ในยามนี้เอง คนของทางการจากด้านในก็หามศพทั้งสองร่างที่คลุมด้วยผ้าขาวออกมา ยามที่ลมพัดตลบ ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นศพไหม้เกรียมที่อยู่ข้างในได้ราง ๆ พวกเขาน่าจะเป็นบุรุษชุดดำทั้งสองคนในห้องที่ฟาดลั่วชิงยวนจนหมดสติไป “โอ้สวรรค์ เรือนของข้ากลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน? สวนเซียงอู๋ของข้า!” น้ำเสียงลนลานและตื่นตระหนกพลันดังขึ้น เมื่อบุรุษแต่งกายภูมิฐานเห็นสภาพน่าอนาถของสวนเซียงอู๋ เขาก็สะดุดล้มลงกับพื้นด้วยท่าทีสิ้นหวังพลางน้ำตาไหลอาบหน้า ผู้คนรอบตัวพยายามปลอบใจเขา “โอ้ เถ้าแก่หลิวช่างโชคร้ายเสียจริง” “เถ้าแก่หลิว เจ้าซ่อมแซมอีกสักหนก็น่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วล่ะ” ลั่วชิงยวนทราบจากบทสนทนาของผู้คนรอบตัวว่า บุรุษผู้นี้คือหลิวซิงเหอผู้เป็นเจ้าของสวนเซียงอู๋นั่นเอง สวนเซียงอู๋แห่งนี้ได้รับการออกแบบจากผู้มากพรสวรรค์ทั้งสิบแปดคนโดยเฉพาะ ทั้งยังใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะแล้วเสร็จ ทัศนียภาพทั้งหมดทั้งน้อยใหญ่ล้วนใส่ใจทุกรายละเอียด สวนเซียงอู๋แห่งนี้เปิดให้ขุนนางชั้นสูงเช่าเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาเกรงว่าคนทั่วไปจะไม่รู้จักวิธีทะนุถนอมมันเอาไว้ ทว่าคราวนี้สวนเซียงอู๋ก็ยังถูกทำลายลง หลิวซิงเ
เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็ตกตะลึง “ลั่วเยวี่ยอิงกระนั้นหรือ?” นางนึกออกแต่เพียงลั่วเยวี่ยอิง เพราะเป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายจะกล่าวโทษนาง ใต้เท้าเหอกล่าวว่า “เจ้าไปถึงที่นั่นก็รู้เอง” เนื่องเป็นเรื่องที่มิใคร่ชาญฉลาดนักที่จะให้คนนอกล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างลั่วชิงยวนกับใต้เท้าเหอ ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงถูกส่งกลับไปที่ศาลาว่าการ ครั้นพวกเขามาถึงศาลาว่าการ ก็มีคนกลุ่มใหญ่มาออกันอยู่ริมถนนแล้ว ก่อให้เกิดความวุ่นวายค่อนข้างมากทีเดียว ลั่วเยวี่ยอิงอยู่ในโถงพิจารณาคดีจริง ๆ นางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับว่าอาจจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อ นางอ่อนแอเสียจนมิกล้าพูดเสียงดัง ทว่าสิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ นอกจากลั่วเยวี่ยอิงแล้วยังมีผู้อื่นอยู่ด้วย นั่นคือลั่วอวิ๋นสี่ ลั่วอวิ๋นสี่ฟื้นแล้วจริง ๆ แต่ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายมืดมนตรงหว่างคิ้วอันคมกริบราวกับมีดที่กำลังลอยอยู่ด้วย ใต้เท้าเหอนั่งลงแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเกรงขาม “ผู้ใดมาร้องเรียนกับทางการ?” สายตาของลั่วชิงยวนเอาแต่จับจ้องมาที่ลั่วเยวี่ยอิง จากนั้นนางก็เห็นลั่วเยวี่ยอิงลุกขึ้นด้วยท่าทียากลำบาก ทว่
