ในห้องเงียบลง มีลมพัดผ่านโถงทางเดิน กลีบดอกไห่ถังที่บานสะพรั่งอยู่ด้านนอกก็ปลิวร่วงหล่นเป็นจำนวนมาก ปลิวไปตามทางเดินสู่ห้องโถงชีหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ได้ยินน้ำเสียงของตัวเองที่ถามอย่างมาก: “เลขาธิการอะไร”เลขาธิการอะไร?ชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่ามองหน้ากันและสังเกตสีหน้าของชีหยวน โดยไม่แน่ใจว่าชีหยวนกำลังแสร้งทำเป็นโง่หรือไม่ทั้งหมดนี้นางเป็นผู้วางแผนการเอง! นางจะไม่รู้ว่าเลขาธิการคนนี้เป็นใครได้อย่างไร?แต่ตอนนี้ที่ชีหยวนถามขึ้นแล้ว ก็ต้องตอบนางชีเจิ้นระงับความโกรธไว้และกล่าวว่า “เป็นจานเหวินฮุย เลขาธิการจาน!”โอ้ เป็นจานเหวินฮุยนี่เองจู่ๆ ชีหยวนก็หัวเราะออกมาอารมณ์ที่เสียของนางตั้งแต่เมื่อวานก็ดีขึ้นมาทันใด จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมาเสียงดัง……ชีเจิ้นไม่สามารถหัวเราะออกมาได้ เขาจ้องมองชีหยวนด้วยความสับสน เขาไม่รู้ว่าชีหยวนหมายถึงอะไร และตลกเรื่องอะไรท่านโหวผู้เฒ่ากลับมีความอดทนมากกว่ามาก เขาถามว่า “เจ้ารู้จักเลขาธิการจาน?”เลขาธิการจานคนนี้เป็นตำนานจริงๆปีนั้นเขาเป็นในอันดับที่สี่ในการสอบบัณฑิตขั้นสูงขั้นสอง ได้เข้าเป็นบัณฑิตราชสำนักในสำนักราชบัณฑิตก่อน หลังจากดำรงตำแห
เมื่อก่อนไม่มีการเปรียบเทียบ ก็คงไม่เป็นไรบัดนี้มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น มันยากที่จะไม่รู้สึกผิดหวังจริงๆไฉนถึงมีความแตกต่างกันมากเยี่ยงนี้นะ?ชีหยวนยังถูกรับกลับมากลางคันจากชนบท แต่ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก หรือการวางตัวปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น นางก็ดีกว่าชีอวิ๋นถิงราวฟ้ากับเหวข้อเสียเพียงข้อเดียวของนางคือ นางไม่ใช่บุรุษน่าเสียดายนัก! ท่านโหวผู้เฒ่าอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ช่างน่าเสียดายนัก! หากชีหยวนเป็นบุรุษ ตระกูลชีของเราคงไม่มีอะไรต้องกังวลในอนาคต”ชีเจิ้นลังเลที่จะพูดแต่เนื่องจากท่านโหวผู้เฒ่าพูดเยี่ยงนี้แล้ว เขาจึงไม่พูดอะไรอีก และไปที่ห้องของชีอวิ๋นถิงครั้งนี้ชีอวิ๋นถิงได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลยจริงๆแม่นมที่ดูแลชีอวิ๋นถิงอธิบายอย่างระมัดระวังว่า “ท่านโหว ฟันของเขาหักไปสองซี่ ลิ้นก็ถูกเจาะเป็นแผล ไม่สามารถทานอาหารได้เลย ตอนนี้เขาสามารถทานอาหารเหลวได้เท่านั้น……”ยังไงเสียก็เป็นลูกชายที่เลี้ยงดูมาเป็นเวลาสิบกว่าปี จะไม่ใส่ใจไม่รู้สึกทุกข์ใจได้อย่างไร?เมื่อชีเจิ้นเห็นรูปลักษณ์ของชีอวิ๋นถิง ในใจทั้งปวดร้าวและโกรธเคืองเขานั่งอยู่บนขอบเตียงและมองดูชีอวิ
