เมื่อเว่ยอวิ๋นเสี่ยและคนอื่น ๆ เห็นลั่วอวิ๋นสี่เดินเข้ามา พวกนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งตามนางมาด้วย พวกนางจึงแค่นเสียงด้วยท่าทีไม่พอใจ “ข้ามิสนใจหรอกว่าวันนี้จะเป็นงานอันใด หากมีแต่นางรำจากหอนางโลมก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ถึงกับมีนักเลงด้วย” “ข้ามิลดตัวไปนั่งกับคนพรรค์นั้นหรอก” หลังจากเว่ยอวิ๋นเสี่ยพูดจบ นางก็หันหลังเดินจากไป คนอื่น ๆ เองก็ออกไปจากสวนเซียงอู๋พร้อมกับเว่ยอวิ๋นเสี่ยด้วย หลังจากลั่วชิงยวนเห็นพวกนางจากไปแล้ว สายตาของนางก็ทอดมองมายังบุรุษที่อยู่ข้างหลังลั่วอวิ๋นสี่ สวีซงหย่วน คาดไม่ถึงเลยว่า ลั่วอวิ๋นสี่ยังอยู่กับสวีซงหย่วน เขาคิดจะทำอันใดกันแน่? ยามนี้จวนมหาราชครูต่างล้มหายตายจาก เหลือเพียงฮูหยินลั่วที่เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ เขาจะได้อันใดอีกหรือ? ทว่าเขาก็ยังคิดจะหลอกลั่วอวิ๋นสี่ให้ได้ “พี่สวี อย่าไปถือสาคำพูดของพวกนางเลย ท่านหาใช่นักเลงไม่ เพียงแต่ว่าพวกนางไม่รู้ก็เท่านั้น!” ลั่วอวิ๋นสี่เองก็หันมาปลอบโยนสวีซงหย่วน สวีซงหย่วนมองลั่วอวิ๋นสี่พลางยิ้มด้วยท่าทีรักใคร่ “ข้ามิสนใจหรอกว่าผู้อื่นคิดกับว่าเช่นใด เจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนเช่นไรก็พอแล้ว” ลั่วอวิ๋นสี่แย้มยิ้มพ
หลังจากนั้นไม่นาน ลั่วเยวี่ยอิงก็เดินเข้ามาพร้อมขนมจานใหม่ “คราวนี้เป็นขนมกุ้ยฮวา(1)ที่ข้าลงทุนขอร้องให้พ่อครัวแห่งเรือนเยวี่ยอิงทำขึ้นโดยเฉพาะ ทุกท่านต้องชิมให้ได้นะเจ้าคะ!” เมื่อลั่วเยวี่ยอิงพูดจบ ขนมก็ถูกจัดวางในลำธารแล้วถูกหยิบไปคนละชิ้น ๆ เมื่อถึงทีของลั่วชิงยวนก็เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย นางจึงมิได้เอื้อมมือไปหยิบ “แม่นางฝูเสวี่ย เจ้ามิชอบหรือ?” ลั่วเยวี่ยอิงยิ้มพลางมองมาที่นาง เดิมทีหามีผู้ใดให้ความสนใจลั่วชิงยวนที่อยู่ ณ มุมหนึ่ง แต่เมื่อลั่วเยวี่ยอิงเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ หลาย ๆ คนจึงหันมาให้ความสนใจทันที ลั่วชิงยวนหยิบขนมกุ้ยฮวามาอังใต้มูกแล้วสูดดม จากนั้นกลิ่นโอสถจาง ๆ ก็ลอยเข้าจมูกของนาง ลั่วเยวี่ยอิงกำลังมองนางอยู่ ลั่วชิงยวนยกแขนขึ้นบดบังใบหน้าพลางขยับหน้ากาก จากนั้นก็กัดขนมกุ้ยฮวากลิ่นหอมหวานเข้าไปคำหนึ่งแล้ววางกลับไปบนจาน เมื่อเห็นนางกัดเข้าไปแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงก็รู้สึกพอใจ ในยามนี้เอง ผู้คนโดยรอบก็สังเกตเห็นฝูเสวี่ยแล้วหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป “แม่นางฝูเสวี่ยผู้นี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่? แม้แต่คุณหนูรองลั่วก็ถึงกับเชิญนางมาที่นี่ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นแค่นางรำจากห
