ราวกับมีสายฟ้าสายหนึ่งฟาดลงมาจากท้องฟ้า เสียงร้องไห้ของชีจิ่นหยุดลงแล้ว รู้สึกเพียงว่าในหัวของตนมีเสียงวิ้งดังขึ้นมา ราวกับมีดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนกำลังระเบิดอยู่ในหัวของนาง ส่งนางไป? ! จวนหย่งผิงโหววางแผนจะทิ้งนางแล้ว?! หลังค้นพบชาติกำเนิดของตน นางก็หวาดหวั่นอยู่ทุกวัน ทุกวันล้วนต้องหวาดกลัวว่าตนเองจะสูญเสียความโปรดปราน จะถูกละทิ้งไป ดังนั้น นางจึงได้ทำทุกวิถีทางในการติดต่อคนขายเนื้อแซ่สวี่และหลี่ซิ่วเหนียง ให้พวกเขาขัดขวางมิให้ชีหยวนกลับมา จึงได้ส่งสัญญาณให้แม่นมฮวาลงมือกับชีเหยียน จึงได้พยายามจับชีอวิ๋นถิงไว้อย่างเร่งร้อนเช่นนี้ เพราะต้องการให้ชีอวิ๋นถิงยืนอยู่ข้างนางไปตลอด แต่ตอนนี้ นางยังไม่ทันได้ลงมือจริงๆ เลยด้วยซ้ำ กลับจะต้องจากไปแล้ว?! ชีจิ่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เกือบจะกอดขานางหวังไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างปวดใจว่า “ท่านแม่! ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ! วันหลังข้าไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ขอร้องท่าน อย่าให้ข้าไปเลยนะเจ้าคะ! ตั้งแต่เด็กจนโตข้าก็ไม่เคยจากท่านไปเลย ข้าไม่อาจไม่มีท่านนะเจ้าคะ ท่านแม่!” นางร้องไห้จบเสียงแหบแห้ง ทำให้คนอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้
ถึงอย่างไรชีจิ่นก็เติบโตมาข้างกายนางหวัง จึงเข้าใจถึงจุดอ่อนของนางหวังเป็นอย่างดี ทันทีที่สงบลง นางก็จะทำการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อตนที่สุดอย่างรวดเร็ว นางหวังถูกทำให้สะเทือนใจอย่างที่คิดจริงๆ ภายใต้ความรู้สึกผิด นางขึ้นเสียงสั่งการเหล่าข้ารับใช้ว่า “จงดูแลคุณหนูรองให้ดี หากให้ข้ารู้ว่าใครกล้าละเลย! ก็ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี!” จากนั้นก็ให้เกาเจียนำของที่ชีจิ่นใช้เป็นประจำไปให้หมดอีก หลังจัดการเรื่องต่างๆ ไปมาอย่างวุ่นวาย ค่ำคืนนี้ก็ได้ผ่านไปแล้ว ในยามที่ฟ้าเพิ่งสาง รถม้าคันหนึ่งก็ออกจากประตูมุมตะวันตกของจวนหย่งผิงโหวอย่างเงียบๆ จากนั้นตรงไปทางประตูเต๋อเซิ่งซึ่งเป็นประตูเมือง หลังนางหวังจัดการเรื่องการออกจากจวนของชีจิ่นเสร็จ ก็เหน็ดเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงแล้ว ในตอนที่ฝืนกลับไปถึงห้อง นางก็เห็นชีเจิ้นนั่งอยู่บนเตียงแล้ว จึงถอนใจออกมาทีหนึ่ง กล่าวว่า “ส่งไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ นางร้องไห้จนใจข้าพลอยไม่สบายไปด้วย” ชีเจิ้นเหลือบมองนางอย่างเรียบเฉยทีหนึ่ง “หากยามปกติเจ้าไม่ตามใจพวกเขาเช่นนั้น เวลานี้ ก็คงไม่ก่อปัญหาใหญ่โตถึงเพียงนี้!” เหตุใดกลับมาโทษนางอีกแล้วเล่า? นางหวัง