น้ำเสียงของอ๋องฉีน่าสะพรึงกลัวและเย็นชา แม้แต่ขันทีสวีที่ติดตามเขามาโดยตลอดยังอดหนาวสั่นไม่ได้ และมองสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง นี่เพิ่งเดินทางได้สิบวัน เกรงว่า จะยังไม่ถึงที่หมายพ่ะย่ะค่ะ”เมืองหลวงไปเมืองเจียงชี แม้ว่าจะเดินทางรวดเร็วเพียงใด จะอย่างไรก็ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวันอ๋องฉีกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ มีดแกะสลักในมือถูกโยนลงพื้นไปพร้อมกับตุ๊กตา ตัวอักษรคำว่าชีหยวนสองตัวที่อยู่ด้านหลังตุ๊กตาเวลานี้ กำลังส่องสะท้อนเป็นประกายอยู่ในสายตาของทุกคนเขาระงับความโกรธและพูดด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้! สั่งให้เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้หน่อย!”ชีหยวนมีอะไรดีกัน!นางสารเลวคนนี้!เขาจะต้องทำให้ชีหยวนค่อย ๆ เห็นว่าตระกูลเซี่ยพังพินาศลงอย่างไรในชาติที่แล้วนางสารเลวคนนั้น ไม่ใช่พราะตนเองฆ่าคนของตระกูลเซี่ยหรอกหรือ ถึงได้แฝงตัวอยู่ข้างกายตนเองนานขนาดนั้น แถมลอบลงมือสังหารในช่วงที่ตนเองภาคภูมิที่สุดอีก?ในชาตินี้ เขาก็ยังคงอยากให้นางสารเลวคนนั้นเบิกตาดูว่าตระกูลเซี่ยพังพินาศลงอย่างไรอีกครั้ง!ฆ่าคนได้เก่งตรงไหนกัน?นางทำได้เพียงฆ่าทีละคนเท่านั้นแต่เขา กลับสา
เมื่อทำท่าปาดคอขันทีสวีก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยเสนาธิการจานท่านนี้เป็นถึงคนสนิทข้างกายท่านอ๋องเชียวนะ เขายังคิดว่าท่านอ๋องจะไว้ชีวิตเขาเสียอีกแต่ในเมื่อท่านอ๋องตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเสียดาย เขาจึงอืมเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นยังไม่รีบไปอีก? ทำงานต้องคล่องแคล่วหน่อย!”เวลานี้ ชีหยวนก็กำลังรอใครบางคนอยู่ที่โรงน้ำชาไป๋จื่อเทน้ำชาให้นาง และถามเสียงเบา “คุณหนู ท่านอ๋องจะมาได้หรือไม่เจ้าคะ?”ก่อนหน้านี้ชีหยวนให้ซุ่นจื่อไปส่งข่าวให้ลิ่วจินแล้ว----- นี่ก็คือวิธีติดต่อที่พวกเขาตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แต่เมื่อวันก่อน ชีหยวนกับเซียวอวิ๋นถิงยังแยกย้ายจากกันไปแบบไม่สบอารมณ์อยู่เลยอีกอย่างท่านอ๋องยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นางรู้สึกว่าคุณหนูเหมือนจะล่วงเกินท่านอ๋องอย่างรุนแรง จึงไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะยอมมาจริงหรือไม่แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่านางคิดมากไป เพราะชีหยวนนั่งลงได้ไม่นาน เซียวอวิ๋นถิงก็เข้ามาแล้วตอนที่เห็นเซียวอวิ๋นถิง ไป๋จื่ออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกโชคดีที่ดูแล้วท่านอ๋องเป็นคนใจกว้างมาก ไม่ใจแคบเลยแม้แต่น้อยเซียวอวิ๋นถิงมองชีหยวนด้วยรอยยิ้ม ในใจมีความสุขเล็กน้อยจริง ๆ
เซียวอวิ๋นถิงมองชีหยวนอย่างเงียบ ๆ ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ตอนนี้คุณหนูใหญ่ชีมีธุระอะไรหรือไม่?”เขาเห็นชีหยวนส่ายหน้า ก็ถอนหายใจพลางพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อคุณหนูใหญ่ชีไม่มีธุระ เช่นนั้นหออี้หงนี่ ไม่สู้พวกเราไปด้วยกันเสียรอบหนึ่ง เป็นอย่างไร?”ไป๋จื่อที่เดิมทีคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าอยากให้ชีหยวนไปหออี้หงด้วยกัน ก็ไม่อาจทำเป็นไม่ได้ยินได้ จึงเอ่ยเสียเบา “นี่ นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง? นั่น นั่นก็คือหอนางโลมนะเจ้าคะ!”