จังหวะที่นางพุ่งเข้ามาก็มีเงาทาบทับมาพอดีลั่วชิงยวนรับรู้ได้ดังนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นพร้อมถือชามยาไว้แน่นในมือเพื่อปกป้องยาถอนพิษที่อยู่ในชามนั้นเฉียงเวยพุ่งเข้าหาชามยาแต่นางก็ไม่คาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะผลุนผลันลุกขึ้นเช่นนี้ตอนที่ลั่วชิงยวนลุกขึ้นนั้นเอง หัวก็กระแทกเข้ากับคางของเฉียงเวยเต็มรักเมื่อเทียบขนาดร่างกายของลั่วชิงยวนเมื่อชนเข้ากับเฉียงเวยแล้ว แน่นอนว่าคนที่ต้องกระเด็นไปก็คือเฉียงเวยเฉียงเวยล้มลงนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น นางยกมือกุมปากไว้พร้อมทั้งมีเลือดหยดลงมาไม่หยุดจนเต็มไปทั้งฝ่ามือ ฟันของนางก็หลุดออกมาถึงสองซี่“ท่าน ท่าน” เฉียงเวยชี้ลั่วชิงยวนอย่างโกรธเคือง นางกัดลิ้นตนเองจนเลือดออก ตอนนี้ก็เจ็บปวดจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ลั่วชิงยวนปรายตามองเล็กน้อยก่อนที่จะย่อตัวลงนั่งป้อนยาจือเฉาต่อ นางรู้สึกปวดใจมากเมื่อเห็นจือเฉาร้องไห้อย่างทรมาน“จือเฉาเร็วเข้า เจ้าต้องทนเจ็บปวดแล้วกินโอสถให้หมด”มีอีกเงาหนึ่งทาบทับมา แปลว่ามีอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามานางนั้นไม่กลัวที่จะต้องรับมือกับใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่นางกลัวเพียงแต่จะทำยาแก้พิษที่ยังกินไม่หมดนี้หกไปเสียก่อนเท่านั้นการช่วยถอน
เป็นเพราะลั่วชิงยวนนั้นขี้ขลาดและไม่มีความมั่นใจในตัวเองทำให้ลั่วเยวี่ยอิงสามารถทำร้ายนางได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ายามนี้ลั่วเยวี่ยอิงมีฟู่เฉินหวนคอยคุ้มครองก็ยิ่งเหิมเกริม หากว่านางไม่ตอบโต้กลับแล้วใครจะมาออกหน้าเรียกร้องความยุติธรรมแทนนางกันเล่า?ลั่วเยวี่ยอิงนั่นมีแต่คนคอยประคบประหงมและโดดเด่นมาตั้งแต่เกิดและไม่เคยต้องหัวเสียขนาดนี้ นางไม่อยากจะเป็นเหมือนลั่วชิงยวนคนก่อนลั่วเยวี่ยอิงจ้องนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินน้ำตาคลอจากไปอย่างโกรธเกรี้ยวคับแค้น……เป็นดังคาดว่าไม่นานนัก ก็มีคนมาเชิญให้นางไปที่เรือนของท่านอ๋องเมื่อนางไปถึงที่ห้องตำรา ลั่วเยวี่ยอิงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่าทางโศกเศร้าอย่างมากราวกับบุพการีตายเฉียงเวยนั้นคุกเข่าอยู่ที่พื้นและดูเป็นทุกข์“ลั่วชิงยวน ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร?” ดวงตาฟู่เฉินหวนฉายแววโทสะเขาเตือนนางแล้วว่าไม่ให้รังแกลั่วเยวี่ยอิงอีกลั่วชิงยวนยังคงรู้สึกว่า ตนไม่ได้ทำอะไรผิด นางไม่ได้เป็นฝ่ายไปยั่วยุลั่วเยวี่ยอิงและไม่ได้ไปรังแกนาง แต่ว่าเป็นลั่วเยวี่ยอิงที่มาหาเรื่องนางถึงที่ แล้วเช่นนี้จะตำหนินางได้อย่างไร?แต่นางก็ไม่ได้อธิบายและไม่คิดว่าจะอ้าปากอธิ
