนของบ้านรองและบ้านสามต่างเป็นพวกระมัดระวัง การที่ชีจิ่นป่วยเป็น ‘โรคร้าย’ แล้วถูกย้ายออกจากจวนอย่างแปลกประหลาด แล้วตระกูลเซี่ยงยังส่งคนมาถอนหมั้นอีกทำให้แม้วันนี้จะเป็นวันเลี้ยงรับญาติ เหล่าคุณชายและคุณหนูทางนั้น จึงมิได้มาสอบถามสิ่งใดกับชีหยวนก่อนเวลาเมื่อเปรียบกันแล้ว หานเยว่เอ๋อร์ก็ออกจะมาเยือนอย่างกระตือรือร้นไปหน่อยแล้วทว่า ชีหยวนมิได้แสดงสิ่งใดออกมาเลย เมื่อเห็นนางมาโดยมิได้รับเชิญ ก็ทำเพียงยิ้มออกมา “วันนี้น้องเยว่เอ๋อร์มาเร็วทีเดียว”หานเยว่เอ๋อร์ตบหลั
เหลียนเฉียวรีบรับคำทันทีชีหยวนปฏิบัติต่อข้ารับใช้แตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้นตั้งแต่บนลงล่างล้วนเชื่อฟังนางโดยเฉพาะเหลียนเฉียวที่ถือกำเนิดจากบ่าวรับใช้ในตระกูล ยามสืบข่าวในจวน ก็ไม่มีผู้ใดหัวไวกว่านางแล้วแม่นมเสิ่นปรนนิบัติรับใช้ชีหยวนด้วยรอยยิ้ม ขณะเดินทางไปที่เรือนของนางหวังขณะนี้ นางหวังเริ่มรู้สึกประหม่ากังวลขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นหนนี้ นางจึงมีความอดทนเพิ่มเป็นพิเศษหลายส่วน นางมองชีหยวนพลางกำชับว่า “อีกครู่เมื่อแขกเหรื่อมาถึงแล้ว ข้าจะต้อนรับแขกสตรีพวกนั้น ส่วนบรรดาพี่น้องสตรีที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า ก็ต้องให้เจ้าเป็นผู้พาไปเที่ยวเล่นในสวนดอกไม้แล้ว เข้าใจหรือไม่?”ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงรับญาติ ล้วนเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่มีไมตรีต่อกันดังนั้น ย่อมไม่อาจนั่งเฉย ชมพิธีรับญาติอย่างไร้รสชาติแน่นอนว่าต้องมีการดูงิ้ว รับประทานอาหาร จึงจะถือเป็นท่าทางของการเชิญแขกมางานรับญาติแม้นางหวังจะมิพึงใจในตัวชีหยวน แต่ก็เกรงว่าเรื่องนี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้นมาอีก ถึงเวลานั้น ก็ยากจะอธิบายต่อทางชีเจิ้น ท่านโหวผู้เฒ่า และฮูหยินผู้เฒ่าแล้วชีหยวนก็มิได้ขัดนางหวัง ครั้งนี้ นางรับปาก
องค์หญิงใหญ่มีสถานะสูงส่ง เป็นพระเชษฐภคินีแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทุกคนต่างรู้ดีว่า ทุกปีฮ่องเต้จะต้องเสด็จไปที่วัด มีอยู่ปีหนึ่งก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ยิ่งเสด็จขึ้นเขาไปเชิญองค์หญิงใหญ่กลับวังเพื่อไปอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าด้วยพระองค์เองแต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น องค์หญิงใหญ่ก็มิได้ทรงรับปากบุคคลที่ขนาดฮ่องเต้ก็เชิญไม่ได้ แต่บุตรสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ภายนอกของตระกูลชีนับสิบปีกลับเชิญมาได้ แล้วผู้ใดจะเชื่อกัน?