เขาเมินเฉยต่อคำเตือนของขันทีเซี่ย ก้าวขึ้นบันได แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “เสด็จปู่ ข้า…...”เขาจะรับทุกอย่างแทนชีหยวนเองเขาจะทำให้นางรู้ว่า นางไม่ได้มีแค่ตัวคนเดียว นางก็มีคนที่เป็นที่พึ่งพิงได้เหมือนกัน!ขันทีเซี่ยเหงื่อแตกพลั่กด้วยความร้อนรน หากพระองค์เอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่ตำแหน่งจะหมดหวัง แม้แต่ชีวิตก็อาจรักษาไว้ไม่ได้เลย!โชคดีที่ในจังหวะนั้นเอง ราชบุตรเขยลู่จากเรือนกรรมฐานองค์หญิงใหญ่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาดึงเซียวอวิ๋นถิงออกไป แล้วรีบทูลรายงานต่อฮ่องเต้หย่งชางและพระชายาหลิ่วว่า “ฝ่าบาท พระชายา เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงอาเจียนไม่หยุด ท้องเสียอย่างหนัก พระวรกายอ่อนแรงมาก เกรงว่าจะไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”จะไม่ไหวแล้ว?!เซียวโม่?!ฮ่องเต้หย่งชางถึงกับชะงักไป เดิมที่โกรธเกรี้ยวอยู่เต็มอก ตอนนี้กลับรู้สึกสับสนเพิ่มขึ้นอีก พระองค์รีบหันไปสั่งการกับไล่เฉิงหลง “ไล่เฉิงหลง! รวมคนทั้งหมดในอารามไป๋อวิ๋น ค้น ค้นให้ทั่ว ตรวจสอบให้ดี! ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เริ่มจากตำหนักของอ๋องก่อน ส่วนข้าจะไปหากุ้ยเฟยก่อน!”เดิมทีพระชายาหลิ่วค
เดิมทีตอนที่องค์หญิงเป่าหรงพุ่งเข้าหาตนนั้น ชีหยวนสามารถหลบได้อย่างสบาย ด้วยฝีมือห่วย ๆ ของเป่าหรง ชีหยวนแค่เตะเข้าที่หัวเข่าเบา ๆ สักที ก็สามารถส่งนางไปนั่งเป็นคู่ขากับพี่ชายของนาง กลายเป็นคนขาพิการไปอีกคนได้แล้วทว่านางมีประสาทหูที่ไวมาก นางได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคนดังมาจากข้างหลัง รู้ได้ทันทีว่า ฮ่องเต้หย่งชาง น่าจะได้ข่าวแล้ว กำลังรีบมาแน่ ๆ นางเลยปล่อยให้องค์หญิงเป่าหรงกระโจนเข้ามาบีบคอตนเองแต่บีบคอสินะ?นางโดนบีบคอ ยืนไม่ไหว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่หรือไม่ล่ะ?ดังนั้นนางเลยแอบเกี่ยวขาองค์หญิงเป่าหรงอย่างมีชั้นเชิง ทิ้งตัวล้มลงกับพื้นทันที และตัวนางผ่อนแรงไปกว่าครึ่ง ทว่าองค์หญิงเป่าหรงนี่สิ ล้มหัวทิ่มพื้นไม่เป็นท่า จนหน้าผากบวมเป็นลูกเท่าหน้าผากของเทพเจ้าซิ่วแชกงในขณะนี้นางไม่มีแรงและความคิดที่จะบีบคอชีหยวนต่อแล้วเมื่อเห็นฮ่องเต้หย่งชางเดินเข้ามาพอดี ก็รีบกระโจนเข้าไปซบอกฮ่องเต้หย่งชางอย่างน่าสงสาร ร้องไห้สะอื้น “เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ! เสด็จแม่ของลูกสิ้นแล้ว เสด็จแม่ของลูกสิ้นแล้ว!”นางเสียใจจริง ๆ ความเจ็บปวดที่แท้จริงเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนเห็นอกเห็นใจน้ำตาของนางราวกั
