ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา "ข้ามิเข้าใจจริง ๆ ข้ามิเข้าใจว่า เหตุใดในยามศึกสงคราม ความโกรธแค้นของราษฎรจึงถูกมองว่าไม่มีเวลาจะไปสนใจความรู้สึกของพวกเขา""และก็มิเข้าใจว่าเหตุใดชาวบ้านถึงต้องออกรบ ในเมื่อยังมีทหารเหลืออยู่!"“และข้ายิ่งมิเข้าใจว่าเหตุใดรองแม่ทัพเฉินถึงสละชีพในสนามรบได้ แต่ท่านถึงยังอยู่ที่นี่?”น้ำเสียงของลั่วชิงยวนดุดันมาก และทุกคำพูดก็คมกริบบาดใจทั้งซือซิงและเซี่ยงจิ้งต่างตกตะลึงกับท่าทีนี้รองแม่ทัพหลิวโกรธมาก เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของทั้งซือซิงและเซี่ยงจิ้ง เขาจึงเดาว่าพวกเขามิใช่พวกเดียวกันเขาชักดาบออกมาด้วยความโกรธ “ใครใช้ให้เจ้ากล้าพูดอะไรหยิ่งยโสเช่นนี้ที่นี่!”เซี่ยงจิ้งรีบปัดดาบของรองแม่ทัพหลิวและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "แม่นางลั่วมาจากเมืองหลวง"“รองแม่ทัพหลิว โปรดให้ความเคารพนางหน่อย”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ รองแม่ทัพหลิวก็ตกใจมาก มาจากเมืองหลวงเช่นนั้นหรือ?สีหน้ารองแม่ทัพหลิวดูน่าเกลียดแต่ไม่มีอะไรจะพูด แม่ทัพหลิวจึงพาพวกเขาเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงเขากล่าวว่า "มิใช่ว่าข้ากลัวตาย แต่เมืองผิงหนิงสามารถยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้ก็ยากลำบากมาก เราพาทุกคนตา
สายตาที่แสดงความเกลียดชังของทุกคนจับจ้องไปที่นาง“เก่งนักเรื่องฆ่าพวกเดียวกัน! ตอนที่พวกเจ้าไม่มีอาหาร เหตุใดมิไปปล้นเสบียงของพวกนอกด่านเล่า? มาปล้นเสบียงของพวกเดียวกันด้วยเหตุใด?”“พอไม่มีอาหารก็ไปปล้นเสบียงชาวบ้าน! เมื่อศัตรูมาถึง ก็ส่งชาวบ้านอย่างพวกเราออกไปตาย!”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ลั่วชิงยวนก็ตกใจเกิดอะไรขึ้นกับเมืองผิงหนิงความคับข้องใจของชาวบ้านเหล่านี้ลึกซึ้งมาก มิใช่ความแค้นเพียงชั่วข้ามคืนแน่เซี่ยงจิ้งก็ตกใจเช่นกัน "ปล้นเสบียงรึ? มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงรึ?"“ยังมาทำไขสือ!”ลั่วชิงยวนกล่าวทันทีว่า "ทุกท่าน ใจเย็นก่อน ข้ามาจากเมืองหลวงตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิ ข้าขอรับรองกับทุกคนว่า ราชสำนักมิทราบข่าวเกี่ยวกับเมืองผิงหนิง"“และมิรู้ว่ากองทัพที่ประจำการที่นี่ถึงขั้นปล้นเสบียงของชาวบ้านและบังคับให้ราษฎรรเข้าร่วมกองทัพ”"หากพวกท่านมีความคับแค้นใดในใจ สามารถบอกข้าได้! ข้าจะเป็นตัวแทนของพวกท่านเอง!"“แต่ยามนี้ เรากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ข้าหวังว่า พวกท่านจะเข้าใจว่าพวกนอกด่านนี่แหละที่ทำลายชีวิตอันสงบสุขของเรา หากพวกท่านทำร้ายพวกเดียวกันเช่นนี้ ก็ยิ
