หากว่าชีอวิ๋นถิงพอจะมีมโนสำนึกสักเสี้ยวหนึ่ง มีสมองสักเสี้ยวหนึ่ง วางตัวให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นแล้ว ทว่าบัดนี้ จะพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว ชีหยวนหยัดกายลุกขึ้นยืน: “ในเมื่อข้ากล้าทำ ก็พร้อมจะยอมรับผลของการกระทำทั้งหมด หากโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้ข้าชดใช้ ข้าก็จะยอมรับ” ทว่าโหวผู้เฒ่ากลับโบกมือทันทีโดยไม่ลังเล: “อาหยวน! เจ้าทำถูกต้องแล้ว! เขาหูเบา ทั้งยังโง่เขลาและโหดเหี้ยม คนพรรค์นี้หากปล่อยให้เป็นซื่อจื่อของจวนโหวข้าต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจวนหย่งผิงโหวของพวกข้าจะต้องพบหายนะใหญ่เป็นแน่แท้” เขาย่อมรู้ว่าควรจะคัดเลือกอย่างไร ชีอวิ๋นถิงสิบคนก็ยังสำคัญไม่เท่าชีหยวนเพียงคนเดียว! ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ซับน้ำตาพลางเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้น: “เป็นเช่นนั้นจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเตือนเขามาก่อน แต่เป็นเขาเองที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เลือกเดินในทางที่บิดเบี้ยวเกินไป” เห็นเขาสองคนพูดถึงขั้นนี้ ชีหยวนเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า: “ที่ข้ามิได้สังหารเขา นับว่าให้เกียรติและไว้หน้าพวกท่านผู้เฒ่าทั้งสองแล้ว” หากเป็นคนอื
บางทีอาจเป็นเพราะความไม่ราบรื่นในช่วงนี้มีเยอะมากเกินไปจริง ๆ สภาพจิตใจของนางหวังหนักอึ้งมาตลอด แม้แต่หัวใจก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่สักหน่อยด้วย โดยเฉพาะหลังจากตอนที่ได้เห็นแม่นมสวีตายไปกับตา นางถึงขั้นฝันร้ายติดต่อกัน หลายวันที่ผ่านมานี้นอนหลับไม่สนิทนัก บัดนี้แค่เดินเพียงไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกแล้วว่าแน่นหน้าอกหายใจติดขัด ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกอึดอัดไปหมด เห็นท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีสองคนต่างนั่งรอคอยตนเองอยู่ การตอบสนองแรกของนางคือสงสัยว่าใช่ชีอวิ๋นถิงไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้วหรือไม่ มิเช่นนั้นพวกโหวผู้เฒ่าจะมีท่าทีเช่นนี้ได้อย่างไร? นางเปล่งเสียงถามหยั่งเชิงออกไป: “ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องอันใดหรือ?” แสงเปลวเทียนรุบรู่ สีหน้าของโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าดูคลุมเครือภายใต้แสงตะเกียง หัวใจของนางหวังยิ่งประหม่าเป็นกังวล แม้แต่หายใจเข้าออกยังรู้สึกลำบากเล็กน้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด โหวผู้เฒ่าถึงจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า: “มีเรื่องจำต้องบอกกับเจ้าไว้…” หัวคิ้วของเขาก็ดูจะไม่เคยคลายออกจากกันมาก่อนเช่นกัน มองไปแล้วเห็นถึงความดุดันและเข้มงวด ครู่หน
