ยามนี้ชีจิ่นถูกส่งจากไปแล้ว สำหรับชีหยวนแล้วถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก จะได้ถือโอกาสนี้ใช้เวลากับฮูหยินและท่านโหวให้เต็มที่ เพื่อเพราะสร้างความสัมพันธ์อันดีขึ้นมา ชีหยวนเผยรอยยิ้มที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา “สาวน้อยที่โง่งม เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว” ยังกล่าวไม่ทันจบ นอกห้องก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจของเสาเย่าดังเข้ามา ไป๋อินรีบออกไปตรวจสอบดู จากนั้น ชีหยวนก็ได้ยินไป๋อินร้องเสียงดังอยู่หน้าประตูว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ! คุณหนูของพวกเรายังไม่ลุกจากเตียงเลยเจ้าค่ะ ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ!” สีหน้าของชีหยวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้ว ส่วนชีอวิ๋นถิงนั้น ได้เลิกม่านบุกเข้ามาในห้องอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว เขาไม่กล่าวสิ่งใดก็พุ่งเข้าหาชีหยวนทันที มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อขอชีหยวนขึ้นมา อีกข้างก็บีบคอของชีหยวนไว้ เค้นถามอย่างดุร้ายว่า “เจ้าบังคับให้อาจิ่นจากไป เจ้าบีบบังคับจนอาจิ่นจากไปแล้ว เจ้ามันนังสารเลว!” เจ้าคนเสียสตินี่! เหลียนเฉียวตกใจอย่างมาก นางรีบไปดึงแขนของชีอวิ๋นถิงออกอย่างสุดกำลัง “คุณชายใหญ่! ท่านปล่อยคุณหนูของพวกเราเถิดเจ้าค่ะ!” ชีหยวนก้มศีรษะลง ยกศอกขึ้น แล้วก
ทันทีที่ชีอวิ๋นถิงจากไป เหลียนเฉียวก็รีบร้องไห้เข้าไปตรวจดูลำคอของชีหยวน ชีอวิ๋นถิงมิได้ออมมือแม้แต่น้อยจริงๆ บนคอของชีหยวนปรากฏรอยจ้ำสีแดงเป็นวงรอบ ที่แค่เห็นก็ทำให้คนตกใจ ไป๋จื่อได้สติกลับมา รีบพูดอย่างลนลานว่า “ข้าจะไปหายาทา!” ทว่าอารมณ์ของทุกคนล้วนหนักอึ้ง เหลียนเฉียวยิ่งอดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ นั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของคุณหนูใหญ่เลยนะ! เดิมทียังคิดว่า หลังชีจิ่นจากไปแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้นมาแล้ว ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นลูกแท้ๆ มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคนในบ้าน ความผูกพันก็สามารถสร้างขึ้นอย่างช้าๆ ได้ ทว่าดูจากตอนนี้ ต่อให้ชีจิ่นจากไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ชีหยวนส่องกระจกพลางลูบลำคอของตน ในกระจก รอยบีบที่คอของเธอดูแล้วน่าตกใจเป็นอย่างมาก นางเคยสังหารคนมาก่อน ดังนั้นนางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า เมื่อครู่หากไม่มีคนขัดขวางแล้วล่ะก็ ชีอวิ๋นถิงคิดจะบีบคอนางให้ตายจริงๆ ตัวเขาวางแผนให้ร้ายคน ทำร้ายไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงกลับเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษแทน แต่เขากลับไม่คิดว่าตัวเองกระทำผิด สิ่งแรกที่นึกได้ คือการมาฆ่านางระบายโทสะ ครั้งนี้ฆ่าไม่สำเร็จ แล้วครั้งหน้าเล่า? เพราะตายมาแล้ว