ยามนี้ชีจิ่นถูกส่งจากไปแล้ว สำหรับชีหยวนแล้วถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก จะได้ถือโอกาสนี้ใช้เวลากับฮูหยินและท่านโหวให้เต็มที่ เพื่อเพราะสร้างความสัมพันธ์อันดีขึ้นมา ชีหยวนเผยรอยยิ้มที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา “สาวน้อยที่โง่งม เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว” ยังกล่าวไม่ทันจบ นอกห้องก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจของเสาเย่าดังเข้ามา ไป๋อินรีบออกไปตรวจสอบดู จากนั้น ชีหยวนก็ได้ยินไป๋อินร้องเสียงดังอยู่หน้าประตูว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ! คุณหนูของพวกเรายังไม่ลุกจากเตียงเลยเจ้าค่ะ ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ!” สีหน้าของชีหยวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้ว ส่วนชีอวิ๋นถิงนั้น ได้เลิกม่านบุกเข้ามาในห้องอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว เขาไม่กล่าวสิ่งใดก็พุ่งเข้าหาชีหยวนทันที มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อขอชีหยวนขึ้นมา อีกข้างก็บีบคอของชีหยวนไว้ เค้นถามอย่างดุร้ายว่า “เจ้าบังคับให้อาจิ่นจากไป เจ้าบีบบังคับจนอาจิ่นจากไปแล้ว เจ้ามันนังสารเลว!” เจ้าคนเสียสตินี่! เหลียนเฉียวตกใจอย่างมาก นางรีบไปดึงแขนของชีอวิ๋นถิงออกอย่างสุดกำลัง “คุณชายใหญ่! ท่านปล่อยคุณหนูของพวกเราเถิดเจ้าค่ะ!” ชีหยวนก้มศีรษะลง ยกศอกขึ้น แล้วก
ทันทีที่ชีอวิ๋นถิงจากไป เหลียนเฉียวก็รีบร้องไห้เข้าไปตรวจดูลำคอของชีหยวน ชีอวิ๋นถิงมิได้ออมมือแม้แต่น้อยจริงๆ บนคอของชีหยวนปรากฏรอยจ้ำสีแดงเป็นวงรอบ ที่แค่เห็นก็ทำให้คนตกใจ ไป๋จื่อได้สติกลับมา รีบพูดอย่างลนลานว่า “ข้าจะไปหายาทา!” ทว่าอารมณ์ของทุกคนล้วนหนักอึ้ง เหลียนเฉียวยิ่งอดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ นั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของคุณหนูใหญ่เลยนะ! เดิมทียังคิดว่า หลังชีจิ่นจากไปแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้นมาแล้ว ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นลูกแท้ๆ มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคนในบ้าน ความผูกพันก็สามารถสร้างขึ้นอย่างช้าๆ ได้ ทว่าดูจากตอนนี้ ต่อให้ชีจิ่นจากไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ชีหยวนส่องกระจกพลางลูบลำคอของตน ในกระจก รอยบีบที่คอของเธอดูแล้วน่าตกใจเป็นอย่างมาก นางเคยสังหารคนมาก่อน ดังนั้นนางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า เมื่อครู่หากไม่มีคนขัดขวางแล้วล่ะก็ ชีอวิ๋นถิงคิดจะบีบคอนางให้ตายจริงๆ ตัวเขาวางแผนให้ร้ายคน ทำร้ายไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงกลับเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษแทน แต่เขากลับไม่คิดว่าตัวเองกระทำผิด สิ่งแรกที่นึกได้ คือการมาฆ่านางระบายโทสะ ครั้งนี้ฆ่าไม่สำเร็จ แล้วครั้งหน้าเล่า? เพราะตายมาแล้ว