พูดคำนี้จบ ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวราวกับไฟเผาไปชั่วขณะ ถึงอย่างไรสถานที่แบบนี้ สำหรับหญิงสาวที่มาจากครอบครัวสูงศักดิ์ มันคือการทำลายศีลธรรมอันดีจริง ๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเข้าไปเลยถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นสมาชิกของจวนโหว แม้ว่ายามปกติพฤติกรรมดูแล้วจะแตกต่างจากบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปอยู่มาก แต่หากเรื่องที่ไปหอนางโลมนี้ถูกแพร่งพรายออกไป สุดท้ายก็จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่เป็นอย่างยิ่งเซียวอวิ๋นถิงไม่ได้สนใจไป๋จื่อ เขาเพียงแค่รอคำตอบจากชีหยวนเท่านั้นชีหยวนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “ได้เจ้าค่
ฉากนี้ยิ่งทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้น เซียวอวิ๋นถิงรู้สึกนั่งไม่ติดเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่ชี นี่ไม่มีอะไรน่าดูหรอก...”ชีหยวนจ้องมองเซียวอวิ๋นถิงอย่างไม่ละสายตาชั่วขณะหนึ่ง มองจนเซียวอวิ๋นถิงขนลุกไปทั้งตัว “เจ้ามองข้าทำไม?”ชีหยวนไม่ได้ตอบคำถาม นางแค่เหม่อลอยเล็กน้อยในชาติที่แล้วนางถูกทิ้งอยู่ที่นี่ และโดนแม่เล้าจับล้างมือ ล้างหน้า และรักษาเท้าจนหายดี จากนั้นก็บังคับนางให้ต้อนรับลูกค้านางยังคิดว่าตนเอง ต้องเป็นเหมือนกับหญิงสาวที่อยู่ในหอนี้ ไปตลอดชีวิตเสียแล้วต้อนรับลูกค้า ป่วย ใช้ชีวิตตามยถากรรม หลังจากตายแล้วก็จะถูกโยนลงในสุสานรวมสิ่งเหล่านั้นที่ไป๋จื่อพูด นางรู้ดีทั้งหมด แถมยังเคยเห็นชีวิตอันน่าเศร้าของเด็กผู้หญิงนับไม่ถ้วนกับตาตนเองอีกเป็นเซียวอวิ๋นถิงที่เห็นนางกำปิ่นปักผมฆ่าลูกค้า จึงช่วยเหลือนางออกมาได้อย่างราบรื่น......ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว นางตั้งสติกลับมา ไม่คิดจะอุบไว้อีก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยกับเซียวอวิ๋นถิงว่า“เช่นนั้นข้าจะพาท่านอ๋องไปดูสิ่งที่ต่างออกไปเจ้าค่ะ”ปาเป่าและลิ่วจินทนไม่ไหวนานแล้วตอนที่ท่านอ๋องบอกว่าจะมาหออี้หง พวกเขาต่างก็
กระบวนการต่อรองราคานานมาก สุดท้ายหลังจากส่งพวกอันธพาลกลับไปแล้ว หงเสี่ยวก็เดินขึ้นมาข้างหน้ามองเด็กสาวพวกนี้แวบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดพัดกลมอย่างไม่ใส่ใจ ใช้มือปิดจมูกและปากด้วยท่าทางรังเกียจพลางถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว “อาบน้ำพวกนางให้สะอาด ช่วงนี้ก็ดูแลให้เคร่งครัดหน่อย และอย่าปล่อยให้ใครฆ่าตัวตายด้วย”บรรดาสมุนล้วนคุ้นชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงตอบรับอย่างรีบร้อนหงเสี่ยวก้าวเท้าขึ้นเตรียมจะจากไป เด็กสาวที่อยู่บนรถเข็นไม้ขนาดใหญ่จู่ ๆ กลับฟื้นขึ้นมา และกระโดดลงมาเกาะขาของหงเสี่ยวไว้แน่น “พี่สาว ข้าถูกจับตัวมา ขอร้องท่าน ขอร้องท่านโปรดเมตตาปล่อยข้าไปเถอะ! ที่บ้านข้ามีพ่อแม่ และยังมีน้องสาวน้องชายด้วย...”