ว่าตามเหตุผลแล้ว อ๋องฉีควรอยู่แต่ในเรือนอย่างสงบเรียบร้อยถึงจะเป็นการดีที่สุด แต่ชัดเจนว่าอ๋องฉีไม่มีความคิดนี้อยู่เลย คิดได้ถึงตรงนี้ สายตาของหลิ่วจิงหงก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างทนไม่ไหว: “ท่านอ๋อง เมื่อวานท่านไปที่จวนอ๋องโจวมาใช่หรือไม่ขอรับ?” สีหน้าของอ๋องฉีพลันเปลี่ยนไปทันใด ก็หันขวับกลับมาขึงตาจ้องหลิ่วจิงหง หลิ่วจิงหงสืบเท้าถอยไปก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ แต่ไหนแต่ไรมาเขาใกล้ชิดสนิทสนมกับหลานชายคนนี้มาโดยตลอด อยู่ใต้อิทธิพลของหลิ่วกุ้ยเฟย เฉกเช่นเดียวกับอ๋องฉี ส่งผลให้พวกเขาซึ่งเป็นญาติกันทางฝ่ายมารดาสนิทสนมใกล้ชิดกันมากเป็นที่สุด ทว่าระยะนี้ เขามีความรู้สึกอยู่เสมอว่าอ๋องฉีดูคล้ายเปลี่ยนไปแล้ว ในทุกการกระทำรวมถึงทัศนคติที่มีต่อสกุลหลิ่ว ล้วนเผยให้เห็นถึงความห่างเหินชัดเจน การเปลี่ยนแปลงนี้ หลิ่วจิงหงเองก็ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และเพราะว่าไม่รู้ จึงรู้สึกกังวลและเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หลิ่วจิงหงเริ่มเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวขององครักษ์ลับมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น เมื่อวานครั้นได้ยินฮูหยินใหญ่หลิ่วบอกว่าชีหยวนประจันหน้ากับนักฆ่าที่จวนอ๋อง
ฉู่กั๋วกงตำหนิด้วยเสียงเย็นชา: “เจ้าสวะไม่เอาไหน!” ในบรรดาบุตรหลานของขุนนางชั้นสูงหลิ่วจิงหงนับว่ามีความสามารถโดดเด่นเก่งกาจมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่หรือการปฏิบัติตัวล้วนแต่น่าชื่นชม เพิ่งเคยถูกขึ้นเสียงตำหนิใส่หน้าโครม ๆ เช่นนี้เป็นครั้งแรก จู่ ๆ ก็ถูกฉู่กั๋วกงด่าทออย่างรุนแรงเช่นนี้ เขาพลันอึ้งงันไปทันที: “ท่านพ่อ หรือท่านไม่ทราบว่าหมิงจูนาง…หมอหลวงบอกว่า นางร่วงลงมากระแทกพื้นรุนแรงเพียงนี้ กระทบถึงเลือดลม หลังจากนี้อาจตั้งครรภ์ไม่ได้แล้ว! ท่านจะให้ข้าอดทนกล้ำกลืนโทสะนี้ไว้อย่างไร?” เขามุ่งมาดปรารถนามาตลอดว่าจะให้บุตรีของตนเองสมรสกับอ๋องฉี และเดิมหลิ่วกุ้ยเฟยเองก็ยินดีที่จะเห็นเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงเช่นกัน ในท้ายที่สุดสัมพันธ์เครือญาติจะได้ใกล้ชิดแน่นแฟ้นขึ้น ทว่าบัดนี้หลิ่วหมิงจูกลับล้มบาดเจ็บ มิหนำซ้ำร่างกายหลังจากนี้ก็ไม่น่าจะดีมากนัก ทำให้เรื่องนี้ถูกปกคลุมด้วยเงามืดไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย พูดได้เลยว่าอนาคตของหลิ่วหมิงจูได้พังทลายลงแล้ว “นั่นเป็นเพราะนางไร้ฝีมือสู้อีกฝ่ายเอง จะโทษใครได้?” ฉู่กั๋วกงสีหน้าเย็นชา ตำหนิอย่างไร้ความปรานี: “ในเรือนเลี้ยงดูทะนุ
