ยามนี้นางหาได้คิดจะมีบุตรกับฟ่านซานเหอแต่อย่างใดไม่ หรือบางทีวันหน้าก็อาจจะไม่ด้วย ฟ่านซานเหอถึงกับจิตใจสั่นสะท้านแล้วลดเสียงลง “หลางหลาง ข้าเองมิอยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน ในใจข้ามีเพียงเจ้าและเจ้าก็จะเป็นเพียงผู้เดียวเสมอไป” “ข้าเองก็เกรงว่าสิ่งที่พวกเขาพูดจะฟังดูแสลงหูเกินไปและอาจทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้ ข้ามิอยากให้เจ้าได้รับความอยุติธรรม” ลั่วหลางหลางขมวดคิ้ว “ยามนี้ข้ามิอยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตกลงหรือไม่?” ฟ่านซานเหอผงกศีรษะแล้วมิได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก …… เมื่อตกเย็น อู๋อิ่งก็ส่งข่าวมาบอกว่าวันนี้เซี่ยหว่านอยู่ที่เรือนตามลำพัง ส่วนสามีผู้นั้นของนางออกไปข้างนอกและยังไม่กลับมาที่เรือน ฉะนั้นค่ำคืนนี้ ลั่วชิงยวนจึงเปลี่ยนเป็นชุดที่เหมาะสมพลางสวมหน้ากากอันแสนอัปลักษณ์ของลั่วชิงยวนแล้วไปที่ถนนฝูลู่ ลั่วอวิ๋นสี่เองก็เปลี่ยนเป็นชุดดำแล้วสวมหมวกคลุมหน้าสีดำสนิท เมื่อมาถึงนอกเรือน นางก็ได้ยินเสียงไอของเด็กหญิงตัวน้อยดังขึ้นทางด้านใน เซี่ยหว่านร้อนใจเสียจนเอ่ยขึ้นมาว่า “อิงอิง อยู่บ้านดี ๆ นะ แม่จักออกไปซื้อยามาให้เจ้า” จากนั้นก็มีเสียงรื้อค้นหีบและตู้ในห้อง คงจะเ
“หากเจ้ากล้าลงมือก็ลองดูสิ” ลั่วชิงยวนใช้มือข้างหนึ่งจับตัวหวังอิง ส่วนมืออีกข้างถือเข็มเงินเอาไว้ เซี่ยหว่านมิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่นางจวนจะร้องไห้อยู่แล้ว “ได้โปรดเถอะ หากเจ้าประสงค์สิ่งใดก็บอกข้ามา! แต่อย่าทำร้ายบุตรสาวของข้าเลย!” ลั่วเยวี่ยอิงก็เอ่ยข่มขู่ด้วยน้ำเสียงที่ฉายแววแค้นเคืองว่า “ลั่วชิงยวน เจ้ามันต่ำช้านัก! รีบปล่อยหวังอิงเสีย มิฉะนั้นวันนี้เจ้าไม่มีทางก้าวออกจากประตูบานนี้ไปได้แน่!” เมื่อทาสใบ้ได้ยินเสียง เขาก็รีบชักมีดสั้นออกมาแล้วมองพวกนางด้วยสายตาคุกคาม ราวกับว่าพร้อมจะสังหารพวกนางได้ทุกเมื่อ ลั่วชิงยวนยิ้มเยาะ “ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากจะล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างมารดาของข้ากับหยวนซื่อ ข้าอยากทราบสาเหตุการตายของพวกนาง!” “เซี่ยหว่าน บุตรสาวของเจ้าเกิดมาทั้งอ่อนแอและติดพิษ เจ้ามีสามีเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เจ้าจะโดนทรมาทรกรรม ทว่าบุตรสาวของเจ้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวไปด้วย นางมิอาจใช้ชีวิตตามปกติได้เลย” “ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงอยู่รอดได้ไม่เกินสามปี” “หากเจ้าบอกความจริงกับข้าล่ะก็ ข้าสามารถช่วยนางได้! ให้พวกเจ้าแม่ลูกได้หลุดพ้นจากบุรุษผู้นั้นไปตลอดกาล