ลั่วชิงยวนตะโกนขึ้นทันที“ข้ารับรองว่าพวกท่านจะมิตาย!”“แม้ว่าคนในครอบครัวที่ตายไปแล้วจะมิสามารถกลับมาได้ แต่เสบียงที่ถูกปล้นไป และทรัพย์สินที่สูญหายสามารถลงทะเบียนไว้ได้ที่นี่”“เมื่อสงครามสงบลง ข้าจะมอบบ้านที่สงบสุขคืนให้กับพวกท่าน!”“ในการต่อสู้กับพวกนอกด่านครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันยอมให้พวกท่านต้องเข้าสู่สนามรบอีก! เมื่อฟ้ามืดลง แม่ทัพเซี่ยงจะพาพวกท่านออกจากเมืองและอพยพไปจากที่นี่”นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมวิธีเดียวที่นางคิดออกในยามนี้เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวบ้านก็หยุดมืออีกครั้ง“จริงหรือ? จะคุ้มกันพวกเราให้อพยพหรือ? คงจะมิปล่อยให้เราออกไปตายนอกเมืองใช่หรือไม่?”เซี่ยงจิ้งก็พูดทันที "อย่ากังวล ข้าเซี่ยงจิ้งไม่มีทางเอาชาวบ้านไปเป็นโล่ป้องกันแน่นอน"“ค่ำนี้จะอพยพ รีบกลับไปเก็บข้าวของกันเถอะ”หลังจากที่ทุกคนฟังแล้ว พวกเขาก็เริ่มเชื่อขึ้นมาพวกเขาแยกย้ายกันไปทันทีและกลับไปเก็บข้าวของเซี่ยงจิ้งยังส่งคนไปตามบ้านแต่ละหลังทันที เพื่อแจ้งข่าวและพาพวกเขาออกจากเมืองในคืนนี้รองแม่ทัพหลิวมิพอใจเล็กน้อย "แม่ทัพเซี่ยง หากท่านนำคนไปคุ้มกันชาวบ้านออกจากเมือง แล้วหากพวกนอกด่านมารุกราน..."ล
“ยิ่งกว่านั้น ฉินเชียนหลี่ก็ถูกจับตัวไปด้วย”“รอดูกันต่อไปอีกสักหน่อย บางทีเขาอาจถูกช่วยให้รอดกลับมาได้แล้ว”ลั่วอวิ๋นสี่อยู่ที่นี่มาโดยตลอด หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฉินเชียนหลี่ นางต้องไปช่วยฉินเชียนหลี่แล้ว มิเช่นนั้นในยามนี้นางคงมิได้เห็นลั่วอวิ๋นสี่เงียบหายไปเช่นนี้ลั่วอวิ๋นสี่มีเตี่ยฉุยติดอยู่กับร่างของนาง ด้วยความแข็งแกร่งของเตี่ยฉุย น่าจะช่วยฉินเชียนหลี่จากพวกนอกด่านได้อย่างราบรื่น“ช่วยกลับมา? ท่านลงมือแล้วหรือ?” เซี่ยงจิ้งรู้สึกสับสนลั่วชิงยวนพยักหน้า "ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นข้าจึงส่งคนมาล่วงหน้าแล้ว"เซี่ยงจิ้งรู้สึกประหลาดใจ“แม่นางลั่วมิธรรมดาจริง ๆ”“มิน่าแปลกใจเลยที่ท่านมาถึงชายแดน”หากเป็นคนอื่น บางทีพวกเขาอาจจะมิสามารถแบกรับภารกิจสำคัญนี้ได้จริง ๆ“แม่นางลั่ว หลังจากที่ซือซิงและข้าออกเดินทางคืนนี้ เรามิรู้ว่าการเดินทางจะราบรื่นหรือไม่ หากเรามิสามารถกลับมาได้ทันเวลา เมืองผิงหนิงก็จะกลายเป็นเมืองร้าง”“ข้าคิดว่า รองแม่ทัพหลิวมิใช่คนที่เชื่อถือได้ ท่านอยู่คนเดียวจะไหวหรือ?”ลั่วชิงยวนยกมุมปากขึ้น "วางใจเถิด ข้ากล้าจัดการเช่นนี้ เ