”ท่าน… ร้อย…กลาง… องค์ชาย”จือเฉาอ่านอย่างตั้งใจ แต่คนรอบตัวที่ฟังอยู่ล้วนไม่มีใครฟังเข้าใจฟู่เฉินหวนรู้ได้ในทันทีว่าจือเฉาอ่านอักษรบนนี้ไม่ได้หมดทุกตัวลั่วเยวี่ยอิงยังไม่เข้าใจ นางเพียงคิดว่าเฉียงเวยลงมือหนักนัก ทำให้จือเฉาพูดได้ไม่เป็นภาษาเยี่ยงนี้แถมฟังแทบไม่รู้เรื่องฟู่เฉินหวนนิ่วหน้าและถามเสียงเย็น “จือเฉา ข้าถามเจ้าว่าเจ้าลงนามในหนังสือนี้เพื่อเหตุใด?”จือเฉาตอบอย่างตรงไปตรงมา “กราบทูลท่านอ๋อง บนนี้เขียนว่าการทดลองยานั้นมีความเสี่ยง บ่าวต้องลงนามก่อนถึงจะทำการทดลองได้ เขาบอกว่านี่เป็นกฎเพคะ”สีหน้าฟู่เฉินหวนบิดเบี้ยวดูไม่ได้ กฎเช่นนั้นหรือ? ใครเป็นคนตั้งกฎนี้ขี้นมากัน?“ผู้ใดบอกให้เจ้าลงนามในหนังสือนี้?”“กราบทูลท่านอ๋อง เป็นแม่นางสวีเซียงเซียงจากตำเรือนโอสถเพคะ” จือเฉาตอบอย่างสงบเสงี่ยม “พระชายาทรงบาดเจ็บ บ่าวเลยไปขอโอสถบำรุงโลหิตมาให้ แต่แม่นางสวีเซียงเซียงบอกว่า บ่าวต้องทดสอบยาก่อน ไม่เช่นนั้นนางจะไม่ให้ยาพิเศษกับบ่าวเพคะ”เมื่อได้ยินเช้นนี้ฟู่เฉินหวนก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นตอนนั้นเองลั่วเยวี่ยอิงถึงได้เข้าใจว่า จือเฉาอ่านหนังสือไม่ออก แล้วเช่นนี้การให้นางลงนามใ
ซูโหยวรีบเข้ามาช่วยฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋อง เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ?”ฟู่เฉินหวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในทรวงร้อนรุ่มดั่งไฟสุม หัวก็ปวดแทบระเบิด ความเจ็บปวดนั้นมันมากเกินทนไหว เหมือนว่าหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยง“รีบไปตามท่านหมอกู้มาเร็ว”เซียวชูรีบไปตามท่านหมอกู้มา ท่านหมอกู้ตรวจชีพจรดูลิ้นและดาของฟู่เฉินหวน เขาลอบตกใจ ปกติแล้วสุขภาพของฟู่เฉินหวนนั้นแข็งแรงมาโดยตลอด แต่เหตุใดถึงมีคนฉวยโอกาสจากเขาได้ง่ายนัก?“ท่านหมอกู้ ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือขอรับ?” ซูโหยวถาม“ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก เพียงท่านอ๋องฉุนเฉียวมากไป และอ่อนล้าจากหลายเรื่อง น่าจะต้องกินยาสักเดือนก็จะฟื้นกำลังมาได้แล้ว” หมอกู้ตอบ“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่านหมอกู้เพื่อรับยามา” ซูโหยวเดินไปส่งท่านหมอกู้เมื่อเขาหันหลังไป ก็มีรอยยิ้มแฝงนัยปรากฏบนริมฝีปากของหมอกู้ครึ่งชั่วยามต่อมาซูโหยวก็กลับมาพร้อมยา หลังจากที่ฟู่เฉินหวนกินยาเข้าไป อาการปวดหัวของเขาก็ทุเลาลงอย่างมาก“ท่านอ๋อง ช่วงนี้ท่านอ๋องอย่าเพิ่งกังวลกับเรื่องในตำหนักอ๋องดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ แม่บ้านเติ้งนั้นรับผิดชอบเรื่องของเรือนชั้นใน กระหม่อมจะดูแลเรื่องอื่น ๆ เอง สุขภาพของท่านอ๋องสำคัญที่ส