“เซี่ยหว่าน สิ่งที่ข้าอยากจะรู้คือความจริงของเรื่องราว หาใช่ผู้ใดสังหารผู้ใดไม่” “เจ้าควรจะคิดให้ดี ๆ ก่อนพูด” เซี่ยหว่านคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “สิ่งที่ข้ากล่าวมาเป็นความจริง พวกนางสองคนผู้หนึ่งเป็นฮูหยิน ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นอนุ พวกนางย่อมเข้ากันมิได้อยู่แล้ว” “เดิมทีนายท่านรักใคร่ฮูหยินใหญ่ ทว่าต่อมาเนื่องจากความสัมพันธ์ร้าวฉาน ต่อมานายท่านก็หลงรักหยวนซื่อแล้วรับหยวนซื่อเข้ามาเป็นอนุ” “ฮูหยินใหญ่มิอาจทนหยวนซื่อได้ นางจึงพาลเกลียดชังนายท่านไปด้วย” “ครั้งหนึ่งเกือบทำให้นายท่านต้องสังเวยชีวิตแล้ว” “เมื่อหยวนซื่อทราบเรื่องนี้เข้า นางกลับคุมแค้นและวางยาพิษฮูหยินใหญ่” “ถึงแม้ว่าพวกนางมิได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่พวกนางก็หมายจะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง” “ข้าก็มิทราบรายละเอียดมากไปกว่านี้แล้ว ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้!” หลังจากเซี่ยหว่านพูดจบ อีกฝ่ายก็ร่ำไห้วิงวอน “ได้โปรดอย่าทำร้ายบุตรสาวของข้า! ได้โปรดเถอะ!” เซี่ยหว่านมองไม่เห็นและมิทราบว่าลั่วชิงยวนปฏิบัติกับหวังอิงอย่างไร นางเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาวทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดอีกด้วย เมื่อลั่วเย
มือที่กำลังเหวี่ยงอยู่กลางอากาศพลันหยุดชะงักลง เซี่ยหว่านวางค้อนแล้วคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก็โน้มตัวไปที่ขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสเด็กน้อยบนเตียง “อิงอิง? อิงอิง เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” หวังอิงจับมือของเซี่ยหว่าน “ท่านแม่เจ้าค่ะ ข้ามิเป็นอันใด” “ข้าเพิ่งจะอาการกำเริบ แต่ยามนี้มิเป็นอันใดแล้ว” หวังอิงรีบอธิบายเพราะเกรงว่ามารดาจะเป็นห่วง เมื่อได้ยินว่าน้ำเสียงของเด็กน้อยหาได้มีอันใดผิดปกติ เซี่ยหว่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที หวังอิงมักจะล้มป่วยทุกสองสามวัน ในฐานะที่เป็นมารดา นางย่อมล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อก่อนทุกครั้งที่นางล้มป่วยจำเป็นต้องกินยาต้านพิษเพื่อบรรเทาอาการ ทว่ายามนี้กลับอาการดีขึ้นโดยมิต้องกินยาต้านพิษ ลั่วชิงยวนผู้นี้เก่งฉกาจเสียจนสามารถรักษาโรคของบุตรสาวตนได้จริง ๆ หรือ? แท้ที่จริงแล้ว ลั่วชิงยวนเองก็ทราบดีว่าอาการของหวังอิงมีสาเหตุมาจากพิษที่อยู่ในร่างกาย และเป็นเพราะพิษจึงทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะมียาต้านพิษอยู่ด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควบคุมเซี่ยหว่านก็คือ พิษในตัวบุตรสาวของอีกฝ่าย แต่คร
ลั่วชิงยวนจิตใจสั่นสะท้านพลางขมวดคิ้ว เช่นนั้นเซี่ยหว่านก็รู้ว่านางจัดเตรียมคนมาคอยจับตามองนางอยู่ใกล้เรือนของตนเอง จากนั้นนางก็สั่งให้บุตรสาวไปขอความช่วยเหลือในตรอก “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? หรือมารดาของเจ้าคิดหมายบอกอันใดข้า?” นางคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่นางบอกกับเซี่ยหว่านเมื่อคืนนี้ที่ทำให้นางลังเลใจขึ้นมา หวังอิงหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมามอบให้นาง “ท่านแม่สั่งให้ข้ามอบให้ท่านเจ้าค่ะ” ลั่วชิงยวนรีบเปิดซองจดหมายทันที ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า ข้ารู้ว่าความจริงที่ท่านอยากจะรู้ สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำโกหกจริง ๆ ข้าปิดบังเจ้ามิได้เลย หากท่านอยากจะรู้ความจริง ข้าก็มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือดูแลบุตรสาวของข้าด้วย ข้าเขียนเรื่องจริงทั้งหมดแล้วเก็บเอาไว้เฉพาะในที่ที่มีแต่บุตรสาวของข้าเท่านั้นที่รู้ หากท่านดูแลนางไม่ดี ข่มขู่นางหรือทำร้ายนาง ข้าจะทำลายของชิ้นนั้นเสีย หากท่านปฏิบัติกับการด้วยความจริงใจ ท่านก็จะได้ทุกอย่างที่ปรารถนา หลังจากอ่านจดหมายแล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แน่นอนว่าคำพูดเมื่อก่อนหน้านี้ของเซี่ยหว่านล้วนเป็นเท็จ ยามนี้นางจึงอยากรู้อย่างถึงที
ผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคือเซี่ยหว่านที่เต็มไปด้วยบาดแผล โดยมีบาดแผลใหม่ปรากฏชัดตามใบหน้าและท่อนแขน ในขณะเดียวกัน ศพของนางกำลังนอนอยู่บนถนน เมื่อภาพนี้ ผุดขึ้นมาในหัวของลั่วชิงยวน ตอนนั้นเซี่ยหว่านสาบานว่าตนจะไม่เอ่ยวาจาโป้ปด มิฉะนั้นก็ขอตายโดยไร้ที่ฝัง ยามที่ภาพนี้วูบผ่านเข้ามาในหัวของนาง ลั่วชิงยวนเองก็รู้ว่าเซี่ยหว่านกำลังโกหก ทว่านางก็มิได้คาดคิดว่าผลกรรมจะสนองเร็วเช่นนั้น “ท่านแม่… ท่านแม่เจ้าคะ...” หวังอิงโผเข้าหาเซี่ยหว่านพลางร้องไห้คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า ลั่วชิงยวนเดินเข้ามาตรวจดูร่างกายของเซี่ยหว่าน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามีบาดแผลตามใบหน้าและมือไม้ แต่บาดแผลกลับประหลาดนักเพราะมีความลึกไม่เท่ากัน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนถูกผู้อื่นจัดการ แต่เหมือนนางจัดการตนเองเสียมากกว่า ริมฝีปากของอีกฝ่ายเขียวคล้ำและมีคราบโลหิตอยู่ตรงมุมปาก เมื่อนางง้างปากของเซี่ยหว่าน ก็มีโลหิตหยดลงมาจากปากของอีกฝ่ายและมีแสงเยียบเย็นส่องประกาย ลั่วชิงยวนรู้สึกตกตะลึง นั่นคือเข็มนี่! หวังฉินโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? “ช่างเป็นสตรีที่น่าเวทนา นางแต่งงานกับคนผิดจนทำลายชีวิตของตนเอง มิหนำซ้ำยามนี้