กองทัพพวกนอกด่านกำลังโจมตี ทุกคนเตรียมการป้องกันด้วยความตึงเครียดกองทัพศัตรูประชิดเมืองในพริบตา การต่อสู้พร้อมปะทุ และพวกนอกด่านเริ่มโจมตีเมืองทันที“ยิงธนู!”ลั่วชิงยวนออกคำสั่ง ลูกธนูนับพันถูกยิงออกไปลั่วชิงยวนยกธนูและลูกธนูขึ้น แต่มิพบผู้นำของพวกนอกด่าน มีบางคนที่สั่งการอยู่ แต่ดูมิเหมือนเป็นผู้สั่งการช่างมัน ฆ่าก่อนแล้วค่อยว่ากัน!ลั่วชิงยวนเล็งทิศทาง ลูกธนูพุ่งออกไปด้วยเสียงแหวกอากาศ ทะลุผ่านร่างของศัตรูลูกธนูอีกหนึ่งดอก คร่าชีวิตคนไปหนึ่งคนลั่วชิงยวนยิงมิพลาดแม้แต่นัดเดียว ด้วยความสามารถในการสังเกตที่แม่นยำ นางสังหารหัวหน้าศัตรูได้หลายคน ทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่พวกนอกด่านในมิช้า ศัตรูก็ค้นพบตัวนาง“ทุกคน ฆ่าสตรีนางนั้นเสีย!”พวกนอกด่านฟังคำสั่งและโจมตีประตูเมืองที่ลั่วชิงยวนอยู่ทันที พวกเขาปีนไปบนกำแพงเมืองเหมือนฝูงมด กรงเล็บเหล็กของพวกมันทิ้งรอยไว้บนกำแพงเบื้องหน้ามากมายรองแม่ทัพหลิวเฝ้าดูจากระยะไกลและเยาะเย้ย ‘สตรีมิรู้จักที่ต่ำที่สูง รนหาความตายจริง ๆ’ทหารเข้ามาขัดขวางพวกนอกด่านที่ปีนกำแพงเมืองขึ้นมา“แม่นางลั่ว เหตุใดท่านมิลงไปซ่อนตัวก่อน พวกนอกด่านกำลั
มีเสียงระเบิดดังขึ้นในหูเศษหินระเบิดไปทั่วท้องฟ้าลั่วชิงยวนยืนขึ้นจากกองฝุ่น ฝุ่นกรวดบาดที่แก้มจนมีรอยเลือดนางยืนขึ้นและมองการโจมตีจากเครื่องกระทุ้งหินอย่างต่อเนื่อง หอประตูเมืองทุกแห่งในเมืองถูกโจมตีอย่างรุนแรง ศพปลิวว่อน เลือดกระจายทั่วท้องฟ้าในช่วงเวลานี้ พวกเขาประสบกับความสูญเสียอย่างหนักเดิมทีกำลังคนของพวกเขาก็น้อยกว่าพวกนอกด่านอยู่แล้ว และด้วยพลังของเครื่องกระทุ้งหินในยามนี้ คราวล่มสลายของเมืองนี้ก็เป็นเรื่องของเวลาแล้วรองแม่ทัพหลิวรีบวิ่งไปข้างหน้าทันที และตะโกนว่า "ทุกคน รีบซ่อนตัวเร็วเข้า!"“เครื่องกระทุ้งหินนี้มีพลังมหาศาล กำแพงเมืองของเรามิสามารถต้านทานได้เกินครึ่งชั่วยาวแน่!”“เราเอาชนะพวกนอกด่านมิได้หรอก!”“ยามนี้แล้ว เราก็ทำได้เพียงรีบไปซ่อนตัวอยู่ในเมือง และรอการสนับสนุนเท่านั้น!”เมื่อคำพูดของรองแม่ทัพหลิวออกมา ผู้คนก็รู้สึกสิ้นหวังมากยิ่งขึ้น“เข้าไปหลบในเมือง เหตุใดมิยอมแพ้ไปเลยเล่า?!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเฉียบคมรองแม่ทัพหลิวดุด้วยความโกรธ "สตรีอย่างเจ้ามิรู้อะไรเลย เป็นเจ้าแท้ ๆ ที่ทำให้ศัตรูโกรธจนพวกเขาเลือกใช้เครื่องกระทุ้งหินเช่นนี้!"“คืนนี้ม