พิษในร่างจือเฉาโดนถอนออกไปและสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ส่วนสวีเซียงเซียงและคนอื่น ๆ จากเรือนโอสถก็โดนขับไล่ออกไป ชุนเยวี่ยซึ่งทำงานในเรือนโอสถได้รับการสนับสนุนจากแม่นมเติ้งเพื่อเป็นการขอบคุณเธอสำหรับคำให้การของนางแม่นมเติ้งนำยาตามใบเทียบยาของลั่วชิงยวนกลับมาให้ และลั่วชิงยวนเองก็นั่งบดยาอยู่“พระชายา บ่าวคิดว่า สวีเซียงเซียงคงมิกล้าคิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเองเป็นแน่ อย่างน้อยก็ภายใต้การดูแลของบ่าว นางมิกล้าประมาทเยี่ยงนี้” แม่นมเติ้งยังคงคิดไม่ตกลั่วชิงยวนยิ้ม “แน่นอนว่านางมิกล้า ข้าถามจือเฉาโดยละเอียดแล้ว นางบอกว่ามีเฉียงเวยเป็นคนคอยชี้นำอยู่”“เช่นนั้นเหตุใดสวีเซียงเซียงจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องเฉียงเวยเล่าเจ้าคะ?” แม่นมเติ้งตกใจ“เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ต้องมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังเฉียงเวยซึ่งมอบตำลึงเงินให้สวีเซียงเซียงมากพอที่จะให้นางหุบปากสนิท หรือสวีเซียงเซียงก็อาจโดนผู้นั้นข่มขู่จึงไม่กล้าสารภาพออกมา” นางเดาว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวพันกับลั่วเยวี่ยอิงมีเพียงลั่วเยวี่ยอิงเท่านั้นที่จ้องเล่นงานและอยากเห็นนางตาย“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นพระชายาจะยอมปล่อยวางเรื่องในคราวน
เมื่อลั่วเยวี่ยอิงตามมาทัน นางก็เห็นยาที่กลิ้งออกมาจากกล่อง นี่มันยาที่ท่านหมอกู้มอบให้นางเพื่อรักษาแผลมิใช่รึ? ยาพวกนี้ทำจากเครื่องยาสมุนไพรที่ล้ำค่าทั้งนั้น นางยังรู้มาอีกว่า ยาพวกนี้จะช่วยให้บาดแผลบนใบหน้าของนางไม่เป็นรอยแผลเป็น“ลั่วชิงยวน นี่เจ้ามาขโมยยาของข้าสินะ” ลั่วเยวี่ยอิงเข้าใจได้ในทันที นางจะต้องมาขโมยยานี้เพื่อเอาไปรักษานางบ่าวไร้ค่าจือเฉานั่นเป็นแน่สารเลวนัก ข้าวของของนาง ทาสไร้ค่าคู่ควรมาแตะต้องหรือ?เมื่อโดนจับได้ ลั่วชิงยวนก็ยิ่งตื่นตระหนก นางรีบคว้ากล่องยาแล้ววิ่งหนีต่อลั่วเยวี่ยอิงกัดฟันกรอดแล้วรีบไล่ตาม“หยุดนะ”ลั่วชิงยวนนั้นตื่นตระหนกเหมือนโจรที่โดนไล่ตามจับ นางวิ่งสุดฝีเท้าจนหอบหายใจแทบไม่ทัน ลั่วเยวี่ยอิงเองก็ตามนางมาไม่ลดละจนมาถึงเรือนเล็กลั่วชิงยวนเกือบจะล้มกลิ้งไปแล้ว นางโผเข้าหาจือเฉาแล้วรีบเปิดกล่องยา ละล่ำละลักพูดว่า “เร็วเข้า จือเฉารีบกินเร็ว”จือเฉาหยิบยาขึ้นมาพร้อมอ้าปากเตรียมกลืนลงไปลั่วเยวี่ยอิงรุดตามมาและไม่รอช้ายกมือขึ้นฟาดอย่างแรงจนเม็ดยากระเด็นร่วงจากมือจือเฉาเม็ดยานั้นกลิ้งไปตามแผ่นหินปูทางเดิน ลั่วชิงยวนรีบพุ่งตัวตามไปเก็บ มีหรือ