นางหันไปมองใต้เท้าเหอแล้วถามว่า “ใต้เท้า สิ่งที่ข้าประสบพบเจอมาในวันนี้ตรงข้ามกับสิ่งที่พวกนางว่ามาโดยสิ้นเชิง” ลั่วชิงยวนจึงเล่าเรื่องนางต้องเผชิญให้ฟัง ลั่วอวิ๋นสี่โมโหเสียจนพูดออกมาว่า “เหลวไหลทั้งเพ! เจ้าบอกว่าลั่วเยวี่ยอิงคิดทำร้ายเจ้า แต่ข้าบังเอิญไปพบเข้า นางก็เลยคิดจะสังหารข้า!” “แต่เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นเจ้า! ข้าจับเจ้าได้คาหนังคาเขาเชียวล่ะ!” ลั่วอวิ๋นสี่เบิกบานใจเสียจนแทบกระโดดโลดเต้นอยู่แล้ว ลั่วชิงยวนหรี่ตามองลั่วอวิ๋นสี่ กลิ่นอายมืดมนตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่ายเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนแววตาก็ขุ่นมัวขึ้นมากทีเดียว ลั่วชิงยวนเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ข้ามีหลักฐานเจ้าค่ะ!” “ลั่วเยวี่ยอิงเชิญข้าไปที่ศาลาตรงท้ายเรือนและมอบขนมร้อยบุปผาที่ใส่ตัวยาแปลกประหลาดลงไป ประกอบกับตัวยาในขนมกุ้ยฮวา ก็ทำให้คนหลับไปได้หลายชั่วยามแล้ว” “ใต้เท้า ท่านเคยตรวจสอบดูหรือไม่!” “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังพบมีดสั้นเล่มนี้ตรงท้ายเรือน สิ่งนี้ชะรอยจักเป็นมีดสั้นที่แทงลั่วเยวี่ยอิง” “มือสังหารแบบไหนกันที่จะแทงคนแล้ววิ่งหนีไป มิหนำซ้ำยังโยนอาวุธทิ้งอีกเจ้าค่ะ?” “มีดสั้นเล่มนี้มาจากที่ใดก
ยังมีพยานอีกคนกระนั้นหรือ? วันนี้พยานทุกคนในเรื่องนี้จะตบเท้ามาเยือนถึงประตูเลยหรือไม่? จากนั้นก็มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาในโถงพิจารณาคดีพลางคุกเข่าลง “ใต้เท้า ข้าน้อยหวังเยว่ชิงจากหอฝูเสวี่ยเจ้าค่ะ” “เจ้าจะให้การเช่นใดหรือ?” ใต้เท้าเหอถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา หวังเยว่ชิงตอบว่า “ใต้เท้า ข้าเคยเห็นคนตายทั้งสองคนนั้นเจ้าค่ะ! ข้าเคยเห็นพวกเขาอยู่กับฝูเสวี่ยตรงประตูหลังของหอฝูเสวี่ย แต่ข้าน้อยมิได้ยินว่าพวกเขากล่าวอันใดกันเจ้าค่ะ” เมื่อใต้เท้าเหอกับลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ต่างก็รู้สึกตกตะลึง “เจ้าจดจำใบหน้าสองคนนั้นที่ถูกเผาจนดำเป็นถ่านได้ด้วยหรือ? เจ้าถึงกับปั้นเรื่องโกหกตาใสขึ้นมาหลอกลวงทุกคนราวกับเป็นเด็กสามขวบเชียวหรือ?” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนฉายแววเยียบเย็น หวังเยว่ชิงผู้นี้มาจากหอฝูเสวี่ยจริง ๆ แต่ลั่วชิงยวนเคยพบหน้าอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และไม่คุ้นเคยกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นัก เพิ่งจะได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายก็วันนี้เอง ทว่าหวังเยว่ชิงกลับยืนกรานว่า “ข้างนอกมีป้ายประกาศระบุตัวตนของศพติดอยู่ ข้ามองดูก็จำได้แล้ว! พวกเขาคือทั้งสองคนที่ปรากฏตัวอยู่ตรงประตูหลังของ