จะไม่รู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ ได้อย่างไรกันเล่า?! ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายในสายเลือดที่เติบโตในสายตาของตนเอง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีก็ทราบดีที่เรื่องมาถึงจุดนี้จะโทษชีหยวนไม่ได้คนที่สมควรกล่าวโทษที่สุดก็คือตัวชีอวิ๋นถิงเอง ที่จิตใจบิดเบี้ยว หัวใจไร้ซึ่งคุณงามความดีและความเมตตากรุณาต่อน้องสาว รองลงมาก็คือชีจิ่น ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ลืมบุญคุณ บีบจุดอ่อนของชีอวิ๋นถิง มาล่อลวงให้เขาก้าวเดินไปในทางที่ผิด ทว่ายามนี้พวกเขาสองคนคนหนึ่งก็พิการอีกคนก็ตายไปแล้ว พวกเขาได้ชดใช้ในสิ่งที่สมควรจะต้องชดใช้แล้ว เหลือก็แต่นางหวัง ฮูหยินผู้เฒ่าชีคว้าคอเสื้อของนางหวังไว้ บัดนี้ไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนโหวผู้เย่อหยิ่งอีกแล้ว มีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งที่กำลังเดือดดาล นางจ้องมองนางหวังอย่างเย็นชา: “เมื่อปีนั้นข้าเคยพูดแล้ว ให้ข้าอบรมเลี้ยงดูชีอวิ๋นถิงไว้ข้างกาย ท่านโหวผู้เฒ่าเองก็เคยบอกว่าต้องการพาเขาเข้าไปในกองทัพ มิใช่ว่าเจ้าแสร้งป่วยเพื่อปฏิเสธหรอกหรือ? มิใช่ว่าเจ้าจงใจแช่เขาเอาไว้ในน้ำเย็น ให้เขาป่วยและหมดสิ้นหนทางตามไปด้วยหรอกหรือ?!” เรื่องที่ผ่านไปนานมากแล้วเหล่านี้ บัดนี้กลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมา
ณ จวนอ๋องฉี เป็นอีกครั้งที่อ๋องฉีบันดาลโทสะใส่หมอเทวดา: “เจ้าเป็นหมอเทวดาอะไร? นานเพียงนี้แล้ว เจ้ารักษาโรคอะไรให้ข้ากันแน่ บัดนี้แล้วข้ายังไม่หายอีก!” ความอดทนของเขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางความแตกสลาย ในทุกวันเขาล้นปลอบตนเองเสมอ ว่าอีกสองวันก็น่าจะดีขึ้นแล้ว นี่คือหมอเทวดา นี่คือหมอที่ดีที่สุด! อีกไม่นานเขาจะหายกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน อีกไม่นานเขาจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง ทว่าทุกครั้งที่เต็มไปด้วยความหวัง ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นความผิดหวังที่ลึกลงมากกว่าเดิม เขาอดทนจนอดทนจนอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้ว่าฉู่กั๋วกงที่อุตส่าห์ลากสังขารป่วยปวกเปียกมาปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมเขาสุดชีวิตแล้ว ก็ยังมิอาจห้ามเขาไม่ให้คลุ้มคลั่งบันดาลโทสะ หมอเทวดาเซวียเองก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้วเช่นกัน เขาลูบเส้นผมที่แห้งแตกและพันกันของตนเอง พลางเอ่ยด้วยความหงุดหงิด: “ข้าน้อยก็ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว! ทั้งฝังเข็มและนวดรักษาข้าน้อยก็ลองมาหมดแล้ว ทว่าขาของท่านถึงขั้นกระดูกขาหักขาดจากกัน เส้นลมปราณได้รับความเสียหาย มิได้รักษาง่ายดายปานนั้น…” และเขาก็ไม่เคยตบหน้าอกประกาศกร้าวว่าตนเองสามารถรักษาใ