ในสวน แม่นมเติ้งและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันอึ้งงัน พวกเขาไม่คิดว่าวิธีการที่พระชายาใช้จะทำให้ลั่วเยวี่ยอิงฉวยยานั้นขึ้นมาแล้วกินลงไปเองหากว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับอาการบาดเจ็บของลั่วเยวี่ยอิง ก็ไม่มีอันใดที่เกี่ยวข้องกับพระชายาทั้งสิ้น ในสายตาของทุกคนเห็นว่า ลั่วเยวี่ยอิงนั้นเป็นฝ่ายที่แย่งชิงยาไปกินเองแม่นมเติ้งห็นว่า งานที่แสนยากนั้นเมื่ออยู่ในมือพระชายาก็สำเร็จได้อย่างง่ายดาย นางไม่เพียงเล่นลูกไม้กับลั่วเยวี่ยอิง ทำตามแผนได้สำเร็จและยังได้แก้แค้นอีกด้วย นี่มันน่าพึงพอใจยิ่งนักนางยิ่งรู้สึกชื่นชมพระชายามากขึ้นหากว่าไม่ใช่เพราะเป็นการไม่สะดวกที่จะพูดคุยกันตรงนี้ นางก็คงจะเอ่ยชื่นชมพระชายาออกมาแล้วที่ทางเดินนอกสวน ฟู่เฉินหวนเองก็แอบยืนมองอยู่เงียบ ๆเด็กรับใช้อดไม่ได้ที่จะบอกว่า “กระหม่อมคิดว่า พระชายาโดนคุณหนูรองลั่วเล่นงานเสียอีก ไม่คาดเลยว่าแท้จริงเป็นพระชายาที่วางแผนเล่นงานคุณหนูรองลั่ว”แววตาสงบนิ่งของฟู่เฉินหวนเกิดคลื่นระลอกหนึ่ง ในดวงตาฉายแววคมกล้า เขายิ้ม “ข้ากลัวว่านางไม่ได้มีเจตนาเพียงแค่จะกลั่นแกล้งคุณหนูรองลั่วเท่านั้นหรอก”“ข้าไม่คิดมาก่อนว่า บุตรสาวสายตรงที่ไร้ค่
ลั่วชิงยวนตอบโดยไม่คิดมาก “หากว่าเขาเป็นที่เคารพอย่างสูงเช่นนั้น เขาก็คงไม่สนใจว่าของขวัญจะสูงค่าหรือไม่ หากแต่ต้องมอบให้ด้วยใจ”“หากว่าท่านอยากให้ท่านมหาราชครูลั่วพอใจท่าน ก็ต้องย่อมหาของที่เขาชมชอบ หากว่าเขาชอบอะไรแล้วยังไม่มีของสิ่งนั้น หม่อมฉันก็จะมอบของสิ่งนั้นให้เขา”ลั่วชิงยวนก็คิดว่าตนควรจะไปร่วมงานฉลองวันเกิดนี้ดีหรือไม่บางทีอาจจะมีโอกาสดี ๆ รอนางอยู่ก็เป็นได้นางไม่สามารถทุ่มเทลงพนันที่ฟู่เฉินหวนคนเดียวได้แล้วตอนนี้ทันใดนั้นก็มีเสียงก่นด่าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ลั่วชิงยวนมองตามเสียงไปก็เห็นลั่วเยวี่ยอิงเดินจูงมือมากับหญิงสาวงดงามผู้หนึ่ง“น่าแปลกนัก ที่เดี๋ยวนี้คางคกเองก็ทะยานไปเกาะยอดไม้ได้ แสดงว่าเจ้าอ่อนแอเลยโดนรังแกเอาได้ หากว่าเป็นข้า ข้าจะถลกหนังคางคกนั่นแล้วเอาไปทอดในกระทะเสียเลย”“หากว่ามันทะยานไปเกาะยอดไม้ แล้วจะยังนับว่าเป็นคางคกอยู่ไหม? หรืออาจจะเป็นคางคกมีปีก เจ้าคิดว่าตัวอะไรก็จะกลายร่างเป็นหงส์ได้ทั้งหมดเช่นนั้นหรือไร?”ขณะที่พูดเช่นนั้น พวกนางก็เดินเข้ามาในสวนหญิงสาวผู้นั้นสวมกระโปรงสีชมพู นางดูงดงามและเฉลียวฉลาดทว่าเด็มไปด้วยโทสะ นางมองลั่วชิงยวนด
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร
เกาเหมียวเหมี่ยวกำหมัดแน่น รู้สึกโมโหมากจนแทบจะปรี๊ดแตกออกมาความรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาหานางเหมือนกับคลื่นยักษ์“เฉินชี คอยดูเถอะ!” เกาเหมียวเหมี่ยวจ้องมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวนางสวมอาภรณ์แล้วหนีไปทันที……คืนก่อนวันประลองที่หอรักษ์ดาราทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบหลังจากลั่วชิงยวนพักผ่อนได้หนึ่งวัน นางก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดท่องราตรีนางแอบเปิดประตูห้องแล้วอาศัยจังหวะที่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีคน มุ่งหน้าไปยังหอปรุงโอสถทั้งยังปล่อยเตี่ยฉุยออกมาเพื่อช่วยนางดูคนที่ผ่านไปมาให้อีกแรงหอปรุงโอสถเป็นสถานที่สำคัญของสำนักนักบวช บุคคลทั่วไปมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปตามใจชอบ หากนางถูกจับได้ จะต้องตายสถานเดียวทว่าหากมิขโมยโอสถ วันพรุ่งก็ต้องตายในการประลองที่หอรักษ์ดาราอยู่ดีดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมเสี่ยงดูสักครั้งลั่วชิงยวนอาศัยความที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำการหลบเลี่ยงจุดที่อาจจะมีคนและมาถึงด้านนอกของหอปรุงโอสถขณะนี้ หอปรุงโอสถเงียบสงบและไม่มีใครเฝ้ายามลั่วชิงยวนเดินเข้ามาในลานจนถึงประตูที่ลงกลอนเอาไว้นางดึงปิ่นปักผมออกมาปลดกลอนประตูอย่างชำนาญจากนั้นก
“ใครให้เจ้าใช้กลิ่นกล้วยไม้? คิดว่าตัวเองคู่ควรกับมันรึ?”แววตาอันชั่วร้ายและกลิ่นอายสังหารทั่วร่างที่แผ่ออกมาทำให้หลานจีหวาดกลัวจนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต“ท่าน… ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นให้ข้าใช้มันเองนะเจ้าคะ”ดวงตาของเฉินชีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาโยนหลานจีออกจากห้องอย่างโหดร้าย“นับตั้งแต่วันนี้ห้ามใช้น้ำหอมกลิ่นกล้วยไม้อีก ไสหัวไป!”หลานจีล้มออกมานอกห้องอย่างแรงจนกลิ้งตกขั้นบันไดและกระอักเลือดออกมา ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่ดูมิได้อย่างยิ่งนางเงยหน้าขึ้นด้วยความมิอยากเชื่อ มิเข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของท่านแม่ทัพถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อก่อนเขาชอบดูนางร่ายรำเป็นที่สุด และชอบกลิ่นหอมของกล้วยไม้บนตัวของนางด้วยเช่นกันเหตุใดจู่ ๆ ถึง…หลานจีพยายามลุกขึ้นจากพื้นพลางมองไปที่เฉินชีที่ยังคงดื่มอยู่ในห้อง “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดมิสบายใจใช่หรือไม่เจ้าคะ หลานจียินดีช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง ร่างนั้นเดินผ่านหน้านาง และได้ตบนางอย่างแรงทำให้หลานจีล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“ไล่ให้เจ้าไสหัวไปแต่กลับมิทำ จะรอข้ามาถลกหนังรึไร?” ดวงตาของเก