ฉู่กั๋วกงตัดสินใจทันใด: “จะใช่หรือไม่ เพียงถามดูก็รู้แล้ว” เขาเอ่ยพลาง ก็เรียกให้คนสนิทของตนเองเข้ามา และออกคำสั่งด้วยเสียงเบา ราวครึ่งชั่วยามให้หลัง คนก็กลับมา พร้อมกล่าวรายงานว่า: “หลังออกจากเมืองคุณหนูใหญ่ชีท่านนั้นมิได้เดินทางขึ้นเขาป๋ายอวิ๋นซานขอรับ ทว่ามุ่งหน้าตรงไปยังทิศของเมืองเหอหนานขอรับ คนของพวกข้าเพิ่งสืบทราบมาได้ว่า ท่านอ๋องเองก็มุ่งหน้าไปที่แห่งนั้นเช่นกัน” เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะพอดี! หลิ่วจิงหงเหลือบสายตามองไปยังฉู่กั๋วกงอย่างอดไม่ได้: “ท่านพ่อ!” “ข้ามิได้หูหนวก!” ฉู่กั๋วกงแค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า: “ข้าให้ท่านแม่ของเจ้าแวะเข้าไปในวัง ไปถามกุ้ยเฟยก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเถิด” หลิ่วจิงหงได้แต่ฝืนใจข่มอารมณ์ไว้และตอบรับคำ ทางฟากตระกูลชีในขณะเดียวกัน ชีเจิ้นเองก็เข้าวังแล้วเช่นกัน ฟังว่าชีเจิ้นมาขอเข้าเฝ้า ฮ่องเต้หย่งชางก็ปล่อยองค์หญิงหมิงเฉิงลง ก่อนจะหันไปยิ้มกับเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยและตรัสว่า: “หลังพ้นปีใหม่เป่าหรงของพวกเราก็วัยครบสิบห้าแล้ว จะต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ข้าตั้งใจจะให้เจ้าหน้าที่กรมวังและกรมบวงสรวงดำเนินการจัด
หลิ่วกุ้ยเฟยรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้เป็นที่สุด รับนางเข้ามาในวังหลวง คอยอบรมเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยิ่งทำให้มีความคิดจะกระชับความสัมพันธ์เครือญาติให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยให้หลานสาวคนนี้แต่งแก่บุตรชายของตนเอง ยิ่งนางรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากเพียงใด ก็ยิ่งมีความเกลียดชังชีหยวนที่ทำให้หลานสาวต้องประสบเหตุไม่คาดฝัน “เป็นแค่บุตรีจากจวนโหวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง!” หลิ่วกุ้ยเฟยกระตุกมุมปากอมยิ้มอย่างเยือกเย็น: “นางคิดว่านางเป็นใครกัน?” ก่อนหน้านี้ทำให้อ๋องฉีต้องเดือดร้อน หลิ่วกุ้ยเฟยมีความทรงจำกับชีหยวนมาตั้งแต่เมื่อครานั้น เพียงแต่เมื่อตอนนั้น นางกลับรู้สึกว่านั่นเป็นเพียงแค่มดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่คู่ควรให้นางต้องขยับแม้กระทั่งปลายนิ้วเสียด้วยซ้ำ ทว่าบัดนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ต้องรู้ว่า แม้จะเล็กเท่ามดเท่าปลวกตัวหนึ่ง แต่หากกัดคนขึ้นมาแล้วก็เจ็บมากเช่นกัน นางกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์: “ท่านแม่มีเมตตาเกินไปแล้ว” สวะไร้ค่าเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง แค่ขยับปากก็บดขยี้ให้ตายได้แล้ว จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร? ฮูหยินผู้เฒ