...... อ๋องฉีกัดฟันแน่น ถามพลางหัวเราะเยาะ: “ชีจิ่นเล่า?! นางยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกหรือ?!” สวะไร้ประโยชน์! เขามอบทรัพยากรให้นางไปมากมายเพียงนั้น อีกทั้งยังยกเกาทัณฑ์แขนเสื้อให้นาง ผ่านไปนานเพียงนี้แล้วนางกลับยังไม่ส่งข่าวดีกลับมาอีกหรือ! ขันทีสวียังไม่ทันเอ่ยวาจา จินเป่าก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าซีดเผือด ไม่สนแม้กระทั่งการเคาะประตูเสียด้วยซ้ำ เขาเข้ามาด้านในห้องก็คุกเข่าลงและโขกศีรษะกับพื้นทันที: “ท่านอ๋อง ชีจิ่น ชีจิ่นนางแขวนคอตายอยู่หน้าประตูจวนของพวกเราแล้วขอรับ!” อ๋องฉีเดิมเตรียมจะจิบชา บัดนี้ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ก็บีบถ้วยชาจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงทันที มิเพียงถ้วยชา ทว่าอ๋องฉีรู้สึกว่าฟันของตนเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงด้วยเช่นกัน สวรรค์เป็นบ้าอะไรกัน ชีหยวนนางเป็นธิดาแห่งสวรรค์หรืออย่างไร? เหตุใดนางทำอะไรถึงได้แต่ชัยชนะตลอด?! สวรรค์แซ่ชีด้วยหรืออย่างไร?! จินเป่าเห็นโลหิตไหลออกมาจากซอกนิ้วของอ๋องฉีไม่หยุด ก็ยิ่งตกใจหวาดวิตกกว่าเดิม: “ท่านอ๋อง ศพน่าจะถูกนำมาแขวนไว้ตอนกลางดึก เมื่อเช้าตอนพบร่างแข็งไปหมดทั้งตัวแล้ว ใบหน้าเขียวคล้ำ คนจำนวนไม่น้อยล้วนเห
เซียวอวิ๋นถิงรู้สึกว่าหัวเข่าของตนเองพลันเย็นวาบขึ้นมาเล็กน้อย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าที่ชีหยวนโปรดปรานการทำให้คนขาหักแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเงามืดในจิตใจเมื่อชาติก่อนฝังลึกเกินไป คิดได้ถึงจุดนี้ เขาก็ทนไม่ไหวลอบสอดสายตามองชีหยวนไปหนึ่งที เห็นนางสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ปราศจากความตื่นเต้นดีใจที่หนี้แค้นใหญ่หลวงได้ถูกสะสาง ภายในใจพลันรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ครั้นสังเกตเห็นแววตาของเขา ชีหยวนก็ผินใบหน้ามองเขาปราดหนึ่ง เห็นใบหน้าของเขาฉายประกายเวทนาออกมาวูบหนึ่ง ชีหยวนพลันรู้สึกเหมือนหนามแหลมบนตัวพลันตั้งชันขึ้นทันที: “ท่านอ๋องไยจึงมองข้าน้อยเช่นนี้? ข้าน้อยก็เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ตาต่อตาฟันต่อฟัน ผู้ใดกล้ารุกรานข้าน้อย ข้าน้อยก็จะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!” สัตว์ป่าเมื่อได้รับบาดเจ็บ ล้วนแต่ซ่อนตัวไปเลียแผลตนเองทั้งสิ้น เซียวอวิ๋นถิงเม้มปาก: “เปล่าเลย ข้าไม่เคยมองว่าเจ้าเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเลย” ชีหยวนแค่นเสียงหัวเราะเยาะในใจ ใช่หรือ? นางยอมรับว่าเซียวอวิ๋นถิงเป็นคนดี และยอมรับว่าเขาเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ทว่าเมื่อใดที่เฝิงไฉ่เวยปรากฏตัว นางก็จะ
