“นอกจากสถานการณ์ที่นางสาวฝูเสวี่ยกล่าวไว้แล้ว หากท่านไม่มีค่าต่อท่านอ๋องอีกต่อไป เงินจำนวนนี้จะยังใช้ได้กับท่านหรือไม่”“ข้าพูดถูกหรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “อื้ม สิ่งที่ท่านพูดก็ฟังดูสมเหตุสมผล”“ข้าควรจะคิดถึงตัวเองให้มาก ๆ”“แต่ข้าได้ยินมาว่า ตระกูลฟ่านก็เข้าร่วมสมาคมการค้าเฟิงตูด้วย ใช่หรือไม่?”เสวี่ยชวนเฟิงพยักหน้า “ใช่”“ข้ากับตระกูลฟ่านเป็นศัตรูกัน! ลืมเสียเถิด!” ลั่วชิงยวนปฏิเสธอย่างเด็ดขาดการแสดงออกของเสวี่ยชวนเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็รีบตามลั่วชิงยวนอย่างรวดเร็ว “พระชายามีปัญหากับตระกูลฟ่าน เพราะเรื่องของลั่วหลางหลางใช่หรือไม่?”ตอนนี้ทั้งซีหยางรู้กันทั่วแล้วว่าลั่วชิงยวนมาที่ซีหยางเพื่อสนับสนุนลั่วหลางหลาง สร้างความวุ่นวายให้ตระกูลฟ่าน ตบตีฉางจิ่นเหวินและสังหารหลิ่วซิ่งเอ๋อร์นอกจากเหตุผลนี้ ยังจะเป็นอะไรได้อีก? “หากมิไม่เล่า?”เสวี่ยชวนเฟิงรีบพูดขึ้นว่า “จริง ๆ แล้ว… แม่นางฝูเสวี่ยต้องการระบายความโกรธของตัวเองเพื่อลั่วหลางหลาง แม่นางจึงยิ่งควรเข้าร่วมสมาคมการค้าเฟิงตูของเรา”ลั่วชิงยวนเริ่มสนใจและมองเขาอย่างตั้งอกตั้งใจเสวี่ยชวนเฟิงยิ้มแ
เสียงที่ชัดเจนของลั่วชิงยวนดังขึ้นผู้คนมากกว่าหนึ่งโหลในห้องตกตะลึง และสายตาของพวกเขามองไปทางลั่วชิงยวนเป็นตาเดียว“เสวี่ยชวนเฟิง เจ้ากล้าพาพระชายามาที่นี่ได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องภายในสมาคมของเรา เจ้ารนหาที่ตาย!”เฉินซวนอี๋พูดอย่างเย็นชา “ใช่ นี่เป็นความลับของสมาคมจะให้ใครอื่นมาได้ยินได้เยี่ยงไร เสวี่ยชวนเฟิงเจ้ามิเข้าใจกฎเหล่านี้หรือ?”ผู้อาวุโสยังดุด้วยใบหน้าเย็นชา “ชวนเฟิง เจ้ากำลังทำอะไร!”“เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากเจ้าพาคนนอกเข้ามาและเปิดเผยความลับของสมาคม เจ้าจะถูกลงโทษโบยร้อยไม้และถูกขับออกจากสมาคม! เจ้าทำร้ายตระกูลเสวี่ยของเราแท้ ๆ!”คนที่พูดน่าจะเป็นบิดาของเสวี่ยชวนเฟิงแต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการตำหนิ ไม่เหมือนบิดาผู้ให้กำเนิดเสวี่ยชวนเฟิงก็ดูอึดอัดเช่นกัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม่นางฝูเสวี่ยต้องการซื้อกิจการ หากนางซื้อกิจการเหล่านี้ นางก็จะกลายเป็นคนของสมาคมการค้าเฟิงตู นางมิใช่คนนอกเสียหน่อย! นี่มิถือว่าเป็นการทำความลับรั่วไหล!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่คือแผนลวง“ใช่ เมื่อข้าใช้เงินเพื่อซื้อกิจการและเข้าร่วมสมาคมการค้าเฟิงตู
นอกจากนี้นางยังได้รู้ถึงการใช้พื้นที่ของแต่ละห้องในอาคารนี้ แต่ไม่มีอะไรผิดปกติกับสิ่งที่นางเห็น ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงมิตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเข้าใจสถานการณ์ของกิจการที่เพิ่งซื้อใหม่ ลั่วชิงยวนจึงมาที่สมาคมการค้าเฟิงตูในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นให้ความสนใจกับการค้าของตัวเองมากแต่วันนี้ฉางจิ่นเหวิน เฉินซวนอี๋และคนอื่น ๆ ก็กลับมาอีกครั้งหรือพวกเขาจะมีเรื่องสำคัญให้หารือกันอีกหรือ?คราวนี้ลั่วชิงยวนไปเข้าร่วมอย่างเปิดเผยแต่เมื่อนางนั่งที่โต๊ะ สีหน้าของทุกคนก็ดูแปลกไปเล็กน้อยเสวี่ยชวนเฟิงไอและพูดว่า “แม่นางฝูเสวี่ย วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญนัก และมันไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน เหตุใดท่านมิออกไปรอข้างนอกเล่า?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อยและยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆฉางจิ่นเหวินหัวเราะเยาะ “ท่านมาถึงนี่ ก็นั่งลงเถอะ”“ถึงนางจะนั่งอยู่ตรงนี้ เราก็มิจ่ายเงินปันผลให้นางหรอก”เงินปันผล?จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหีบใหญ่สองหีบวางอยู่บนโต๊ะ คนหนึ่งถือสมุดบัญชี เริ่มแจกจ่ายเงิน“เสวี่ยเหวินโจว สองแสนตำลึง”“เสวี่ยชวนเฟิง หนึ่งแสนสามหมื่นตำลึง”“ของพวกท่านนับรวมกันเลยแล้วกัน”ด