อย่าว่าแต่คุกเข่าเลย ต่อให้องค์หญิงเป่าหรงจะเอาหัวโขกพื้นจนแตกอยู่ที่นี่ ชีหยวนก็สมควรได้รับ!เซียวอวิ๋นถิงรีบคว้าโอกาสทันที เขาขมวดคิ้ว “เสด็จอาหญิงเป่าหรง ท่านทั้งร้องไห้และโวยวาย พวกเราเพิ่งเข้ามา ท่านก็ลงมือบีบคอคน แถมยังลงไม้ลงมือตบตีคน ตอนนี้ยิ่งแล้ว ลงไปนั่งคุกเข่าให้อีก ท่านนี่มันเสียเกียรติของราชวงศ์เราโดยแท้!”เขาฉวยโอกาสก่อนที่ฮ่องเต้หย่งชางจะโกรธ รีบพูดขึ้นว่า “เสด็จปู่ยังอยู่ที่นี่ เสด็จปู่ยังอยู่ที่นี่ ความจริงยังไม่ถูกตรวจสอบให้ชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือหาสาเหตุการตายของกุ้ยเฟยให้ได้ ท่านทำแบบนี้ มิเท่ากับทำให้กุ้ยเฟยจากไปอย่างไม่สงบหรือ?”ฮ่องเต้หย่งชางก็คิดเช่นนี้เหมือนกันพระองค์สูดหายใจลึก พระพักตร์เคร่งขรึม แล้วหันไปถามชีหยวน “เจ้าเป็นคนรักษากุ้ยเฟย และเป็นคนจ่ายยาให้กุ้ยเฟยเอง? และเป็นคนต้มยาให้กุ้ยเฟยเอง?”องค์หญิงเป่าหรงรู้สึกพึงพอใจนางตระเตรียมไว้นานแล้ว ทุกเรื่องให้ชีหยวนเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง ไม่มีทางให้นางพ้นผิดไปได้เลยแค่คิดไม่ถึงว่าชีหยวนจะวางยาจริง ๆ!นางอยากให้ชีหยวนตาย แต่จะคิดให้เสด็จแม่ตัวเองตายได้อย่างไรเล่า? เสด็จแม่เป็นที่โปรดปรานขนาด
ช่างเป็นเด็กสาวที่ประหลาดจริง ๆแม้ว่าไล่เฉิงหลงจะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังทำตามหน้าที่ ก้าวไปข้างหน้าหมายจะไปจับคุมตัวนางแต่ในตอนนั้นเอง ชีหยวนกลับก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงตรงหน้า ฮ่องเต้หย่งชาง “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีทั้งตระกูลโหวอยู่เบื้องหลัง บิดาของหม่อมฉันก็เป็นขุนนางคนสำคัญของพระองค์ เว้นเสียแต่ว่าหม่อมฉันจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะลอบวางยาพิษกุ้ยเฟยได้อย่างไรเพคะ?”ฮ่องเต้หย่งชางจ้องมองนางอย่างไร้ความรู้สึกชีหยวนไม่แม้แต่จะหวาดหวั่นเกรงกลัว นางยกเปลือกตาขึ้นประสานตากับฮ่องเต้หย่งชางโดยตรง ครั้งนี้แม้แต่ไล่เฉิงหลงก็อดสะดุ้งไม่ได้ จ้องตาฮ่องเต้ตรง ๆ เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆฮ่องเต้หย่งชางทรงพระสรวลอย่างเย็นชา แล้วทรงชี้ไปที่เหล่าหมอพื้นบ้าน และตะกอนยาเหล่านั้น “แล้วเจ้าจะอธิบายอย่างไร? ในนี้มีโหราเดือยไก่ ซึ่งมีพิษร้ายแรง?! ยานี่เจ้าต้มเอง เขียนตำรับยาเองกับมือ หรือว่านี่มันผิดงั้นหรือ?!”ชีหยวนพยักหน้า “ไม่ผิดเพคะ เป็นใบจ่ายยาที่หม่อมฉันเขียนเองจริง ๆ ดังนั้นหม่อมฉันมีหลักฐานบันทึกไว้”นางหันไปมองนางกำนัลชื่อซวงฮวา ที่ยืนอยู่ข้างหลังองค์หญิงเป่าหรง “กูกูผู้น