นางก็แค่เจ็บปวดทรมานมากขึ้นเพียงเล็กน้อย มิเป็นไร นางยังทนไหว แต่แท้ที่จริงแล้วในบางครั้งสิ่งที่กดดันคนได้มากที่สุดบนโลกใบนี้กลับมิใช่ความเจ็บปวดทรมาน แต่เป็นความห่วงใยของคนอื่น นางกล่าวขอบคุณด้วยเสียงแหบพร่า: “ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” หลังจากเปิดประตู ก็เดินออกไปทันทีโดยไม่มีหยุดชะงัก สิ่งที่ไม่มีวันได้รับ นางไม่เคยแม้แต่จะคิดฝันถึงมัน ท่านเหนือกว่าผู้อื่นเสมอ แต่ข้าก็จะไม่มีวันหันหลังกลับไป เพราะศักดิ์ศรีของนางอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อกลับมาถึงเรือนสกุลชี ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีต่างก็กำลังคอยนางอยู่ ครั้นเห็นนางกลับมา ท่านโหวผู้เฒ่าชีก็เล่าข้ออ้างที่กล่าวกับนางหวังให้ฟังอย่างรวบรัด จากนั้นก็เอ่ยว่า: “แม่หนูหยวน ให้เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้เถิด” จบลงแล้ว ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีความแค้นต่อครอบครัวนี้มากมายเพียงใด แต่เมื่อชีอวิ๋นถิงได้ตายไปในนาม ทุกสิ่งก็ถือเป็นอันสิ้นสุดแล้ว ชีหยวนเปล่งเสียงรับคำ: “ตราบใดที่ไม่มีชีอวิ๋นถิงคนที่สองอีก ก็จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองเช่นกัน” นางเป็นคนยุติธรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากไม่ข่มเหงรังแกนาง เช่นนั้นนา
ก่อนหน้านี้มักจะรู้สึกเสมอว่าการกระทำเช่นนี้โหดเหี้ยมเกินไป บัดนี้ลองคิดดูแล้ว บางทีกลับกลายเป็นเรื่องดีมากกว่า มิได้มีปฏิสัมพันธ์กับนางหวังมากเกินไป และมิได้ใกล้ชิดกับชีอวิ๋นถิงและชีจิ่นมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีความผูกพันทางจิตใจและผลกระทบที่ลึกซึ้งเกินไปนัก ชีหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย: “เช่นนั้นบัดนี้เขาก็โตขึ้นมากแล้ว ร่างกายแข็งแรงขึ้นบ้างหรือยัง?” ท่านโหวผู้เฒ่าชีพยักหน้าตอบตามความจริง: “ย่อมแข็งแรงมากกว่าตอนเยาว์วัย” เมื่อตอนเยาว์วัย พวกเขาต่างสงสัยว่าเด็กคนนี้จะสามารถเติบโตขึ้นมาอย่างปกติได้หรือไม่ บางครั้งความคิดของมนุษย์ก็ซับซ้อนยิ่งนัก ในแง่ของการปฏิบัติต่อชีอวิ๋นจื่อ ดูเหมือนว่าพวกเขามิได้ให้ความสำคัญอะไร? แต่มิใช่ มันกลับเหมือนว่าพวกเขากำลังปฏิบัติต่อสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องสูญเสียไป คนเรามักจะจงใจหลีกเลี่ยงการทุ่มเทความรู้สึกและความคาดหวังที่มากเกินไปเสมอ หากเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งของที่รู้ดีว่าวันหนึ่งจะต้องสูญเสียไป เมื่อถึงคราวจะต้องสูญเสียจริง ๆ เหมือนว่าจะมิได้รู้สึกทุกข์ทรมานใจมากมายเพียงนั้น ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย: “ในเมื่อแข็งแรงกว่าเมื่อก่อน