ลั่วเยวี่ยอิงยิ้มเยาะพลางหยิบไม้เท้าที่วางอยู่ ณ มุมหนึ่งแล้วหวดใส่นางอย่างแรง สายตาของลั่วชิงยวนวูบดับแล้วสลบไป หลังจากฟาดฝูเสวี่ยจนหมดสติแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังเพื่อแน่ใจว่าหามีผู้ใดพบเห็น จากนั้นก็ลากฝูเสวี่ยเข้าไปท้ายเรือน นอกลานสนาม ลั่วอวิ๋นสี่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงมองดูเหตุการณ์นี้อยู่เงียบ ๆ แล้วขมวดคิ้ว ลั่วเยวี่ยอิงกำลังจะทำอันใดกัน? เจ้าคงมิสังหารคนกลางวันแสก ๆ หรอกใช่ไหม? ลั่วเยวี่ยอิงพยายามลากฝูเสวี่ยเข้ามาในห้อง จากนั้นก็เปิดหน้าต่างบนผนังห้องอีกฝั่งแล้วโบกมือออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็บุรุษสองคนก็กระโดดเข้ามาทีละคน ๆ ลั่วเยวี่ยอิงชี้นิ้วไปทางฝูเสวี่ยที่อยู่บนพื้น “นางอยู่ตรงนี้แล้ว ที่เหลือก็สุดแท้แต่พวกเจ้าแล้ว” บุรุษชุดดำถอดชุดคลุมสีดำตัวนอกออก เผยให้เห็นอาภรณ์ไหมที่อยู่ข้างใต้พลางกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไปเลย” บุรุษทั้งสองคนรีบเดินเข้ามาอุ้มคนบนพื้นขึ้นเตียง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ของนาง ลั่วเยวี่ยอิงหันหลังหมายที่จะจากไป ยามที่นางเปิดประตูก็พลันตกตะลึงขึ้นมาทันที ลั่วอวิ๋นสี่อยู่ตรงประตู! นางพลั
ลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้วแล้วเบือนหน้าหนี “อย่างไรก็ช่าง รีบปล่อยนางไปเสีย!” อาจเป็นเพราะท่านปู่จากไป พี่สาวออกเรือนและมารดาล้มป่วย นางจึงมิอยากจะโต้เถียงกับมารดาของตนอีก แต่นางก็ไม่อยากจะยอมแพ้เรื่องสวีซงหย่วน นางอยากจะคว้าไว้ทั้งสองทาง แต่ท่านเซียนฉู่ลั่วกลับบอกว่านางกับสวีซงหย่วนมิได้ถูกลิขิตให้ครองคู่กัน นางจึงคิดว่าหากกระทำเรื่องดีมีเหตุผลและแก้นิสัยแย่ ๆ ของตน บางทีสวรรค์อาจเมตตาและยอมให้นางกับสวีซงหย่วนได้ครองคู่กันบ้างก็ได้ ลั่วเยวี่ยอิงมองแผ่นหลังของลั่วอวิ๋นสี่ สายตาของนางก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ก็ได้ ข้าจักปล่อยนางไป แต่เจ้าห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังเล่า” เมื่อลั่วเยวี่ยอิงพูดจบ นางก็ขยิบตาให้บุรุษที่อยู่ข้างหลัง “หาอย่าได้กังวล ข้าสัญญาว่าจักมิเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง!” ลั่วอวิ๋นสี่เอ่ยด้วยท่าทีสบายใจแล้วหันหลังไป แต่กลับมีเงาดำผุดขึ้นตรงหางตา จากนั้นฝ่ามือโจมตีอันรุนแรงก็ทำให้การมองเห็นของลั่วอวิ๋นสี่มืดดับแล้วหมดสติไป บุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “จะให้จัดการกับคนผู้นี้อย่างไรดี? นางล่วงรู้แผนการของเจ้าแล้ว” ลั่วเยวี่ยอิงก้มมองลั่ว
“เสด็จพี่สาม ท่านมิจำเป็นต้องร้อนใจถึงเพียงนั้น สตรีบอบบางอย่างลั่วเยวี่ยอิงจะทำอันใดแม่นางฝูเสวี่ยได้กระนั้นหรือ?” “ท่านอยากจะด้านหน้ามาที่สวนเซียงอู๋ก็ช่างเถิด แต่ท่านยังใช้กำลังบีบบังคับให้ข้ามาด้วยอีก” “ข้ามิเคยข้องแวะกับคนในแวดวงขุนนาง ท่านก็เอาแต่ลากข้าเข้าไปพัวพันอยู่ร่ำไป หากเกิดคนในราชสำนักพวกนั้นที่ขัดแข้งขัดขากับท่านพุ่งเป้ามาที่ข้าอีกจักทำอย่างไรเล่า?” “มิใช่ท่านกำลังทำลายความสงบสุขของข้าอยู่กระนั้นหรือ?” ยามนี้ฟู่จิ่งหลีกับฟู่เฉินหวนมาถึงนอกประตูของสวนเซียงอู๋แล้ว "ไยเจ้าถึงเอ่ยวาจาเลื่อนเปื้อนมากมายถึงเพียงนั้น?" น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชา ฟู่เฉินหวนมิได้เกรงว่าลั่วเยวี่ยอิงจะทำอันใดกับลั่วชิงยวน เพราะลั่วชิงยวนหาใช่ผู้ที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ แต่เขาเกรงว่าลั่วเยวี่ยอิงจะล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของลั่วชิงยวน ยิ่งไปกว่านั้น ลั่วเยวี่ยอิงเจตนาเชิญฝูเสวี่ยมาที่สวนเซียงอู๋ น่าจะมีอันใดมากกว่าแค่การกินดื่มและเล่นสนุกเสียแล้ว ชะรอยคงจะมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่ เกรงว่าอาจจะก่อเรื่องใหญ่จนเปิดโปงตัวตนของลั่วชิงยวนเอาได้ เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านประตูเข้ามา ฟู่จิ่ง
หนีกระนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า! ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแล้วผลักลั่วเยวี่ยอิงเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่จิ่งหลี จากนั้นเดินไปข้างหน้าเตรียมจะถีบประตู ทว่าในยามนี้เอง ประตูที่มีเปลวเพลิงก็ถูกกระแทกให้เปิดออกดังปัง ประตูทั้งบานล้มลงมา เงาร่างขะมุกขะมอมที่มีเปลวเพลิวลามเลียบนกระโปรงก็พุ่งออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน ลั่วชิงยวนกึ่งลากสังขารตนกึ่งแบกร่างของลั่วอวิ๋นสี่แล้วพังประตูออกมา แต่ภายใต้แรงปะทะอันรุนแรง ทันทีที่ประตูล้มลง ขื่อคานที่อยู่ข้างบนก็ร่วงหล่นลงมา ลั่วชิงยวนกัดฟันพุ่งตัวออกไปอย่างสุดกำลัง ทันใดนั้นท่อนแขนแข็งแกร่งคู่หนึ่งก็คว้าตัวนางไว้ จากนั้นนางก็ถูกยกตัวขึ้นจากพื้น ในขณะนั้นเอง เปลวเพลิงปริมาณมหาศาลก็พุ่งออกมา สรรพสิ่งพลันพลิกคว่ำคะมำหงายแล้วลั่วชิงยวนก็ร่วงลงบนร่างนุ่ม ยามที่นางลืมตาขึ้น สิ่งที่นางเห็นก็คือฟู่เฉินหวนที่ถูกนางกดเอาไว้ใต้ร่าง ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง พวกเขามิคาดคิดว่าจะมีคนอยู่ในห้อง! ฟู่จิ่งหลีตอบสนองว่องไวแล้วรีบเดินเข้ามาฉุดลั่วอวิ๋นสี่ให้ลุกขึ้นพร้อมตรวจดูลมหายใจของนาง เมื่อพบว่านางยังหายใจอยู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขาก็มองมาท
ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นแล้วขมวดคิ้วใส่เขา “ท่านปกป้องนางกระนั้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนทราบคำตอบของคำถามข้อนี้อยู่แล้ว แต่นางก็เลือกที่จะถามอยู่ดี ผลลัพธ์ที่นางได้ย่อมต้องเป็นฝ่ามือของฟู่เฉินหวนอยู่แล้ว ฝ่ามือที่ตบลงมาโดยมิทันตั้งตัว ทำให้ลั่วชิงยวนล้มหมดสติไป ฟู่เฉินหวนรีบอุ้มลั่วชิงยวนขึ้นมาแล้วเหลือบมองมาที่ลั่วเยวี่ยอิงพลางขมวดคิ้ว “รีบพานางไปหาหมอ!” หลังจากเขาพูดจบก็อุ้มลั่วชิงยวนแล้วหันหลังหมายที่จะจากไป “ท่านอ๋อง!” ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกร้อนใจเสียจนแข้งขาพลันอ่อนยวบ การมองเห็นดับวูบแล้วล้มลง คนข้างกายรีบเข้ามาประคองนางเอาไว้แล้วร้องอุทานครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อฟู่เฉินหวนเหลียวกลับไปมองแล้วบังเกิดแรงดลใจที่จะช่วยเหลือลั่วเยวี่ยอิงอย่างมิอาจควบคุมได้ ทว่าเหตุผลก็ทำให้เขามองลั่วชิงยวนที่อยู่ในอ้อมแขน หน้ากากของนางเกิดรอยร้าวเสียแล้ว หากมิได้พานางไป ตัวตนของนางย่อมถูกล่วงรู้เข้าเป็นแน่! ฟู่เฉินหวนชะงักฝีเท้าไปเพียงชั่วขณะ จากนั้นเขาก็รีบเดินจากไป ฟู่จิ่งหลีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วอุ้มลั่วอวิ๋นสี่ขึ้นจากพื้น ในยามนี้เอง คนของทางการก็มาถึงแล้วรีบเข้าไปดับไฟตรงลานสนาม
ในยามนี้เอง คนของทางการจากด้านในก็หามศพทั้งสองร่างที่คลุมด้วยผ้าขาวออกมา ยามที่ลมพัดตลบ ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นศพไหม้เกรียมที่อยู่ข้างในได้ราง ๆ พวกเขาน่าจะเป็นบุรุษชุดดำทั้งสองคนในห้องที่ฟาดลั่วชิงยวนจนหมดสติไป “โอ้สวรรค์ เรือนของข้ากลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน? สวนเซียงอู๋ของข้า!” น้ำเสียงลนลานและตื่นตระหนกพลันดังขึ้น เมื่อบุรุษแต่งกายภูมิฐานเห็นสภาพน่าอนาถของสวนเซียงอู๋ เขาก็สะดุดล้มลงกับพื้นด้วยท่าทีสิ้นหวังพลางน้ำตาไหลอาบหน้า ผู้คนรอบตัวพยายามปลอบใจเขา “โอ้ เถ้าแก่หลิวช่างโชคร้ายเสียจริง” “เถ้าแก่หลิว เจ้าซ่อมแซมอีกสักหนก็น่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วล่ะ” ลั่วชิงยวนทราบจากบทสนทนาของผู้คนรอบตัวว่า บุรุษผู้นี้คือหลิวซิงเหอผู้เป็นเจ้าของสวนเซียงอู๋นั่นเอง สวนเซียงอู๋แห่งนี้ได้รับการออกแบบจากผู้มากพรสวรรค์ทั้งสิบแปดคนโดยเฉพาะ ทั้งยังใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะแล้วเสร็จ ทัศนียภาพทั้งหมดทั้งน้อยใหญ่ล้วนใส่ใจทุกรายละเอียด สวนเซียงอู๋แห่งนี้เปิดให้ขุนนางชั้นสูงเช่าเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาเกรงว่าคนทั่วไปจะไม่รู้จักวิธีทะนุถนอมมันเอาไว้ ทว่าคราวนี้สวนเซียงอู๋ก็ยังถูกทำลายลง หลิวซิงเ