หงเสี่ยวย่อตัวลงมาและยิ้ม ราวกับจะเมตตาเล็กน้อย “ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเสียจริง”เด็กสาวคนนั้นได้ยินหงเสี่ยวพูดเช่นนี้ ก็ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ความหวังก็ก่อตัวขึ้นอยู่ในใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “พี่สาว ขอร้องท่านปล่อยข้าไปเถิด แล้วข้าจะจดจำบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านอย่างแน่นอน...”รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของหงเสี่ยวกลับมลายหายไป เล็บมือที่แหลมคมจับคางของเด็กสาวไว้ บนใบหน้ายังแฝงไปด้วยความดูถ
เมื่อนางพูดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเหตุใดถึงจะต้องฆ่าอ๋องฉี?แน่นอนเป็นเพราะว่าเขาสมควรตาย!บุตรหลานของกษัตริย์ผู้สูงส่ง ที่คอยยืนอยู่บนก้อนเมฆมองดูสรรพสัตว์ ฆ่าคนคนหนึ่งราวกับฆ่ามดมาโดยตลอดผู้นั้นต่างหาก ถึงจะเป็นคนที่สมควรตายมากที่สุด!เซียวอวิ๋นถิงถึงกับถูกสายตาของชีหยวนจับจ้องจนรู้สึกชาเล็กน้อย เขากลืนน้ำลาย และกำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ ๆ กลับได้ยินเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้น หงเสี่ยวก็พาคนกลุ่มหนึ่ง เร่งฝีเท้าเข้าไปในเรือนหลังหนึ่งอย่างรีบร้อนชีหยวนอดไม่ได้จึงเดินไปด้านหน้าสองก้าวแต่ทางด้านหงเสี่ยวเห็นได้ชัดว่ามีองครักษ์เรือนที่เก่งกาจฝีมือดี หันหน้ามาถามด้วยเสียงเย็นชาในทันที “ใคร?!”เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เซียวอวิ๋นถิงจึงตัดสินใจดึงนางกลับมา จากนั้นจับศีรษะนางกดอยู่ในอ้อมแขนไว้แน่น และพานางเดินไปทางองครักษ์เรือนคนนั้นอย่างมั่นใจ “ให้ตายเถอะ สภาพแวดล้อมที่มืดมิดเช่นนี้ พวกเจ้าหออี้หงทำการค้ากันอย่างไร?”คนที่อยู่เบื้องหน้าสวมเสื้อผ้าราคาแพง เวลานี้ในอ้อมแขนยังกอดหญิงสาวคนหนึ่งไว้ สถานการณ์เช่นนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่ากำลังสนุกสนานกันอยู่ในเรือน
จวนอ๋องนั้นถูกสร้างเสร็จสิ้นหลังจากผ่านไปสามปีพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันจริง ๆ ได้ไปยังจางโจวแดนดินที่แสนจะทุรกันดาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง ร่วมกันสร้างจวนอ๋องจากที่ไม่มีอะไรเลย ให้ความรู้ชาวบ้านและสร้างท่าเรือรอคอยจนกระทั่งสถานการณ์พลิกผัน เขาได้เข้าเมืองหลวงขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่พระชายาหลิ่วกลับเป็นแค่พระชายาเอกในอ๋องตลอดไปถึงแม้ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางยังคงรู้สึกเจ็บปวดหลังจากที่อ๋องฉีประสูติ จำนวนครั้งที่เขาฝันถึงพระชายาหลิ่วก็ค่อย ๆ ลดลงด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกยิ่งว่าอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาและพระชายาหลิ่วสูญเสียไป