ตีงูไม่ตาย หายนะไม่สิ้นสุด หลังจากนี้ชีวิตของชีหยวน… ไม่สิ ชีหยวนไม่มีหลังจากนี้อีกต่อไปแล้ว องค์หญิงหมิงเฉิงเบะปาก ก่อนจะร้องไห้โยเยออกมา พลางเช็ดเลือดบนใบหน้า พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้น: “ลูกได้ยินว่าเสด็จแม่ตายแล้ว เสด็จพ่อเป็นความจริงหรือเพคะ?” ดรุณีตัวน้อยยิ่งเลื่อนมือไปเช็ด คราบเลือดบนใบหน้ายิ่งปรากฏความน่าสะพรึงกลัวชัดเจนขึ้น แม้แต่ฮ่องเต้หย่งชางยังเกือบมีน้ำตาออกมา ไม่ว่าเมื่อใด ความไร้เดียงสาและความอ่อนโยนของเด็กน้อยก็มักจะกระทบจิตใจของผู้คนให้แสบสะท้านได้มากที่สุด แน่นอนว่าเซียวโม่มิใช่ว่าไม่น่าสงสาร และมิใช่ว่าจะไม่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทว่าเมื่อได้เทียบกับธิดามังกรข้างกายพระโพธิสัตว์ผู้งามเพริศพริ้งน่าเอ็นดูตรงหน้า ก็ดูจะขัดตาอยู่ชัดเจนไม่น้อย หัวใจคนย่อมลำเอียงเสมอ สายตาที่ใช้มองสิ่งของก็ลำเอียงเช่นกัน เขาลูบศีรษะขององค์หญิงหมิงเฉิง เงียบมิได้เอ่ยวาจา ทว่าท่าทีกลับผ่อนคลายลงแล้วเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หมุนศีรษะมาแล้วตะโกนว่า: “เหล่าเซี่ย นี่เจ้าตายไปแล้วหรือ? โลหิตบนใบหน้าขององค์หญิง…” ทว่าทันใดนั้นก็ชะงักงันไปอีกครั้ง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ชีหยวน: “เจ้ามาดูแลองค์หญิง
ทุกคนต่างกลั้นเสียงกลั้นลมหายใจ ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงองค์หญิงพระองค์หนึ่งที่ได้รับความรักความโปรดปรานมากเพียงนี้ จะได้รับพระราชทานความตายราวกับเป็นบทละครเช่นนี้ ไล่เฉิงหลงเหลือบสายตามองไปทางชีจิ่นอีกครั้ง…นางวางแผนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ แล้วเหตุใดถึงได้มั่นใจนักว่าองค์หญิงเป่าหรงจะต้องเล่นลูกไม้ลอบลงมือกับโอสถ? ในฐานะผู้บัญชาการทัพขององครักษ์เสื้อแพร เขาผ่านคดีมามากมายการไต่สวนก็ผ่านมามากมายเช่นกัน มองปราดเดียวก็เห็นถึงความไม่ปกติของเรื่องนี้แล้ว เป็นความจริง ที่หลักฐานทั้งหมดร้อยเรียงกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และไม่พบบุคคลต้องสงสัยคนที่สอง แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ มันดูสะอาดเกินไป เลยยิ่งทำให้ชัดเจนมากว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำจะต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแน่ บัดนี้ฮ่องเต้หย่งชางตั้งตัวไม่ทัน อีกทั้งยังถูกสถานการณ์กดดันไว้ พระชายาหลิ่วแทบจะใช้ความตายมาบีบบังคับแล้ว แม้แต่คำพูดที่ว่าจะกระแทกศีรษะตายไปพบฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ศาลบรรพชน ให้ขุนนางเสนาบดีวินิจฉัยเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมก็ยังพูดออกมา ยิ่งองค์หญิงใหญ่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางถึงขั้นบอกว่าหากไม่มอบความยุติธรรมให
แต่กลับดึงตัวเซียวโม่ขึ้นมา และผลักเขาไปยังเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชาง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง: “เซียวเสี่ยนเจียว เจ้าดูเขาสิ เจ้าลองเบิกตาดูเขาให้ดีสิ! เดิมเขาควรจะได้เป็นบุตรชายคนโตของเจ้า ควรจะได้เป็นมกุฎราชกุมารที่สืบทอดบ้านเมืองต่อจากบรรพบุรุษ แต่เจ้าดูสิว่าตอนนี้เขากลายเป็นอะไรไปแล้ว?! เซียวเสี่ยนเจียว เจ้าปล่อยให้จวนฉู่กั๋วกงทำความผิดโดยไม่ขัด