แม้ชีอวิ๋นถิงโง่เขลา แต่ชีหยวนก็น่ารังเกียจ! นางมองชีหยวนอย่างเย็นชา “นั่นเป็นพี่ชายของเจ้า! เจ้าเพิ่งกลับมา ยังไม่เคยใช้เวลาร่วมกับเขามาก่อน เขาไม่ชอบเจ้าก็เป็นเรื่องธรรมดา เจ้าอ่อนลงหน่อย ที่ควรก้มหัวก็ต้องก้มหัว หากเจ้าลดท่าทีลงแล้ว เขาย่อมไม่มีทางไม่พอใจเจ้า ” หยุดไปครู่หนึ่ง นางเห็นชีหยวนเงยหน้าขึ้นมองตนนิ่งๆ จึงเลี่ยงสายตาไปอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง แล้วกล่าวเสียงหนักต่อว่า “เรื่องคอของเจ้า อย่าได้พูดเหลวไหลออกไป ยิ่งอย่าได้เอ่ยกับท่านพ่อของเจ้า! เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ายิ่งแย่ไปกว่านี้ รู้หรือไม่?” ตั้งแต่ต้นจนจบ นางหวังมิได้ตำหนิชีอวิ๋นถิงแม้แต่ครั้งเดียว ทว่า ชีหยวนก็มิได้รู้สึกแปลกใจแล้ว เพราะในชาติที่แล้ว หลังชีอวิ๋นถิงแต่งภรรยา ก็ยังสามารถรักษาตัวประดุจหยกไม่แตะต้องอิสตรี และยังปฏิบัติกับลูกของชีจิ่นราวบุตรในไส้ของตนอีก กระทั่งสนับสนุนองค์ชายสี่ ‘ฉีอ๋อง’ เพื่อชีจิ่นด้วย ยามนี้มาลองคิดดูแล้ว หากมิใช่เพราะมีมารดาที่ไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดีแบบนางหวังคอยให้ท้าย แล้วชีอวิ๋นถิงจะทำตัวบัดซบถึงเพียงนั้นได้อย่างไร? นางมิได้ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น “ลูกทรา
เพียงชีอวิ๋นถิงคิดว่าชีจิ่นถูกส่งไปที่บ้านพักในชนบทอย่างเร่งร้อน ก็ปวดใจอย่างที่สุด เขาเตะเสวี่ยซงไปทีหนึ่ง “เจ้าสวะ! ตอนนั้นก็ไม่รู้จักมารายงานข้า! ” เสวี่ยซงน้อยใจอย่างยิ่ง คลานขึ้นมาจากพื้นแล้วงึมงำว่า “โถ คุณชายของข้า บ่าวจะกล้าได้อย่างไรขอรับ? ท่านโหวเป็นผู้สั่งการด้วยตัวเอง หากบ่าวมารายงานท่าน นั่นไม่เป็นการหาเรื่องถูกตีหรือขอรับ?” เขาถอนใจทีหนึ่ง ชะโงกเข้าไปชี้แนะว่า “คุณชาย ตัวท่านเองก็เปิดใจหน่อยเถิดขอรับ ภายภาคหน้าคุณหนูใหญ่คงไม่มีทางจากไปแน่แล้ว ส่วนคุณหนูรองก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาได้ด้วย…” เมื่อชีอวิ๋นถิงได้ยินคำพูดนี้ ก็ราวกับจะกินคนทันที เขาโมโหขึ้นมาทันที จากนั้นก็จ้องเสวี่ยซงเขม็ง “เจ้าว่าอย่างไรนะ?! ผู้ใดบอกว่านางอาจไม่กลับมากัน?!” เมื่อถูกเขาจ้องเช่นนี้ เสวี่ยซงก็รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นมาเช่นกัน เขาอธิบายอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “คุณชายใหญ่ เรื่องบ่าวก็ฟังพวกแม่นมพูดมาเหมือนกันขอรับ บอกว่าของที่คุณหนูรองใช้เป็นประจำล้วนถูกส่งออกไปหมดแล้ว ไม่แน่ว่า ไม่แน่ว่าอาจไม่กลับมาแล้วขอรับ… ” ไม่กลับมา?! ไม่! ชีอวิ๋นถิงถีบเสวี่ยซงจนพลิกคว่ำไปในเท้าเดียว เมื่อนึกถึงนิสัยการล
นางหวังมองชีหยวนด้วยสายตาซับซ้อน นางต้องการจ้องจับผิดชีหยวนมาตั้งแต่ต้น ด้วยธรรมเนียมที่ว่าเมื่อลงจากรถม้าแล้วต้องหันกลับมาประคองผู้อาวุโสด้วย นางคิดว่าชีหยวนจะไม่ทราบธรรมเนียมดังกล่าวนี้ คิดไม่ถึงว่า ชีหยวนจะรู้จักธรรมเนียมนี้อย่างถ่องแท้! เปลือกตาของนางกระตุกเล็กน้อย เห็นฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองของตระกูลเซี่ยงเดินออกมาต้องรับจากประตูบุปผาย้อยแล้ว จึงรีบผุดยิ้มออกมา ฮูหยินใหญ่เซี่ยงและฮูหยินรองเซี่ยงยิ้มกว้าง