นางยืนตัวตรงหลังตรงไม่ไหวติงจากนั้นพูดอย่างสงบนิ่งว่า “มีคนจงใจสับเปลี่ยนยาของหม่อมฉัน”ขณะนั้นเอง พระชายาหลิ่วก็วิ่งร้องไห้เข้ามา “เซียวเสี่ยนเจียว! เจ้ารีบไปดูอาโม่เร็วเข้า อาโม่เขาอาเจียนไม่หยุด ถ่ายท้องไม่หยุด อาการหนักมาก เจ้ารีบหาหมอมาดูเขาทีเถอะ!”แม้ว่าในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง จะยุ่งเหยิงไปหมด แต่ชีวิตของลูกก็ต้องช่วยไว้ก่อนพระองค์จึงสั่งหมอทั้งหลายทันที “รีบไปตรวจดูอาการอ๋องเร็วเข้า! หากอ๋องเป็นอะไรไป พวกเจ้าก็อย่าหวังจะรอดเหมือนกัน!”หมอหลวงแต่ละคนขาสั่นพากันรีบออกไปจู่ ๆ ชีหยวนก็เอ่ยถามพระชายาหลิ่ว ที่กำลังจะออกไป “พระชายา ท่านบอกว่าท่านอ๋องอาเจียนไม่หยุด ถ่ายท้องไม่หยุดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”พระชายาหลิ่วตอบรับด้วยเสียงสะอื้น สีหน้าของชีหยวนเคร่งขรึมลงทันที นางคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะต่อหน้าฮ่องเต้หย่งชาง “ฝ่าบาท! ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันไปดูอาการของท่านอ๋องด้วยเพคะ บางทีหม่อมฉันอาจจะรู้สาเหตุโรคของท่านอ๋องก็เป็นได้เพคะ!”ถึงตอนนี้แล้ว อย่างไรพระโอรสที่มีชีวิตก็สำคัญกว่ามิฉะนั้น บรรดาขุนนางคงจะด่ากันขรม กฎเกณฑ์ราชสำนักก็คงกดดันพระองค์ ไหนจะพวกเมืองขึ้นเล็ก ๆ
องค์หญิงเป่าหรงแทบจะเสียสติด้วยความโกรธแล้วนางเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกนี้แล้ว ไม่มีใครจะร้ายกว่านางได้อีกแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจะมีจริง ๆ!นางเป็นคนสั่งให้ซวงฮวาไปบอกให้แม่ชีคนนั้นหลอกล่อให้ชีหยวนออกไป จากนั้นก็แอบใส่ผงปาโต้วลงไปในยาแต่ผงปาโต้วพวกนั้นนั้นไม่มีผลอะไรกับอาการป่วยของเสด็จแม่ได้เลยนางรู้อยู่แก่ใจดี เสด็จแม่ไม่ได้ป่วยจริง!โรคชี่ถูกปิดกั้นอะไรนั่น ก็แค่ฉีหยวนกุเรื่องขึ้นมาเพื่อเปิดโปงว่าเสด็จแม่ของนางแกล้งเป็นลมเท่านั้น!นางแค่อยากให้เสด็จแม่ดูเหมือนป่วยเล็กน้อย เพื่อหลอกล่อให้เสด็จพ่อลงโทษชีหยวนได้ง่ายขึ้น!พอดีกับที่พระชายาหลิ่วกำลังทำให้เสด็จพ่อลำบากพระทัย ไม่ยอมให้อภัยเสด็จพ่อ แถมยังโกรธไม่เลิก จนเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วราชสำนัก ถึงขั้นต้องมาฉลองวันปีใหม่กันที่อารามไป๋อวิ๋นเสด็จพ่อที่กำลังหงุดหงิด ถ้ารู้ว่าชีหยวนรักษาเสด็จแม่ของนางจนแย่ลงล่ะก็ ต้องสั่งประหารชีหยวนแน่นอน!แต่ใครจะรู้ล่ะ ใครจะรู้ว่ายานั่นกลับมีโหราเดือยไก่ด้วย!นางไม่ได้ใส่!นางไม่ได้ใส่เลยจริง ๆ!แล้วใครเป็นคนใส่กัน?!องค์หญิงเป่าหรงชี้หน้าด่าชีหยวนอย่างเกรี
หัวใจของขันทีเซี่ยแทบจะกระเด็นออกมาถึงคอหอยสวรรค์ช่วยด้วยเถอะ!ไม่ว่าท่านอ๋องจะทำอะไรก็ลำบากไปหมดจริง ๆ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาพูดอะไร คนทั่วหล้าก็จะตราหน้าว่าเขาเป็นหลานอกตัญญู เป็นคนโง่เขลาอ่อนแอแต่ถ้าลุกขึ้นมาพูดตอนนี้ เกรงว่าในความพิโรธของฮ่องเต้หย่งชาง อาจจะปลดเขาจากตำแหน่งพระราชนัดดาองค์โตได้เลย!