คอยเข้าข้างเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย ตอนนี้แล้วยังจะปล่อยปละละเลยบุตรสาวของเจ้าอีก!” เซียวโม่มองเห็นฮ่องเต้หย่งชางก็ตกใจกลัว เห็นฮ่องเต้หย่งชางยกมือขึ้นนิ่ง ๆ ก็ทรุดตัวลงนั่งด้วยความหวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว: “ไม่เอา ไม่ ไม่ โม่เอ๋อร์มิบังอาจ โม่เอ๋อร์ไม่กล้าแอบกินหมั่นโถวแล้ว อย่าตีข้า เถ้าแก่อย่าตีข้า!” เสี้ยวพริบตาเดียวนั้น ต่อให้ฮ่องเต้หย่งชางเป็นฮ่องเต้ ก็หลับตาอย่างทนไม่ไหว เผยสีหน้าเจ็บปวดขมขื่นออกมา พระชายาหลิ่วสะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก: “เซียวเสี่ยนเจียว เจ้ายังใฝ่ฝันอยากจะเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยกย่องไปชั่วกาลอยู่ทุกวัน ไม่ผิด เจ้ากอบกู้วิกฤติต้านทานคลื่นคลั่งเอาชนะแคว้นหว่าล่า เจ้าเริ่มสร้างกองทัพเรือเตรียมพร้อมต่อต้านกลุ่
เขาย่อมเข้าใจความหมายของชีหยวนดี ในเมื่อเซียวโม่ฟื้นแล้ว สมรภูมิของคนเหล่านี้ก็จะถูกย้ายไปอยู่ที่ห้องของเซียวโม่แทนแล้ว ทว่า แบบนี้ไม่น่ากลัวยิ่งกว่าหรือ?! สถานการณ์ของเซียวโม่แต่เดิมมิได้น่ากลัวเท่าที่ชีหยวนกล่าวอ้าง แต่หมอกลุ่มนั้น กลับไม่มีผู้ใดมองออกเลยสักคน! ชีหยวนใช้วิธีอะไรกันแน่?! หนำซ้ำยังสามารถความคุมการฟื้นคืนสติของเซียวโม่ได้ตลอดเวลาอีก?! สตรีผู้นี้ โชคดีแค่ไหนที่มิใช่บุรุษ มิเช่นนั้นแล้ว หากก้าวเข้าสู่เส้นทางราชการ จะต้องเป็นคู่ต่อกรที่น่ากลัวมากแน่! เขามองชีหยวนด้วยสายตาลุ่มลึก ก่อนจะยอมรับการเป็นพันธมิตรชั่วคราวกับชีหยวน มีเหตุผลใดจะไม่ยอมรับเล่า? เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปแล้ว อ๋องฉีก็พิการไปแล้ว เดิมทีองค์หญิงเป่าหรงและองค์หญิงหมิงเฉิงน่าจะยังพอประคับประคองอำนาจและบารมีของผู่อู๋ย่งได้บ้าง แต่ทว่า ใครขอให้องค์หญิงเป่าหรงในตอนนี้ต้องแบกรับความผิดอันใหญ่หลวงถึงเพียงนี้กัน? เขาตัดสินใจเลือกข้างได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เดินไปหยุดที่เบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชาง: “ฝ่าบาท ท่านอ๋องทรงฟื้นคืนสติแล้วพ่ะย่ะค่ะ! บัดนี้กำลังร้องไห้เรียกพระชายาให้เข้าไปหาพ่ะย
แต่ทุกคนล้วนเข้าใจความหมายของเขา ก็จริง รัชทายาทที่ประชวรอ่อนแอไม่รู้ว่าจะอยู่รอดไปได้ถึงเมื่อไหร่ พูดตามความจริงอาจจะอายุสั้นกว่าฮ่องเต้หย่งชางเองเสียอีก และอีกอย่าง ตัวเขาก็นึกสงสัยในตนเองเหมือนกัน ว่าตัวเขาจะมีความสามารถนั้นหรือไม่? ครั้นคิดถึงตอนก่อนที่จะออกมา รัชทายาทที่กำลังสำราญกับเหล่าสตรีในตำหนักบูรพา แม้แต่เรื่องที่พระชายาหลิ่วกลับมายังไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชางก็มืดครึ้มลงทันที ฉับพลันทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวลงมา ตบหน้าองค์หญิงเป่าหรงไปหนึ่งฉาด ชีเจิ้นถึงกับตาลุกวาวรีบกระตุกแขนเสื้อของบิดาเฒ่าของตนเองในทันใด โหวผู้เฒ่ารำคาญเต็มที จึงถลึงตาใส่เขาอย่างดุเดือด