แม้ชีอวิ๋นถิงโง่เขลา แต่ชีหยวนก็น่ารังเกียจ! นางมองชีหยวนอย่างเย็นชา “นั่นเป็นพี่ชายของเจ้า! เจ้าเพิ่งกลับมา ยังไม่เคยใช้เวลาร่วมกับเขามาก่อน เขาไม่ชอบเจ้าก็เป็นเรื่องธรรมดา เจ้าอ่อนลงหน่อย ที่ควรก้มหัวก็ต้องก้มหัว หากเจ้าลดท่าทีลงแล้ว เขาย่อมไม่มีทางไม่พอใจเจ้า ” หยุดไปครู่หนึ่ง นางเห็นชีหยวนเงยหน้าขึ้นมองตนนิ่งๆ จึงเลี่ยงสายตาไปอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง แล้วกล่าวเสียงหนักต่อว่า “เรื่องคอของเจ้า อย่าได้พูดเหลวไหลออกไป ยิ่งอย่าได้เอ่ยกับท่านพ่อของเจ้า! เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ายิ่งแย่ไปกว่านี้ รู้หรือไม่?” ตั้งแต่ต้นจนจบ นางหวังมิได้ตำหนิชีอวิ๋นถิงแม้แต่ครั้งเดียว ทว่า ชีหยวนก็มิได้รู้สึกแปลกใจแล้ว เพราะในชาติที่แล้ว หลังชีอวิ๋นถิงแต่งภรรยา ก็ยังสามารถรักษาตัวประดุจหยกไม่แตะต้องอิสตรี และยังปฏิบัติกับลูกของชีจิ่นราวบุตรในไส้ของตนอีก กระทั่งสนับสนุนองค์ชายสี่ ‘ฉีอ๋อง’ เพื่อชีจิ่นด้วย ยามนี้มาลองคิดดูแล้ว หากมิใช่เพราะมีมารดาที่ไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดีแบบนางหวังคอยให้ท้าย แล้วชีอวิ๋นถิงจะทำตัวบัดซบถึงเพียงนั้นได้อย่างไร? นางมิได้ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น “ลูกทรา
เพียงชีอวิ๋นถิงคิดว่าชีจิ่นถูกส่งไปที่บ้านพักในชนบทอย่างเร่งร้อน ก็ปวดใจอย่างที่สุด เขาเตะเสวี่ยซงไปทีหนึ่ง “เจ้าสวะ! ตอนนั้นก็ไม่รู้จักมารายงานข้า! ” เสวี่ยซงน้อยใจอย่างยิ่ง คลานขึ้นมาจากพื้นแล้วงึมงำว่า “โถ คุณชายของข้า บ่าวจะกล้าได้อย่างไรขอรับ? ท่านโหวเป็นผู้สั่งการด้วยตัวเอง หากบ่าวมารายงานท่าน นั่นไม่เป็นการหาเรื่องถูกตีหรือขอรับ?” เขาถอนใจทีหนึ่ง ชะโงกเข้าไปชี้แนะว่า “คุณชาย ตัวท่านเองก็เปิดใจหน่อยเถิดขอรับ ภายภาคหน้าคุณหนูใหญ่คงไม่มีทางจากไปแน่แล้ว ส่วนคุณหนูรองก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาได้ด้วย…” เมื่อชีอวิ๋นถิงได้ยินคำพูดนี้ ก็ราวกับจะกินคนทันที เขาโมโหขึ้นมาทันที จากนั้นก็จ้องเสวี่ยซงเขม็ง “เจ้าว่าอย่างไรนะ?! ผู้ใดบอกว่านางอาจไม่กลับมากัน?!” เมื่อถูกเขาจ้องเช่นนี้ เสวี่ยซงก็รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นมาเช่นกัน เขาอธิบายอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “คุณชายใหญ่ เรื่องบ่าวก็ฟังพวกแม่นมพูดมาเหมือนกันขอรับ บอกว่าของที่คุณหนูรองใช้เป็นประจำล้วนถูกส่งออกไปหมดแล้ว ไม่แน่ว่า ไม่แน่ว่าอาจไม่กลับมาแล้วขอรับ… ” ไม่กลับมา?! ไม่! ชีอวิ๋นถิงถีบเสวี่ยซงจนพลิกคว่ำไปในเท้าเดียว เมื่อนึกถึงนิสัยการล
นางหวังมองชีหยวนด้วยสายตาซับซ้อน นางต้องการจ้องจับผิดชีหยวนมาตั้งแต่ต้น ด้วยธรรมเนียมที่ว่าเมื่อลงจากรถม้าแล้วต้องหันกลับมาประคองผู้อาวุโสด้วย นางคิดว่าชีหยวนจะไม่ทราบธรรมเนียมดังกล่าวนี้ คิดไม่ถึงว่า ชีหยวนจะรู้จักธรรมเนียมนี้อย่างถ่องแท้! เปลือกตาของนางกระตุกเล็กน้อย เห็นฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองของตระกูลเซี่ยงเดินออกมาต้องรับจากประตูบุปผาย้อยแล้ว จึงรีบผุดยิ้มออกมา ฮูหยินใหญ่เซี่ยงและฮูหยินรองเซี่ยงยิ้มกว้าง ทักทายนางหวังก่อน แล้วค่อยมองไปยังชีหยวน ก่อนจะถามไถ่อย่างสนิทสนม “นี่คือลูกที่เพิ่งรับกลับมาคนนั้นเองหรือ?” เรื่องที่ตระกูลชีเคยทำเด็กคนหนึ่งพลัดหายไป และตามตัวกลับมาได้แล้วนั้น ถูกนำไปแจ้งให้ญาติพี่น้องสหายใกล้ชิดรับทราบทั่วกันแล้ว นางหวังยิ้มพลางผงกศีรษะ “ใช่แล้ว เพิ่งรับกลับมาได้ไม่นาน ถึงคราวต้องให้เด็กคนนี้ทำความรู้จักกับญาติพี่น้องแล้ว พวกท่านต้องมาร่วมงานเลี้ยงให้ได้นะ” ก่อนจะผินใบหน้ามองชีหยวนอีกครั้ง “แม่หนูหยวน คารวะป้าสะใภ้ของเจ้าสิ” ชีหยวนเดินขึ้นไปด้านหน้าและยอบกายทำความเคารพฮูหยินใหญ่เซี่ยงและฮูหยินรองเซี่ยง “คารวะป้าสะใภ้ใหญ่เซี่ยง คารวะป้าสะใภ้รองเซี่
การสมรสกับตระกูลเซี่ยงเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจริงแท้ ในฐานะว่าที่แม่สามี นางหวังย่อมต้องแสดงออกอย่างใจกว้างและโอบอ้อมอารีไร้ใดเปรียบ เห็นนางเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินใหญ่เซี่ยงยิ่งจริงใจขึ้นกว่าเก่า “ท่านเองก็ตามใจนางมากเกินไปแล้ว” เอ่ยพลางฮูหยินใหญ่เซี่ยงและฮูหยินรองเซี่ยงก็นำทางพวกนางเข้าไปยังโถงบุปผารับแขกด้านใน ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ฮูหยินรองเซี่ยงเดินเข้าไปกระซิบบางอย่างด้วยเสียงเบา ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยงเหลือบสายตามองตามวาจาของฮูหยินรองเซี่ยง สายตาทิ้งมองบนตัวนางหวังและชีหยวน ก่อนจะกวักมือเรียกคนเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นก็เลื่อนมือไปกุมมือของชีหยวนไว้ ประเมินครู่หนึ่ง ก็ถอดกำไลปลายเปิดซึ่งทำจากทองคำฝังทับทิมที่สวมอยู่บนข้อมือออกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเอ่ยกับชีหยวนว่า “พบหน้ากันครั้งแรก สิ่งนี้เจ้ารับไว้ใส่เล่นเถิด” กำไลข้อมือวงนั้นมองแล้วน่าจะมีราคาแพงมาก ชีหยวนเหลือบสายตามองนางหวังปราดหนึ่ง นางหวังเอ่ยอย่างร้อนใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ได้เด็ดขาดเจ้าค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ไทเฮาพระราชทานให้ท่าน จะรับของล้ำค่าเพียงนี้จากท่านเอาไว้ได้อย
ดูคล้ายว่าจะเป็นคนฉลาด ระเบียบธรรมเนียมมารยาทล้วนไม่บกพร่อง ทว่าความจริงสวยแต่รูปจูบไม่หอม ไม่น่าคบหาแม้แต่น้อย แม่นมเซี่ยงประหลาดใจเล็กน้อยกับน้ำเสียงเคร่งขรึมของนางหวัง อดไม่ได้ก็เหลือบสายตาจ้องมองชีหยวนปราดหนึ่ง กลับเห็นว่าชีหยวนสีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ราวกับว่าได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว อดไม่ไหวก็กระแอมออกมาเบา ๆ ในเมื่อไม่โปรดปรานเพียงนี้ เหตุใดฮูหยินชีถึงพาคุณหนูใหญ่ท่านนี้มาร่วมงานด้วยอีก? ส่วนชีจิ่นที่เมื่อก่อนเคยมาเยี่ยมเยือนอยู่เป็นประจำ หนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยแล้ว ทว่าสิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่บ่าวรับใช้อย่างนางต้องมาใคร่ครวญ นางทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ผงกศีรษะให้ชีหยวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วก็เดินไปด้านหลัง รูปแบบการจัดสวนบุปผาหลังเรือนของตระกูลเซี่ยงมีรูปแบบคล้ายสถาปัตยกรรมแบบซูโจว แตกต่างจากรูปแบบสี่เหลี่ยมทั่วไปในเมืองหลวง ตกแต่งได้งดงามประณีตยิ่งนัก เมื่อก้าวเข้าไปก็ราวกับว่าหลุดไปอยู่ในภาพเขียนสีน้ำหมึกของเจียงหนาน สะพานเล็กและธารน้ำไหล ศาลาพลับพลากลางสวน เรียกได้ว่าทุกมุมทุกหนแห่งล้วนเป็นทัศนียภาพงามตา ชีหยวนหลุบสายตาลง มิน่าคนจู้จี้จุกจิกอ
เหล่าคุณหนูตระกูลเซี่ยงต่างตกใจจนแข็งทื่อไปแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เหตุผลว่าอยู่ดี ๆ เหตุใดถึงได้มีชายแปลกหน้าสองคนปรากฏตัวในสวนบุปผาหลังเช่นนี้ เป็นคุณหนูรองเซี่ยงที่จำเซียวอวิ๋นถิงได้ก่อน ก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก “อ๋องจิ้ง!” นางอึ้งงันไป ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียวอวิ๋นถิงจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่เรือนหลังของตระกูลเซี่ยงได้ และคนที่นอนอยู่บนพื้นคือผู้ใด ความคิดในหัวตีกันพัลวันอลหม่านแล้ว กลับเป็นชีหยวนที่ดึงแขนเสื้อของคุณหนูรองไว้ และเตือนด้วยเสียงเบาว่า “คุณหนูรองเซี่ยง ไปเชิญผู้ที่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้มาก่อนเถิด” ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเซียวอวิ๋นถิงจะมาจับกุมคนที่เขตพื้นที่ของตระกูลเซี่ยงได้อย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าคนที่เขาจับกุมตัวคือผู้ใด แต่บุคคลผู้นั้นคืออ๋องจิ้ง ต่อให้เป็นท่านโหวเมื่อพบท่านอ๋องก็ต้องประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม ในเวลานี้ ไปเชิญคนที่สามารถเป็นนายได้มาถามไถ่ให้กระจ่างชัด ถือเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว คุณหนูรองเซี่ยงได้สติแล้ว ก็หมุนตัวกลับมาด้วยขาที่อ่อนล้าสั่งให้คนรีบไปรายงานให้เรือนหน้ารับรู้ เซียวอวิ๋นถิงจ้องมองชีหยวนคล้ายว่ามีความคิดในใจ ตอนแรกพบเด็กสาวคน
คนเรายามที่ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอย่างรุนแรง ก็มักจะเผลอใช้ความคิดฟุ้งซ่านมากลบเกลื่อนความหวาดกลัวและความตกใจของตนเองเสมอ ชีหยวนเผากริชด้วยไฟจนร้อนจัด ก่อนจะดึงหน้านิ่งและเสียบมันเข้าไปที่กระดูกสะบักซ้ายของสวีซินเฉียว จนแทงทะลุไปอีกด้านหนึ่งของเขา ทว่าหนนี้สวีซินเฉียวแม้แต่เสียงร้องก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้ ทรุดลงกับพื้นทั้งร่างสั่นเทาและชักกระตุก ดวงตาฉายประกายหวาดกลัว ชีหยวนหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างเรียบเฉยและส่งยิ้มให้สวีซินเฉียวพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าสวี ท่านจะไม่พูดก็ย่อมได้ ข้าเข้าใจ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของคนในสกุล ท่านจะไม่พูดก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งในยุทธจักรเถิด” นางเอ่ยพลาง ก็ส่ายเทียนไขในมือของตนเองไปมา “ข้าจะส่งท่านเดินทางครั้งสุดท้าย เผาท่านไม่ให้เหลือซาก จะได้ประหยัดแม้กระทั่งโลงศพด้วย ถือเป็นการทำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อชาวบ้านจี้โจวไปด้วย” ชาวหว่าล่ารุกรานเข้ามาทุกปี ชาวบ้านในที่แห่งนั้นเผชิญหายนะทุกข์ทรมานกันไปแล้วตั้งเท่าใด?! พวกเขาโหดร้ายป่าเถื่อน บุรุษถูกสังหารทันที ส่วนสตรีและเด็กก็กวาดต้อนกลับไปยังทุ่งหญ
และทันทีที่ผ้าขี้ริ้วถูกดึงออกมาจากในปาก สวีซินเฉียวไม่แม้แต่จะหยุดชะงักก็อ้าปากหมายจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทันที แต่ชัดเจนว่าความรวดเร็วของชีหยวนยังเร็วกว่าเขามาก เขายังไม่ทันได้อ้าปากส่งเสียง ชีหยวนก็จัดการยัดผ้าขี้ริ้วกลับเข้าไปในปากของเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วแล้ว และที่ยัดเข้าไปคราวนี้ก็ลึกยิ่งกว่าคราวก่อน แทบจะจุกเข้าไปถึงด้านในลำคอของสวีซินเฉียว ทำให้สวีซินเฉียวถึงขั้นพะอืดพะอมพยายามสำรอกออกมาหลายครั้ง ระดับความตื่นรู้ของคนหนึ่งคน เทียบเท่ากับระดับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาได้รับ สำหรับสวีซินเฉียวในยามนี้ก็นับเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า เมื่อใดที่สตรีตรงหน้าเอื้อนเอ่ยวาจาน้ำลายหนึ่งหยดของนางคือตะปูหนึ่งดอก หากไม่เชื่อฟังคำพูดของนางแล้ว นางจะแสดงความน่ากลัวอย่างถึงที่สุดออกมา ชีหยวนผุดยิ้มเล็กน้อยพลางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาและปักกลับไปที่มวยผมดังเดิม จากนั้นค่อยแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางขยับข้อมือไปมา “ใต้เท้าสวี ดูท่านสิ เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังกันบ้างเจ้าคะ? คนที่ไม่เชื่อฟัง จะต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะ” เอ่ยพลาง นางก็เลื่อนมือข้างหนึ่งไปปิดปากสวีซินเฉียวไว
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น สวีฮว่านก็ยิ่งระมัดระวังในการกระทำมากขึ้นไปอีกที่จวนไม่เคยจัดงานเลี้ยงหรืองานมหรสพใด ๆ เลยแม้แต่ในงานเลี้ยงวันเกิดของหญิงชรา ก็แค่ให้คนในครอบครัวทานข้าวด้วยกันมื้อเดียวแล้วก็จบกันไปเงินทองในบ้านกองเป็นภูเขา ผ้าไหมผ้าแพรก็มีมากมาย แต่ก็ไม่เคยเอาออกมาใช้แค่เห็นแต่ใช้ไม่ได้ นี่แหละถึงเป็นเรื่องที่อึดอัดใจและกลัดกลุ้มใจที่สุด!