หลิ่วซิ่งเอ๋อร์ดูตื่นตระหนกและก้มหน้าลงเมื่อเห็นสายตาหลบเลี่ยงในดวงตาของนาง ก็รู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น“ข้า… ข้ามิรู้ บางทีข้าอาจฟังผิด...”หลิ่วซิ่งเอ๋อร์พูดติดอ่างและปกปิดเรื่องราวมิเก่งสักนิดปฏิกิริยาของนางเปิดเผยทุกสิ่งอย่างไรก็ตาม ลั่วชิงยวนมิรีบร้อน เพราะนางรู้ว่าอวี๋ซวี่หลินจะมาหาหลิ่วซิ่งเอ๋อร์แน่ ดังนั้นนางจึงเพียงรอให้อวี๋ซวี่หลินมาหานางถึงที่เองหลังท้องฟ้งมืดมิด เสียงกรีดร้องในสวนหลังบ้านยังคงดำเนินต่อไป จือเฉากรีดร้องขณะดื่มยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอของตัวเองในบางครั้ง เซียวชูจะเฆี่ยนหุ่นไล่กาด้วยแส้สองสามครั้งด้วยสิ่งเหล่านี้มีเพื่อสร้างภาพลวงตาว่าหลิ่วซิ่งเอ๋อร์ถูกลงโทษอย่างรุนแรงแน่นอนว่าอวี๋ซวี่หลินซึ่งซ่อนตัวอยู่ในตรอกด้านนอกโรงเตี๊ยมก็แทบทนฟังมิได้อวี๋ซวี่หลินใช้โอกาสตอนที่เซียวชูไปทานอาหารเย็น แอบเข้าไปในโรงเตี๊ยมหวังจะช่วยเหลือหลิ่วซิ่งเอ๋อร์แต่สิ่งที่เขาเห็นเมื่อเปิดประตู มิใช่หลิ่วซิ่งเอ๋อร์ที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือด แต่กลับเป็นภาพของจือเฉาที่กำลังดื่มน้ำอยู่เมื่อตระหนักว่าเขาติดกับดัก อวี๋ซวี่หลินจึงหันหลังกลับและวิ่งหนีไปแต่เขาจะหนีไปได้เย
ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกมา ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงกบฏ!สมาคมการค้าเฟิงตูกล้าเกินไปแล้ว“เล่ารายละเอียดมา” ฟู่เฉินหวนดูวางแผน สีหน้าดูกำลังคิดคำนวณอย่างหนักเขามิได้พูดอะไรมาก เพียงต้องการข่มขวัญให้อวี๋ซวี่หลินบอกเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เขารู้มา“สมาคมการค้าเฟิงตูสร้างฐานะในซีหยาง ดึงดูดคนมากมายให้เข้าร่วมสมาคมเพื่อสร้างกิจการ โดยบอกว่าแม้ว่าพวกเขาจะมิรู้วิธีบริหาร พวกเขาก็สามารถพาเรามาทำเงินร่วมกันได้”“ข้าถูกหลอกมาเช่นนี้!”“ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาหลอกให้เราไปทำการค้าและหารือเรื่องกิจการถึงต่างแดน แต่จริง ๆ แล้วเพื่อไปซื้ออาวุธจำนวนมากต่างหาก!”“แต่ข้ามีไหวพริบ จึงแอบเปิดกล่องที่ซ่อนอยู่แล้วแอบมองลงไปในกล่อง!”“ตอนนั้นข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ใครทำธุรกิจซื้อและขายอาวุธกันเล่า?”“ปรากฏว่าสินค้ากลับถูกขโมยไป! แล้วพวกเขาขอให้เรากลับมาซีหยางเพียงเท่านั้น”“ข้ารู้สึกมิสบายใจจริง ๆ จึงคอยจับตาดู คืนนั้นมีคนมาฆ่าข้า แน่นอนว่าข้าหนีออกมาจากรูด้านหลังเตียง”“ผลก็คือน้องชายของข้าถูก...” “เฮ้อ......”อวี๋ซวี่หลินถอนหายใจขณะที่เขาพูดลั่วชิงยวนแอบตกใจ มันตรงกับสิ่งที่พวกเขาพบและคาด