ให้เขาสงบเสงี่ยมเรียบร้อยสักหน่อย พระชายาหลิ่วเอ่ยขึ้นก่อนผู้ใด: “เป็นอะไรไป สังหารบุตรชายข้าไม่สำเร็จ สุดท้ายกลับกลายเป็นเข้าใจผิดสังหารมารดาของตนเอง แค่ตบหน้าฉาดเดียวแล้วจะจบหรือ?” ราชบุตรเขยลู่ตอนนี้มีอะไรให้พูดอีก? น้องเขยอย่างเขา แต่เดิมก็พูดอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว แต่องค์หญิงใหญ่พูดได้! องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้ว: “เสด็จพี่เพคะ เป่าหรงอายุยังน้อย ได้รับความโปรดปรานและการเอาใจมาตั้งแต่
ก่อนหน้านี้เซี่ยอิ๋งสอนชีหยวนไว้หนึ่งประโยค: ผลกรรมหากว่าสุกงอม การกระทำใด ๆ ล้วนมิอาจหยุดยั้งการปรากฏของผลกรรมได้ บัดนี้ผลกรรมที่ว่าก็สุกงอมเต็มที่แล้ว แม่ชีในเรือนกรรมฐานขององค์หญิงเป่าหรง ยอมรับแล้วว่าตนเองได้รับคำสั่งขององค์หญิงเป่าหรงให้แกล้งเป็นลมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของชีหยวน ชีหยวนในตอนนั้นปลีกตัวออกไปจากโรงโอสถระยะหนึ่งจริง ๆ ส่วนเซียวโม่บัดนี้ชีวิตอยู่บนเส้นด้าน เพราะกินโอสถผิด ทุกสิ่งล้วนพิสูจน์ได้ด้วยความจริงเพียงหนึ่งประการ นั่นก็คือ… ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจ้องมององค์หญิงเป่าหรงที่ยังคงกรีดร้องโวยวายให้องครักษ์เสื้อแพรเข้ามาจับนางไปสังหาร ในใจผุดยิ้มบาง ๆ องค์หญิงแล้วอย่างไร? กษัตริย์ อำมาตย์ ขุนพล เป็นกันเพราะชาติกำเนิดกระนั้นหรือ? หากย้อนกลับไปสามรุ่นก่อน บรรพชนก็เป็นแค่ขอทานเท่านั้น ใครกันแน่ที่สมควรจะต้องถูกดูแคลน! องค์หญิงเป่าหรงสงบลงแล้ว นางมิได้เอาแต่ร้องตะโกนสั่งฆ่าสั่งทุบตีชีหยวนอีกแล้ว และมิได้คุกเข่าร่ำไห้อ้อนวอนขอความเมตตาจากพระชายาหลิ่วอีกแล้ว นางวิ่งไปกอดขาฮ่องเต้หย่งชาง ร้องเรียกเสด็จพ่อพลางเอ่ยวาจาถามเขาว่า: “เสด็จพ่อเพคะ ท่
… ราชบุตรเขยลู่กำหมัดแน่น ฝืนตนเองไว้ไม่ให้หัวเราะพรวดออกมา ปราดเปรื่อง! ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก! วาทศิลป์ระดับนี้ ต่อให้เป็นขุนนางตรวจการก็ยังต้องยอมศิโรราบด้วยความเต็มใจ ความสามารถในการประจบประแจงสอพลอ ต่อให้เป็นขุนนางกังฉิน ก็ยังต้องทุบโต๊ะตะโกนชื่นชม ชีหยวน ช่างเป็นบุปผาที่งดงามได้อย่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ เขาทอดสายตามองไปทางโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นด้วยสายตาชื่นชม สามารถอบรมสั่งสอนบุตรีให้เป็นคนวิเศษยอดเยี่ยมได้แบบนี้ สกุลชีไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ! โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นที่ถูกสายตาจดจ้องอยู่แบบนี้จะทำอะไรได้อีก? พวกเขาดึงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ก่อนจะคุกเข่าตามชีหยวน: “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ!” สวรรค์! ตอนนี้พวกเขาอยากได้ยาลูกกลอนเจิ้นหยวนมาบรรเทาอาการปวดศีรษะจะแย่อยู่แล้วใหตายเถิด! ฮ่องเต้หย่งชางกระแอมออกมาหนึ่งที คำพูดไพเราะผู้คนล้วนโปรดปราน แล้วฮ่องเต้มิใช่คนหรืออย่างไร? วันทั้งวันตั้งแต่เช้าถึงค่ำพวกเขาต้องทนฟังขุนนางตรวจการพ่นคำนั้นคำนี้ ยิ่งเจอคนแบบผู้ตรวจการเถี่ย ยังไม่ทันไรก็พยายามก้าวก่ายชีวิตวังหลังของเขาให้ได้ไม่เลิกรา พันสิ่งหมื่นสิ่งผ่านไป แต่การประจบสอพลอไม
นางเอ่ยพลาง น้ำตาก็ร่วงเผาะ ๆ ลงมา: “การตายของเสด็จแม่ข้าอนาถปานนี้แล้ว ท่านป้า ท่านยังจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายอีกหรือ?!” ไล่เฉิงหลงเห็นกับตาว่าชีหยวนแอบทำท่าเตะบอกใบ้พระชายาหลิ่ว เขาเบนสายตามองไปทางอื่น ทันใดนั้นพระชายาหลิ่วก็เตะเป่าหรงไปหนึ่งที ลูกเตะนี้อัดอั้นมานานมากแล้ว แม่ลูกคู่นี้น่ารำคาญยิ่งนัก! นับแต่นางกลับมาก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เอาแต่แสดงความอ่อนแอไม่หยุด เอาแต่สำนึกผิดไม่หยุด สำนึกผิดแล้ว แต่เรื่องเลวทรามชั่วช้าก็ยังคงทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดเช่นกัน ไม่เห็นว่าจะไม่เป็นธรรมเลยสักนิด เป่าหรงถูกเตะจนกระเด็นล้มไปกับพื้น มือกุมท้องน้อยแน่นพลางตะโกนร้องเรียกเสด็จพ่อในทันใด ฮ่องเต้หย่งชางขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว สวัสดิการที่เขามอบให้เกินไปจริง ๆ เรื่องนี้มิได้ผิด แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็สามารถหารือกันได้! หากว่าไม่เหมาะสม ก็แค่เรียกกรมพิธีการมาหารือ หรือจะทำตามราชวงศ์ก่อนหน้า แล้วค่อยพิจารณากฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นใหม่อีกครั้งจะเป็นอะไรไป! เหตุใดพระชายาหลิ่วจะต้องลงไม้ลงมือกับเด็กคนหนึ่งด้วย?! เขาโผเข้าไปพยุงองค์หญิงเป่าหรงขึ้นมา แต่ใครเล่าจะทราบพระชายาห
หัวใจของขันทีเซี่ยแทบจะกระเด็นออกมาถึงคอหอยสวรรค์ช่วยด้วยเถอะ!ไม่ว่าท่านอ๋องจะทำอะไรก็ลำบากไปหมดจริง ๆ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาพูดอะไร คนทั่วหล้าก็จะตราหน้าว่าเขาเป็นหลานอกตัญญู เป็นคนโง่เขลาอ่อนแอแต่ถ้าลุกขึ้นมาพูดตอนนี้ เกรงว่าในความพิโรธของฮ่องเต้หย่งชาง อาจจะปลดเขาจากตำแหน่งพระราชนัดดาองค์โตได้เลย!ไม่รู้ทำไม ขันทีเซี่ยเผลอหันมองไปทางชีหยวนโดยไม่รู้ตัวแต่ชีหยวนไม่มีเวลาสนใจว่าใครมองนางทั้งนั้น นางแค่จับชายแขนเสื้อของ พระชายาหลิ่วเอาไว้ เขย่าเบา ๆ ส่งสายตาเป็นสัญญาณ และกดเสียงลงต่ำ “พระชายา ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะทนอีกหรือ? คนที่ฆ่าท่านแม่ของท่าน จะปล่อยให้นางแย่งชิงตำแหน่งของท่าน ให้นางเข้าไปในสุสานหลวงได้อีกหรือ?”……ไล่เฉิงหลงแอบเหลือบมองชีหยวนอีกรอบเสียงกระซิบของคุณหนูใหญ่ตระกูลชีนี้ ให้มันเบากว่านี้ไม่ได้เลยหรือ?เขาเป็นถึงองครักษ์เสื้อแพรนะ!นางยังมีความเคารพขั้นพื้นฐานต่อองครักษ์เสื้อแพรบ้างหรือไม่เนี่ย?!ไม่เพียงแค่ไม่กลัว นางยังยุยงให้พระชายาหลิ่วลุกขึ้นก่อเรื่องอีกด้วย!องค์หญิงเป่าหรงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาในทันทีแม้เสด็จแม่จะตายอย