“คราวนี้ข้าจักต้องเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของนางให้จงได้” “ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดของหวังฉินก็ยากจะให้อภัย!” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “เช่นนั้นข้าคงต้องลำบากใต้เท้าเหอจับตัวหวังฉินแล้วเจ้าค่ะ” “ส่วนเรื่องศพของเซี่ยหว่าน ข้าคิดจะเอาไปฝัง” “ท่านก็เห็นแล้ว บุตรสาวของนางยังเล็กนัก ดังนั้นจึงมิควรปล่อยให้นางเผชิญความหวาดกลัวอยู่ในศาลาว่าการ” ใต้เท้าเหอจึงตกปากรับคำ ยามที่นางกำลังจะออกไป หวังอิงก็วิ่งเข้ามาจับมือของลั่วชิงยวนพร้อมน้ำตาอาบใบหน้า “พี่สาว ท่านแม่ของข้ากำลังจะถูกขังอยู่ที่นี่...” ลั่วชิงยวนโน้มตัวลงมาตบไหล่ของนาง “ข้าจักพามารดาของเจ้าไปด้วย พานางไปฝังกันเถอะ ชาตินี้นางต้องทนทุกข์ทรมานมาเกินไปแล้ว ในที่สุดยามนี้นางก็ได้เป็นอิสระเสียที” หวังอิงผงกศีรษะอย่างรู้ความยิ่งนัก อีกฝ่ายล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทว่ากลับทำอันใดมิได้เลย มารดาของตนตายจากไปแล้ว สำหรับมารดาของตน นับเป็นการปลดปล่อยโดยแท้จริง ถึงแม้ว่าตนมิใคร่เต็มใจที่จะพรากจากนัก แต่ชาติหน้า ตนก็ยังคงอยากเป็นบุตรสาวของมารดาอีก จากนั้นลั่วชิงยวนก็ไปหาท่านลุงฟ่านจากร้านรับจัดพิธีศพและซื้อโลงสำเร็จรูปมาใบหนึ่ง ท่
นางอ่านต่อไป “ฮูหยินใหญ่รอบรู้เรื่องฮวงจุ้ยและการทำนายดวงชะตา ต่อมาระหว่างที่เกิดความวุ่นวายในวังหลวง มีข่าวลือเรื่องที่วิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้นมา ความสามารถเหล่านั้นที่ฮูหยินใหญ่รู้มากลับกลายเป็นหนามยอกอกบิดาของท่าน เขาเกรงว่าความสามารถของฮูหยินใหญ่จะพลอยทำให้เขาติดร่างแหไปด้วย ทั้งยังเกรงว่าจะสูญเสียตำแหน่งอัครเสนาบดีที่ได้มาด้วยความยากลำบากไป ดังนั้นฮูหยินใหญ่จึงต้องตาย หามีผู้ใดทราบแน่ชัดว่านางตายได้อย่างไร พวกเขารู้แค่เพียงว่าหลังจากคืนนั้น ฮูหยินใหญ่ก็ตายไป มีเรื่องบางอย่างที่คนรับใช้อย่างพวกเรามิบังอาจพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ผู้ที่เสียใจกับการตายของฮูหยินใหญ่มากที่สุดก็คือหยวนซื่อ ตัวหยวนซื่อเองก็สงสัยและคิดจะสืบหาสาเหตุการตายของฮูหยินใหญ่ จนในที่สุดก็สืบกลับไปที่บิดาของท่าน หลายวันนั้นนางร้องไห้อยู่ทุกวันและคิดจะทำลายจวนอัครเสนาบดี บางทีบิดาของท่านคงจะเหลืออด หรืออาจจะเกรงว่าข่าวเรื่องที่เขาสังหารฮูหยินใหญ่จะแพร่สะพัดออกไป ดังนั้นหยวนซื่อจึงต้องตายไปด้วย พวกคนรับใช้ที่รู้เรื่องราวภายในต่างได้รับเงินก้อนโตและถูกขับออกจากจวนในปีถัดมา ข้านึกว่าทุกคนก็เป็นดังเช่นข้าที่
โฉวสือชีได้ยินดังนั้นก็มองนางด้วยความตกใจ“นักบวชหญิงหรือ?!”ลั่วชิงยวนมีสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวอย่างใจเย็น “ใช่ มีเพียงข้าได้เป็นนักบวชหญิงเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถยกเลิกกฎและระเบียบที่มิยุติธรรมและช่วยคนที่พวกเจ้าอยากช่วยได้”“มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะฆ่าคนไปมากเท่าใด ภายใต้กฎระเบียบนี้ก็ยังคงมีคนมากมายถูกใส่ร้าย ถูกบังคับให้เป็นทาสเหมือนเดิม”หลังจากที่โฉวสือชีฟังจบก็รู้สึกหวั่นไหวเพียงแต่ยังมองลั่วชิงยวนด้วยความมิวางใจ “เจ้าทำได้จริงหรือ?”“แน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”โฉวสือชีมองหญิงสาวตรงหน้า เห็นได้ชัดว่านางอ่อนแอและซีดเซียวราวกับจะตายได้ทุกเมื่อกลัวว่าหากร่วมมือกับนาง นางจะตายก่อนที่การใหญ่จะสำเร็จแต่แววตาและน้ำเสียงที่หนักแน่นนั้นกลับทำให้น่าเชื่อถืออย่างบอกมิถูกเห็นว่าโฉวสือชียังคงลังเล ลั่วชิงยวนจึงหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาแล้วใช้สายตาชี้ไปทางตู้เฟิงเฉินที่อยู่บนพื้น“ข้าเห็นอดีตของเขา”“เหตุผลของการมีอยู่ของทาสเป็นสิ่งที่ข้ามิคาดคิด ครอบครัวของเขาถูกทำร้าย แต่มิใช่เหตุผลอันชอบธรรมที่ทำให้เขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้”“เขาต่างจากผู้กระทำความผิดตรง
กล่าวจบ นางก็พูดต่อ “หากข้าอยากอยู่ในเมืองหลวงก็ต้องทำภารกิจปราบพวกเจ้าให้สำเร็จ”โฉวสือชีหัวเราะอย่างเย็นชา “ปราบหรือ? พวกข้าเป็นคน มิใช่สัตว์ เจ้าจะใช้เรื่องแก้ยันต์ผนึกวิญญาณมาขู่ให้พวกเราเชื่อฟังหรือ?”แต่แววตาของลั่วชิงยวนกลับลุกโชนดั่งเพลิง นางยกยิ้มกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “หามิได้”“ข้าจะพาพวกเจ้า หนีออกจากค่ายทาสนักโทษ”โฉวสือชีได้ยินดังนั้นก็ตกใจมากค่ายทาสนักโทษมีค่ายกลและกลไก ไม่มีใครหนีออกไปได้ง่าย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การป้องกันภายนอกก็แน่นหนา“เจ้าอยู่ในสภาพนี้ ยังจะพาพวกข้าหนีออกจากค่ายทาสนักโทษอีก? อย่าว่าแต่เจ้าทำมิได้เลย ถึงเจ้าจะทำได้ แต่พวกข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนฟังออกว่าโฉวสือชีอยากจะร่วมมือ มิเช่นนั้นคงมินั่งอยู่ที่นี่เพื่อลองใจนาง“เพราะมิใช่แค่พวกเจ้าที่ต้องการแก้ยันต์ผนึกวิญญาณ ข้าคิดว่าสหายและครอบครัวของพวกเจ้าก็ต้องการแก้ยันต์ผนึกวิญญาณเหมือนกัน”คำพูดของลั่วชิงยวนทำให้โฉวสือชีพูดมิออกมองปฏิกิริยาของโฉวสือชีแล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้ว่าวิธีของนางถูกต้อง“ข้าอยากรู้ว่า เหตุใดพวกเจ้าถูกสลักยันต์ผนึกวิญญาณแล้วแต่ยังหนีออกมาได้?”โฉวสือชีขมวดคิ้ว
โฉวสือชีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอดเสื้อนั่งขัดสมาธิตรงหน้าลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนหยิบยันต์ออกมาแปะลงบนรอยสักพลันมีแสงสีทองปรากฏขึ้นบนรอยสัก“เห็นหรือไม่ นี่แสดงว่ายันต์ผนึกวิญญาณมีอยู่จริง”“เมื่อแก้ยันต์ผนึกวิญญาณแล้ว ที่นี่ก็จะมีเพียงรอยสักและแผลเป็น จะไม่มีอักขระเวทแสงสีทองนี้อีก”ลั่วชิงยวนพยายามอธิบายให้พวกเขาฟังหากสามารถตกลงกันได้ด้วยดีก็ดีที่สุด นางมิอยากลงมือต่อสู้อีกแล้วนางสู้มิได้จริง ๆ หงไห่และคนอื่น ๆ ฟังเข้าใจ จึงพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้ารีบแก้ยันต์ผนึกวิญญาณให้เขาเถิด”ลั่วชิงยวนก็บังเอิญทำได้ ใต้หล้านี้มีมิกี่คนที่แก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้ และนางเป็นหนึ่งในนั้นเพียงแต่ร่างกายของนางตอนนี้จะยิ่งเสียพลังมากขึ้นนางหยิบยันต์ออกมา ก่อนจะใช้มีดกรีดนิ้วเพื่อใช้เลือดวาดยันต์ จากนั้นแปะลงบนหลังของโฉวสือชี วงแหวนแห่งเวทสีทองปรากฏขึ้นซึมเข้าไปในรอยแผลเป็นของยันต์ผนึกวิญญาณไม่มีปฏิกิริยาใดอีก“เสร็จแล้ว” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างใจเย็นโฉวสือชีหันไปมองไหล่ของตัวเอง ดูเหมือนจะมิรู้สึกอะไร “เสร็จแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนจึงทดสอบให้พวกเขาดู ในรอยสักของยันต์ผนึกวิญญาณไม่มีอักขระเว
แต่ที่นี่มิได้มีแค่หงไห่คนเดียวยังมีคนชั่วร้ายอีกหลายคนเมื่อพวกเขาลงมือ ลั่วชิงยวนก็ถูกรุมซ้อมจนไร้ทางสู้สุดท้ายก็ถูกหงไห่จับตัวได้ และถูกกดร่างลงกับพื้นแน่นหงไห่หยิบมีดเล่มใหญ่ออกมา ซึ่งยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่“ให้ข้าดูหน่อย จะตัดมือข้างไหนก่อนดี?”หงไห่พูดพลางจับข้อมือของนางกดลงพื้นใบมีดคมกริบวางลงบนข้อมือของนางและเคลื่อนไหวไปมาดูว่าจะกรีดตรงไหนดี“ข้างนี้แหละ”เมื่อเห็นว่าหงไห่จะลงมือแล้ว ลั่วชิงยวนก็ร้อนใจ พยายามดิ้นรนแต่ก็ดิ้นมิหลุดจนกระทั่งเงยหน้าขึ้นมองโฉวสือชีเดินผ่านมา ในที่สุดเขาก็ปิดตำราตำราที่คุ้นเคยเล่มนั้นทำให้ลั่วชิงยวนตกใจอาคมนักบวชหญิง!ในขณะที่หงไห่กำลังจะฟันลงมา ลั่วชิงยวนก็ตะโกนด้วยความร้อนใจ—“ข้าแก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้!”โฉวสือชีตกใจ รีบหันกลับมาตะโกน “หยุด!”หงไห่ก็หยุดมือทันทีเขาปักมีดลงพื้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าแก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้รึ?”“เจ้าเป็นแค่นักบวชหญิงที่เพิ่งมา เจ้าจะแก้ได้อย่างไร”“พวกข้าจับนักบวชหญิงมามากมาย ไม่มีใครแก้ได้สักคน”“หากเจ้ากล้าหลอกลวงพวกข้า ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ!”ลั่วชิงยวนรีบกล่าว “ข้าทำได
ผู้ชายหลายคนจับภรรยาและน้องสาวของตู้เฟิงเฉินไป แล้วลากเข้าไปในห้องเสียงร้องโหยหวนดังระงมตู้เฟิงเฉินร้อนใจ อยากจะช่วยพวกนาง แต่ก็ทำอะไรมิได้“พวกสัตว์เดรัจฉาน!” ตู้เฟิงเฉินพยายามวิ่งเข้าไป แต่กลับถูกฟาดลงไปนอนกับพื้น เขายังลุกขึ้นวิ่งเข้าไปขัดขวางอีกครั้ง“พวกเราสำนึกผิดแล้ว เหตุใดจึงทำกับพวกเราเช่นนี้!” หญิงสาวร้องไห้ดิ้นรน แต่ก็ถูกตบหน้ามิหยุดชายที่ตบนางกล่าวว่า “ทาสก็คือทาส! นี่คือประโยชน์ของพวกเจ้า!”“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ขัดขืน ยอมรับอย่างสงบก็พอ!”พูดจบ ก็ลากหญิงสาวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูมีเสียงดิ้นรนและกรีดร้องดังมาจากในห้องตู้เฟิงเฉินทรุดตัวร้องเอ่ยนามภรรยาและน้องสาวด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งชนประตูแต่กลับถูกชายหลายคนจับกดลงพื้นในตอนนั้น ลั่วชิงยวนราวกับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขาลั่วชิงยวนน้ำตาคลอตู้เฟิงเฉินมิยอมแพ้ พยายามดิ้นรนเข้าไปช่วย แต่กลับถูกรุมซ้อมจนหัวแตก นอนคว่ำอยู่หน้าประตูอย่างอ่อนแรงได้แต่มองประตูที่ถูกเปิดออก มีคนออกมา แล้วมีคนใหม่เข้าไปอีกเมื่อเห็นคนที่เขารักถูกทรมาน เขาก็เกลียดชังจนอยากจะทำลายใต้หล้าที่มิยุติธรรมผืนนี
นางยัดเศษผ้าจากชุดที่ถูกกระชากจนขาดเข้าไปในปากของตู้เฟิงเฉินแล้วหยิบผ้าคลุมสีดำขึ้นมาคลุมร่างปกปิดอาภรณ์ที่ขาดวิ่นนางก้มลง แววตามิหวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้วจ้องมองตู้เฟิงเฉินอย่างเย็นชา“ข่มขืนหญิงสาวยี่สิบสามคน คนชั่วช้าเช่นเจ้า แม้แต่จะปราบเจ้า ข้ายังรังเกียจ”เมื่อตู้เฟิงเฉินรู้ตัวว่าถูกหลอกก็โกรธจัด จ้องมองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามดิ้นรนสุดกำลังแต่ก็ดิ้นมิหลุดลั่วชิงยวนหยิบมีดมากรีดเสื้อของเขา แล้วฉีกออกอย่างแรงแน่นอนที่ไหล่ของเขาก็มียันต์ผนึกวิญญาณเช่นเดียวกันเหตุใดพวกเขาจึงมีเหมือนกันหมดนางรู้แค่ว่าแคว้นหลีมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ใช้คุมขังนักโทษโดยเฉพาะมีคนชั่วร้ายที่ก่ออาชญากรรมหรือคนที่ทรยศแคว้นหลี พวกเขาจะมิตาย แต่จะถูกขังไว้ที่นั่นแต่คนชั่วร้ายทั้งสิบคนนี้ พวกเขาหนีออกมาจากที่นั่นได้หรือ?พวกเขามีชื่อเสียงโด่งดัง เดินทางไปทั่วแคว้นหลีมานานแล้วตามปกติควรจะปราบพวกเขาที่นี่ แล้วค่อยส่งไปขังเมื่อตั้งสติได้ ลั่วชิงยวนก็เอื้อมมือไปกระชากหน้ากากของตู้เฟิงเฉินออกลอกออกทีละชั้น ในที่สุดก็เผยใบหน้าที่แท้จริงใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวมิได้น่าเกลียดเหมือนที่ลั่ว
ลมพัดกระโชกแรงความสงบในยามราตรีราวกับถูกกำจัดไปอย่างรุนแรง พลังที่แปลกประหลาดบุกรุกเข้ามาเมื่อความรู้สึกมิสงบบันดาลขึ้น ลั่วชิงยวนก็ตื่นขึ้นทันทีแต่ก็สายไปแล้ว มีเสียงหัวเราะของบุรุษดังมาจากในความมืด ในวินาทีต่อมาไหล่ของลั่วชิงยวนก็ถูกจับ แล้วลากออกไปจากห้องลั่วชิงยวนถูกโยนลงพื้นอย่างแรง รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างมีคนก่อไฟไว้ในลาน คนชั่วร้ายทั้งเก้าคนกำลังนั่งเล่นอยู่ในลานนอกจากชายคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสือ คนอื่น ๆ ต่างจ้องมองลั่วชิงยวนตู้เฟิงเฉินนั่งยอง ๆ จิกผมของลั่วชิงยวนเพื่อให้นางแหงนหน้าขึ้น“โอ้โห ครั้งนี้ส่งสาวงามที่อ่อนแอมาให้พวกเรา จุ๊ จุ๊...”ตู้เฟิงเฉินมีใบหน้าที่ค่อนข้างดูดี แต่แววตาบ่งบอกถึงความเจ้าชู้โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่มองลั่วชิงยวนราวกับจะกลืนกิน ช่างน่าขนลุก“คิดหรือว่าครั้งนี้ข้าจะยอมพวกเจ้า ใครจะมาก่อน?” ตู้เฟิงเฉินถามอย่างใจร้อนคนอื่น ๆ มิพูด ตู้เฟิงเฉินหัวเราะเบา ๆ “เรื่องดี ๆ เช่นนี้ยังมิกระตือรือร้นกันอีกรึ? เช่นนั้นข้าก็มิเกรงใจแล้ว”กล่าวจบก็ใช้นิ้วเชยคางของลั่วชิงยวน “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนแรกที่ได้สนุกเอง”จากนั้นคว้าคอเสื้อของลั่วชิ
นางเคยได้ยินชื่อเสียงของคนชั่วร้ายทั้งสิบคนนี้ แต่มินึกเลยว่าพวกเขาจะจับคนชั่วร้ายทั้งสิบคนมาจริง ๆ นี่มิใช่เรื่องง่ายและแต่ละคนก็มิใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย ๆ ลั่วชิงยวนต้องอยู่ในนี้เป็นเวลาเจ็ดวันภายในเจ็ดวันต้องปราบพวกเขาให้ได้ และต้องรับประกันว่าตัวเองจะมิตายในมือด้วยน้ำมือของพวกเขานักโทษไม่มีสิทธิ์ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นตอนนี้โอสถจตุรธาตุในร่างของลั่วชิงยวนจึงใช้มิได้ผลนางค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า ที่ลานชั้นในเงียบสงัด สายลมหนาวพัดผ้าคลุมตัวใหญ่ของนางจนเกิดเสียงผ้าสะบัดไปมาเมื่อมาถึงห้องที่มีคนตาย ในจังหวะที่ผลักประตูเข้าไปก็มีความเย็นยะเยือกพัดเข้ามาปะทะใบหน้าศพนอนอยู่บนพื้นแขนขาถูกแยกออกจากร่าง เลือดไหลนองเต็มพื้นลั่วชิงยวนเตรียมใจไว้แล้วจึงมิตกใจ แต่ก็ยังดีกว่าภาพที่นางจินตนาการไว้มากนางเข้าไปตรวจสอบศพ ดูเหมือนว่าจะตายมิเกินหนึ่งวันบาดแผลร้ายแรงอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าอกและท้อง แสดงว่าถูกแทงจากด้านหน้า แผลเรียบเพราะคมมีด ส่วนแขนขาน่าจะถูกตัดหลังจากตายแล้วลั่วชิงยวนตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีร่องรอยการต่อสู้บนศพเหมือนกับยืนอยู่เฉย ๆ แล้วถูกฆ่า ไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำ
“ข้ารู้มากกว่าเฉินชีเยอะ”ฉินอี้ใจกระตุก สตรีผู้นี้ดูอ่อนแอ แต่กลับพูดจาโอหัง“ข้าเห็นใต้ตาขององค์ชายเป็นสีเขียวคล้ำ แก้มก็ตอบ คงจะกำลังกังวลเรื่องฝึกฝนวรยุทธ์กระมัง” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงใส ๆ นั้นกลับทำให้ทุกคนตกใจฉินอี้รู้สึกเสียหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่ติดขัดเท่านั้น!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “ทุกคนย่อมพบเจออุปสรรค แต่คนที่เจออุปสรรคห้าปีนั้นหาได้ยาก”คำพูดที่เชื่องช้านั้นทิ่มแทงจุดอ่อนของฉินอี้พูดต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ฉินอี้โกรธมาก“หุบปาก!”ในใจของฉินอี้ก็ตกใจ เหตุใดสตรีผู้นี้จึงรู้เรื่องนี้ แม้แต่เฉินชียังมิรู้เลยเฉินชีได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ แล้วหัวเราะเยาะ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า... ห้าปีเลยรึ? องค์ชายช่างสมกับคำว่าไร้ความสามารถเสียจริง!”ฉินอี้หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย เขามองเฉินชีด้วยความโมโหเฉินชียกยิ้มท้าทาย “องค์ชาย คนที่ข้าพามามิใช่คนไร้ค่า ความสามารถของนางเหนือกว่านักบวชหญิงทุกคนในแคว้นหลี!”คำพูดที่โอหังเช่นนี้ มีเพียงเฉินชีเท่านั้นที่พูดได้แต่คำพูดนี้กลับสร้างศัตรูให้ลั่วชิงยวนมากมายฉินอี้หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เฉินช