ใต้เท้าเหอตอบว่า “ยืนยันตัวตนของพวกเขาได้มิต้องกังวลไปหรอก แต่ก็ยังคงต้องแกะรอยทุกคนที่มาในวันนี้” ลั่วชิงยวนพยักหน้าและกำลังจะออกไป จู่ ๆ ก็พลันนึกถึงผู้ใดสักคนขึ้นมาได้ “จริงด้วยสิ ท่านลองตรวจสอบหลิวซิงเหอเจ้าของสวนเซียงอู๋ดูสิเจ้าคะ คนผู้นี้มีบางอย่างมิชอบมาพากล!” “แต่หาอย่าได้กระโตกกระตากไป” ใต้เท้าเหอดวงตาเป็นประกาย “เข้าใจแล้ว” ลั่วชิงยวนออกจากคุกแล้วลอบออกทางประตูหลังของจวนใต้เท้าเหอ ค่ำมืดดึกดื่นและถนนก็เงียบสงัดยิ่ง ลั่วชิงยวนลอบเข้าไปในจวนมหาราชครู นับตั้งแต่ท่านมหาราชครูจากไป จวนมหาราชครูก็ร้างไร้ผู้คน ประตูปิดสนิทและบ่าวเฝ้าประตูก็ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว ลั่วชิงยวนมาถึงเรือนชั้นในโดยไร้ซึ่งอุปสรรค เมื่อเห็นนอกห้องยังจุดโคมอยู่ นางจึงลอบเข้ามาใกล้ ๆ เสียงร้องไห้ของลั่วอวิ๋นสี่ดังขึ้นมาจากในห้อง “ท่านแม่! ตอนนั้นท่านลงโทษข้าเพราะลั่วชิงยวนก็แล้วไปเถอะ ทว่ายามนี้เพียงเพราะสตรีจากหอนางโลม ไฉนท่านต้องช่วยนางด้วยเล่า?” “ข้ามิได้ทำอันใดผิด! ในสายตาของท่าน ข้ายังสู้นางคณิกาคนหนึ่งมิได้เชียวหรือ? ไยท่านจึงคิดว่าข้าเจตนาทำร้ายนางเล่า?” “ข้าเป็นบุตรีของท่านนะ ในใจข
ลั่วอวิ๋นสี่ตัวสั่นสะท้านรุนแรงและรู้สึกตกใจสุดขีด เมื่อนางหันกลับไปก็เห็นฝูเสวี่ย แข้งขาของนางพลันอ่อนยวบจนต้องรีบเกาะโต๊ะเอาไว้ “เจ้า!” “เจ้าแหกคุกออกมากระนั้นหรือ?” ท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด ฝูเสวี่ยที่ลอบปรากฏตัวในห้องของนาง และหน้ากากชิ้นนั้นชวนให้ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกมิถูก ลั่วชิงยวนค่อย ๆ เดินเข้ามา จากนั้นลั่วอวิ๋นสี่ก็หวาดกลัวเสียจนถอยหลังอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า “เจ้าคิดจะกระไรกันแน่? อย่าเข้ามานะ! ที่นี่คือจวนมหาราชครู หากเจ้าแน่จริงก็ลงมือสิ...” “อ๊า!” ก่อนที่ลั่วอวิ๋นสี่จะทันได้เอ่ยวาจาข่มขู่ให้จบ ลั่วชิงยวนก็พลันตะปบเข้าที่ลำคอของนาง เรี่ยวแรงช่างมหาศาลเสียจนลั่วอวิ๋นสี่มีเวลาทันให้ได้กรีดร้องเท่านั้นแล้วก็ส่งเสียงไม่ออกอีกต่อไป นางปัดป่ายมือเท้าพลางดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ความหวั่นเกรงต่อความตายพุ่งเข้ากลืนกินตัวนาง ทำเอาลั่วอวิ๋นสี่ถึงกับจิตใจสั่นสะท้าน ลั่วชิงยวนใช้มืออีกข้างคว้าข้อมือของลั่วอวิ๋นสี่เอาไว้ จากนั้นก็สังเกตเห็นรอยเลือดสีแดงสดที่อยู่ข้างในข้อมือของอีกฝ่าย “ลั่วอวิ๋นสี่ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง จงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้