นางยังคิดว่าสวีฮว่านคงจะเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิตแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาเหมือนจะคิดตกได้ในทันทีสวีฮว่านยิ้มบาง ๆ พูดอย่างมีนัยยะว่า “เมื่อก่อนใช้ไม่ได้ แต่หลังจากนี้จะใช้ได้แล้ว”ฮูหยินสวีฟังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ก็ดีใจยิ่งนัก รีบเปิดคลังเอาหนังสัตว์ออกมา ตัดเสื้อผ้าใหม่ให้เด็ก ๆ ในบ้านกันคนละชุดที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชื่นมื่นสวีซินเฉียวออกจากบ้านสวีก็ยิ้มแย้มมีความสุขเช่นกันแน่นอนว่ามีความสุขอยู่แล้ว!สิ่งที่เขาทำ เขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นความผิดมหันต์ถึงขั้นถูกตัดหัวและฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะมีตระกูลชีเป็นแพะรับบาปไปแล้ววันขึ้นปีใหม่ บังเอิญมีเรื่องมงคล เขาดีใจจนเดินตรงไปที่หอหงเฟิ่นจินที่ค้าขายดีท
กลางดึก ของขวัญหลากสีสันที่ได้รับในคืนวันปีใหม่กองเต็มโถงบุปผา ทั้งห้องสวีฮว่านมองแวบเดียวก็ขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนส่งของโจ่งแจ้งขนาดนี้?”สวีซินเฉียวเดินออกมาจากหลังฉากกั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางหัวเราะ “อารอง เป็นข้าเอง! หลานมิใช่เพิ่งกลับมาจากจี้โจวหรือ? ก็เลยตั้งใจเอาของมาคำนับท่านอารองโดยเฉพาะขอรับ”สีหน้าของสวีฮว่านไม่ได้ดูดีขึ้นเลย พอเห็นเขาก็ตวาดเสียงดังทันที “เจ้าคนสารเลว! เจ้าคิดว่านี่เป็นที่ไหนกัน? คิดว่าเจ้าตัวเองเป็นใคร? ตำแหน่งผู้ตรวจการเมือง มันเด่นขนาดนั้น ยังไม่รู้เหรอว่ามีคนจับตาดูอยู่เท่าไหร่? เจ้ากลัวคนอื่นไม่รู้รึไงว่าเจ้ารับสินบนไปมากแค่ไหน?!” สวีซินเฉียวทำปากเบะทันที สีหน้าดูเหมือนน้อยใจ “ท่านอารอง อย่างน้อยก็ท่านช่วยดูของที่หลานเอามาก่อนเถอะ! เมืองจี้โจวน่ะ อะไรที่ไม่ค่อยมี แต่หนังสัตว์นั้นหลากหลายเยอะสุด หลานกลับมาทั้งที จะเอาของฝากมาฝากท่านอาสะใภ้ กับพวกน้อง ๆ สักหน่อย มันก็เป็นเรื่องที่สมควรไม่ใช่หรือไร? ใครจะมาตำหนิได้ล่ะ?”ว่าแล้ว เขาก็หัวเราะระรื่น พลางขยับยื่นหน้ามาใกล้ “ว่าไปแล้ว ท่านอา เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี นี่ไม่ใช่เพราะท่านอาช่วยเชื่อมโยงให้หลานได้
เมื่อเห็นว่าชีหยวนยังเงียบอยู่ เซียวอวิ๋นถิงก็เอ่ยขึ้นก่อน “พวกเขาเป็นครอบครัวทหารตระกูลชีแน่นอน และตลอดหลายปีมานี้ก็มีการติดต่อกับเผ่าหว่าล่าจริง ลักลอบค้าขายเหล็กเถื่อนกับเผ่าหว่าล่า พวกท่านแน่ใจหรือว่าไม่รู้เรื่องนี้เลย?!”ชีเจิ้นไม่สนแล้วว่าคนตรงหน้าคือพระราชนัดดา “พวกเราจะไปทำเรื่องโง่ๆ ทำลายตนเองแบบนั้นได้ยังไง?! ตั้งแต่ไหนแต่ไร แคว้นเรากับเผ่าหว่าล่าก็เป็นศัตรูกันมานาน ญาติพี่น้องของเรากี่คนแล้วที่ต้องตายในมือของเผ่าหว่าล่า เราจะไปสมคบคิดกับพวกมันได้ยังไง?!”สีหน้าของท่านโหวผู้เฒ่าชีซีดขาวราวกับเถ้าถ่านเรื่องคราวนี้เล่นงานเขาจนตั้งตัวไม่ทันจริง ๆจะจัดการยังไงดี? จะทำอย่างไรดีกันแน่?จะติดสินบนเจ้าเมืองทงโจว หม่าเซวียนไหม?