รีบก้าวเท้าเบา ๆ วิ่งกลับไปนั่งที่เดิมแล้วแกล้งทำเป็นนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นช้า ๆจากไกลมาใกล้เหมือนเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันไดตอนนี้เสียงกลไกที่ว่าดูเหมือนจะมาจากด้านล่าง ซึ่งน่าจะมีชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่งในไม่ช้า ฝีเท้าของคนผู้นั้นก็เดินเข้ามาหาพวกเขาลั่วชิงยวนรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมาที่นาง จากนั้นสมุดบัญชีที่นางถือก็ถูกดึงออกไป ก่อนจะกลับมาวางในมือของนางอีกครั้งจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปหลังจากรอสักพักก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ อีกลั่วชิงยวนหรี่ตาอย่างระมัดระวังมองไปข้างหน้าก็มิเห็นมีใครอยู่แล้วจริง ๆคนผู้นั้นคงจะออกไปนางกำลังจะลุกขึ้นเงาบนพื้นที่ขยับเล็กน้อยทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกมิกล้าแม้แต่จะหายใจเงาตรงที่นางนอนคว่ำอยู่ มีเงาของศีรษะอีกเงาปรากฏขึ้นและเคลื่อนไหวเช่นกันทันใดนั้น ลั่วชิงยวนรู้สึกขนหัวลุกคนผู้นั้นอยู่ข้างหลังนาง!นางหลับตาลงทันที ปล่อยให้ร่างกายที่แข็งทื่อของนางผ่อนคลายให้มากที่สุด หายใจอย่างสม่ำเสมอ และมิกล้าสอดส่ายสายตาไม่มีเสียงอะไรเลย ทักษะด้านวรยุทธของชายผู้นี้มิธรรมดา! กอปรกับรัศมีอันเยือกเย
ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด แต่พบว่าดวงตาของสิงโตนั้นหลวมนางกำลังจะกดมันแต่แล้วนางก็สังเกตเห็นจี้ที่ห้อยอยู่รอบคอของสิงโต ลวดลายบนจี้นั้นคุ้นเคยเสียจนทำให้ลั่วชิงยวนใจเต้นรัวรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์!มันเป็นของราชวงศ์แคว้นหลี!หรือชายชุดดำเมื่อครู่นี้ จะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเหยียนมาตลอด?เขามาจากแคว้นหลี!คนที่รู้เรื่องของราชวงศ์ นอกจากราชวงศ์หลีแล้วก็มีแต่นักบวชเท่านั้น!ในฐานะนักบวชหญิงแห่งยุคนี้ นางรู้จักนักบวชทุกคน!เมื่อคิดถึงการจะได้ใกล้ชิดกับคนในสายเดียวกัน ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่อีกใจก็กังวลเช่นกัน ร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงไป และทักษะวรยุทธของนางก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนหากต้องเผชิญหน้ากับคนในสายเดียวกันที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูหรือมิตร นางอาจจะสู้เขาไม่ได้!นางปลดสลักรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทันทีประตูหินค่อย ๆ เปิดออกโชคดีที่นางไม่ได้กดกลไกที่ตา ไม่เช่นนั้นวันนี้นางอาจไม่ได้กลับออกไปการใช้กุญแจดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นกลไกก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสามารถทำลายมันได้ มันถูกสร้างขึ้นรูปอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นห้
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนางค่อย ๆ เดินไปยังจุดที่เสวี่ยชวนเฟิงนั่งอยู่ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าเสวี่ยชวนเฟิงลงไปกองกับพื้นลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและก้มลงเพื่อเขย่าเสวี่ยชวนเฟิง แต่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากเขาลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติจากนั้นนางก็ช่วยพยุงเสวี่ยชวนเฟิงขึ้น ก่อนกลับมายังตำแหน่งเดิมของนางเพื่อนอนหลับต่อ......รุ่งสางแล้วคนของสมาคมการค้าทยอยกันมาถึง พวกเขาปลุกลั่วชิงยวนและเสวี่ยชวนเฟิงทั้งสองตื่นขึ้นมา ขยี้ตาด้วยความงัวเงีย“ข้าง่วงมากจนเผลอหลับไปก่อนจะตรวจบัญชีเสร็จเสียอีก” ลั่วชิงยวนหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาอ่านต่อเสวี่ยชวนเฟิงเริ่มไม่ไหว แต่ก็ยังคงนั่งอยู่กับนางต่อไปลั่วชิงยวนอยู่ต่ออีกครึ่งวัน แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ และชายในชุดดำก็ไม่ปรากฏตัว ดังนั้นนางจึงออกจากสมาคมการค้าเฟิงตูไปเมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ลั่วชิงยวนจึงถามจือเฉาว่า “มีข่าวอะไรจากท่านอ๋องบ้างหรือไม่?”จื่อเฉานำชาและอาหารมาให้ “ท่านอ๋องมิอยู่เพียงสองวัน พระชายาก็คิดถึงท่านอ๋องแล้วหรือเจ้าคะ?”“เซียวชูส่งจดหมายมาทางนกพิราบแล้วเจ้าค่ะ”จื่อเฉาหยิบก
อีกฝ่ายล้มลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นเวียนหัว และชี้ไปที่นางด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้า เจ้า!”อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นลั่วชิงยวน เขาก็หดตัวกลับด้วยความกลัว“พระ… พระชายา...”ลั่วชิงยวนดูบูดบึ้ง “เจ้ารู้ว่าข้าเป็นพระชายา แล้วกล้าดีอย่างไรมาทำเยี่ยงนี้กับลั่วหลางหลาง อะไรทำให้เจ้ากล้าดีเพียงนี้ อยากตายนักหรือไร?”ลั่วชิงยวนโกรธมากจนหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้าง ๆ ออกมาตีพวกนางอย่างแรงหลังถูกทุบตี ในสวนหลังบ้านก็มีเสียงคร่ำครวญขอชีวิตดังระงมลั่วหลางหลางก้าวมารั้งนางไว้ "หยุดมือเถิด หากเจ้ายังตีนางอีก นางคงตายแน่แล้ว"จากนั้นลั่วชิงยวนก็หยุดมือใบหน้าของหญิงชรานางนั้นเต็มไปด้วยเลือด นางชี้ไปที่ขอทานตัวน้อยที่ยื่นหน้าออกมาจากด้านนอกของประตูด้วยความโกรธ “เจ้าขอทานนี่ เจ้าเป็นตัวการรึ! คอยดูเถอะ!”หญิงชราเหล่านั้นหนีหัวซุกหัวซุนลั่วหลางหลางเรียกขอทานที่หน้าประตูให้เข้ามาด้วยความกังวล “เสี่ยวซี เจ้าเป็นคนไปตามหาพระชายามาหรือ?”เซียวซีพยักหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เล็กน้อย “ท่านพี่หลางหลางใจดีกับข้ามาก ข้าจะทนดูท่านถูกพวกเขารังแกได้อย่างไร”ลั่วหลางหลางลูบศีรษะของเสี่ยวซีแล้วหันไปมองลั่วชิงยวน “ชิ
ลั่วชิงยวนพาลั่วหลางหลางไปที่ลานหน้าบ้าน ในขณะนี้เฉินซวนอี๋กำลังนั่งอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้ากำลังดื่มชา ราวกับว่านางกำลังรอให้พวกนางมาหาเมื่อเห็นลั่วชิงยวนลากลั่วหลางหลางมาด้วย นางก็แสร้งทำเป็นตกใจแล้วลุกขึ้น“พระชายามาตั้งแต่เมื่อไหร่? บ่าวในบ้านนี้เป็นอะไรกัน มิยอมแจ้งล่วงหน้า”ลั่วชิงยวนยื่นมือที่แดงก่ำและมีเลือดไหลซึมของลั่วหลางหลาง และถามอย่างเย็นชา "นี่คือจุดประสงค์ที่พวกเจ้านำลั่วหลางหลางกลับมาใช่หรือไม่?"เฉินซวนอี๋มองดูและตกใจ "เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ผู้ใดทำร้ายเจ้า?"การเสแสร้งว่ากังวลใจและกังวลนั้นจอมปลอมอย่างที่สุด“เจ้าคิดเยี่ยงไรเล่า? เจ้าเป็นคนดูแลบ้าน เจ้ามิรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”เฉินซวนอี๋ขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้ายุ่งอยู่กับการค้า เช่นนั้นข้าจึงมิรู้จริง ๆ ว่าเรื่องใหญ่โตแบบนี้เกิดขึ้นในครอบครัวได้อย่างไร พระชายา รอสักครู่ ข้าจะเรียกคนมาไต่ถามให้รู้เรื่อง!”ดังนั้นเฉินซวนอี๋จึงเรียกคนรับใช้ทั้งหมดเข้ามาไต่ถาม มีสาวใช้คนหนึ่งตอบไปว่า “เป็นพวกป้าจางที่ให้ฮูหยินซักเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซวนอี๋จึงพูดด้วยความโกรธ “ป้าจางอยู่ที่ใด ไปพานางมาหาข้า!”ในไม
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้