“ตายซะ!” สตรีจากเผ่านอกด่านผู้นี้แข็งแกร่งมาก จนสามารถบีบให้ลั่วชิงยวนล่าถอยไปจนกับหอกยาวได้ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว มองสตรีซึ่งเต็มไปความเกลียดชังอย่างบ้าคลั่งตรงหน้า ไร้ซึ่งสติโดยสิ้นเชิงแววตาของนางเป็นประกายวาบนางแสร้งทำเป็นสู้มิไหว แต่เมื่อรู้สึกว่าหอกยาวใกล้เข้ามา นางจึงเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายหอกยาวที่อยู่ข้างหลังถากผ่านเอวของนาง ทิ้งรอยแผลได้เลือดไว้หอกยาวพุ่งทะลวงอย่างรวดเร็ว แทงเข้าที่หน้าท้องของสตรีจากเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงหน้า“อั่ก!” ความเจ็บปวดสาหัสทำให้สตรีจากเผ่านอกด่านอ่อนแรงลงลั่วชิงยวนใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว หมุนตัวเตะสตรีนางนั้นให้กระเด็นออกไป สตรีจากเผ่านอกด่านล้มลงกับพื้นอย่างแรง“องค์หญิงชิงหวย!” เสียงร้องดังมาจากสนามรบที่วุ่นวายลั่วชิงยวนเหลือบมองไปด้านข้าง ‘องค์หญิงชิงหวย?’กองทัพวิญญาณนับล้านเอาชนะพวกนอกด่านอย่างไร้หนทางโต้กลับแม้ว่าอาวุธที่อยู่ในมือของวิญญาณเหล่านั้นจะมิสามารถทะลวงผ่านร่างกายของศัตรูได้โดยตรงแต่ในสนามรบนี้ไม่มีสิ่งใดขาดแคลนศัตรูมากมายที่ถูกพัดลอยขึ้นไปในอากาศต่างกระแทกเข้ากับคมดาบและตายทันทีสิ่งนี้ทำให้ทัพเผ่านอกด้านที่มีร
ลั่วอวิ๋นสี่นี่เอง!ข้างหลังนางคือฉินเชียนหลี่ ชายที่ร่างทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดที่ถูกพาตัวลงมาทุกคนตกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้“ท่านแม่ทัพฉิน!”ลั่วเยวี่ยอิงมองไปที่ฉินเชียนหลี่ ดูราวกับว่าเขาทนทุกข์ทรมานอย่างมากดูอ่อนล้าใกล้ตายเต็มที“รองแม่ทัพหลิวอยู่ที่ใด?” ฉินเชียนหลี่มองไปรอบ ๆ หลังลงจากม้า คนแรกที่เขาถามหาคือรองแม่ทัพหลิวลั่วชิงยวนมองเขาด้วยความสงสัย "เจ้าถามถึงเขาด้วยเหตุใด?"“เขาสำคัญมากหรือ?”ฉินเชียนหลี่พูดอย่างจริงจัง "แน่นอนว่าสำคัญมาก ข้ายังต้องปรึกษาเรื่องสำคัญกับเขา"คำตอบนี้ทำให้ลั่วชิงยวนประหลาดใจ นางเลิกคิ้วแล้วถามว่า "เจ้ามิใช่ว่าต้องเอาเรื่องรองแม่ทัพหลิว หรอกหรือ? ชายผู้นี้มิน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย เขาทำลายขวัญกำลังใจของทหารในยามศึกสงคราม ข้าจึงสังหารเขาไปแล้ว"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเชียนหลี่ก็ตกใจ "ว่ากระไรนะ? เจ้าสังหารเขาไปแล้วหรือ?"“เจ้าเป็นใคร? มาฆ่ารองแม่ทัพของข้าด้วยเหตุใด?!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว เมื่อเห็นสายตาที่มิคุ้นเคยของฉินเชียนหลี่ลั่วอวิ๋นสี่ที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วเช่นกันลั่วชิงยวนมองฉินเชียนหลี่ด้วยความสงสัย "เจ้าจำข้ามิได้หรือ?"