“ฟ่านซานเหอไร้ความสามารถและมิสามารถควบคุมกิจการของครอบครัวได้ ดังนั้นเฉินซวนอี๋จึงเป็นผู้รับผิดชอบแทน”“เงินทั้งหมดของตระกูลฟ่านอยู่ภายใต้การควบคุมของเฉินซวนอี๋”อวี๋ซวี่หลินพลางยิ้มอย่างดูถูกในขณะที่พูด “นี่คือวิธีการของสมาคมการค้าเฟิงตู”“คนนอกเมื่อมาอยู่ในซีหยางก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา”ลั่วชิงยวนรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ในใจขณะฟังพวกกระหายเลือดเหล่านี้ใช้กลอุบายดังกล่าวเพื่อเอาเงินของตระกูลฟ่านไปลั่วชิงยวนถามต่อว่า “เจ้าทำอะไรลงไปอีก ทางที่ดีที่สุดคือบอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มา เราจะได้หาทางออกให้กับเจ้าและหลิ่วซิ่งเอ๋อร์"“ร่างกายของนางได้รับความเสียหายสาหัสนัก และร่างกายของนางยิ่งทรุดเนื่องจากการกินยาล่าช้า ยาทั่วไปทำให้นางมีชีวิตต่อไปได้มากที่สุดสองหรือสามปีเท่านั้น”“แต่ข้าสามารถรักษานางได้”เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี๋ซวี่หลินก็กำมือแน่นด้วยความประหม่าเขากล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเฉินซวนอี๋จะให้ฟ่านซานเหอกินยาอะไรบางอย่าง”“ฟ่านซานเหอกินมันผ่านมือของหลิ่วซิ่งเอ๋อร์!”“หลิ่วซิ่งเอ๋อร์บอกว่า ตอนนั้นนางเหมือนจะเห็นแมลงอยู่ในน้ำ...”ราวกับสายฟ้าฟาดลงมาคิ้วของลั่วชิงยวนกร
ก่อนที่นางจะพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้าภาพนั้นออกไปและมองดูมันด้วยความหน้านิ่วคิ้วขมวด “ดูอย่างไรก็น่าเกลียด สายตาเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว”หลังจากบ่นด้วยความมิพอใจ ฟู่เฉินหวนก็เดินจากไปแถมเขายังหยิบรูปนั้นออกไปด้วย“หากท่านว่าน่าเกลียด เหตุใดท่านจึงต้องเอารูปนี้ออกไปด้วยเล่า?”นี่คือเสวี่ยชวนเฟิง คุณชายใหญ่ตระกูลเสวี่ยมิรู้ว่าพฤติกรรมสุรุ่ยสุร่ายของนางดึงดูดความสนใจของตระกูลเสวี่ยหรือไม่หากพวกเขากล้าโจมตีลั่วหลางหลาง ก็อาจลองหันมาเล่นงานนางซึ่งเป็นพระชายาอ๋องได้เช่นกันท้ายที่สุดแล้ว เงินของนางมากกว่าสินเดิมของลั่วหลางหลางมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วชิงยวนจึงตัดสินใจไปที่หออี๋ชุนอีกครั้งขณะออกจากโรงเตี๊ยม นางมิเห็นฟู่เฉินหวน ดังนั้นนางจึงทักทายเซียวชูและบอกถึงที่หมายของนางตอนที่นางไปถึงหออี๋ชุนอีกครั้ง เหล่าสตรีต่างก็มองนางด้วยความหวาดกลัวลั่วชิงยวนสตรีสองสามคนที่นางได้พบเมื่อวานนี้เพียงลำพังนางเขียนจดหมายให้สตรีเหล่านั้นทีละคนก่อนยื่นให้พวกนางตามลำดับ "แค่เอาจดหมายพวกนี้ไปที่หอฝูเสวี่ยในเมืองหลวง แล้วพวกเขาจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง"หลายคนหยิบซองจดหมายไปหงฝูลังเลและเอ่ยถาม