“กินโอสถตามเทียบยาของข้าวันละถ้วยประมาณครึ่งเดือนก็จะขจัดพิษออกจากร่างกายได้” ลั่วอวิ๋นสี่รับเทียบยามาด้วยสีหน้าซีดขาว “เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปรับโอสถ” ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกลังเลใจ เพราะมิทราบว่าควรจะขอบคุณดีหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าการที่ฝูเสวี่ยช่วยเหลือตนจะต้องมีจุดประสงค์เป็นแน่ “มิได้หรอก ให้คนไปรับโอสถมาต้มยาเดี๋ยวนี้เถอะ” ลั่วชิงยวนมีท่าทีแน่วแน่และไม่คิดจะลุกจากไป ลั่วอวิ๋นสี่ลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ออกไปเรียกคน สั่งให้คนไปรับโอสถแล้วต้มยา นับตั้งแต่ต้นจนจบ ลั่วอวิ๋นสี่มิปล่อยให้ผู้ใดมองเห็นลั่วชิงยวนที่กำลังนั่งอยู่ในห้อง ผู้ที่ไปรับโอสถจากไปแล้ว โดยมีลั่วอวิ๋นสี่กับลั่วชิงยวนนั่งอยู่ตรงโต๊ะ ลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้วแล้วเอาแต่นิ่งเงียบ บรรยากาศทวีความกระอักกระอ่วนขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ากลับมิทราบว่าจะเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นจากตรงไหนดี ลั่วชิงยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า “หลังจากกินโอสถถ้วยแรกไปแล้ว คืนนี้ความทรงจำของเจ้าก็จะค่อย ๆ ฟื้นกลับคืนมา แต่อาจยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง” “ลำพังด้วยร่างกายของเจ้า คงต้องใช้เวลาถึงสี่ห้าวันกว่าความทรงจำจะกลับคืนเป็นปกติ” “แต่ข
เมื่อลั่วชิงยวนมองไปที่ประตู นางก็เห็นหลายคนถือโคมไฟเข้ามาในเรือน ดูเหมือนว่าท่านอาลั่วหรงจะมาแล้ว “ข้าต้องไปก่อน! เจ้าจงจดจำคำของข้าไว้ให้มั่น อย่าได้เล่าเรื่องคืนนี้ให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด!” “รวมทั้งมารดาและคนรักของเจ้าด้วย!” “เจ้ามีเจตจำนงสังหารอยู่แล้ว หากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา จะต้องมีคนตายมากกว่าหนึ่งศพ!” ลั่วชิงยวนเห็นมีดดาบเล่มสีดำสนิทตรงหว่างคิ้วของลั่วอวิ๋นสี่ยังคงอยู่ตรงนั้น นี่อาจจะเป็นเคราะห์หนักของลั่วอวิ๋นสี่ก็ได้ หากนางผ่านพ้นไปได้โดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน เช่นนั้นเคราะห์กรรมสลายไป หากนางผ่านพ้นไปมิได้ นางคงได้เดือดร้อนหนักเป็นแน่! ลั่วอวิ๋นสี่หาใช่เพียงผู้เดียวที่ได้รับผลกระทบไม่ ในยามนั้นเอง ลั่วอวิ๋นสี่ก็รู้สึกตะลึงงัน ไฉนวาจาเหล่านี้จึงฟังดูคุ้นหูนัก? ใช่ฟังดูคล้ายกับสิ่งที่ลั่วชิงยวนเคยกล่าวไว้หรือไม่? ฝูเสวี่ยผู้นี้ทำนายดวงชะตาไม่เป็นมิใช่หรือ นางเป็นแค่นางรำจากหอนางโลมเท่านั้น ไฉนนางจึงได้เอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา? “ข้าเข้าใจแล้ว” ลั่วอวิ๋นสี่ตอบพลางขมวดคิ้วแน่น นางมองผู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเคร่งเครียดยิ่ง ราวกับว่านางอยากจะเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากา