ลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้วแล้วเบือนหน้าหนี “อย่างไรก็ช่าง รีบปล่อยนางไปเสีย!” อาจเป็นเพราะท่านปู่จากไป พี่สาวออกเรือนและมารดาล้มป่วย นางจึงมิอยากจะโต้เถียงกับมารดาของตนอีก แต่นางก็ไม่อยากจะยอมแพ้เรื่องสวีซงหย่วน นางอยากจะคว้าไว้ทั้งสองทาง แต่ท่านเซียนฉู่ลั่วกลับบอกว่านางกับสวีซงหย่วนมิได้ถูกลิขิตให้ครองคู่กัน นางจึงคิดว่าหากกระทำเรื่องดีมีเหตุผลและแก้นิสัยแย่ ๆ ของตน บางทีสวรรค์อาจเมตตาและยอมให้นางกับสวีซงหย่วนได้ครองคู่กันบ้างก็ได้ ลั่วเยวี่ยอิงมองแผ่นหลังของลั่วอวิ๋นสี่ สายตาของนางก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ก็ได้ ข้าจักปล่อยนางไป แต่เจ้าห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังเล่า” เมื่อลั่วเยวี่ยอิงพูดจบ นางก็ขยิบตาให้บุรุษที่อยู่ข้างหลัง “หาอย่าได้กังวล ข้าสัญญาว่าจักมิเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง!” ลั่วอวิ๋นสี่เอ่ยด้วยท่าทีสบายใจแล้วหันหลังไป แต่กลับมีเงาดำผุดขึ้นตรงหางตา จากนั้นฝ่ามือโจมตีอันรุนแรงก็ทำให้การมองเห็นของลั่วอวิ๋นสี่มืดดับแล้วหมดสติไป บุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “จะให้จัดการกับคนผู้นี้อย่างไรดี? นางล่วงรู้แผนการของเจ้าแล้ว” ลั่วเยวี่ยอิงก้มมองลั่ว
“เสด็จพี่สาม ท่านมิจำเป็นต้องร้อนใจถึงเพียงนั้น สตรีบอบบางอย่างลั่วเยวี่ยอิงจะทำอันใดแม่นางฝูเสวี่ยได้กระนั้นหรือ?” “ท่านอยากจะด้านหน้ามาที่สวนเซียงอู๋ก็ช่างเถิด แต่ท่านยังใช้กำลังบีบบังคับให้ข้ามาด้วยอีก” “ข้ามิเคยข้องแวะกับคนในแวดวงขุนนาง ท่านก็เอาแต่ลากข้าเข้าไปพัวพันอยู่ร่ำไป หากเกิดคนในราชสำนักพวกนั้นที่ขัดแข้งขัดขากับท่านพุ่งเป้ามาที่ข้าอีกจักทำอย่างไรเล่า?” “มิใช่ท่านกำลังทำลายความสงบสุขของข้าอยู่กระนั้นหรือ?” ยามนี้ฟู่จิ่งหลีกับฟู่เฉินหวนมาถึงนอกประตูของสวนเซียงอู๋แล้ว "ไยเจ้าถึงเอ่ยวาจาเลื่อนเปื้อนมากมายถึงเพียงนั้น?" น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชา ฟู่เฉินหวนมิได้เกรงว่าลั่วเยวี่ยอิงจะทำอันใดกับลั่วชิงยวน เพราะลั่วชิงยวนหาใช่ผู้ที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ แต่เขาเกรงว่าลั่วเยวี่ยอิงจะล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของลั่วชิงยวน ยิ่งไปกว่านั้น ลั่วเยวี่ยอิงเจตนาเชิญฝูเสวี่ยมาที่สวนเซียงอู๋ น่าจะมีอันใดมากกว่าแค่การกินดื่มและเล่นสนุกเสียแล้ว ชะรอยคงจะมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่ เกรงว่าอาจจะก่อเรื่องใหญ่จนเปิดโปงตัวตนของลั่วชิงยวนเอาได้ เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านประตูเข้ามา ฟู่จิ่ง
หนีกระนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า! ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแล้วผลักลั่วเยวี่ยอิงเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่จิ่งหลี จากนั้นเดินไปข้างหน้าเตรียมจะถีบประตู ทว่าในยามนี้เอง ประตูที่มีเปลวเพลิงก็ถูกกระแทกให้เปิดออกดังปัง ประตูทั้งบานล้มลงมา เงาร่างขะมุกขะมอมที่มีเปลวเพลิวลามเลียบนกระโปรงก็พุ่งออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน ลั่วชิงยวนกึ่งลากสังขารตนกึ่งแบกร่างของลั่วอวิ๋นสี่แล้วพังประตูออกมา แต่ภายใต้แรงปะทะอันรุนแรง ทันทีที่ประตูล้มลง ขื่อคานที่อยู่ข้างบนก็ร่วงหล่นลงมา ลั่วชิงยวนกัดฟันพุ่งตัวออกไปอย่างสุดกำลัง ทันใดนั้นท่อนแขนแข็งแกร่งคู่หนึ่งก็คว้าตัวนางไว้ จากนั้นนางก็ถูกยกตัวขึ้นจากพื้น ในขณะนั้นเอง เปลวเพลิงปริมาณมหาศาลก็พุ่งออกมา สรรพสิ่งพลันพลิกคว่ำคะมำหงายแล้วลั่วชิงยวนก็ร่วงลงบนร่างนุ่ม ยามที่นางลืมตาขึ้น สิ่งที่นางเห็นก็คือฟู่เฉินหวนที่ถูกนางกดเอาไว้ใต้ร่าง ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง พวกเขามิคาดคิดว่าจะมีคนอยู่ในห้อง! ฟู่จิ่งหลีตอบสนองว่องไวแล้วรีบเดินเข้ามาฉุดลั่วอวิ๋นสี่ให้ลุกขึ้นพร้อมตรวจดูลมหายใจของนาง เมื่อพบว่านางยังหายใจอยู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขาก็มองมาท
ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นแล้วขมวดคิ้วใส่เขา “ท่านปกป้องนางกระนั้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนทราบคำตอบของคำถามข้อนี้อยู่แล้ว แต่นางก็เลือกที่จะถามอยู่ดี ผลลัพธ์ที่นางได้ย่อมต้องเป็นฝ่ามือของฟู่เฉินหวนอยู่แล้ว ฝ่ามือที่ตบลงมาโดยมิทันตั้งตัว ทำให้ลั่วชิงยวนล้มหมดสติไป ฟู่เฉินหวนรีบอุ้มลั่วชิงยวนขึ้นมาแล้วเหลือบมองมาที่ลั่วเยวี่ยอิงพลางขมวดคิ้ว “รีบพานางไปหาหมอ!” หลังจากเขาพูดจบก็อุ้มลั่วชิงยวนแล้วหันหลังหมายที่จะจากไป “ท่านอ๋อง!” ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกร้อนใจเสียจนแข้งขาพลันอ่อนยวบ การมองเห็นดับวูบแล้วล้มลง คนข้างกายรีบเข้ามาประคองนางเอาไว้แล้วร้องอุทานครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อฟู่เฉินหวนเหลียวกลับไปมองแล้วบังเกิดแรงดลใจที่จะช่วยเหลือลั่วเยวี่ยอิงอย่างมิอาจควบคุมได้ ทว่าเหตุผลก็ทำให้เขามองลั่วชิงยวนที่อยู่ในอ้อมแขน หน้ากากของนางเกิดรอยร้าวเสียแล้ว หากมิได้พานางไป ตัวตนของนางย่อมถูกล่วงรู้เข้าเป็นแน่! ฟู่เฉินหวนชะงักฝีเท้าไปเพียงชั่วขณะ จากนั้นเขาก็รีบเดินจากไป ฟู่จิ่งหลีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วอุ้มลั่วอวิ๋นสี่ขึ้นจากพื้น ในยามนี้เอง คนของทางการก็มาถึงแล้วรีบเข้าไปดับไฟตรงลานสนาม
ในยามนี้เอง คนของทางการจากด้านในก็หามศพทั้งสองร่างที่คลุมด้วยผ้าขาวออกมา ยามที่ลมพัดตลบ ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นศพไหม้เกรียมที่อยู่ข้างในได้ราง ๆ พวกเขาน่าจะเป็นบุรุษชุดดำทั้งสองคนในห้องที่ฟาดลั่วชิงยวนจนหมดสติไป “โอ้สวรรค์ เรือนของข้ากลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน? สวนเซียงอู๋ของข้า!” น้ำเสียงลนลานและตื่นตระหนกพลันดังขึ้น เมื่อบุรุษแต่งกายภูมิฐานเห็นสภาพน่าอนาถของสวนเซียงอู๋ เขาก็สะดุดล้มลงกับพื้นด้วยท่าทีสิ้นหวังพลางน้ำตาไหลอาบหน้า ผู้คนรอบตัวพยายามปลอบใจเขา “โอ้ เถ้าแก่หลิวช่างโชคร้ายเสียจริง” “เถ้าแก่หลิว เจ้าซ่อมแซมอีกสักหนก็น่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วล่ะ” ลั่วชิงยวนทราบจากบทสนทนาของผู้คนรอบตัวว่า บุรุษผู้นี้คือหลิวซิงเหอผู้เป็นเจ้าของสวนเซียงอู๋นั่นเอง สวนเซียงอู๋แห่งนี้ได้รับการออกแบบจากผู้มากพรสวรรค์ทั้งสิบแปดคนโดยเฉพาะ ทั้งยังใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะแล้วเสร็จ ทัศนียภาพทั้งหมดทั้งน้อยใหญ่ล้วนใส่ใจทุกรายละเอียด สวนเซียงอู๋แห่งนี้เปิดให้ขุนนางชั้นสูงเช่าเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาเกรงว่าคนทั่วไปจะไม่รู้จักวิธีทะนุถนอมมันเอาไว้ ทว่าคราวนี้สวนเซียงอู๋ก็ยังถูกทำลายลง หลิวซิงเ
เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็ตกตะลึง “ลั่วเยวี่ยอิงกระนั้นหรือ?” นางนึกออกแต่เพียงลั่วเยวี่ยอิง เพราะเป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายจะกล่าวโทษนาง ใต้เท้าเหอกล่าวว่า “เจ้าไปถึงที่นั่นก็รู้เอง” เนื่องเป็นเรื่องที่มิใคร่ชาญฉลาดนักที่จะให้คนนอกล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างลั่วชิงยวนกับใต้เท้าเหอ ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงถูกส่งกลับไปที่ศาลาว่าการ ครั้นพวกเขามาถึงศาลาว่าการ ก็มีคนกลุ่มใหญ่มาออกันอยู่ริมถนนแล้ว ก่อให้เกิดความวุ่นวายค่อนข้างมากทีเดียว ลั่วเยวี่ยอิงอยู่ในโถงพิจารณาคดีจริง ๆ นางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับว่าอาจจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อ นางอ่อนแอเสียจนมิกล้าพูดเสียงดัง ทว่าสิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ นอกจากลั่วเยวี่ยอิงแล้วยังมีผู้อื่นอยู่ด้วย นั่นคือลั่วอวิ๋นสี่ ลั่วอวิ๋นสี่ฟื้นแล้วจริง ๆ แต่ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายมืดมนตรงหว่างคิ้วอันคมกริบราวกับมีดที่กำลังลอยอยู่ด้วย ใต้เท้าเหอนั่งลงแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเกรงขาม “ผู้ใดมาร้องเรียนกับทางการ?” สายตาของลั่วชิงยวนเอาแต่จับจ้องมาที่ลั่วเยวี่ยอิง จากนั้นนางก็เห็นลั่วเยวี่ยอิงลุกขึ้นด้วยท่าทียากลำบาก ทว่
นางหันไปมองใต้เท้าเหอแล้วถามว่า “ใต้เท้า สิ่งที่ข้าประสบพบเจอมาในวันนี้ตรงข้ามกับสิ่งที่พวกนางว่ามาโดยสิ้นเชิง” ลั่วชิงยวนจึงเล่าเรื่องนางต้องเผชิญให้ฟัง ลั่วอวิ๋นสี่โมโหเสียจนพูดออกมาว่า “เหลวไหลทั้งเพ! เจ้าบอกว่าลั่วเยวี่ยอิงคิดทำร้ายเจ้า แต่ข้าบังเอิญไปพบเข้า นางก็เลยคิดจะสังหารข้า!” “แต่เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นเจ้า! ข้าจับเจ้าได้คาหนังคาเขาเชียวล่ะ!” ลั่วอวิ๋นสี่เบิกบานใจเสียจนแทบกระโดดโลดเต้นอยู่แล้ว ลั่วชิงยวนหรี่ตามองลั่วอวิ๋นสี่ กลิ่นอายมืดมนตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่ายเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนแววตาก็ขุ่นมัวขึ้นมากทีเดียว ลั่วชิงยวนเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ข้ามีหลักฐานเจ้าค่ะ!” “ลั่วเยวี่ยอิงเชิญข้าไปที่ศาลาตรงท้ายเรือนและมอบขนมร้อยบุปผาที่ใส่ตัวยาแปลกประหลาดลงไป ประกอบกับตัวยาในขนมกุ้ยฮวา ก็ทำให้คนหลับไปได้หลายชั่วยามแล้ว” “ใต้เท้า ท่านเคยตรวจสอบดูหรือไม่!” “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังพบมีดสั้นเล่มนี้ตรงท้ายเรือน สิ่งนี้ชะรอยจักเป็นมีดสั้นที่แทงลั่วเยวี่ยอิง” “มือสังหารแบบไหนกันที่จะแทงคนแล้ววิ่งหนีไป มิหนำซ้ำยังโยนอาวุธทิ้งอีกเจ้าค่ะ?” “มีดสั้นเล่มนี้มาจากที่ใดก
ยังมีพยานอีกคนกระนั้นหรือ? วันนี้พยานทุกคนในเรื่องนี้จะตบเท้ามาเยือนถึงประตูเลยหรือไม่? จากนั้นก็มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาในโถงพิจารณาคดีพลางคุกเข่าลง “ใต้เท้า ข้าน้อยหวังเยว่ชิงจากหอฝูเสวี่ยเจ้าค่ะ” “เจ้าจะให้การเช่นใดหรือ?” ใต้เท้าเหอถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา หวังเยว่ชิงตอบว่า “ใต้เท้า ข้าเคยเห็นคนตายทั้งสองคนนั้นเจ้าค่ะ! ข้าเคยเห็นพวกเขาอยู่กับฝูเสวี่ยตรงประตูหลังของหอฝูเสวี่ย แต่ข้าน้อยมิได้ยินว่าพวกเขากล่าวอันใดกันเจ้าค่ะ” เมื่อใต้เท้าเหอกับลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ต่างก็รู้สึกตกตะลึง “เจ้าจดจำใบหน้าสองคนนั้นที่ถูกเผาจนดำเป็นถ่านได้ด้วยหรือ? เจ้าถึงกับปั้นเรื่องโกหกตาใสขึ้นมาหลอกลวงทุกคนราวกับเป็นเด็กสามขวบเชียวหรือ?” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนฉายแววเยียบเย็น หวังเยว่ชิงผู้นี้มาจากหอฝูเสวี่ยจริง ๆ แต่ลั่วชิงยวนเคยพบหน้าอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และไม่คุ้นเคยกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นัก เพิ่งจะได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายก็วันนี้เอง ทว่าหวังเยว่ชิงกลับยืนกรานว่า “ข้างนอกมีป้ายประกาศระบุตัวตนของศพติดอยู่ ข้ามองดูก็จำได้แล้ว! พวกเขาคือทั้งสองคนที่ปรากฏตัวอยู่ตรงประตูหลังของ