ไม่รู้ทำไม ขันทีเซี่ยเผลอหันมองไปทางชีหยวนโดยไม่รู้ตัวแต่ชีหยวนไม่มีเวลาสนใจว่าใครมองนางทั้งนั้น นางแค่จับชายแขนเสื้อของ พระชายาหลิ่วเอาไว้ เขย่าเบา ๆ ส่งสายตาเป็นสัญญาณ และกดเสียงลงต่ำ “พระชายา ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะทนอีกหรือ? คนที่ฆ่าท่านแม่ของท่าน จะปล่อยให้นางแย่งชิงตำแหน่งของท่าน ให้นางเข้าไปในสุสานหลวงได้อีกหรือ?”……ไล่เฉิงหลงแอบเหลือบมองชีหยวนอีกรอบเสียงกระซิบของคุณหนูใหญ่ตระกูลชีนี้ ให้มันเบากว่านี้ไม่ได้เลยหรือ?เขาเป็นถึงองครักษ์เสื้อแพรนะ!นางยังมีความเคารพขั้นพื้นฐานต่อองครักษ์เสื้อแพรบ้างหรือไม่เนี่ย?!ไม่เพียงแค่ไม่กลัว นางยังยุยงให้พระชายาหลิ่วลุกขึ้นก่อเรื่องอีกด้วย!องค์หญิงเป่าหรงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาในทันทีแม้เสด็จแม่จะตายอย
นางเอ่ยพลาง น้ำตาก็ร่วงเผาะ ๆ ลงมา: “การตายของเสด็จแม่ข้าอนาถปานนี้แล้ว ท่านป้า ท่านยังจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายอีกหรือ?!” ไล่เฉิงหลงเห็นกับตาว่าชีหยวนแอบทำท่าเตะบอกใบ้พระชายาหลิ่ว เขาเบนสายตามองไปทางอื่น ทันใดนั้นพระชายาหลิ่วก็เตะเป่าหรงไปหนึ่งที ลูกเตะนี้อัดอั้นมานานมากแล้ว แม่ลูกคู่นี้น่ารำคาญยิ่งนัก! นับแต่นางกลับมาก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เอาแต่แสดงความอ่อนแอไม่หยุด เอาแต่สำนึกผิดไม่หยุด สำนึกผิดแล้ว แต่เรื่องเลวทรามชั่วช้าก็ยังคงทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดเช่นกัน ไม่เห็นว่าจะไม่เป็นธรรมเลยสักนิด เป่าหรงถูกเตะจนกระเด็นล้มไปกับพื้น มือกุมท้องน้อยแน่นพลางตะโกนร้องเรียกเสด็จพ่อในทันใด ฮ่องเต้หย่งชางขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว สวัสดิการที่เขามอบให้เกินไปจริง ๆ เรื่องนี้มิได้ผิด แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็สามารถหารือกันได้! หากว่าไม่เหมาะสม ก็แค่เรียกกรมพิธีการมาหารือ หรือจะทำตามราชวงศ์ก่อนหน้า แล้วค่อยพิจารณากฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นใหม่อีกครั้งจะเป็นอะไรไป! เหตุใดพระชายาหลิ่วจะต้องลงไม้ลงมือกับเด็กคนหนึ่งด้วย?! เขาโผเข้าไปพยุงองค์หญิงเป่าหรงขึ้นมา แต่ใครเล่าจะทราบพระชายาห
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี
อาภรณ์ชุดใหม่ในเรือนตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ปีนี้นับเป็นปีที่หาได้ยากที่เหล่าดรุณีสกุลสวีจะได้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ออกไปเที่ยวชมพระโพธิสัตว์ สกุลสวีทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างปีติยินดี แม้แต่ฮูหยินสวีก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งตัว ในปีนี้นางสวมเสื้อนวมสองชั้นที่ทำจากผ้าไหมฝูกวงซึ่งเป็นแบบที่ทันสมัยที่สุด ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนนกยูง มองแล้วดูหรูหราเจิดจ้าจับตา เดิมทีนางรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ก่อนออกจากเรือนยังถึงขั้นถามสวีฮว่านขึ้นมาเป็นพิเศษว่า “วันนี้เป็นวันที่สาม ต้องขึ้นเขาไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ จุดธูปทอนน้ำมัน ทว่าก็มีบรรดาสตรีผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวงไปที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเราแต่งกายเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?” หลายปีที่ผ่านมานี้ บรรดาสตรีในสกุลสวีได้ชื่อว่ามัธยัสถ์เรียบง่ายมาตลอด แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดูถูกดูแคลนพวกนาง ใครต่างก็รู้ว่าในเมืองหลวงสวีฮว่านขึ้นชื่อว่าสุจริตมือสะอาด งานเลี้ยงของคนอื่น งานสังสรรค์สุราของคนอื่น เขาไม่เคยไปร่วมเลยสักครา เพราะไปกินของคนอื่น ย่อมเลี่ยงไม่ได้ต้องเชิญคนอื่นมากินเลี้ยงตอบแทนกลับในภายหลัง ใต้เท้าสวีเคร่งครัดในความสุจร
“ไม่!” ชีหยวนส่ายหน้า มองเซียวอวิ๋นถิงตรง ๆ พลางถามว่า “ท่านอ๋อง หากต้องให้คนอื่นมาพูดแทนท่านปู่และท่านพ่อของข้าน้อย ตรงกันข้าม ขอให้คนของท่านยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจท่านพ่อและท่านปู่ของข้าน้อยด้วยดีกว่า!” เหล่าจ้าวคิดในใจ นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? คุณหนูใหญ่สกุลชีเสียสติไปแล้วหรือ?! ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับเข้าใจความหมายของชีหยวนได้ในทันที การลักลอบค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายและการสมรู้ร่วมคิดกับข้าศึกขายชาติให้อริศัตรูถือเป็นแผนการอันชั่วช้าเลวร้ายมากเกินไปจริง ๆ เหตุผลที่ผู่อู๋ย่งทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็สามารถทำให้สกุลชีสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชางนับจากนี้ไปตลอดกาล แม้ภายหลังจะหาตัวคนร้ายที่แท้จริงเจอแล้วก็ตาม ทว่าหากว่า หากว่าชีหยวนถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า และคนในราชสำนักล้วนพากันรุมโจมตีสกุลชี หวังทำลายสกุลชีให้สิ้นซากไป ทว่าต่อมากลับได้ค้นพบความลับในภายหลังว่าเงินตำลึงจำนวนมหาศาลถูกซุกซ่อนไว้ในเรือนเช่าของสกุลสวี ไหนจะคนเหล่านั้นที่เซียวอวิ๋นถิงได้ส่งไปที่จี้โจวแล้วด้วย… เช่นนั้นในตอนนี้ยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตอื
ตอนที่นางกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เซียวอวิ๋นถิงคอยอยู่บนชั้นสองแล้ว เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ราวกับเดินกลับเรือนของตนเอง ชีหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่ามีเรื่องสำคัญ ก็มิได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นั่งลง และเอ่ยขึ้นอย่างตรงประเด็น “ข้าน้อยจัดการสังหารสวีซินเฉียวแล้ว เขามิได้เปิดเผยข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์” หนนี้เหล่าจ้าวแอบติดตามมาด้วย วิชายุทธ์ของเหล่าจ้าวนับว่าเลิศล้ำ ดังนั้นต่อให้จะอยู่ห่างไกล เขาก็สามารถได้ยินบทสนทนาของคุณหนูใหญ่สกุลชี มิหนำซ้ำ… ยังพูดอย่างฉะฉานมั่นใจในเหตุผลมากเสียด้วย ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย เขามุ่นหัวคิ้วขึ้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีคนแอบติดตามเจ้า” อำนาจของขันทีผู้ใหญ่ประจำกรมขันทีราชพิธีมิใช่เล่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์เสื้อแพรยังแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่ กล่าวได้ว่า นับแต่เสี้ยวขณะที่ชีหยวนถูกลอบสังหาร ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในกำมือของพวกเขาหมดแล้ว ชีหยวนเปล่งเสียงรับคำเบา ๆ สีหน้าท่าทางสงบสุขุมยิ่งนัก “ข้าน้อยทราบแล้ว ดังนั้นหลังจากข้าน้อยสังหารสวีซินเฉียว พวกเขาจะคิดว่าอย่างไร?” จะคิดว่าอย่างไรหร
คนเรายามที่ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอย่างรุนแรง ก็มักจะเผลอใช้ความคิดฟุ้งซ่านมากลบเกลื่อนความหวาดกลัวและความตกใจของตนเองเสมอ ชีหยวนเผากริชด้วยไฟจนร้อนจัด ก่อนจะดึงหน้านิ่งและเสียบมันเข้าไปที่กระดูกสะบักซ้ายของสวีซินเฉียว จนแทงทะลุไปอีกด้านหนึ่งของเขา ทว่าหนนี้สวีซินเฉียวแม้แต่เสียงร้องก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้ ทรุดลงกับพื้นทั้งร่างสั่นเทาและชักกระตุก ดวงตาฉายประกายหวาดกลัว ชีหยวนหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างเรียบเฉยและส่งยิ้มให้สวีซินเฉียวพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าสวี ท่านจะไม่พูดก็ย่อมได้ ข้าเข้าใจ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของคนในสกุล ท่านจะไม่พูดก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งในยุทธจักรเถิด” นางเอ่ยพลาง ก็ส่ายเทียนไขในมือของตนเองไปมา “ข้าจะส่งท่านเดินทางครั้งสุดท้าย เผาท่านไม่ให้เหลือซาก จะได้ประหยัดแม้กระทั่งโลงศพด้วย ถือเป็นการทำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อชาวบ้านจี้โจวไปด้วย” ชาวหว่าล่ารุกรานเข้ามาทุกปี ชาวบ้านในที่แห่งนั้นเผชิญหายนะทุกข์ทรมานกันไปแล้วตั้งเท่าใด?! พวกเขาโหดร้ายป่าเถื่อน บุรุษถูกสังหารทันที ส่วนสตรีและเด็กก็กวาดต้อนกลับไปยังทุ่งหญ