“ได้สิ” ลั่วชิงยวนยกยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความดีใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นสายตาของลั่วชิงยวนที่จ้องมองมาที่เขา เสวี่ยชวนเฟิงก็รู้สึกภูมิใจมาก เขาผายมือเชิญชวนและพาลั่วชิงยวนออกจากหออี๋ชุน ไปยังโรงน้ำชา“ข้ายังมิรู้เลยว่าแม่นางชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”ลั่วชิงยวนตอบอย่างใจเย็น “คุณชาย เรียกข้าว่าฝูเสวี่ยก็ได้”เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสวี่ยชวนเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ฝูเสวี่ย? ท่านคือแม่นางฝูเสวี่ยจากหอฝูเสวี่ยงั้นหรือ?”ลั่วชิงยวนยิ้มและมิพูดอะไรเสวี่ยชวนเฟิงพูดด้วยความประหลาดใจ “มิน่าแปลกใจที่แม่นางมาปรากฏตัวที่หออี๋ชุน”“ข้าคิดว่าแม่นางมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงและร่ายรำนัก และข้าก็ชอบการร้องเพลงและร่ายรำด้วย หากมีโอกาส ข้าหวังว่าจะได้หารือเรื่องนี้กับแม่นางฝูเสวี่ย”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “ได้สิ”เมื่อมาถึงโรงน้ำชา พวกเขาสั่งชาและของว่าง จากนั้นทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันจากบทกวีและเพลง สู่หัวข้อเรื่องความรักและความฝันทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าพวกเขามีหัวข้อให้พูดคุยกันอย่างมิรู้จบพวกเขาทั้งสองทานอาหารกลางวันที่ร้านน้ำชาโดยตรงและพูดคุยกันต่อเสวี่ยชวนเฟิงรู้ว่านางคือพระชา
ลั่วชิงยวนตัวแข็ง เหลือบมองดอกหอมหมื่นลี้อันหอมหวานในถ้วยชา จากนั้นจึงมองไปที่ฟู่เฉินหวน ซึ่งขณะนี้ดวงตาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร“ดื่มสิ”“รสหวานแปลกใหม่มากมิใช่หรือ?”รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของฟู่เฉินหวนยิ้มเยือกเย็น ทำให้คนที่เห็นหนาวสั่นไปถึงกระดูกลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “นี่ท่านสะกดรอยตามหม่อมฉันหรือ?”ฟู่เฉินหวนพูดอย่างมั่นใจ “เจ้าอยู่กับเสวี่ยชวนเฟิงที่โรงน้ำชากันอย่างเปิดเผยเช่นนั้น ต้องให้ข้าสะกดรอยตามด้วยรึ?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงของฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ จนน้ำชากระเด็นออกมา“ท่านคิดว่าหม่อมฉันเต็มใจหรือ? เสวี่ยชวนเฟิงผู้นั้นน่ารังเกียจปานใด หากมิใช่เพราะท่าน หม่อมฉันจะทักทายเขาด้วยรอยยิ้มเช่นนั้นหรือ? หม่อมฉันยิ้มจนปากจะค้างอยู่แล้ว!”“หม่อมฉันทุ่มเทถึงเพียงนั้น ท่านยังทำเป็นประชดประชันใส่! หาไม่ท่านไปจัดการเสวี่ยชวนเฟิงเองสิ ไฉนหม่อมฉันต้องทำสิ่งที่ท่านมิเห็นค่าเช่นนี้ด้วย!”น้ำเสียงของลั่วชิงยวนฟังดูมิพอใจแต่หลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้ว แต่ในที่สุดก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้นปรากฏว่าเป็นเช่นนี้เองเขาคิดว่าลั่วชิงยวนชอบคนที่มีห
“จะตีหรือด่าทอข้าอย่างไรก็ได้ แต่อย่าหลบเลี่ยงข้าเยี่ยงนี้ได้หรือมิ?”เฉินซวนอี๋ทักทายด้วยรอยยิ้มโดยถือกล่องไม้ไว้อยู่ในมือแล้วยื่นมันไปข้างหน้า “เป็นเพราะข้าท้องและบางครั้งอารมณ์ของข้าก็แปรปรวน ทำให้เจ้าได้รับความลำบาก เป็นความผิดของข้าเอง”“ข้าเตรียมของขวัญมาให้เจ้าโดยเฉพาะ เปิดดูสิว่าเจ้าชอบหรือมิ”“ขอให้เจ้าอดทนหน่อย เมื่อเด็กเกิดมา ข้าจะให้เด็กจำเจ้าเป็นแม่ทูนหัวของเขา ตกลงหรือมิ?”เฉินซวนอี๋แสดงท่าทีจริงใจเมื่อเปิดกล่องออกมา ก็มีสร้อยข้อมือลูกปัดอยู่ข้างในมันดูคล้ายจะเป็นของขวัญอันล้ำค่าลั่วหลางหลางตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสร้อยข้อมือลูกปัดดังกล่าว นางกำฝ่ามือโดยมิรู้ตัว“ข้าจะกลับไปกับพวกเจ้า” ลั่วหลางหลางรับคำแต่ลั่วชิงยวนมองไปที่ลั่วหลางหลางด้วยสีหน้าประหลาดใจฟ่านซานเหอมีความสุขมากและรีบเกลี้ยกล่อม "หลางหลาง เชื่อข้าเถอะ ข้าจะไม่มีวันทำเช่นนั้นอีก! ข้าจะเลิกกินเหล้าตั้งแต่วันนี้ ข้าจะไม่กินอีก! จากนี้ไป ข้ามิขอกินเหล้าอีกแล้ว!”ลั่วหลางหลางมิได้พูดอะไรนางเพียงหันมามองลั่วชิงยวน “ชิงยวน ข้าจะกลับไปก่อน อยู่โรงเตี๊ยมตลอดก็มิใช่เรื่องดี"“มิต้องห่วงข้า”“หากคิดถึง
ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและมองดูเขา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดถึงได้รีบร้อนเพียงนี้?”ใต้เท้าเฉาตอบอย่างกังวล “ในหมู่บ้านปี้หลิ่งมีคนเสียชีวิตถึงหกคนติดต่อกัน ว่ากันว่าพวกเขาถูกสัตว์ป่าฆ่า และกระดูกของพวกเขาก็ถูกกินจนเกลี้ยง! กระหม่อมส่งคนกลุ่มใหญ่ออกไป และมีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่กลับมาได้!”“ประเด็นสำคัญคือ พวกเขามิได้เห็นชัดเจนว่าสัตว์ป่าชนิดใดทำร้าย! กระหม่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดว่าท่านอ๋องประทับอยู่ในซีหยาง ดังนั้นกระหม่อมจึงมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”เรื่องเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธลั่วชิงยวนถามว่า “หมู่บ้านปี้หลิ่งอยู่ที่ใด สัตว์ป่ามิได้โจมตีเมืองซีหยางด้วยหรือ?”ใต้เท้าเฉาตอบว่า “หมู่บ้านปี้หลิ่งอยู่บนหุบเขา และค่อนข้างไกลจากเมืองซีหยางพ่ะย่ะค่ะ”ลั่วชิงยวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิดฟู่เฉินหวนไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พวกเจ้าลงไปรอข้างล่างก่อน ผลัดผ้าแล้วข้าจะตามไป”“พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ใต้เท้าเฉาจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนก็ออกจากห้องไปด้วยเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้านปี้หลิ่ง ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าฟู่เฉินหวน
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้