ดังนั้น นางย่อมต้องมาชมดูความครึกครื้นอย่างแน่นอนบัดนี้เมื่อได้พบชีหยวน นางยิ่งเลิกคิ้วถามชีหยวนอย่างไม่เกรงใจว่า “ก็อยากถามคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลชีว่า เจ้าขึ้นเขาไปอย่างไร และได้พบองค์หญิงได้อย่างไรกัน? เหตุใดพวกเราจึงไม่มีชะตาวาสนาเช่นนี้บ้าง”สตรีในครอบครัวของขุนนางราชสำนักที่คิดจะไปเสี่ยงโชคดูมีน้อยหรือ?แม้นยอดเขาป๋ายอวิ๋นซานจะไม่อนุญาตให้ขึ้น และอารามที่องค์หญิงใหญ่ทรงประทับอยู่ก็เข้าไปไม่ได้ ทว่าวัดวาอารามที่อยู่รายรอบนั้น ก็แทบจะฮูหยินผู้สูงศักดิ์เหล่านี้เหยียบย่ำจนทุกหนแห่งแล้วนั่นก็เพราะพวกนางอยากลองดูว่า จะหาทางเข้าหาองค์หญิงใหญ่ได้หรือไม่ความเป็นศัตรูของลู่ฮูหยินเ
ชีเจิ้นกับท่านโหวผู้เฒ่าก็เข้าใจแล้ว!ชีหยวนจะพูดว่านางถูกองค์หญิงใหญ่รับตัวไป แต่ความจริงแล้วนางกลับเปลี่ยนเส้นทางกลางทางด้วยเหตุนี้ อ๋องฉีและตระกูลหลิ่วจึงอาจคิดว่านางมีเจตนาแอบแฝง สงสัยว่านางรู้เรื่องข่าวของพระชายาหลิ่วสองแม่ลูก จึงไปหาพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกชีเจิ้นหัวใจเต้นรัว ลดเสียงลงแล้วถามว่า “ข้าต้องทำอะไร?”“ทูลรายงานฝ่าบาท แล้วออกจากเมืองหลวงในคืนนี้” ชีหยวนมองเขา “ท่านพ่อ นี่เป็นโอกาสเดียวของท่าน หาพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกให้พบ แล้วพาพวกเขากลับมาเมืองหลวง มีแต่วิธีนี้เท่านั้น ท่านถึงจะหลุดพ้นจากอ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงได้”จากที่ดูมา ชีหยวนมั่นใจจริงๆ ว่าการที่พระชายาหลิ่วกับลูกเกิดเรื่องในปีนั้นไม่ใช่ฝีมือตระกูลเฝิงไม่อย่างนั้นจากความสัมพันธ์ของชีหยวนกับเซียวอวิ๋นถิง ไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นผลร้ายต่อฝ่ายองค์รัชทายาทชีเจิ้นสูดหายใจลึก “ได้! แต่ถ้าพระชายาหลิ่วเกลียดชังตระกูลเฝิงมากกว่าเดิม…...”ชีหยวนยิ้มเล็กน้อย “ไม่หรอกเจ้าค่ะ นางเป็นลูกของภรรยาเอก ตระกูลหลิ่วที่ใหญ่โตขนาดนี้ มีเพียงนางผู้เดียวที่เกิดเรื่องร้าย ส่วนคนอื่นๆ ล้วนแต่สุขสบายร่ำรวย นางไม่ใช่คนโง่ นางย่อมว่าจ
ชีเจิ้นจะไม่เสียใจได้อย่างไร?เขาแค่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรเลยเท่านั้น” ทำหน้าเคร่งขรึมพลางจิบชา เขาหันไปมองท่านโหวผู้เฒ่า “ท่านพ่อ เด็กคนนี้ออมมือไว้แล้ว”ไม่อย่างนั้น คงไม่ใช่แค่ทำให้หลิ่วหมิงจูล้มเจ็บจนเกือบตาย หากนางอยากทำจริงๆ คงสามารถเหวี่ยงหลิ่วหมิงจูให้ตายตรงนั้นได้เลยท่านโหวผู้เฒ่าลูบหนวดของตัวเอง “ไปกันเถอะ ไปถามนางให้รู้เรื่อง”ชีหยวนเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้วและไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าชีฮูหยินรองชีที่ตกใจจนเกินไป ถูกฮูหยินผู้เฒ่าชีสั่งให้กลับไปพักผ่อนแล้วทันทีที่นางเข้าประตูไป เห็นเพียงฮูหยินผู้เฒ่าชี ท่านโหวผู้เฒ่า และชีเจิ้นนั่งอยู่สามคนเมื่อเห็นนางเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็กวักมือเรียก “หยวนหยวน มานั่งข้างย่านี่”ชีหยวนเดินไปนั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่าชีเหลือบมองชีเจิ้นที่เอาแต่มองตนเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ก่อนจะเลิกคิ้วถาม “คนของตระกูลหลิ่วมาที่นี่แล้วหรือเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้าซับซ้อนพร้อมตอบรับเสียงอืม “เรื่องคราวนี้ มันเกิดขึ้นอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าถึงไปยุ่งกับตระกูลหลิ่ว?”“เป็นคนของตระกูลหลิ่วที่ให้จวนอ๋องโจวส่งเทียบเชิญมาให้ข้า” ชีหยวนพูดรวบรัด
คุณหนูใหญ่หลิ่วไม่เหมือนกับใครคนอื่นก่อนหน้า!นี่คือบุตรสาวแห่งจวนกั๋วกง และยังเป็นหลานสาวของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยด้วย!ฮูหยินรองตระกูลชีรีบส่ายหัวอย่างเร็วพลัน: “ไม่เจ้าค่ะ ไม่เจ้าค่ะ!”ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง ถอนหายใจยาว ทันใดนั้นก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้ในใจ กระทำกับชีหยวนเช่นนี้ แต่ชีหยวนกลับไม่ทำอะไรคุณหนูหลิ่วเลยหรือ?เป็นไปได้อย่างไร!ยังดีที่ท่านโหวผู้เฒ่าตอบสนองค่อนข้างเร็ว เขาถามต่อ: “แล้วหลังจากนั้นเล่า?”“หลังจากนั้น หยวนหยวนขึ้นไปบนหลังม้าของคุณหนูใหญ่หลิ่ว ไม่รู้ทั้งสองทะเลาะกันอย่างไร คุณหนูใหญ่หลิ่วก็พลัดตกจากหลังม้า…...”จะว่าไป ความอัดอั้นในใจมานานของชีเจิ้นถึงกับคลายลงทันทีอ้อ ก็ดี เป็นนิสัยของชีหยวนจริงๆเขาว่าแล้ว ชีหยวนจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่ายกถ้วยชาขึ้นจิบ ยังไม่ทันได้วางถ้วยชา แม่บ้านหญิงที่อยู่ด้านนอกก็รายงานผ่านม่านว่า: “ท่านโหวผู้เฒ่า ท่านโหว ฮูหยินผู้เฒ่า คนจากจวนฉู่กั๋วกงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”มาในเวลานี้ คงไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเพื่อเรื่องอะไรท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นสบตากัน พร้อมใจลุกขึ้นยืนขึ้นแล้วเดินออกไปคนที่มาเป็นคุณชายรอ
เมื่อฮูหยินรองตระกูลชีกลับมาถึงจวนตระกูลชี ม้าเหงื่อโลหิตพร้อมกับของกำนัลไถ่โทษจำนวนมากจากจวนอ๋องโจว ก็ถูกส่งมาถึงก่อนหน้าแล้วเมื่อมองไปยังม้าเหงื่อโลหิตที่เปล่งประกายเป็นสีทองภายใต้แสงแดดนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆขันทีน้อยจากจวนอ๋องโจวมองพวกเขาแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลชีจะเลี้ยงดูคุณหนูที่เก่งกาจอย่างคุณหนูใหญ่ชีได้ ท่านโหวผู้เฒ่าและท่านโหวเองก็เป็นคนสุขุมและนิ่งมากของจำนวนมากถูกส่งมาขนาดนี้ แต่ทั้งสองท่านกลับไม่ถามหาเหตุผลแม้แต่คำเดียวชีเจิ้นรู้สึกชาไปหมด เขามีสีหน้าไร้อารมณ์ เมื่อเห็นหลิวจงเดินไปส่งขันทีน้อยออกไปด้วยท่าทางสุภาพเขาหันไปมองท่านโหวผู้เฒ่าแล้วพูดว่า: “ในบรรดาม้าเหงื่อโลหิตห้าตัวที่เขตตะวันตกส่งถวายมาให้ฮ่องเต้ ฝ่าบาทพระราชทานให้อ๋องเจิ้งหนึ่งตัว อ๋องฉีหนึ่งตัว และอ๋องโจวอีกหนึ่งตัว…...”แต่ตอนนี้เจ้าสิ่งนี้ถูกชีหยวนนำกลับมาที่จวนแล้วชีเจิ้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาด: “นางไปทำอะไรอีกแล้ว?”ตอนนี้ต่อให้มีคนมาบอกเขาว่า ชีหยวนฆ่าอ๋องโจว คาดว่าเขาก็คงไม่ตกใจเกินไปเพราะถูกทำให้ตกใจมาม
ในที่สุดฮูหยินใหญ่หลิ่วก็ทนไม่ไหว: “เจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักอายนะ! เรื่องวันนี้......”“เรื่องวันนี้ได้ข้อสรุปแล้ว!” ชีหยวนขัดคำพูดของนาง: “มีสายตามากมายที่มองเห็น ไม่ใช่ว่าพวกท่านจะบอกว่าเด็กน้อยโมโหใส่อารมณ์ก็จะเป็นเรื่องที่ว่าเด็กน้อยโมโหใส่อารมณ์ได้ ไม่มีเด็กน้อยโมโหใส่อารมณ์แล้วต้องการปลิดชีพคน!”ช่างเป็นเด็กสาวที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว!แต่หลิ่วจิงหงยังคงยิ้มมองนาง: “คุณหนูใหญ่ชีช่างองอาจยิ่งนัก แต่หวังว่าจะองอาจแบบนี้ไปตลอดนะ”ช่างไม่รู้จักที่ตายจริงๆคิดว่าชนะการแข่งตีคลีหนึ่งครั้ง ชนะคุณหนูใหญ่แห่งจวนฉู่กั๋วกง แล้วจะเก่งมากหรือไงกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคืออำนาจที่แท้จริงแม้แต่ท่านโหวเฒ่าหรือชีเจิ้นแห่งจวนหย่งผิงโหว ยังต้องให้ความเคารพต่อหน้าเขาแต่หญิงบ้าคนนี้กลับคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญจริงๆน่าขันและน่าสมเพชชีหยวนยังคงยิ้มมองเขา: “ขอรับคำอวยพรของซื่อจื่อ ข้าน้อยคิดว่าข้าน้อยจะองอาจแบบนี้ไปตลอดจริงๆ”ท่าทางของนางนี่ทำให้ฮูหยินใหญ่หลิ่วโมโหจนแทบจะบ้าคลั่งแม้แต่ตอนที่เดินออกไปไกลแล้ว ฮูหยินใหญ่หลิ่วยังรู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก ไม่วายหันไปถามหลิ่วจิงหง: “เรื่องวั
“ไม่มีอะไร” ชีหยวนไม่ต้องการเอ่ยถึงอ๋องฉีท่าทางของเขาเมื่อครู่ที่ตั้งคำถามนางอย่างมั่นใจว่าทำไมต้องฆ่าเขาช่างน่าขันเหลือเกินนางเพียงตอบด้วยเสียงทุ้มลึกว่า “เกรงว่าคงต้องเปลี่ยนแผน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าข้าก็เหมือนกับเขา เป็นคนที่สามารถมองเห็นอนาคตล่วงหน้าได้ ถ้าจะให้พ่อของข้าปล่อยข่าวของพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกอีก เขาก็คงไม่เชื่อแล้ว”วันนี้อ๋องฉีต้องการฆ่านางเป็นเรื่องจริง ต้องการทดสอบนางก็เป็นเรื่องจริงแต่เมื่อคิดๆ ดูก็ไม่น่าแปลกใจเพราะตั้งแต่นางได้เกิดใหม่ นางก็เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไปมากมายอ๋องฉีในเมื่อเกิดใหม่เช่นกัน การที่จะรู้ว่านางมีบางอย่างผิดปกติก็เป็นเรื่องปกตินางไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มากนักเซียวอวิ๋นถิงก็เข้าใจความหมายของชีหยวนทันทีก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนว่าจะเผยข่าวของพระชายาหลิ่วล่วงหน้าให้อ๋องฉีรู้ เพื่อล่อให้อ๋องฉีลงมือ จากนั้นก็จับตัวเขาพร้อมหลักฐานแต่ตอนนี้ในเมื่ออ๋องฉีรู้ถึงไพ่ตายของพวกเขาแล้ว เขาก็คงจะไม่เชื่อถือพวกเขาหรือแม้แต่ชีเจิ้นอีกต่อไปแผนล่อนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเขาเซียวอวิ๋นถิงเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เช่นนั้นก็ให้พ่อของเ
พูดไปแล้ว ชีหยวนคนนี้นับว่าเป็นผู้เล่นการเมืองที่เหมาะสมทีเดียวทั้งหน้าหนาและพลิกสถานการณ์เก่ง ขุนนางอาวุโสในราชสำนักอีกตั้งหลายคนก็ยังไม่หน้าหนาเท่านางแต่ถึงจะชื่นชมในจุดนี้ มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดีเขาพูดปลอบใจลูกสาวไม่กี่คำ แล้วหันไปพูดกับฮูหยินใหญ่หลิ่วว่า: “ไป ไปพบกับคุณหนูใหญ่ชีผู้นี้สักหน่อย”ชีหยวนกำลังพูดคุยอยู่กับเซียวอวิ๋นถิงอันที่จริงอาการบาดเจ็บของนางนั้นหนักมากตอนที่ตกจากหลังม้า นางกระแทกเข้าที่หลังเต็มๆ เมื่อครู่หมอหลวงหูเพิ่งตรวจดู อดเดาะปากไม่ได้ ไม่รู้ว่านางทนมาถึงตอนนี้ได้อย่างไรจนกระทั่งตอนนี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเซียวอวิ๋นถิง สีริมฝีปากของนางยังดูซีดขาวเล็กน้อยเซียวอวิ๋นถิงทำหน้าตึงมองดูนางที่ยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมดื่มชาหมดถ้วยรวดเดียว ในที่สุดก็อดถามไม่ได้: “เจ้าไม่มีอะไรอยากจะพูดกับข้าบ้างเลยหรือ?”ชีหยวนมองเขาอย่างแปลกใจ:“แน่นอนว่ามี ท่านอ๋อง เมื่อครู่นักฆ่าที่แอบซ่อนในห้องมิใช่คนของฮูหยินใหญ่หลิ่วพวกนาง ท่านทราบหรือไม่ว่าเป็นใคร?”......ช่างไม่ตรงประเด็นเลยจริงๆ!เซียวอวิ๋นถิงอดไม่ได้ที่จะลดเสียงลงด้วยถามความโกรธ: “ข้าไม่ได้ถ
น้ำตาของฮูหยินใหญ่หลิ่วยังเกาะอยู่บนใบหน้า นางกำหมัดแน่น กัดฟันพูดอย่างโกรธแค้นว่า: “ข้าไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายถึงขนาดนี้มาก่อน!”เสียงของนางสั่นเล็กน้อย: “นางเด็กคนนั้นมันช่างเป็นคนที่ดื้อด้าน ไม่มีความละอายใจเลยสักนิด! พูดจาเสียดแทงก็ไม่สะทกสะท้าน สาดน้ำใส่ก็ไม่ขยับ!”หนาหน้าเหมือนกำแพงเมืองก็ไม่ปาน!ถ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานคนอื่น แม้คำพูดรุนแรงแค่คำเดียวก็แทบรับไม่ไหวแล้วแต่ชีหยวนนั้นกลับไม่ใช่เช่นนั้น ใครด่านางคำหนึ่ง นางก็สวนกลับไปอีกคำ ไม่ว่าจะพูดอย่างมีหลักการหรือด่าอย่างไม่เลือกถ้อยคำ นางก็ตอบโต้ได้แบบเจ็บแสบฮูหยินใหญ่หลิ่วไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน!หลิ่วจิงหงมองดูภรรยา เห็นนางที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังตัวสั่นเล็กน้อย ก็รู้ทันทีว่านางโกรธจนทนไม่ไหวแล้วเขาหรี่ตาลงเล็กน้อย: “ยากรับมือขนาดนั้นเชียวหรือ?”ฮูหยินใหญ่หลิ่วสะอื้น: “ยากกว่าทุกคนที่ข้าเคยเจอ! จะว่าอย่างไรดี…... อย่างไรเสียนางไม่มีความละอายใจเลย และไม่ยอมอยู่ในกฎเกณฑ์…...”กล้าพูดทุกสิ่ง กล้าทำทุกอย่างในใจฮูหยินใหญ่หลิ่วเริ่มเสียใจ ทำไมต้องช่วยองค์หญิงระบายความโกรธจนทำให้ลูกสาวต้องมาเผช
ฮูหยินใหญ่หลิ่วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา: “คนอย่างเจ้าที่เป็นตัวก่อภัย ผู้ที่อยากฆ่าเจ้าก็คงมีมากมายเหมือนปลาไนที่ข้ามแม่น้ำ ใครจะไปรู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือ!”คิดแล้วนางก็กล่าวเย้ยหยัน: “หรือว่า ต่อไปถ้าเจ้ามีเคราะห์ร้ายอะไร ก็จะโทษว่าเป็นพวกเราทั้งหมดให้ได้?!”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ชีหยวนตอบกลับอย่างหน้าตาเฉย: “เช่นนั้น ฮูหยินใหญ่หลิ่วควรภาวนาให้ข้ารอดชีวิตไปจนแก่เฒ่า มิอย่างนั้น ข้าเคยมีปัญหากับพวกท่านเท่านั้น คนที่อยากฆ่าข้าก็มีแต่พวกท่าน ถ้าข้าตายขึ้นมา ผู้ต้องสงสัยที่สุดก็ต้องเป็นพวกท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ!”……นางชั้นต่ำ! ช่างชั้นต่ำเสียจริง!เซียวอวิ๋นถิงที่ไม่ได้พูดอะไร กระแอมออกมาเบาๆ ทำให้ทุกคนสนใจเขาสำหรับพระราชนัดดาองค์โตที่กำลังเริ่มโดดเด่นในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชาง ทุกคนย่อมไม่กล้าล่วงเกินเขาอ๋องโจวหันมองเซียวอวิ๋นถิง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย: “เรื่องนี้ ข้าจะให้คนตรวจสอบให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นก็จะให้คำตอบที่เหมาะสมแก่คุณหนูใหญ่ชี”เซียวอวิ๋นถิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ: “ท่านปู่น้อย การแข่งตีคลีที่ดีๆ ซึ่งเป็นงานสำคัญประจำปีในเมืองหลวง ควรจะตรวจสอบอย่างจริงจัง มิฉะนั้น หากเกิด