และเด็กคนนั้นได้กลับมาเกิดใหม่เพื่อเป็นพระโอรสของเขาอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาได้อุ้มบ่อยมากที่สุดความรู้สึกผิดที่ยากจะบรรยายเหล่านั้นกลายเป็นความรักที่เขามีต่อพระโอรสผู้นี้หลิ่วกุ้ยเฟยทราบดีถึงพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางในเวลานี้สิ่งที่นางเพียรพยายามทำมาโดยตลอด ในที่สุดบัดนี้ก็ได้ผลแล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นางใช้วิธีต่าง ๆ ทุกวิถีทาง เพื่อให้ฮ่องเต้หย่งชางมีส่วนร่วมในการเติบโตของอ๋องฉีความรู้สึกนั้นเกิดขึ
เขากล่าวหนึ่งประโยค ดวงหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยก็ยิ่งซีดเซียวขึ้นอีก จนกระทั่งท้ายที่สุด สีหน้าก็ซีดเหมือนกระดาษนางเริ่มไอไม่หยุดและหอบหายใจถี่ “ทั้งหมดนี้ล้วนเพราะหม่อมฉัน หม่อมฉันผิดที่ตามใจเจ้าสามเกินไป! ทำให้เขาทำตัวไร้กฎเกณฑ์ คิดว่าตนเองสำคัญ...”น้ำตาของนางไหลพรูไม่หยุด สะอื้นอย่างห้ามไม่ได้ “หากพี่สาวบนสวรรค์รับรู้ว่าหม่อมฉันได้สั่งสอนเขาให้เป็นเช่นนี้ คงโกรธหม่อมฉันแน่ หม่อมฉันจะมีหน้าไปพบพี่สาวผู้ล่วงลับได้อย่างไร?”เมื่อกล่าวถึงพระชายาหลิ่ว นางก็ร้องไห้หนักยิ่งขึ้น ตอนแรกยังพยายามกลั้นเสียงร่ำไห้เบา ๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็คุมอารมณ์ไม่อยู่สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชางก็ไม่สู้ดีนัก พระองค์หลับตาลง และตำหนิว่า “พูดเรื่องเหล่านี้ไปทำไม?! มันเกี่ยวข้องอะไรกับนาง?”แต่ในขณะทั้งสองคนกำลังพูดกัน ในที่สุดก็รบกวนองค์หญิงหมิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆเมื่อองค์หญิงหมิงเฉิงลืมตาขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสด็จพ่อเสด็จแม่พูดคุยกัน โดยเสด็จพ่อมีน้ำเสียงไม่ดีนัก นางก็ตกใจจนร่ำไห้ว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ อย่าทะเลาะกัน!”เด็กน้อยร่ำไห้มากจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำราวกระต่ายน้อยหลิ่วกุ้ยเฟ
องค์หญิงน้อยตัวอ่อนยวบในอ้อมแขน น้ำเสียงยังฟังอ้อแอ้น่าเอ็นดู ฮ่องเต้หย่งชางแม้จะเดือดดาลเพียงใดในยามนี้ก็ต้องคลายโทสะลงในทันใด เขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก็มองอ๋องฉีพลางตำหนิอย่างเย็นชา “เจ้ายังรู้ประสาไม่เท่าเด็กสามขวบคนนี้เสียด้วยซ้ำ!” องค์หญิงเป่าหรงส่งสายตาให้อ๋องฉีทันที อ๋องฉีคลานเข่าไปด้านหน้ากอดขาฮ่องเต้หย่งชางไว้พลางร้องเรียกเสด็จพ่อ “เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย! ลูกสมควรตาย! เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย!” ทันทีที่เขาร่ำไห้ออกมา องค์หญิงหมิงเฉิงที่กำลังสะอื้นเบา ๆ อยู่ในตอนแรกก็ส่งเสียงร้องไห้โยเยดังสนั่นออกมาอีกครั้ง พลางดีดดิ้นจะลงไปด้านล่าง “พี่สาม! พี่สามอย่าร้องไห้ พี่สามอย่าร้องไห้!” องค์หญิงเป่าหรงรีบสาวเท้าเข้าไปพลางยื่นมือออกไปรับองค์หญิงหมิงเฉิงเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะอุ้มขึ้นมาพลางกระซิบเอ่ยวาจาปลอบโยน กับสิ่งที่เรียกว่าน้ำตาต้องรู้จักเลือกจังหวะและโอกาสให้เหมาะสม ร้องไห้ครู่หนึ่งจะทำให้คนรู้สึกสงสารเห็นใจ หากว่าร้องไห้นานเกินไป กลับจะทำให้คนมีแต่รู้สึกรำคาญและโมโหง่ายขึ้น ฮ่องเต้หย่งชางเห็นองค์หญิงเป่าหรงเชื่อฟังรู้กาลเทศะ องค์หญิงหมิงเฉิงก็ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู โทสะที
ภายในใจของขันทีสวีบัดนี้ทนไม่ไหวแล้ว ทว่าเขาต้องทำใจดีสู้เสือไว้ ถึงอย่างไรจินเป่าก็เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดูมากับมือ เขาไม่มีบุตร จินเป่าก็ไม่ต่างจากบุตรคนหนึ่งของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจฝ่าอันตรายเข้าไปด้านหน้าและคุกเข่าร้องขอความเมตตาด้วยเช่นกัน “ท่านอ๋อง! บัดนี้มิใช่เวลาจะมาโกรธกริ้วขอรับ มาคิดหาหนทางกันก่อนเถิดขอรับ ว่าควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีท่านอ๋อง!” จะแก้ไขปัญหาอย่างไรหรือ?! สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งขรึมดุจน้ำลึก โทสะพลุ่งพล่านถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเขากลับเยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว ชีหยวนขุดหลุมพรางหลอกเขามากมายเพียงนี้ ก็เพื่อให้เขาถูกคนนับพันรุมชี้นิ้วประณาม แต่คิดจริงหรือว่ามันจะง่ายดายเพียงนั้น? เขาเลื่อนมือไปเช็ดโลหิตที่ไหลซึมออกมาเพราะทุบตีข้าวของจนถูกบาดเป็นแผลบนตัวจินเป่าซึ่งอยู่ด้านข้างอย่างเลือดเย็น ก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม จินเป่าตัวสั่นเทิ้ม เขารู้ดีแก่ใจ หากเมื่อครู่ท่านอาจารย์มิได้กล่าวประโยคนั้นออกมา บัดนี้ตนเองคงกลายเป็นศพไปแล้ว หนีรอดจากความตายออกมาได้ เขาก็ร่ำไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ไหว ขันทีสวีสะบัดมือตบหน้าเขาไปอีกหนึ่งฉา
หมอหลวงหูไม่กล้าอืดอาดล่าช้า ใครจะไม่รู้บ้างว่ากุ้ยเฟยพระองค์นี้นี้เป็นดวงใจฝ่าบาท? เขาอดไม่ได้กระซิบเสียงเบาถามฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนอีกครั้ง “ใต้เท้า เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ?” กุ้ยเฟยมีพระพลานามัยแข็งแรงดีมาตลอด เพิ่งจะตรวจชีพจรไปเมื่อไม่กี่วันก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงประชวรขึ้นมากะทันหัน? ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนส่งเสียงกระแอมออกมาหนึ่งที ก่อนจะหรี่ตาลงเชิงว่าตักเตือนเขา “เจ้าเองก็ระวังตัวไว้บ้าง องครักษ์เสื้อแพรจับตัวเด็กสาวคนหนึ่งไว้ได้ เด็กสาวคนนั้นยังกล่าวอีกว่า นางต้องการฟ้องร้องอ๋องฉี และวันนี้ยังคิดจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่หน้าประตูวังด้วย! เรื่องลุกลามบานปลายไปกันใหญ่แล้ว” ตีกลองร้องทุกข์ หมอหลวงหูสูดหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง เขาเพียงเปล่งเสียงออกมาหนึ่งคำ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กสาว จะฟ้องร้องอ๋องฉี? มิหนำซ้ำยังต้องการตีกลองร้องทุกข์ด้วย เรื่องนี้ต้องมีความอยุติธรรมมากมายเพียงใดกัน? เหตุใดระยะนี้อ๋องฉีถึงได้มีแต่ปัญหารุมเร้าเพียงนี้? ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือหนาหู ว่ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับหานเยว่เอ๋อบุตรีบุญธรรมของจวนหย่งผิงโหว ต่อมาหานเยว่เอ๋อก็ปล่อยปละ
ชีหยวนช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก นางไปที่หออี้หงก่อนและสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ทั้งยังขอให้เซียวอวิ๋นถิงลงมือวางเพลิงที่นั่น กลายเป็นเหตุโกลาหลขึ้นจนบรรดาขุนนางระดับสูงที่เข้าไปใช้บริการด้านในถูกสังคมล่วงรู้ความลับหมดเปลือก จากนั้นยังตั้งใจปลอมตัวเป็นมือสังหารแสร้งไปเอาชีวิตหงเสี่ยวอีก เมื่อเรื่องราวบานปลาย และเหตุการณ์เพลิงไหม้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ข่าวก็แพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง แน่นอนว่าทางเมืองหลวงฝั่งนั้นย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนักและมีราชโองการให้สืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดเต็มกำลัง เมื่อสืบสวนอย่างเข้มงวดเต็มกำลังแล้ว ใครเล่าจะขลาดกลัวที่สุด? คนผู้นั้นย่อมเป็นอ๋องฉี! อ๋องฉีจะต้องสังหารหงเสี่ยวเพื่อปิดปากแน่! เรื่องนี้แม้จะจริงบ้างปลอมบ้าง แต่ท้ายที่สุดหงเสี่ยวจะต้องคิดแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของอ๋องฉีที่ต้องการจะฆ่าผู้เกี่ยวข้องเพื่อปิดปาก ขุดรากถอนโคนกำจัดภัยคุกคามทิ้งไปทั้งหมด! มีอสรพิษกำลังมุดโพรงเอาตัวรอด ขณะเดียวกันก็มีคนกำลังนั่งชมความครึกครื้นอยู่อย่างสบายอารมณ์ ชีหยวนกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้ซุ้มบุปผาในสวน กระทั่งหมอหลวงหูออกมาจากด้านใน นางค่อย
และนี่เป็นอาวุธป้องกันตัวที่นางตั้งใจเก็บไว้กับตัวตั้งแต่ก่อนอาบน้ำเสร็จ จากนั้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน กระเบื้องหลังคาก็แตกออก บุคคลในอาภรณ์สีดำสองคนกระโดดลงมาจากหลังคา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งเข้าใส่หงเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างประตูทันที ฉินซูไม่ทันตั้งตัวก็กรีดร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดหน้า อึ้งไปด้วยความหวาดกลัว คนชุดดำสองคนจ้วงกระบี่แทงหงเสี่ยวด้วยความรวดเร็ว หงเสี่ยวทำได้เพียงเอนตัวไปด้านหลังเต็มแรงเพื่อหลบการโจมตี จนเอวเกือบหัก ถึงจะรอดพ้นจากอันตราย ยังไม่ทันให้นางกลับมาตั้งสติ มือสังหารสองคนก็พลิกตัวกลับมาโจมตีนางอีกครั้ง สองคนรุกไล่อย่างดุเดือดรุนแรง กระบวนท่ามุ่งหมายเอาชีวิต เจตนาชัดเจนว่าต้องการพรากชีวิตของนางไป หงเสี่ยวพลาดพลั้งเสียท่าไปนิดเดียว หัวไหล่ก็ถูกมือสังหารคนหนึ่งฟันเข้าเป็นแผลลึก ทันใดนั้นเลือดเนื้อเหวอะหวะน่าสยดสยอง นางกุมหัวไหล่ไว้ เจ็บปวดคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด ทันใดนั้นก็ควักผงยาออกมาจากถุงที่เหน็บไว้ข้างเอวโปรยใส่สองคน ก่อนจะสบโอกาสตอนที่พวกมันทุรนทุรายตาพร่าเพราะผงยา