ฟู่เฉินหวนหาได้แปลกใจไม่ คนที่ปรากฏตัวที่นี่ได้ย่อมมิใช่คนธรรมดาเขามิได้ตอบ เพราะกำลังครุ่นคิดฉินอี้พูดต่อ “คนของเฉินชีล้อมภูเขาทั้งลูกไว้แล้ว เจ้าบาดเจ็บสาหัส ออกไปเองมิได้หรอก”“มีเพียงการไปกับข้าเท่านั้น ข้าจึงจะพาเจ้าออกจากที่นี่ได้”“อีกอย่าง เจ้าก็น่าจะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเฉินชี ถึงแม้ว่าเจ้าจะรอดชีวิตออกจากภูเขาลูกนี้ก็เข้าเมืองหลวงมิได้อยู่ดี และไม่มีทางได้พบลั่วชิงยวน”“ทั่วแผ่นดินแคว้นหลี มีเพียงข้าเท่านั้นที่ช่วยเจ้าได้”ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง “เงื่อนไขคืออะไร?”“เจ้าอุตส่าห์มาช่วยข้า คงต้องมีเงื่อนไขกระมัง”ฉินอี้ยกยิ้ม “ข้าชอบคบหากับคนฉลาด!”“สิ่งเดียวที่ข้าอยากทำ ก็คือฆ่าเฉินชี!”แววตาของฉินอี้เต็มไปด้วยจิตสังหารเฉินชีควบคุมกองทัพ มักทำอะไรตามใจชอบถึงแม้ว่าภายนอกจะเชื่อฟังราชวงศ์ แต่ความจริงแล้วเขาแทบมิยอมรับข้อบังคับของราชวงศ์ มิเคยเห็นใครอยู่ในสายตายิ่งไปกว่านั้น เขามิเคยนับถือองค์ชายผู้นี้เลย คอยแต่จะเยาะเย้ยเสมอเมื่อมีโอกาสสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในชีวิตคือ ฆ่าเฉินชี!ฟู่เฉินหวนดูออก ฉินอี้มิได้โกหกเรื่องนี้ ความเกลียดชังในดวงตาของเขาแทบจะพวยพุ่ง
นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบ ทว่าหาได้มีทางหลบได้ไม่ เงาดำหลายร่างจับร่างจองนางเหวี่ยงไปมาร่างของนางราวกับใบไม้ที่ถูกลมพัดปลิวไปมา ชนกำแพง ชนประตู ชนต้นไม้จนเลือดไหลออกมาดูน่าเวทนายิ่งนักมีคนหลายคนยืนดูความเคลื่อนไหวในเรือนจากในที่มืดระยะไกล แล้วต่างหัวเราะอย่างพึงพอใจ“คิดว่าจะเก่งแค่ไหนกันเชียว กล้ามาท้าทายจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดารา สุดท้ายก็ได้แค่นี้”“ความจริงนางก็มิได้เก่งหรอก มิรู้ว่าปราบสิบวายร้ายได้อย่างไร”“ส่งไปอีกสองตัว! ทรมานอีกสักรอบ อีกสองวันข้างหน้าเมื่อไปหอรักษ์ดารา นางอาจจะยอมแพ้ไป!”พูดจบ พวกเขาก็เปิดกล่องที่ผนึกด้วยยันต์แปดทิศ และกระดาษยันต์หนึ่งแผ่นก็เริ่มควบคุมสิ่งของในกล่องให้บินออกมาทันใดนั้นก็มีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาเตะกล่องคว่ำสิ่งที่พุ่งออกมาทันทีนั้นส่งเสียงคำรามอันน่าสยดสยอง ทำให้หลายคนตกใจพลันรีบถอยหลังหลบกันไป“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึไร!” หลายคนรีบลุกขึ้นตะโกนใส่อวี๋โหรวที่เตะกล่องคว่ำพวกเขาลุกขึ้นยืน ทุกคนตัวสูงกว่าอวี๋โหรวยิ่งทำให้อวี๋โหรวดูตัวเล็กดูน่ารังแกแต่อวี๋โหรวกลับมองพวกเขาด้วยแววตาเย็นชา “พอได้แล้ว!”“หากทำให้นางตาย ข้าจะดูว่าเ