“พ่ะย่ะค่ะ!”ศพถูกนำออกจากตำหนักอ๋องเฉินชีที่กำลังรีบมาที่ตำหนักอ๋องบังเอิญเห็นเข้า จึงรีบเข้าไปในตำหนักอ๋อง แล้วตรงไปยังเรือนที่ลั่วชิงยวนพักอาศัยก็เห็นเรือนที่ถูกไฟไหม้จนหมดสิ้นเฉินชีตกใจมาก รีบคว้าคอเสื้อคนรับใช้คนหนึ่งมาถามเสียงดัง “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ท่าทางดุร้ายนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัว“พระชายา... ถูกไฟคลอกสิ้นไปแล้ว!”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฉินชีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีก่อนจะรีบไปที่เรือนด้านหน้า ปรากฏตัวต่อหน้าฟู่เฉินหวน จิตสังหารแผ่ซ่านจนทำให้องครักษ์ในเรือนชักดาบขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วเข้าล้อมเฉินชีไว้“ฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ฟู่เฉินหวนที่มีสีหน้าเย็นชากล่าวอย่างใจเย็น “ตายแล้ว”เฉินชีโกรธจัด กระโจนเข้าใส่ฟู่เฉินหวน “ไฟไหม้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?!”ถึงแม้จะมิใช่เขาที่จุดไฟ ก็ต้องเป็นเขาที่สั่งให้คนจุด!มิเช่นนั้นทั้งตำหนักอ๋อง เหตุใดจึงมีเพียงเรือนของลั่วชิงยวนที่ถูกไฟไหม้!คนในตำหนักมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงลั่วชิงยวนคนเดียวที่ตาย!แต่ฟู่เฉินหวนหาได้ปฏิเสธไม่ เขามองเฉินชีด้วยแววตาดุดัน เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู“นางทรยศข้า ต่อให้ข้าต้อง
สุดท้ายเหลือเพียงช่องเล็ก ๆ ที่มีแผ่นไม้ตอกปิดไว้ กลายเป็นหน้าต่างที่เปิดปิดได้ในตอนนั้นลั่วชิงยวนยังรู้สึกโชคดีที่เขามิได้ปิดตายนางไว้หลังกำแพงแต่หลังจากที่ปิดหน้าต่างนั้นแล้วก็ถูกลงกลอนจากด้านนอก บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความมืดมิดได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปห่างไกลออกไปเรื่อย ๆลั่วชิงยวนพิงกำแพงพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงเมื่อมองค่ายกลขนาดใหญ่แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจครั้งนั้นนางช่างรู้เท่ามิถึงการณ์ กลับเป็นผู้สร้างกรงขังตนเองเสียได้เมื่อนานมาแล้ว เพื่อแลกชีวิตของลั่วหลางหลางคืนมานางจึงได้ตั้งค่ายกลผนึกห้องนี้เอาไว้เดิมทีที่นี่ควรจะเป็นเรือนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ตอนนั้นนางมิเคยคิดเลยว่าสุดท้ายตนเองจะถูกขังไว้ที่นี่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกมึนหัวและล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง......จือเฉาซื้อของมากมายและกลับมายังตำหนักอ๋องนางถือสมุนไพรเดินไปที่เรือนครั้งนี้ซื้อสมุนไพรมามากมาย ต้องทำให้แผลของพระชายาหายดีได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเข้าไปในเรือนด้านในก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมีแต่ความวุ่นวายสับสนจือเฉาตกใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นแสงไฟลุกไหม้มาจากทางเรือนพระช
และสองคือช่วยจือเฉาขนของสิ่งที่ทำให้จือเฉาตกใจคือ เดิมทีนางคิดว่าจะไปที่หอฝูเสวี่ยเพื่อเบิกเงิน แต่กลับพบว่าองครักษ์ช่วยจ่ายเงินให้นางจือเฉางุนงงตลอดทาง มิเข้าใจว่าท่านอ๋องต้องการทำอะไรกันแน่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ร้านค้าที่เปิดมีมิมาก ดังนั้นจือเฉาจึงต้องวิ่งไปหลายที่โดยเฉพาะการหาสมุนไพร นางแทบจะต้องเคาะประตูโรงหมอและร้านขายยาทั่วเมืองหลวง......ในคืนนั้นลั่วชิงยวนนอนซมอยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกลมหนาวพัดโชยเข้ามา ทำให้ลั่วชิงยวนไอออกมา“แค่กแค่กแค่ก... จือเฉา ดูสิว่าหน้าต่างถูกลมพัดเปิดออกหรือไม่... แค่กแค่กแค่กแค่กแค่ก...”ลั่วชิงยวนไอมิหยุด ได้แต่มุดเข้าไปในผ้าห่มแต่ทันใดนั้น ผ้าห่มก็ถูกกระชากออกลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นจึงเห็นฟู่เฉินหวนนางพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง “ท่านจะทำอะไร?”นางอ่อนแอจนแม้แต่การถามในตอนนี้ก็ยังไร้เรี่ยวแรงแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิพูดอะไรสักคำจากนั้นองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง จับแขนของลั่วชิงยวนและลากนางออกจากห้องความหนาวเหน็บถาโถมเข้ามา ลั่วชิงยวนอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกองครักษ์ปิดปากไว้แน่นลั่วชิงยวนที่บาด
“หากต้องการแก้ไข มีเพียงการที่หม่อมฉันต้องไปซีหลิงด้วยตัวเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างหนักแน่นนี่เป็นหนทางรอดเดียวของนางเมื่อฟู่เฉินหวนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเขามองนางด้วยความสงสัย “นี่เป็นผลลัพธ์เดียวหรือ?”“เพคะ”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิค่อยเชื่อ มองนางด้วยแววตาดุดัน “ไม่มีเข็มทิศอาณัติสวรรค์ จะทำนายได้แม่นยำหรือ?”“แม่นยำเพคะ”“เข็มทิศอาณัติสวรรค์เป็นเพียงตัวช่วย มิใช่สิ่งจำเป็น”“ทิศทางหลักจะมิผิดพลาด”แท้จริงแล้วนางทำนายหนทางรอดของตัวเองการทำนายโชคชะตาบ้านเมือง มีเพียงเข็มทิศอาณัติสวรรค์เท่านั้นที่ทำนายได้กองทัพแคว้นหลีบุกประชิด เป็นนางเองที่บอกให้เฉินชีทำ สิ่งที่นางต้องการทำนายคือเส้นทางของตัวเองหลังจากที่ฟู่เฉินหวนฟังแล้วก็มิได้ตอบ เพียงแค่หันหลังเดินจากไป......ลั่วฉิงกำลังรอข่าวจากฟู่เฉินหวนอย่างกระวนกระวาย เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมาแล้ว จึงรีบเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? ผลลัพธ์คืออะไร?”ฟู่เฉินหวนตอบ “เป็นภัยพิบัติของซีหลิง”ได้ยินดังนั้น ลั่วฉิงก็ตกใจเล็กน้อย “ภัยพิบัติของซีหลิงหรือ? หมายความว่าอย่างไร? แคว้นหลีต้องการยึดครองซีหลิงงั้นหรื
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้