ทักทายนางหวังก่อน แล้วค่อยมองไปยังชีหยวน ก่อนจะถามไถ่อย่างสนิทสนม “นี่คือลูกที่เพิ่งรับกลับมาคนนั้นเองหรือ?” เรื่องที่ตระกูลชีเคยทำเด็กคนหนึ่งพลัดหายไป และตามตัวกลับมาได้แล้วนั้น ถูกนำไปแจ้งให้ญาติพี่น้องสหายใกล้ชิดรับทราบทั่วกันแล้ว นางหวังยิ้มพลางผงกศีรษะ “ใช่แล้ว เพิ่งรับกลับมาได้ไม่นาน ถึงคราวต้องให้เด็กคนนี้ทำความรู้จักกับญาติพี่น้องแล้ว พวกท่านต้องมาร่วมงานเลี้ยงให้ได้นะ” ก่อนจะผินใบหน้ามองชีหยวนอีกครั้ง “แม่หนูหยวน คารวะป้าสะใภ้ของเจ้าสิ” ชีหยวนเดินขึ้นไปด้านหน้าและยอบกายทำความเคารพฮูหยินใหญ่เซี่ยงและฮูหยินรองเซี่ยง “คารวะป้าสะใภ้ใหญ่เซี่ยง คารวะป้าสะใภ้รองเซี่
การสมรสกับตระกูลเซี่ยงเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจริงแท้ ในฐานะว่าที่แม่สามี นางหวังย่อมต้องแสดงออกอย่างใจกว้างและโอบอ้อมอารีไร้ใดเปรียบ เห็นนางเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินใหญ่เซี่ยงยิ่งจริงใจขึ้นกว่าเก่า “ท่านเองก็ตามใจนางมากเกินไปแล้ว” เอ่ยพลางฮูหยินใหญ่เซี่ยงและฮูหยินรองเซี่ยงก็นำทางพวกนางเข้าไปยังโถงบุปผารับแขกด้านใน ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ฮูหยินรองเซี่ยงเดินเข้าไปกระซิบบางอย่างด้วยเสียงเบา ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงเหลือบสายตามองตามวาจาของฮูหยินรองเซี่ยง สายตาทิ้งมองบนตัวนางหวังและชีหยวน ก่อนจะกวักมือเรียกคนเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นก็เลื่อนมือไปกุมมือของชีหยวนไว้ ประเมินครู่หนึ่ง ก็ถอดกำไลปลายเปิดซึ่งทำจากทองคำฝังทับทิมที่สวมอยู่บนข้อมือออกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเอ่ยกับชีหยวนว่า “พบหน้ากันครั้งแรก สิ่งนี้เจ้ารับไว้ใส่เล่นเถิด” กำไลข้อมือวงนั้นมองแล้วน่าจะมีราคาแพงมาก ชีหยวนเหลือบสายตามองนางหวังปราดหนึ่ง นางหวังเอ่ยอย่างร้อนใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ได้เด็ดขาดเจ้าค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ไทเฮาพระราชทานให้ท่าน จะรับของล้ำค่าเพียงนี้จากท่านเอาไว้ได้อย
สีหน้าของชีเจิ้นเคร่งขรึม: “ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงข่าวลืออีกเท่านั้น จนกระทั่งคนสนิทของข้าเดินทางไปตรวจสอบดู และนำสิ่งหนึ่งกลับมา”เขาพูดแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเลื่อนตู้หนังสือออก เผยให้เห็นช่องลับด้านหลัง จากนั้นก็ยกกล่องใบหนึ่งมาวางบนโต๊ะ และค่อยๆ เปิดกล่องอย่างระมัดระวังภายในกล่องนั้นมีคันธนูเล็กๆ หนึ่งคันวางอยู่อย่างเงียบสงบ คันธนูเล็กนั้นขนาดประมาณว่าวหนึ่งตัว บนตัวธนูนั้นถูกประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดโต เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ธนูสำหรับใช้งานจริง แต่เป็นของเล่นสำหรับความบันเทิงเท่านั้นสายตาของชีหยวนกวาดมองคันธนูนั้น ก่อนจะเอ่ยถามเสียงขรึมว่า: “นี่คือของของพระชายาหลิ่วหรือ?”ดังนั้นจึงทำให้ชีเจิ้นมั่นใจได้ว่า มีพระชายาหลิ่วอยู่ที่เมืองเล็กๆ ของเมืองซ่งในเจียงซีกระมัง?หัวใจของนางรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อยชาติที่แล้ว ข่าวนี้ตกไปอยู่ในมือของอ๋องฉีอ๋องฉีสั่งให้คนไปสังหารพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกหลังจากสังหารแล้ว ก็ใส่ร้ายป้ายสีว่าตระกูลเฝิงเป็นผู้ลงมือเซียวอวิ๋นถิงและตระกูลเฝิงจึงให้ตระกูลเซี่ยตรวจสอบเรื่องนี้ สุดท้ายทำให้อ๋องฉีเกิดความสนใจ อ๋องฉีจึงหาข้ออ้างและสัง
ชีหยวนตอบขานรับอย่างไม่แปลกใจแม้แต่น้อย: “เรื่องที่แขวนคอแม่นางโจวในปีนั้นเป็นฝีมือของพวกเขาทั้งคู่ ตอนนี้ความจริงได้เปิดเผยออกมา พวกเขาย่อมระแวงสงสัยกันเองว่าใครเป็นคนปล่อยความลับออกมา ยิ่งไปกว่านั้นแผ่นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ก็ถูกทุบต่อหน้าฝูงชน จวนโหวเองก็ต้องการหย่าขาดจากพวกเขา การที่พวกเขาทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”ชีหยวนสามารถเดาได้แม้กระทั่งคำพูดที่พวกเขาทะเลาะกันเหล่านั้นได้เลยทีเดียวส่วนเรื่องที่ว่าท่านหญิงท่านหญิงโจวตายเพราะพลัดตกหกล้มจริงหรือไม่นั้น?เธอทำได้เพียงหัวเราะเท่านั้นคนที่มีจิตควบคุมสูงเยี่ยงนี้ หลานชายคนโตใกล้จะแต่งงานแล้ว แต่เธอยังคงให้ลูกสะใภ้ทำตามกฏเกณฑ์ทุกวัน ทั้งยังแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ควบคุมอำนาจในเรือนหลังของจวนทั้งหลัง เธอจะเต็มใจตายง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?ไม่มีทาง!อย่าว่าแต่ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ของแม่นางโจวแค่แผ่นเดียวถูกรื้อถอนเลยต่อให้ซุ้มประกาศทั้งสิบสองแผ่นของตระกูลโจวถูกทุบทิ้งหมด เธอก็ไม่มีทางยอมตายอย่างเต็มอกเต็มใจอย่างแน่นอนสิ่งเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ แม่ลูกตระกูลโจวกล่าวโทษกันไปมา ผลสุดท้ายท่านหญิงโจวถูกทำให้โกรธจน
หากแม่ลูกตระกูลโจวจะฆ่าบุตรสาวฆ่าน้องหญิงเพียงเพราะต้องการแค่ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์จริงๆ แล้วล่ะก็ จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะยอมสละเสาหลักใหญ่อย่างตระกูลโหว?พวกเขาคงไม่ยอมถอดใจเรื่องนี้ง่ายๆ แน่ชีหยวนยิ้มมุมปากแล้วกล่าวว่า “ไม่หรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้จะคลี่คลายในเร็ววัน”ฮูหยินผู้เฒ่าชีนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะอดถามด้วยเสียงเคร่งขรึมไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ?”“เพราะ พวกเขาจะทะเลาะกันเองเพื่อหาว่าใครเป็นคนเปิดเผยความจริงในตอนนั้น” ชีหยวนยิ้มบางๆ : “คนเราย่อมตายเพราะทรัพย์ สัตว์ปีกย่อมตายเพราะอาหาร สำหรับพวกเขาแล้ว ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่เป็นฐานรากของตระกูลโจวนั้นเปรียบได้กับชีวิตของพวกเขาเอง ตอนนี้ชีวิตทั้งตระกูลกำลังสั่นคลอน ด้วยนิสัยของพวกเขา คงไม่คิดทบทวนตัวเอง มีแต่จะโยนความผิดให้กันและกัน”แม่ลูกแล้วอย่างไร?เด็กสาวผู้น่าสงสารคนนั้นของตระกูลโจวหรือว่าไม่ใช่สายเลือดตระกูลโจว?ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นถึงกับตกใจเมื่อได้ยินและชีหยวนได้ลุกขึ้นยืน นางกล่าวเสียงเบา “นางจะไม่รู้สึกเศร้าหรือรู้สึกผิดให้กับลูกสาวที่ตายไปหลายปี แต่จะรู้สึกเสียใจเพราะความลับถูกเปิดเผย และกำลั
ท่านหญิงโจวถูกคำพูดของชีหยวนทำให้ขนลุกไปทั้งตัว จนเหงื่อเย็นชุ่มเต็มแผ่นหลัง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ทั้งสิ้นหวังและโกรธแค้น นางทนไม่ไหวจนต้องผลักชีหยวนไปทีหนึ่ง แล้วพูดว่า: “ถ้าเจ้ายังมาพูดจาทำให้คนตื่นกลัว กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้อีก ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงพิจารณาโทษเจ้า!”เมื่อพูดจบประโยคนี้ นางก็เหมือนได้รับความกล้า ทำสีหน้าตึงเครียดกัดฟันพูดว่า: “บุตรสาวของข้าเป็นหญิงพรหมจรรย์ที่ได้รับพระราชทานจากราชสำนัก เจ้าถึงกับกล้าดูหมิ่นเยี่ยงนี้! ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้!”ชีหยวนหลุดขำออกมา นางจ้องมองท่านหญิงโจวอย่างแน่วแน่: “ความจริงแล้ว ตอนนั้นนางไม่แต่งงานก็ได้ หลังจากที่คู่หมั้นของบุตรสาวท่านเกิดเรื่อง ก็ยังมีคนมาสู่ขอนาง ทั้งยังเป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ของนางด้วยซ้ำ...”ใบหน้าของท่านหญิงโจวซีดขาว แม้แต่ริมฝีปากก็ไร้สีเลือด ชี้นิ้วไปที่ชีหยวนพร้อมหายใจหอบหนัก“เพียงแต่...หากแต่งไปเยี่ยงนั้น นั่นก็จะไม่มีก้อนภูเขาทองแล้วใช่หรือไม่?” ชีหยวนแสยะยิ้มเย็นชา ดวงตาจ้องท่านหญิงโจวอย่างดูแคลน “ดังนั้น พวกท่านจึงใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง บังคับนางให้แต่งงาน สามเดือนต่อมา เมื่
นายท่านผู้เฒ่ารองโจวรู้สึกจนใจ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ให้ฟังเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าโจวโกรธจนแทบกระอักเลือด นายท่านผู้เฒ่ารองก็กลั้นใจพูดว่า “คำเล่าลือพูดต่อ ๆ กันไปมากเข้าจะกลายเป็นจริง หากปล่อยให้แพร่กระจายออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับตระกูลเรา เกรงว่าคงต้องขอให้ท่านและโจวผิงอดทนอดกลั้นสักหน่อย รีบไปรับภรรยาของโจวผิงกลับมา เรื่องนี้ถึงจะสงบลงได้”เรื่องภรรยาเอกเท่าเทียมนั้นก็อย่าได้คิดจะพูดถึงอีกต่อไปคงต้องหาวิธีประกาศต่อภายนอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดไม่เช่นนั้น ซุ้มประกาศเกียรติคุณที่เหลืออยู่คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วโจวผิงที่มีความรู้กว้างขวางกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเล็กน้อย เมื่อได้รับสัญญาณจากนายท่านผู้เฒ่ารอง จึงได้แต่พยายามกล้ำกลืนความโกรธในใจ ช่วยพูดปลอบฮูหยินผู้เฒ่าโจวจนสงบลงได้ในที่สุดทั้งครอบครัวจึงนำของขวัญติดตัวไปยังจวนตระกูลชีในทันทีฮูหยินผู้เฒ่าชีและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วเมื่อได้ยินว่าชีหยวนไปหาโจวคุนและให้เขาทุบซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจว ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกใจโดยเฉพาะชีฟางอวิ๋น นางอ้าปากค้างพลางร้องออกมา
หลังจากขว้างหินเสร็จ ไป๋จื่อก็แอบย่องกลับไปข้างชีหยวน แต่ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูนั่นสิ!”นางชี้ไปที่ต้นไม้ข้าง ๆ ชีหยวนจึงหันไปมอง ก็เห็นว่าลิ่วจินกำลังนั่งอยู่บนยอดไม้โบกมือทักทายนางชัดเจนว่า คนที่เริ่มนำปาไข่ไก่เมื่อครู่ก็คือเขานั่นเองช่าง...ชีหยวนไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหมุนตัวขึ้นไปบนรถม้าไป๋จื่อรีบตามขึ้นไป พลางมองชีหยวนด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ แล้วเราจะทำอะไรต่อดี?”ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงบอกว่าชอบจัดการเรื่องแบบนี้ที่แท้ การได้เห็นผู้ชายเลว ๆ ต้องขายหน้ามันทำให้มีความสุขถึงเพียงนี้นี่เอง!ใช่แล้ว ทำไมความทุกข์ยากลำบากต้องตกอยู่กับผู้หญิง แต่ผู้ชายกลับได้ประโยชน์!ควรจะให้พวกผู้ชายเลว ๆ เหล่านี้ได้รับบทเรียนอย่างสาสมเสียบ้าง!ชีหยวนเอนตัวพิงไปด้านหลัง พร้อมยิ้มบาง ๆ “ต่อจากนี้ ก็รอให้คนมาขอร้องเราเอง”บนต้นไม้ เมื่อเห็นชีหยวนขึ้นรถม้าจากไป ลิ่วจินก็ลูบคอตัวเองเบา ๆ ก่อนหันไปมองปาเป่า “ไม่รู้ทำไม ข้ารู้สึกว่าคอมันเย็นวูบวาบยังไงไม่รู้”ปาเป่ากลอกตา “เพราะมือเจ้ามันซุกซนเอง! องค์ชายสั่งให้เราคุ้มครองคุณหนูให
ชื่อเสียงของตระกูลโจวเลื่องลือไปทั่วเพราะเรื่องนี้เมื่อก่อนตอนที่ผู้คนได้ยินเรื่องราวนี้ ล้วนทอดถอนใจเป็นเสียงเดียวกันว่าบุตรีตระกูลโจวนั้นเปี่ยมด้วยคุณธรรมและจงรักภักดี และตระกูลโจวก็เป็นคนรักษาสัจจะแต่ตอนนี้ เมื่อคำพูดของโจวคุนดังออกมา เกรงว่าในอนาคต หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงคงพากันเกลียดชังโจวผิงเข้ากระดูกดำก็จริงไม่ใช่หรือ?สตรีตระกูลโจวยอมเสียชีวิตไปเพื่ออะไร? เพื่อแลกมากับการที่บุรุษในตระกูลจะใช้ชีวิตเหลวแหลกโดยไร้ความยับยั้งชั่งใจอย่างนั้นหรือ?เดิมที การมีเล็กมีน้อยไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มักเป็นเรื่องปกติในยามที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาก็ติดพันสถานเริงรมย์ พอแต่งงานแล้วก็มักมีสามภรรยาสี่อนุสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดาแต่มีเพียงตระกูลธรรมดาเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นทว่าสำหรับตระกูลโจว ในเมื่อตระกูลโจวยึดถือชื่อเสียงอันดีงามเช่นนี้ ก็ควรให้ทั้งชายและหญิงได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันมิใช่หรือ?ไป๋จื่อที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลถึงกับถ่มน้ำลายออกมาอย่างอดไม่ไหว “คนบ้าอะไร! สตรีต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณหลังคู่หมั้นตาย แต่บุรุษกลับเสเพลเลี
ตระกูลโจวนั้น แม้จะเป็นขุนนางแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก สิ่งที่ทำให้ตระกูลโจวเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริง ก็คือซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่หน้าศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว!ห่างออกไปเพียงหนึ่งหรือสองจั้ง ก็จะเห็นซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ตั้งตระหง่านอยู่สูงส่ง ตามแนวถนนรอบศาลบรรพบุรุษตระกูลโจว มีซุ้มประกาศเกียรติคุณเรียงรายถึงสิบสองถึงสิบสามซุ้มดังนั้น ถนนสายนี้จึงถูกเรียกว่าถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณโจวผิงริมฝีปากสั่นระริก เมื่อเห็นผู้คนกลุ่มใหญ่มากมายมุงล้อมถนนซุ้มประกาศเกียรติคุณอยู่ไกล ๆ เขาควบม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกระโดดลงจากหลังม้า พลางตะโกนเสียงดังลั่น “ใครทำ?! ใครกล้ามาแตะต้องซุ้มประกาศเกียรติคุณของตระกูลโจวข้า?!”แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลโจวไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันทั้งหมดดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น คนในตระกูลที่อยู่ใกล้ศาลบรรพบุรุษก็รีบมาดูสถานการณ์ทันทีในเวลานี้ นายท่านผู้เฒ่ารองโจวที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่สุดในตระกูลคนหนึ่ง ได้จับแขนโจวผิงไว้ พลางขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป!”......โจวผิงทำหน้าตางุนงง ซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์ถูกทุบ
นางร้องไห้พลางพูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไป! หรูอี้สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากข้าไม่อยู่ที่จวน ไม่รู้ว่าแม่สามีจะทำอย่างไรกับนางบ้าง!”ฮูหยินผู้เฒ่าชีโกรธจนมือสั่นเพิ่งจะกลับมาบ้านเดิมไม่ทันไร เด็กก็ป่วยเสียแล้ว ไหนเลยจะบังเอิญเช่นนี้?นี่มันชัดเจนว่ากำลังใช้ลูกมาเป็นเครื่องมือบีบคั้นตระกูลชี คิดว่าตนเองเหนือกว่าจึงไม่หวาดกลัว พวกเขามั่นใจว่าชีฟางอวิ๋นไม่อาจทิ้งลูกได้ฮูหยินผู้เฒ่าชีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่ชีหยวน “อาหยวน เจ้ามีวิธีอะไรบ้างหรือไม่?”“วิธีมีมากมายเจ้าค่ะ” ชีหยวนยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เพียงแค่ต้องดูว่าท่านป้าจะยอมเสียสละอะไรหรือไม่เท่านั้น”ฮูหยินผู้เฒ่าชีตัดสินใจแทนบุตรสาวทันที “ยอม! หากพวกเขากล้าก่อเรื่อง เราก็จะตอบโต้ด้วยเรื่องที่ใหญ่กว่า! เจ้าลงมือจัดการไปได้เลย!”พอเห็นชีหยวนเดินออกไป ชีฟางอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองคนทั้งสามในห้อง “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมพวกท่านถึงให้ชีหยวนเป็นคนจัดการเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับยิ้มบาง ๆ “เพราะไม่มีใครเหมาะที่จะช่วยเจ้าแก้แค้นไ