และทันทีที่ผ้าขี้ริ้วถูกดึงออกมาจากในปาก สวีซินเฉียวไม่แม้แต่จะหยุดชะงักก็อ้าปากหมายจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทันที แต่ชัดเจนว่าความรวดเร็วของชีหยวนยังเร็วกว่าเขามาก เขายังไม่ทันได้อ้าปากส่งเสียง ชีหยวนก็จัดการยัดผ้าขี้ริ้วกลับเข้าไปในปากของเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วแล้ว และที่ยัดเข้าไปคราวนี้ก็ลึกยิ่งกว่าคราวก่อน แทบจะจุกเข้าไปถึงด้านในลำคอของสวีซินเฉียว ทำให้สวีซินเฉียวถึงขั้นพะอืดพะอมพยายามสำรอกออกมาหลายครั้ง ระดับความตื่นรู้ของคนหนึ่งคน เทียบเท่ากับระดับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาได้รับ สำหรับสวีซินเฉียวในยามนี้ก็นับเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า เมื่อใดที่สตรีตรงหน้าเอื้อนเอ่ยวาจาน้ำลายหนึ่งหยดของนางคือตะปูหนึ่งดอก หากไม่เชื่อฟังคำพูดของนางแล้ว นางจะแสดงความน่ากลัวอย่างถึงที่สุดออกมา ชีหยวนผุดยิ้มเล็กน้อยพลางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาและปักกลับไปที่มวยผมดังเดิม จากนั้นค่อยแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางขยับข้อมือไปมา “ใต้เท้าสวี ดูท่านสิ เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังกันบ้างเจ้าคะ? คนที่ไม่เชื่อฟัง จะต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะ” เอ่ยพลาง นางก็เลื่อนมือข้างหนึ่งไปปิดปากสวีซินเฉียวไว
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น สวีฮว่านก็ยิ่งระมัดระวังในการกระทำมากขึ้นไปอีกที่จวนไม่เคยจัดงานเลี้ยงหรืองานมหรสพใด ๆ เลยแม้แต่ในงานเลี้ยงวันเกิดของหญิงชรา ก็แค่ให้คนในครอบครัวทานข้าวด้วยกันมื้อเดียวแล้วก็จบกันไปเงินทองในบ้านกองเป็นภูเขา ผ้าไหมผ้าแพรก็มีมากมาย แต่ก็ไม่เคยเอาออกมาใช้แค่เห็นแต่ใช้ไม่ได้ นี่แหละถึงเป็นเรื่องที่อึดอัดใจและกลัดกลุ้มใจที่สุด!นางยังคิดว่าสวีฮว่านคงจะเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิตแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาเหมือนจะคิดตกได้ในทันทีสวีฮว่านยิ้มบาง ๆ พูดอย่างมีนัยยะว่า “เมื่อก่อนใช้ไม่ได้ แต่หลังจากนี้จะใช้ได้แล้ว”ฮูหยินสวีฟังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ก็ดีใจยิ่งนัก รีบเปิดคลังเอาหนังสัตว์ออกมา ตัดเสื้อผ้าใหม่ให้เด็ก ๆ ในบ้านกันคนละชุดที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชื่นมื่นสวีซินเฉียวออกจากบ้านสวีก็ยิ้มแย้มมีความสุขเช่นกันแน่นอนว่ามีความสุขอยู่แล้ว!สิ่งที่เขาทำ เขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นความผิดมหันต์ถึงขั้นถูกตัดหัวและฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะมีตระกูลชีเป็นแพะรับบาปไปแล้ววันขึ้นปีใหม่ บังเอิญมีเรื่องมงคล เขาดีใจจนเดินตรงไปที่หอหงเฟิ่นจินที่ค้าขายดีท