หลิวอันมิบังอาจปกปิด “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมั่นใจว่าแม่นางใหญ่สกุลชีไปหาพระชายาอ๋องหลิ่ว ด้วยเหตุนี้จึงไล่ตามออกจากเมืองพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วกุ้ยเฟยสูดลมหายใจเยือกเย็นเฮือกหนึ่ง: “เสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว!” นางข่มโทสะไว้ไม่ไหว ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ควรจะสั่งองครักษ์ลับ ให้ไล่ตามชีหยวนไป รอกระทั่งชีหยวนพบพระชายาหลิ่วแล้ว ค่อยสังหารทั้งชีหยวนและพระชายาหลิ่วไปพร้อมกัน ทำแบบนี้แล้วไยจะต้องให้อ๋องฉีไปด้วยตนเองด้วย! หลิ่วกุ้ยเฟยโกรธกรุ่นจนทนไม่ไหว: “บุตรผู้สูงศักดิ์ ย่อมไม่เสี่ยงภัยโดยไม่จำเป็น! นับวันเขายิ่งถอยหลังลงทุกวันแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วกลับสังเกตถึงความผิดปกติได้อย่างเฉียบคม: “กุ้ยเฟย เดิมทีท่านอ๋องจะแจ้งเรื่องนี้กับจิงหงเลยก็ย่อมได้ หรือจะกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการก็ย่อมได้ ทว่าท่านอ๋องกลับไม่ทำเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังปิดบังจิงหง…” น้ำเสียงของนางเคร่งขรึมยิ่งนัก: “เกรงว่าเหตุผลที่ท่านอ๋องต้องเดินทางไปด้วยตนเอง จะเป็นเพราะต้องการทิ้งหนทางรอดชีวิตสักทางหนึ่งไว้ให้ชีหยวน” กล่าวอีกนัย อ๋องฉีปฏิบัติต่อชีหยวนค่อนข้างแตกต่างจริง ๆ มิเช่นนั้น เรื่องนี้จะไม่ซับซ้อนแม้แต่เสี้ยวเด
เพราะสับเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าพำนักในศาลาพักม้าได้ตามแผนการที่กำหนดไว้ก่อนหน้า เมื่อไม่มีศาลาพักม้าให้อ้างแรมแล้ว ทุกคนจึงได้แต่กินลมห่มน้ำค้าง หากระท่อมที่พอกันฝนได้พักเท้าชั่วคราว และทันทีที่ปาเป่าพร้อมลิ่วจินเข้ามาในกระท่อม สีหน้าก็ย่ำแย่ลงเล็กน้อย กระท่อมหลังนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นโดยนายพรานล่าสัตว์ สามารถใช้แวะพักผ่อนชั่วคราวได้ระหว่างเดินทางขึ้นภูเขา และเป็นเพราะเหตุผลนี้เอง ทำให้กระท่อมหลังนี้นอกจากส่วนหลังคาแล้ว ส่วนอื่นแทบไม่มีอะไรป้องกัน ลมฝนสามารถพัดเข้ามาได้ทั้งสี่ด้าน ไม่เพียงเท่านี้ กระท่อมหลังนี้มีเพียงกองฟางแห้งกองหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเลย ชีหยวนออกเดินทางอย่างกะทันหัน ซ้ำร้ายยังไม่มีคำสั่งให้พวกเขาเตรียมสิ่งใดไว้ ดังนั้นบนรถม้าจึงไม่มีข้าวของอื่นใดเลย นอกจากผ้าห่มหนึ่งผืนที่วางอยู่ในช่องเก็บของติดผนังมาตั้งแต่แรก และไม่มีสิ่งของอื่นใดอีกแล้ว องครักษ์คนหนึ่งจุดคบเพลิงขึ้น ก่อนจะบ่นอย่างไม่สบอารมณ์: “คุณหนูใหญ่ท่านนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? ทั้งที่มีเส้นทางที่กำหนดไว้แล้วกลับไม่เดินตาม เปลี่ยนเส้นเส้นทางเองตามใจชอบ ยอดเยี่ยม
อ๋องฉีถึงจะฝืนใจฟังคำแนะนำของผู้ใต้บังคับบัญชา หยุดเดินทางเพื่อพักผ่อนฟื้นฟูกำลัง การเดินทางในคืนหิมะตกความจริงแล้วค่อนข้างทรมานคนทีเดียว ต่อให้อ๋องฉีจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่กระนั้นก็ยังถูกความหนาวเย็นเล่นงานไปไม่น้อย สีหน้าในยามนี้เริ่มกลายเป็นสีเขียวคล้ำขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว พวกเขาไม่เลือกพำนักที่ศาลาพักม้า ทว่าพำนักในเรือนแรม คนใต้บังคับบัญชาล้วนรู้ดีว่าอ๋องฉีเป็นผู้สูงส่งล้ำค่า ครั้นเข้าประตูไปก็สั่งให้เจ้าของเรือนแรมไปบอกลูกน้องให้ต้มน้ำเตรียมไว้ ไม่นานนัก น้ำร้อนก็ถูกยกมาส่งในห้องอ๋องฉีแล้ว อ๋องฉีอาบน้ำร้อนเรียบร้อย ค่อยรู้สึกว่าตนเองได้มีชีวิตกลับมาเสียที ก็มานั่งลงข้างหน้าต่างพลางเลิกคิ้วถามผู้ใต้บังคับบัญชาว่า: “ทางไป๋หู่แจ้งมาว่าอย่างไรบ้าง? เจอตัวนางหรือไม่?” ระยะเวลาที่พวกเขาออกจากเมืองตามอีกฝ่ายที่เดินทางออกมาก่อน ความจริงก็ห่างกันไม่นานมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นชีหยวนนั่งรถม้า ทว่าเขาตะบึงอาชา หากคำนวณจากความเร็วการเดินทางแล้ว บัดนี้เขาควรจะไล่ตามชีหยวนทันแล้วถึงจะถูก จูเชวี่ยยังไม่ทันเอ่ยวาจา ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง อ๋องฉีจิบชาร้อนไปหนึ่งคำก่อนจะเอ่ยว
ชีหยวนยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “ก็ใช่ ข้าให้พวกเจ้าปกป้องข้ามาตลอดทาง ซึ่งตลอดทางนี้ พวกเจ้าก็ปกป้องข้าแล้วมิใช่หรือ? เพียงแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่ไปต่อแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องปกป้องแล้ว”ปาเป่าที่ปกติเป็นคนอารมณ์ดี และนับถือชีหยวนเป็นอย่างมากมาโดยตลอดเพราะไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ สติปัญญา หรือวิธีการทำงาน คุณหนูใหญ่ชีต่างจากหญิงสาวทั่วไปโดยสิ้นเชิงแต่คราวนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “คุณหนูใหญ่ชี นี่ท่านกำลังล้อพวกข้าเล่นอยู่หรือ?”คนจำนวนมากที่เดินทางมาพร้อมชีหยวน เตรียมพร้อมที่จะคุ้มกันนางไปตลอดเส้นทางสู่ฝูเจี้ยนแต่ตอนนี้ หลังจากที่ชีหยวนตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางอย่างกะทันหันโดยไร้เหตุผล กลับบอกให้พวกเขาเดินทางต่อไปเอง ส่วนนางจะไม่ไปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน?ในขณะที่พวกเขากำลังโกรธ ชีหยวนกลับมีท่าทีที่ผ่อนคลายจนแปลกจากปกตินางบอกให้พวกเขาใจเย็นลง รอจนพวกเขาทั้งสองคนสงบสติอารมณ์ได้ จึงพูดขึ้นเบา ๆ “ข้าไม่ได้ล้อพวกเจ้าเล่น แต่การที่ข้าสั่งเปลี่ยนเส้นทางเองนั้น เพราะข้าต้องการหลอกล่ออ๋องฉีให้มาที่นี่”อ๋องฉี...ปาเป่ากับลิ่วจินสบตาก
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหวังพลันดูลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามตีคลี ทุกคนต่างรู้กันดีหลิ่วหมิงจูทะเลาะกับชีหยวนจนถึงขั้นแตกหักกัน ตระกูลหลิ่วยังถึงขั้นเคยบุกไปที่จวนตระกูลชีเพื่อทวงความเป็นธรรมอีกด้วยทว่าคุณชายรองตระกูลหลิ่ว กลับถูกท่านโหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้น ทำให้ต้องกลับไปมือเปล่าอย่างน่าโมโห บัดนี้ ฮูหยินฉู่กั๋วกงกลับเอ่ยถึงชีหยวนขึ้นมาอีก ตาขวาของฮูหยินผู้เฒ่าหวังพลันกระตุก นางจึงกล่าวเลี่ยงๆ ว่า: “นางยังไม่เคยออกงานเลี้ยงมาก่อน ยังค่อนข้างขี้อาย ตอนนี้กำลังเล่นอยู่กับน้องหญิงของนางที่เรือนหลัง นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง คงพูดจาผสมโรงกับพวกเราไม่ค่อยได้”ฮูหยินฉู่กั๋วกงยิ้มจางๆ : “จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เด็กสาวคนอื่นอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง แต่หลานสาวของท่านผู้นี้ ใครจะมองว่านางเป็นเพียงเด็กกันเล่า? ข้าก็เคยได้ยินแต่เพียงชื่อเสียงของนาง แต่ยังไม่เคยพบตัวจริงมาก่อน จึงอยากรู้เป็นพิเศษ ฮูหยินผู้เฒ่าก็อย่าหวงนักเลย”กลุ่มสตรีต่างผลัดกันพูดคุยอย่างออกรสฮูหยินผู้เฒ่าหวังที่เริ่มรับมือไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้น ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกงานเลี้ยงในวันนี
ใครจะรู้ว่าเมื่อพุ่งเข้าไปกลับคว้าได้เพียงอากาศ นอกจากลูกดอกที่นางยิงมาไม่กี่ดอก กับกิ่งไม้ใหญ่ที่ถูกเหยียบจนเรียบ พิสูจน์ให้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนอยู่ที่นี่คนหนีไปแล้วงั้นหรือ?มือของชีหยวนกำกริชแน่น ดวงตาที่เย็นชากวาดมองเศษกิ่งไม้และใบไม้บนพื้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากกำแพง จึงยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณเซียวอวิ๋นถิงกระโดดลงมาอย่างมั่นคงข้างนาง กดข้อมือนางไว้ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์: “ข้าเอง!”ชีหยวนมองเขาด้วยความสงสัย “เหตุใดท่านอ๋องถึงอยู่ที่นี่ได้?”เซียวอวิ๋นถิงรู้สึกปวดใจเรื่องที่ควรเตือนก็ให้ลิ่วจินคอยเตือนแล้ว ใครจะรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้กลับไม่สนใจเลย รู้ทั้งรู้ว่าข้างหน้าคือกำแพงใหญ่ แต่นางก็ยังคงต้องการที่จะพุ่งชนมันให้พังทลายแล้วเขาจะทำอะไรได้อีก?!เซียวอวิ๋นถิงไอออกมา สายตาของเขามองข้ามนางไปยังร่างของอ๋องเฉิงที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกล นัยน์ตาถึงกับสั่นไหวในทันที: “เจ้าฆ่าอ๋องเฉิงแล้ว!”อ๋องเฉิงกับอ๋องโจวนั้นเหมือนกัน ตามศักดิ์แล้วเขาควรเรียกว่าท่านปู่น้อยถึงแม้หลายปีมานี้อ๋องเฉิงจะใช้ชีวิตลุ่มหลงในกามารมณ์และไร้คุณธรรม เป็นที่รู้กันว่าเขาทรมานและสังห
หรือว่าจะกระชากทั้งตัวนางให้ร่วงลงพื้นไปเสียเลย ถึงตอนนั้นกระแทกพื้นจนสับสนมึนงง จากนั้นก็ฉีกเสื้อผ้านางออก เช่นนั้นเขาก็จะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้?บรรดาหญิงสาวผู้สูงศักดิ์พวกนั้นล้วนแต่แข็งทื่อ ไร้ชีวิตชีวา ไม่ต่างอะไรกับปลาตายแต่เด็กสาวตรงหน้ากลับต่างออกไป เขาแทบจะจินตนาการได้เลยว่า นางจะดิ้นรนขัดขืนบนพื้นอย่างสิ้นหวังเพียงใด แค่คิดก็ทำให้เลือดในกายเขาเดือดพล่านแล้วชายกระโปรงถูกเขาคว้าไว้ได้ดังใจหวังอ๋องเฉิงหัวเราะเบาๆ : “จับเจ้าได้แล้ว”ชีหยวนก็หัวเราะเช่นกันนางโปรยผงใส่หน้าอ๋องเฉิงอย่างฉับพลัน พร้อมกับยิ้มจางๆ : “เจ้าติดกับแล้ว”ทันทีที่ผงนั้นเข้าตา อ๋องเฉิงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดแผดเผาอย่างบรรยายไม่ถูก ราวกับเปลวไฟลุกลามไปทั่วลูกตา จนเขากรีดร้องออกมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้สีหน้าของชีหยวนยังคงเรียบเฉยนางรู้ดี สำหรับนักฆ่าที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วนเช่นนาง ต่อให้พกของมากแค่ไหนก็ไม่นับว่ามากเกินไปตรงหน้ามืดบอดสนิท น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่หยุด คนเราเมื่อสูญเสียการมองเห็น ก็ย่อมสูญเสียความรู้สึกปลอดภัยไปด้วยอ๋องเฉิงเจ็บปวดมากจนต้องใช้มือทั้งคู่ขยี้ตาอย่างบ้าคลั่งทัน
สีหน้าของอ๋องเฉิงเรียบนิ่ง บิดคอสาวใช้อย่างง่ายดายแล้วเหวี่ยงไปด้านข้าง มืออีกข้างก็ตะปบข้อเท้าของชีหยวนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระชากนางเข้าหาตัวขาอีกข้างที่ถูกจับไว้ ทำให้ชีหยวนเสียหลัก ร่างกายท่อนบนของนางเอนล้มไปด้านหลังอ๋องเฉิงแสยะยิ้มอย่างไม่ยี่หระ : “ที่แท้ก็เป็นลูกแมวน้อยที่ชอบข่วนคนสินะ”เขากระชับข้อเท้าของชีหยวน จู่ ๆ ก็ออกแรง โน้มตัวลงใช้ปลายจมูกไล้ไปตามข้อเท้าของชีหยวน: “ช่างมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ”ชีหยวนเพียงรู้สึกขนลุกซู่แล่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง แรงอาฆาตโหมกระหน่ำในใจ ขณะที่แผ่นหลังนางกระแทกลงไปกับพื้นอย่างแรง ก็รีบสะบัดมือ ปล่อยเกาทันณฑ์แขนเสื้อพุ่งตรงไปยังอ๋องเฉิงทันทีอ๋องเฉิงไหวตัวเร็วมาก แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกดอกถูกปล่อยออกมา เขาสะบัดมือปล่อยข้อเท้าของชีหยวน พร้อมกับเอนศีรษะหลบไปด้านข้างลูกดอกเฉียดแก้มของเขาไปอย่างฉิวเฉียด ทิ้งรอยแผลลึกไว้บนใบหน้าซีกซ้ายของเขาสีหน้าของอ๋องเฉิงเคร่งขรึมไปทันที มือซ้ายของเขาแตะรอยแผล สัมผัสได้ว่ามีเลือดติดมือ สีหน้าของเขามืดดำราวกับพายุที่กำลังจะโหมกระหน่ำ: “ตอนแรกคิดว่าเป็นแมวป่าตัวน้อยตัวหนึ่ง รู้สึกน่าสนใจดี แ
นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย มือแตะลงบนรอยแผลเป็นอยู่ชั่วขณะพลางเอ่ยถามเบาๆ: “บาดเจ็บได้อย่างไร?”ชีหยวนดึงแขนเสื้อให้เรียบร้อย โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังไม่ได้เห็นแขนอีกข้าง ที่ยังผูกมีดเกาทัณฑ์แขนเสื้อเอาไว้อยู่นางตอบเสียงเรียบ: “หลานจำไม่ได้แล้ว คงเป็นตอนที่ช่วยเชือดหมูช่วงปีใหม่ปีใดปีหนึ่ง แล้วพลาดถูกมีดเชือดหมูบาดเข้า”นางจำไม่ได้แล้วจริงๆ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังกลับแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วนางก็คิดไว้แล้วว่า ความสามารถต้องแลกมาด้วยราคาเสมอเด็กสาวที่สามารถยึดบังเหียนไว้ได้แม้ในขณะที่ตกจากหลังม้า ในชีวิตนี้ย่อมผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนขณะนั้นเอง มีเสียงรายงานจากข้างนอกว่า คนจากจวนฉู่กั๋วกงและจวนเฉิงกั๋วกงมาเยือนฮูหยินผู้เฒ่าหวังสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา: “เด็กดี ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าไปเล่นกับน้องหญิงของเจ้าก่อนเถิด เดี๋ยวไว้เราค่อยคุยกันอีก”ชีหยวนรับคำ เมื่อเห็นหวังฉานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและดึงตัวนาง ก็ก้มหน้าลงซ่อนแววตาที่เย็นชาฮูหยินฉู่กั๋วกงมาแล้ว ดูท่าปัญหาคงใกล้เข้ามาแล้วหวังฉานจูงมือนางเดินออกไป ตลอดทางนางร่าเริงเหมือนลูกกวางตัว
นางหลู่ในฐานะสะใภ้ใหญ่ของตระกูล ต้องเป็นผู้จัดงานวันเกิดให้แม่สามี จึงยุ่งจนหัวหมุนเมื่อพบนางหวัง ก็ยังถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่า: “อาการป่วยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้ในเรือนยุ่งกันมาก ไม่รู้ว่าโสมที่ส่งไปให้ ได้ใช้หรือไม่?”หัวข้อสนทนาภายในบ้านเหล่านี้ ทำให้นางหวังรู้สึกดีขึ้นมาก นางไอออกมาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียว: “ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหรอก แค่เป็นหวัดนิดหน่อยเท่านั้น พี่สะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว”นางหลู่เพียงยิ้ม แล้วดึงชีหยวนเข้ามาหา “เจ้าเด็กคนนี้ งานแข่งตีคลีเมื่อคราวก่อน เจ้าแสดงความสามารถจนเป็นที่กล่าวถึงไปทั่ว วันหน้าลองพาน้องหญิงของเจ้าไปฝึกขี่ม้าเสียหน่อยสิ! นางเอาแต่รบเร้าข้าทุกวัน ให้ข้าช่วยขอให้เจ้ามาเป็นอาจารย์ของนาง!”บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที นางหวังรู้สึกซับซ้อนในใจ...... นอกจากตัวนางกับชีอวิ๋นถิงแล้ว ดูเหมือนชีหยวนจะอ่อนโยนกับทุกคนได้หมดนางหลู่ยิ้มแย้มพลางจูงชีหยวนไปคารวะอวยพรวันเกิดแก่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังทว่าอารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าหวังในเพลานี้กลับไม่ดีนัก กล่าวด้วยเสียงต่ำ: “ก็แค่วันเกิดครบหกสิบปีของข้า อีกทั้งตำแหน่งของข้านั้นก็ไม่สูงส่งอะไร ยังมีฮูหยินตรา
ชีหยวนปล่อยชายแขนเสื้อกว้างลง ปกปิดเที่กาทัณฑ์แขนเสื้อ ก่อนลุกขึ้นยืนส่องกระจก ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต จึงหัวเราะเบา ๆ “ไม่มากหรอก ไม่มากเกินไปเลยสักนิด”อาวุธทุกชิ้นล้วนสามารถใช้รักษาชีวิตในช่วงเวลาคับขันได้ นางไม่เคยออกศึกที่ไม่มีความมั่นใจครานี้ผู้ติดตามออกไปพร้อมชีหยวนไม่ใช่ฮูหยินรองชี แต่เป็นนางหวังเดิมทีนางหวังถูกส่งให้ไปพักรักษาตัวที่เรือนนอกเมือง แต่ใครจะคาดคิดว่านางจะหมดสติในรถม้าระหว่างเดินทางออกจากเมือง และนอนป่วยเรื้อรังจนไม่อาจออกเดินทางได้บัดนี้ เป็นวันเกิดครบหกสิบปีของมารดานาง ในฐานะบุตรสาวแท้ ๆ ย่อมต้องไปร่วมงานภายในรถม้า ทั้งสองนั่งประจันหน้า นางหวังมองพิจารณาชีหยวนด้วยแววตาซับซ้อนเดิมนางคิดว่าเด็กที่เติบโตขึ้นในเรือนนอกเมืองและลิ้มรสความทุกข์ยากมาทุกรูปแบบ เมื่อกลับมาคงเป็นเพียงคนที่ค้อมตัวเจียมเนื้อเจียมตัว หวาดกลัวทุกสิ่งทว่า ชีหยวนกลับแตกต่างจากที่นางคาดคิดไปโดยสิ้นเชิงนางนึกถึงคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของชีเจิ้น นึกถึงถ้อยคำกำชับของท่านโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าก่อนออกจากจวน จึงพยายามปรับสีหน้าให้อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “เรื่องในอดีต อวิ๋นถิงผ
ชีหยวนมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความฉงน “ข้าดูเหมือนจะไปฆ่าคนหรือเจ้าคะ?”......ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนหัวเราะออกมาหรือว่ามิใช่เล่า?ออกไปคราใด มีหรือจะไม่คร่าชีวิตคนกลับมา?นางสูดลมหายใจลึก กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้บอกว่าเจ้าเหมือนจะไปฆ่าคนเสียหน่อย ข้าหมายความว่าหากเลี่ยงได้ก็อย่าฆ่าเลยจะดีกว่า”แม้ว่าทุกครั้งที่ฆ่าคนชีหยวนจะมีวิธีเก็บกวาดร่องรอยอย่างไร้ที่ติ แต่ว่าเดินริมฝั่งแม่น้ำเป็นประจำ มีหรือรองเท้าจะไม่เปียกน้ำ?สุดท้ายแล้ว ก็ไม่อาจฆ่าทุกคนที่คิดต่อต้านนางได้หมดกระมังการฆ่าฟัน หาใช่วิธีแก้ปัญหาไม่ชีหยวนไม่มีทีท่าว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน นางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ท่านย่า ท่านกล่าวเช่นนี้ไม่สมกับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลแม่ทัพเลยนะเจ้าคะ”ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางด้วยความคลางแคลงใจเพียงเห็นชีหยวนยิ้มบาง ๆ มองนางมาด้วยดวงตาส่องประกาย “ในปีนั้นฉู่กั๋วกงนำทัพเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่ถูกโค่นบัลลังก์ ครั้นตีเมืองเจียงอินอยู่นานแต่ไม่สำเร็จ จึงมีความแค้นสุมอก สุดท้ายจึงสั่งให้สังหารชาวเมืองสามวันติด สุดท้ายเมืองเจียงอินถูกกวาดล้างจนสิ้น เหลือรอดเพียงคนชราและเด็กไม่ถึงสามร้อยคน...”ช
ชีจิ่นตะลึงงันไปโดยพลัน ครานี้จึงเพิ่งตระหนักว่าขาของอ๋องฉีดูเหมือนจะบาดเจ็บ เขาถึงกับไม่อาจลุกขึ้นได้ในฉับพลัน!เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!ในความทรงจำของนาง อ๋องฉีเองก็เชี่ยวชาญวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ มีองครักษ์ล้อมหน้าล้อมหลังไม่น้อย ไฉนถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้?ทว่าเมื่อเห็นอ๋องฉีในสภาพนี้ นางก็ไม่กล้าซักถามสักคำ รีบรับคำก่อนวิ่งออกจากห้องไปทันทีอ๋องฉีตะโกนจากด้านในว่า “จินเป่า ยังไม่รีบเข้ามาอีก?!”จินเป่าก้าวเข้าห้องไปด้วยท่าทีหวาดหวั่น ไม่นานนักภายในห้องก็มีเสียงข้าวของแตกกระจายขันทีสวีก็เดินเข้าไป แล้วกลับออกมา พลางขมวดคิ้วแน่น ครั้นเห็นชีจิ่นก็ได้แต่ข่มความหวาดหวั่นในใจ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามา”ชีจิ่นนึกถึงท่าทางของอ๋องฉีเมื่อครู่ ในใจพลันปั่นป่วนไม่อาจสงบลงได้ผู้ใดกันที่ทำให้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้?นางเติบโตอยู่ในเมืองหลวงมาแต่เยาว์วัย ชีวิตสิบกว่าปีแรกล้วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อีกทั้งเคยเข้าวังหลวงเพื่อเป็นสหายร่วมศึกษาขององค์หญิงมาก่อน ย่อมรู้จักอ๋องฉีอยู่บ้างสาวน้อยคนใดเล่าไม่ใฝ่ฝันจะได้แต่งกับคนมีฐานะสูงศักดิ์ ได้เ