รีบเปิดประตูหลบหนีออกไปทันที เคราะห์ดีที่เรือนพำนักหลังนี้จานเหวินฮุยกับนางร่วมซื้อด้วยกัน พ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มากมายเกินกว่าเหตุการณ์ทั้งชีวิตของหงเสี่ยวในยี่สิบปีรวมกันเสียอีก นางตั้งคำถามกับตนเองว่าหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอมามีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ ความจริงแล้วนับเป็นครั้งแรก ธารน้ำในเหมันต์ฤดูเยียบเย็นบาดกระดูก นางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า กลับหนาวสั่นไปทั้งสรรพางค์ จากนั้นค่อยเอนหลังพิงบนเนินดิน ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง บาดแผลบนลำคอและใบหน้าจนบัดนี้ยังคงเจ็บระบมอยู่จาง ๆ นางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองถูกเด็กสาวกดลงกับพื้น จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกของนางไม่มีทางผิดพลาด ดรุณีผู้นั้นเป็นมือสังหารที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง นางบอกว่านางคือคนที่ท่านอ๋องส่งมา… ท่านอ๋อง… หงเสี่ยวหลับตาลง ซับคราบน้ำตรงมุมปากออกเบา ๆ ก็หยัดกายขึ้นยืนและกระชับเสื้อคลุมบนตัว ก่อนจะวูบหายเข้าไปในป่าสนริมธารน้ำด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของนางช่างว่องไวนัก ก่อนท้องฟ้าจะสาง ก็มาถึงเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาแล้ว ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำร้อน จึงมีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยซื้อที่
โหวผู้เฒ่าเงียบไป เสี้ยวพริบตาหนึ่งก็โพล่งถามออกมา “เจ้าคิดว่า เมื่อคืนนางไปที่ใดมาหรือ?” บอกว่าชีหยวนไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ พวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อ พูดให้ถูกที่กล่าวว่าไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ก็แค่ข้ออ้างที่ชีหยวนบอกให้เซียวอวิ๋นถิงตอบพวกเขาเท่านั้น และบอกพวกเขาว่า นางมีขุนเขาที่พึ่งพิงแล้ว ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็คิดไม่ออกว่าชีหยวนไปทำอะไรที่ไหนมากันแน่ เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ต้องครุ่นคิดอยู่นานนัก เพราะเมื่อพวกเขาไปถึงศาลาว่าการกรมยุทธนาการ ก็ได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หออี้หงซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมือง เพลิงไหม้ใหญ่ เผาเจ้ากรมการลำเลียงขนส่งขั้นห้าประจำกรมการลำเลียงขนส่งเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งราย และเผาที่ปรึกษาประจำหน่วยคลังศัสตราวุธในสังกัดศาลาว่าการกรมยุทธนาการบาดเจ็บสาหัสไปแล้วหนึ่งราย เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากที่หออี้หงถูกเพลิงไหม้ ดรุณีจำนวนไม่น้อยเข้ามาร้องทุกข์กับทางการ โดยแจ้งว่าพวกนางล้วนถูกบีบบังคับให้มาเป็นหญิงคณิกา ทุกคนล้วนถูกบังคับขืนใจให้ขายร่างกายแลกกับเงินทอง เรื่อ