ไม่ได้ เรื่องนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เบื้องหลังคนพวกนั้นวางแผนมาอย่างดี แสดงว่าจ้องเล่นงานพวกเขาเต็มที่แล้วถ้าให้หม่าเซวียนช่วยกลบเรื่อง จะยิ่งกลายเป็นหลักฐานมัดตัวว่าตระกูลเราสมคบขายชาติครั้งนี้ ดูยังไง ก็เป็นกับดักตายชัด ๆ!เซียวอวิ๋นถิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะหินเบา ๆ “คดีนี้ อย่างช้าบ่ายนี้ถูกส่งไปถึงมือกรมยุทธนาการ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกรมยุทธนาการ ยังไง
เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือท่านโหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นแน่นอนคนเหล่านี้น่าจะเป็นครอบครัวทหารจี้โจวจริง ที่มาของพวกเขาคงไม่ปลอมแปลง มิฉะนั้นจะเอาอะไรมาปรักปรำตระกูลชีได้ล่ะ?”ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาถึงได้วางแผนกันใหญ่โตถึงขนาดบุกมาลอบสังหารนางในวันขึ้นปีใหม่ ยังบุกเข้าบ้านพักตระกูลชีเพื่อสังหารหมู่ นี่เป็นการจงใจทำให้เรื่องใหญ่โต“พวกมันไม่กลัวตระกูลชีแจ้งทางการ กลัวแค่ตระกูลชีไม่แจ้งเท่านั้น!”พอแจ้งทางการไปแล้ว เรื่องถึงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องที่ตระกูลชีแอบลักลอบขนอาวุธเหล็กไปขายให้เผ่าหว่าล่าถึงจะถูกเปิดโปงวันขึ้นปีใหม่ทั้งที ให้ตระกูลชีไปตายเสียก็ดูสมเหตุสมผลใช่ไหมล่ะ?ผู่อู๋ย่งแค่นหัวเราะเบา ๆ “แจ้งทางการแล้วหรือ?”เสี่ยวสวีจื่อมือไม้กะล่อยกะหลิบ รีบยื่นมือไปรับถ้วยในมือเขา แล้วเปลี่ยนมานวดไหล่ทุบหลังอย่างเป็นธรรมชาติ พลางกระซิบว่า “คนของเราตามติดอยู่ตลอดขอรับ ตั้งแต่ต้นก็แจ้งทางการแล้ว เพียงแต่ว่า......”ผู่อู๋ย่งเลิกคิ้วขึ้น “เพียงแต่ว่าอะไร?”“เพียงแต่ว่าไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลชีจะเก่งขนาดนี้ ระหว่างทางนางคนเดียวฆ่าคนของเราไปแปดคนแล้วขอรับ แม้แต่ลิ่วจื่อที่ฝีมือดีที่สุดก็
ให้ตายเถอะ ไปมีเรื่องกับนางไม่ได้จริง ๆระหว่างทางที่มาในเมื่อครู่นี้ เขาได้เจอกับพ่อบ้านของตระกูลชีแล้ว พ่อบ้านของตระกูลชีถึงกับตกตะลึงไปแล้ว แต่ก็ยังยืนยันว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเขาตกใจกลัวอย่างมาก เหล่านักฆ่าพวกนั้นล้วนเป็นองครักษ์ของตระกูลชีที่สังหารไปเองคำพูดพรรค์นี้ ก็คงมีแค่เจ้าเมืองทงโจวเท่านั้นที่เชื่อหลอกผีอยู่รึไงชีหยวนน่ะหรือจะตกใจกลัว?!นางอาจจะทำให้พญายมตกใจกลางดึกได้ แต่ไม่มีทางที่จะถูกนักฆ่าแค่ไม่กี่คนทำให้ตกใจกลัว!ดูจากตอนนี้แล้ว ก็จริงอย่างที่คิดเลยเซียวอวิ๋นถิงจนกระทั่งเห็นนางนั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างปลอดภัย เท้าของนางเหยียบอยู่บนอกของชายคน ถึงได้ถอนหายใจออกมาช้า ๆ เดินเข้าไปใกล้อีกนิด มองชายคนนั้นแวบหนึ่งแล้วถามชีหยวนว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”“ไม่เป็นไร อยู่ดีมาก” ชีหยวนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ยังคงจ้องชายคนนั้นต่อไป “ข้าแนะนำให้เจ้าพูดให้เร็วหน่อย ข้าเป็นคนไม่มีความอดทนมากนัก ถ้าคำตอบของเจ้าไม่ถูกใจข้า หรือบิดเบือนความจริง ข้าก็รีบจะถลกหนังเจ้าไปทำกลองหนังมนุษย์เสีย ส่วนพวกพ้องของเจ้าข้าง ๆ ข้าก็จะเอาพวกเขาทำเป็นโคมไฟหนังมนุษย์ ส่งไปให้เจ้านายของเจ้าด้วย