ซ่งเชียนฉู่เช็ดมือ ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ลั่วชิงยวนฉีกซองอ่านดู เมื่ออ่านจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีซ่งเชียนฉู่สงสัยจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ? เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือหรือไร?”ลั่วชิงยวนเบิกตาเล็กน้อย “เป็นจดหมายขู่”ในจดหมายเขียนว่า ผู้เขียนรู้ว่านางแอบอ้างเป็นศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี และต้องการให้นางร่วมมือ หากมิยอมร่วมมือ ก็จะให้ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวีตัวจริงมาเปิดโปงความจริง เพื่อทำลายชื่อเสียงของนาง บอกให้ใต้หล้ารู้ว่านางเป็นเพียงสตรีที่ต้มตุ๋นหลอกลวงซ่งเชียนฉู่รับจดหมายมาอ่าน แล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ “ใครกัน? ดูเหมือนจะจับตามองท่านมานานแล้ว!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ให้มันมาหาข้าเองเถอะ ส่วนเจ้าก็จงระมัดระวังตัวให้มาก”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้ารับ “ข้ามิเป็นอะไรหรอก แต่ท่านต้องระวังตัวให้มาก คนผู้นี้คงจับตามองท่านมานานแล้ว ถึงได้รู้ว่าท่านมิใช่ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี”นั่นเพราะเมื่อเริ่มทำนายทายทัก ลั่วชิงยวนยังไม่มีชื่อเสียง จึงใช้ชื่อศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี ผู้เขียนจดหมายจึงต้องรู้ว่า
แต่กลับถูกจับแขน แล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอดลั่วชิงยวนจึงรู้สึกตัว เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ตกใจมาก “ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนโอบกอดนางแน่นแล้วพูดว่า “ตำหนักนอกเมืองหนาวมาก”ลั่วชิงยวนผลักเขาออกอย่างแรง “ใช่เพคะ มิเพียงแต่หนาว ยังมีงูด้วย”มิใช่ว่านางมิเคยอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองสภาพแวดล้อมในครั้งนั้นยากลำบากกว่าฟู่เฉินหวนในตอนนี้มากฟู่เฉินหวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีตของนาง จึงจับมือของนางด้วยความห่วงใย “ชิงหยวน ครั้งนั้นเจ้าลำบากมาก”“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า”ใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เรื่องในอดีต ผ่านไปแล้ว มิต้องพูดถึงอีกแล้วเพคะ”“ท่านทนความหนาวเย็นของตำหนักนอกเมืองมิได้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ “ทนการจากลาเจ้ามิได้ต่างหาก”ใจของลั่วชิงยวนสั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ใจอ่อนอีกครั้ง“แต่ถ้าท่านมิไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมือง ในตำหนักอ๋องแห่งนี้คนที่ทุกข์ใจก็จะเป็นเราสองคน”“ข้าจะไป รุ่งเช้าจะกลับ คืนนี้ขอพักอยู่ที่นี่สักคืนได้หรือไม่?”ฟู่เฉินหวนกลับมาที่เมืองหลวงในเวลากลางคืนมิใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเมื่อไปถึงตำหนักนอกเมือง แล้วเห็นสถานที่ที่นางเค