ครอบครัวทหารของตระกูลชี?ชีหยวนเพียงแค่เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มพลางยกดาบขึ้นฟันลง ฟันนิ้วของชายคนนั้นขาดไปหนึ่งนิ้วชายคนนั้นส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นทันที“คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง?” ชีหยวนหัวเราะเยาะเสียงเย็นชา “จี้โจวอยู่ไกลจากที่นี่แค่ไหน? ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเจ้าจะเป็นครอบครัวทหารของตระกูลชีจริงหรือไม่ ข้าถามแค่ว่า ในเมื่อเป็นคนของตระกูลชี ไฉนถึงรู้ความเคลื่อนไหวของข้าล่วงหน้า มาดักฆ่าข้ากลางทาง แล้วยังจงใจบุกมาฆ่าคนในบ้านพักชนบทนี้อีกด้วย?”อย่าบอกว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นบ้าคลั่งจนเสียสติไปแล้วหากพวกเขาคลุ้มคลั่งขนาดนั้น ตระกูลชีก็คงล่มสลายไปนานแล้วส่วนคนที่เหลือ สมาชิกบ้านรองและบ้านสามของจระกูลชีต่างประพฤติตัวดี เพราะท่านโหวผู้เฒ่าชีเป็นผู้ชัดเจนมาโดยตลอด บรรดาศักดิ์เป็นของบ้านหลัก ทรัพย์สมบัติเมื่อถึงเวลาก็แบ่งกันอย่างยุติธรรมมีแต่คนเสียสติถึงสร้างปัญหากับบ้านหลักอีกอย่างถ้าต่อกรกับบ้านหลักจริง เช่นนั้นก็น่าจะไปฆ่าชีเจิ้นหรือชีอวิ๋นจื่อสิ ฆ่านางไปจะมีประโยชน์อะไร?ชีหยวนพลิกกริชในมือเล่น กริชหมุนลื่นในมือนางไหลราวกับมันมีชีวิต หมุนพลิกตามการควบคุมข
นางคิดไว้แล้วว่าจะให้พวกเขาตายอย่างไร แต่นางไม่คิดว่า พวกเขาจะใจร้อนเยี่ยงนี้! อีกทั้ง ดักซุ่มโจมตีนางกลางทางก่อน ขณะเดียวกันก็บุกเข้ามาฆ่าคนในบ้านพักชนบท ขณะที่นางฆ่าฟันศัตรู นางก็ยังมีเวลาคิดไปด้วยว่า เจ้าขันทีสุนัขนั่นคิดจะทำอะไรกันแน่?! ฆ่าเพื่อระบายความแค้นแค่นั้น? ไม่สิ พวกขันทีจิตวิปริตทั้งนั้น ยิ่งเป็นตัวประหลาดที่ควบคุมกององครักษ์เสื้อแพรได้แบบเขา จะต้องวิปริตยิ่งกว่าคนธรรมดา มันไม่มีทางแค่ต้องการทำลายบ้านพักชนบทของนางกับฆ่าคนของนาง เพื่อสั่งสอนนางเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้น บ้านพักชนบทผืนนี้……เป็นบ้านพักชนบทของตระกูลชี องครักษ์นายหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคา พุ่งกระโจนเข้าใส่ชีหยวน ชีหยวนยกมือขึ้นปล่อยเกาทัณฑ์แขนเสื้อโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย หลังจากยิงคนร่วงลงพื้นแล้ว นางก้าวเข้าไปเหยียบบนแผลเขา ย่อตัวนั่งลง ถามเสียงเย็นชา “พวกเจ้าเป็นใคร?” เจ้าขันทีสุนัขกล้าส่งคนมาฆ่าคนในขึ้นวันปีใหม่อย่างเปิดเผยแบบนี้ เช่นนั้นไม่มีทางทิ้งหลักฐานแน่นอน คนพวกนี้ไม่มีทางเกี่ยวข้องโยงใยถึงเจ้าขันทีสุนัขนั่นได้แน่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จวนโหวไม่มีทางไม่แจ้งทางการ เจ้าขันทีสุนัข