นางโน้มกายลง ริมฝีปากแสยะยิ้มจางขณะพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงบ่าวที่ใช้ทดลองยาในตำหนักอ๋องเท่านั้น”จบประโยค นางก็คว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง แล้วกรีดลงไปแม้ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะดิ้นรนอย่างไร ลั่วชิงยวนก็มิปล่อยมือ ปล่อยให้โลหิตไหลออกเต็มชาม ลั่วชิงยวนจึงคลายมือออกพร้อมกับพานางรับใช้ไปด้วยลั่วชิงยวนจำต้องเร่งรัดการปรุงยาแก้พิษ ลั่วเยวี่ยอิงยังคงมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งก่อความวุ่นวายให้ตำหนักอ๋องมิสงบสุขระหว่างทางกลับ นางก็สั่งนางรับใช้ว่า “เจ้าไปเอาชุดจากศาลารุ้งเมฆาให้สตรีผู้นั้น บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ศาลารุ้งเมฆาจะให้”“เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนสั่งอีกว่า “จงทำตามใจนางทุกอย่าง จะได้มิเดือดร้อน”“เจ้าค่ะ”ยามเย็นลั่วชิงยวนดักรออยู่มิไกลจากตำหนักอ๋องเมื่อเห็นรถม้าใกล้เข้ามานางก็รีบเข้าไปหาเมื่อฟู่เฉินหวนบนรถม้าเห็นนางมาถึงก็รีบลงจากรถม้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดลั่วชิงยวนไว้ในอ้อมแขน “คิดถึงข้าหรือไม่?”ลั่วชิงยวนผลักเขาออก “หม่อมฉันมาบอกท่านว่าอย่ากลับไป ท่านไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเถิดเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนก็แข็งค้าง “เหตุใด? ข้าทำผิ
เพียงครึ่งเดือนเศษที่มิได้พบกัน มหาราชาจารย์เหยียนกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคนมหาราชาจารย์เหยียนจ้องมองนางอย่างมิพอใจ “พระชายาอ๋องจงดูแลตนเองเถิด!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลง ฟังเสียงมหาราชาจารย์เหยียนที่อ่อนแรง ดูเหมือนจะสูญเสียพลังงานมาก ถึงแม้ว่าจะถูกกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ล่าสุด แต่ก็มิควรจะสูญเสียมากถึงเพียงนี้ย่อมมีสาเหตุอื่น “ข้าหวังดี ท่านมหาราชาจารย์เหยียนมิจำเป็นต้องตอบโต้เช่นนี้”“ข้าเห็นท่านมหาราชาจารย์เหยียนดูเหมือนจะสูญเสียกำลังภายในไปมาก และมีอาการเป็นพิษ ท่านมหาราชาจารย์เหยียนควรหาหมอที่มีฝีมือดีมารักษาเถิด”“อย่าปล่อยให้ตัวเองล้มไปทั้ง ๆ ที่ยังมิได้ชนะแล้วกัน” ลั่วชิงยวนยิ้มเยาะมหาราชาจารย์เหยียนหน้าซีด จ้องมองนางอย่างเย็นชา “มิต้องมายุ่งเรื่องของข้า!” กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วจากไปลั่วชิงยวนมองดูเงาของมหาราชาจารย์เหยียนที่รีบจากไป ในใจรู้สึกสับสน อาการป่วยของมหาราชาจารย์เหยียนดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันกลับไปแล้วนางก็ใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์คำนวณอีกครั้ง และไปดูที่บริเวณบ้านตระกูลเหยียนอีกครั้งถึงแม้ว่ามหาราชาจารย์เหยียนจะมีอาการป่วยหนัก
ซูโหยวพยักหน้า “ท่านอ๋องตามใจนางทุกอย่างแล้วขอรับ” “ถึงกระนั้นนางกลับยังขอให้ท่านอ๋องหย่ากับพระชายาและลงทัณฑ์พระชายาอย่างหนัก” “ท่านอ๋องมิได้ยินยอมและพิโรธยิ่งนัก จึงกลับเข้าห้องไป”ลั่วชิงยวนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ฟังดังนั้น “ลั่วเยวี่ยอิงต้องการให้ท่านอ๋องหย่ากับข้าหรือ? จะให้ลงทัณฑ์ข้าด้วยหรือ?” ซูโหยวพยักหน้ารับอีกครั้งลั่วชิงยวนรู้สึกถึงความผิดปกติ ลั่วเยวี่ยอิงอาจจะรู้แล้วหรือไม่ว่าฟู่เฉินหวนถูกควบคุมจิตใจอยู่? “เจ้าไปเถิด ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเอง ข้าจะมิเข้าไป” ซูโหยวพยักหน้าแล้วถอยออกไปลั่วชิงยวนเดินไปยังชายคาบ้าน มิได้ผลักประตูเข้าไป นางยืนอยู่ข้างกำแพง ฟังเสียงครวญครางอันแสนเจ็บปวดที่เล็ดลอดออกมาจากห้อง หัวใจของนางแทบจะขาดสะบั้นดวงตาแดงก่ำ ขณะนั่งคุกเข่าลงข้างกำแพง มีเพียงกำแพงกั้นไว้ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงครวญครางอันเจ็บปวดของฟู่เฉินหวนดังก้องเข้ามาในหูอย่างชัดเจนลั่วชิงยวนกำมือแน่น มิกล้าส่งเสียงใด ฟู่เฉินหวนซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ดิ้นรนทรมาน เลือดไหลออกมาจากปากความทรมานเช่นนั้นกินเวลายาวนานถึงหนึ่งชั่วยามเศษ แต่ฟู่เฉินหวนมิได้ออกมาจากห้อง ล
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ใจของลั่วชิงยวนก็ยังคงเจ็บปวดแต่จะทำอย่างไรได้ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น ฟู่เฉินหวนจึงจะมิถูกทรมานจนถึงตายในที่สุดลั่วเยวี่ยอิงที่ถูกอุ้มไปก็มีความสุขมากนางกอดฟู่เฉินหวน ร้องไห้คร่ำครวญน้ำตาไหลพราก “ท่านอ๋อง ในที่สุดหม่อมฉันก็ได้พบท่านแล้ว”“ท่านมิรู้หรอกเพคะว่าหม่อมฉันต้องใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา”“พระชายาเอาเลือดของหม่อมฉันไปทุกวัน หม่อมฉันคิดว่าชาตินี้จะมิได้พบกับท่านแล้ว…”ฟู่เฉินหวนได้ยินเสียงคร่ำครวญก็หงุดหงิด ยิ่งปวดหัวหนักขึ้น“ท่านอ๋อง ท่านต้องช่วยหม่อมฉันให้พ้นจากภัยนี้ด้วยเถิดเพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้มิหยุด“ข้าจะให้หมอมาตรวจอาการเจ้า” ฟู่เฉินหวนพยายามควบคุมตนเองมิให้ต่อต้านพลังที่ควบคุมอยู่พยายามตามใจลั่วเยวี่ยอิง“เพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงยิ้มอย่างพอใจ ในใจมีความสุขสิ่งที่เหยียนหน่ายซินพูดนั้นเป็นความจริง......ลั่วชิงยวนนั่งอยู่ที่ห้อง จือเฉาใช้ยาบรรเทาอาการบวมช้ำที่ใบหน้าของลั่วชิงยวนพลางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋องกับพระชายาได้คืนดีกันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ จึงลงมือหนักเช่นนี้”“เขาก็มีเหตุผลของเขา” ลั่วชิงยวนถ
ยามเที่ยงวัน ลั่วชิงยวนกลับถึงตำหนักอ๋อง ทันทีที่กลับมาถึง ซูโหยวก็รีบมารายงานเรื่องราวมากมาย ฟู่เฉินหวนจึงไปยังห้องตำราลั่วชิงยวนกลับห้องตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ แล้วตั้งใจจะงีบหลับแต่ปรากฏว่าทันทีที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วออกมา จือเฉาก็วิ่งมาอย่างเร่งรีบ“มิดีแล้วเจ้าค่ะพระชายา ลั่วเยวี่ยอิงผูกคอตายแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อได้ฟังดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง“นางผูกคอฆ่าตัวตายช่วงที่พวกข้ามิอยู่หรือ?”จือเฉาได้แต่ส่ายหน้าสายตาของลั่วชิงยวนเย็นชาลง นั่นหมายความว่านางตั้งใจรอให้พวกนางกลับมาก่อน จึงมาทำเป็นผูกคอตายเช่นนี้“ข้าจะไปดู”ลั่วชิงยวนเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็วเมื่อไปถึง ลั่วเยวี่ยอิงถูกช่วยไว้ได้แล้ว แต่ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนตายแม้จะอ่อนแอ แต่ก็ยังจ้องมองลั่วชิงยวนด้วยความโกรธแค้น “ถึงข้าจะตาย! ข้าก็จะมิยอมให้เจ้าใช้ประโยชน์จากข้าอีก!”กล่าวจบ ลั่วเยวี่ยอิงกัดฟันพยุงร่างกายลุกขึ้น แล้วกระแทกตัวเข้ากับกำแพงอย่างแรงลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ พูดอย่างเรียบเฉยว่า “แสร้งทำให้ใครดูเล่า!”“ข้ามิเชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าตายจริง ๆ!”ลั่วเยวี่ยอิงมิได้กระแทกตัวเข้า
ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นโอบกอดเขา แล้วแนบแก้มกับอกเขา “กลัวท่านจะหนีไปน่ะสิเพคะ”ฟู่เฉินหวนยิ้ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะหนีไปที่ใดได้?”ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นยิ้มจาง “ก็จริงเพคะ พระหนีได้ แต่วิหารหนีมิพ้น!”เมื่อเห็นรอยยิ้มอันงดงามนั้น ฟู่เฉินหวนก็ลูบจมูกนางด้วยความรักแต่ในใจกลับนึกถึงประโยคที่ว่าลูกสาวของศัตรูที่ฆ่าแม่ของเขาโดยมิรู้ตัว“อยากอยู่ที่ซีหยางอีกสักกี่วัน?”ลั่วชิงยวนตอบ “ท่านคงมีเรื่องต้องทำมากมาย เสียเวลาไปหลายวันแล้ว หรือว่าวันพรุ่งเราจะเดินทางกลับกันดีเพคะ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้วถาม “อุตส่าห์เดินทางไกลมาชมงานเทศกาลโคมไฟ จะรีบกลับไปเช่นนั้นหรือ?”แต่ลั่วชิงยวนกลับยิ้มมุมปาก “ที่สวยงามมิใช่งานเทศกาลโคมไฟ แต่เป็นทิวทัศน์ระหว่างทางเพคะ”“เช่นนั้นก็ดี วันพรุ่งเราจะเดินทางกลับกันเลย” ฟู่เฉินหวนกล่าว แล้วโอบกอดลั่วชิงยวนไว้แน่นรุ่งเช้าวันต่อมา คณะเดินทางก็กล่าวคำลาลั่วหลางหลางแล้วเดินทางกลับเมืองหลวงระหว่างทางมีผู้คนมากมาย เที่ยวชมทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำขณะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงดังนั้นจึงเดินทางช้ามากลั่วชิงยวนหาโอกาสไปพบกับฉู่จิ้งเพียงลำพัง เขาแอบติดตามมาคนเดียว
ดวงตาของฟู่อวิ๋นโจวเย็นชาดุจน้ำแข็งขณะกล่าวเสียงเรียบ “ข้าขอเตือนเจ้า จงอยู่ห่างจากลั่วชิงยวนเสีย”เหยียนหน่ายซินอมยิ้ม จู่ ๆ ก็มีแผนการอื่นผุดขึ้นในใจ “องค์ชายห้าโปรดปรานลั่วชิงยวนมากเลยหรือ? น่าเสียดายนัก จิตใจของนางมุ่งมั่นอยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการเพียงผู้เดียว”“องค์ชายห้าปกปิดตัวตนเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์แอบแฝง เช่นนั้นแล้ว เรามาร่วมมือกันดีหรือไม่?”“เมื่อได้อำนาจมาครอบครองแล้ว หม่อมฉันจะได้สิ่งที่ปรารถนา องค์ชายห้าก็จะได้สิ่งที่ปรารถนาเช่นกัน เห็นพ้องต้องกันหรือไม่?”สิ่งที่นางปรารถนาก็คือตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมอำนาจอันสูงสุดนั่นเองชีวิตของนางถูกคนอื่นควบคุมมาตั้งแต่เยาว์วัย นับแต่กำเนิด นางก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของตระกูล นางมิเต็มใจยอมแพ้แม้จะอดทนจนถึงวันที่มารดาและบิดาสิ้นลม แต่ปีที่ดีที่สุดของนางก็โรยราไปแล้ว จะมีความหมายอะไรอีกนางเบื่อหน่ายกับวันเวลาแห่งการอดทน ในภายภาคหน้า นางมิเพียงแต่ต้องการควบคุมชีวิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องการควบคุมชีวิตของผู้อื่นด้วย! เพื่อลิ้มรสความสุขจากการได้ครอบครองชีวิตของผู้อื่นฟู่อวิ๋นโจวขมวดคิ้ว แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “