“องค์ชาย หม่อมฉันจักพยายามโน้มน้าวแม่นางฝูเสวี่ยอย่างเต็มที่ แต่หม่อมฉันมิสามารถรับประกันได้ว่าแม่นางฝูเสวี่ยจักยอมรับปากเพคะ”ลั่วชิงยวนบังเอิญได้ยินการสนทนาของพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะแอบตกใจ กับเรื่องนี้แล้วฟู่จิ่งหลีนับว่าหน้าใหญ่ใจโตไม่น้อยเลย“องค์ชายฟู่” ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยปากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของนาง ฟู่จิ่งหลีก็เงยหน้าขึ้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นี่ ช่างบังเอิญนัก ท่านเซียนฉู่ก็มาที่นี่เพื่อดื่มด้วยงั้นรึ?”“กระหม่อมมาเพราะมีเรื่องจะถามองค์ชายฟู่พ่ะย่ะค่ะ” ลั่วชิงยวนกล่าวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหลีก็โบกมือและขอให้เหล่าสตรีที่อยู่รอบตัวเขาออกไปก่อนแม่เล้าเฉินเองก็จากไปอย่างรู้งานเช่นกันลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้า และฟู่จิ่งหลีก็รินสุราให้นางหนึ่งแก้ว “ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบกับท่านเซียนฉู่ที่นี่ มาดื่มกันหน่อยเถอะ”ลั่วชิงยวนปฏิเสธ “กระหม่อมดื่มมิเก่ง เพราะฉะนั้นกระหม่อมมิดื่มกับองค์ชายฟู่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมมาที่นี่ครั้งนี้เพื่อถามองค์ชายฟู่ว่า ภาพวาดที่ถูกนำมาประมูลครั้งก่อนนั้นเป็นของสะสมตระกูลองค์ชายฟู่จริงหรือ?”“กระหม่อมได้ยินมาว่าภาพวาดนั้นสร้าง
ผู้มาเยือนคือสตรีในอาภรณ์และผ้าคลุมสีขาว นางดูมีอายุ แต่ชุดของนางบ่งบอกได้ถึงความไม่ธรรมดาและดูสูงส่งราวกับเทพธิดาตรงข้ามกับการแต่งกายของลั่วชิงยวนในขณะนี้อย่างสิ้นเชิงทันใดนั้นเสียงของลิ่นฝูเสวี่ยก็ดังขึ้น “ลี่เซียง!”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย และหลังจากพินิจมองอย่างถ้วนถี่ นางก็เห็นว่าสตรีผู้นี้คือลี่เซียงซึ่งเป็นนายหญิงคนปัจจุบันของหอเจาเซียง เป็นท่านอาฉินจริง ๆ ด้วยทุกคนในที่นี้ถูกท่านอาฉินดึงดูดและแอบซุบซิบกันอย่างไม่รู้ว่านางเป็นผู้ใดมาจากไหนจนกระทั่งร่างที่คุ้นเคยของหลีเถาติดตามนางไปแม่เล้าเฉินสะดุ้งและก้าวไปข้างหน้าทันที “วันนี้ คนจากหอเจาเซียงอย่างเจ้าคิดจักมาก่อปัญหางั้นรึ?”“พวกเจ้าขับไล่แม่นางฝูเสวี่ยผู้นี้มาด้วยตัวเอง ยามนี้เจ้ามายังหอฝูเสวี่ยของข้าเพื่อก่อปัญหา มิคิดว่าผิดจรรยาบรรณไปหน่อยหรือ?”แม่เล้าเฉินหัวเราะเยาะและดูประหลาดใดใบหน้าของท่านอาฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาที่เฉียบคมของนางจ้องมองไปที่อาภรณ์สีแดงเพลิงบนเวทีโดยตรง ก่อนจะเอ่ยย่างเย็นชา “หอฝูเสวี่ยของพวกเจ้านี่มันอะไรกัน? กล้าขโมยชื่ออาจารย์ของข้าไปใช้ วันนี้ข้าย่อมต้องมาเปิดโปงพวกเจ้าอยู่แล้ว!”
คำพูดอันชอบธรรมของท่านอาฉินทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ในเวลานี้ ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เสียงที่ชัดเจนดังขึ้น ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบลงทันที“ข้าชื่อฝูเสวี่ย แต่ข้ามิได้บอกว่าชื่อของข้าคือลิ่นฝูเสวี่ย ในฐานะผู้เป็นนายของหอเจาเซียง ท่านมาร่ายรำเทพเหมันต์ที่หอฝูเสวี่ยของข้า มิทราบว่าจุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกัน?”“อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าทุกคนในหอสมุทรมรกตประสบอุบัติเหตุในปีนั้น และไม่มีผู้ใดรอดแม้แต่คนเดียว จู่ ๆ ศิษย์ของลิ่นฝูเสวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้น ข้าสงสัยยิ่งนักว่าท่านรอดมาได้เช่นไร?”“เหตุใดจึงเร้นกายไปเสียหลายปีเช่นนี้เล่า?”ลั่วชิงยวนถามคาดคั้น ทำให้ใบหน้าของท่านอาฉินซีดลงท่านอาฉินโต้กลับอย่างเย็นชา “ในปีนั้นหอสมุทรมรกตประสบเรื่องราวเช่นที่เจ้าว่าจริง ข้าโชคดีที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้เพียงผู้เดียว มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตสำหรับข้า ข้าจึงเลือกปลีกวิเวกเร้นกายจากสังคม แปลกมากหรือไร?”“ข้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังด้วยรึ?”มุมปากของลั่วชิงยวนยกขึ้นด้วยความสนใจ “โอ้? เพราะความเจ็บปวด ท่านจึงหายตัวไปและกลายเป็นนายหญิงหอเจาเซียงเช่นนั้นรึ?”“ทุกคน
เป็นไปได้อย่างไร?!ใต้หล้านี้ นอกจากลิ่นฝูเสวี่ยแล้วจะยังมีผู้ใดที่สามารถแสดงรำเทพที่สมบูรณ์ได้อีกหรือ?!แม้แต่ตัวนางเองก็ได้เรียนรู้ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!เป็นลิ่นฝูเสวี่ยที่กลับมาจากความตายหรืออย่างไร? เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!การแสดงจบลงแล้วภายในโถงกว้างเงียบราวกับสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นได้เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่จะมีเสียงปรบมือดังกึกก้องดังขึ้นตามมา“งดงามยิ่ง! นี่สิ รำเทพเหมันต์ของจริง!”แม้แต่ฟู่จิ่งหลีก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนอย่างมีความสุขไม่น้อย ก่อนเอ่ยอย่างฝีปากกล้า “แม่นางฝูเสวี่ยเก่งกาจสมคำร่ำลือจริง ๆ! ข้ายังชมการร่ายรำไม่จุใจเลย ข้าจักขอถามแม่นางฝูเสวี่ยว่าจะสามารถร่ายรำอีกสองสามครั้งได้หรือไม่?”“วันนี้ ข้าจะดูแลเรื่องเครื่องดื่มและของว่างทั้งหมดในหอฝูเสวี่ยเอง!”ท่าทางใจป้ำเช่นนี้ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นเร้าใจในหอฝูเสวี่ยแม่เล้าเฉินมีความสุขมาก “เพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยองค์ชายเจ็ดแล้ว!”ฟู่จิ่งหานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในขณะที่เขานั่งอยู่บนที่นั่งของเขา กวักมือเรียกเครื่องเคียงและสุราดี ๆ “องค์ชายเจ็ดผู้นี้เอื้อเฟื้อนัก หากข้าม
ลิ่นฝูเสวี่ยกลับเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “หากวันหนึ่งข้าจากท่านไป ข้าจักไปบอกแม่ในภพชาติใหม่ของท่านว่ามิเสียแรงที่นางคลอดบุตรีอย่างท่านมา!”ได้ยินดังนี้ แววตาของลั่วชิงยวนมืดครึ้มลง “ยายเฒ่าเจ้าเล่ห์!”ลิ่นฝูเสวี่ยเล่าเรื่องท่านแม่ให้นางฟังทุกครั้ง แต่กลับมิเคยพูดจุดสำคัญสักครั้งลั่วชิงยวนรู้ว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะทำเรื่องในใจสำเร็จ ไม่มีทางบอกข่าวใดกับนางแน่แต่นางเองก็ไม่บังคับ เพราะการที่ลิ่นฝูเสวี่ยขึ้นแสดงก็สามารถนำมาซึ่งรายรับด้านการเงินผู้ใดจะคิดว่าเงินมากไปกันวันนี้ฟู่จิ่งหลีเหมาหอ เมื่อได้ยินข่าวนี้ ชาวบ้านต่างมาที่หอฝูเสวี่ยคนในหอฝูเสวี่ยยิ่งอยู่ยิ่งมากเสียงพิณไพเราะดังขึ้น กลีบดอกไม้ค่อย ๆ ร่วงโรย อาภรณ์สีแดงลอยขึ้นจากนั้นสยายลงพื้นดึงดูดสายตาของผู้คนในทันทีภายในหอเงียบลงทันใด เชยชมการร่ายรำงดงามนี้กันอย่างสงบฟู่จิ่งหานมองอย่างหลงใหล และดื่มด่ำกับการเต้นรำกระทั่งฟู่เฉินหวนยังถูกร่างนั้นดึงดูด ละสายตาออกมิได้แม้แต่นิดโดยเฉพาะสายตาของนาง บางครั้งก็ยั่วยวน บางครั้งก็เฉียบคม ราวกับมีสองคนในหนึ่งร่างลึกลับเสียจนทำผู้คนอยากเปิดหน้ากากนางออก เพื่อชมโฉมจริงลั่วชิงยวนร
วินาทีนั้นสีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปเช่นกันเขาจับข้อมือของนางไว้อย่างแรง และใช้แขนโอบเอวของนางไว้ลั้วชิงยวนรู้สึกเพียงขาของนางลอยขึ้น และเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคงนางชะงัก เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าจู่ ๆ หัวใจนางก็เต้นถี่ระรัวขึ้นฟู่เฉินหวนเองก็มองตาของนาง วินาทีนั้นเขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกคุ้นเคย คุ้นเคยมากเกินไปลั่วชิงยวนรีบสลัดมือของเขาออก “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชาย”ฟู่เฉินหวนได้สติ มุมปากของเขากระตุกเป็นรอยยิ้ม “แม่นางฝูเสวี่ยไยต้องเกรงใจ เราก็มิได้เจอกันครั้งแรกเสียหน่อย”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยตอบ ฟู่เฉินหวนเข้าใกล้นาง ต้องมีสาเหตุแน่ ๆ นางคิดไม่ออก ไฉนมิว่านางจะทำสิ่งใด ต่างต้องเกี่ยวโยงกับฟู่เฉินหวน“แม่นางฝูเสวี่ยกำลัง…”สายตาของฟู่เฉินหวนตกลงบนมีดสั้นในมือนางลั่วชิงยวนหันหน้ามองบุรุษอีกด้านด้วยสายตาดุดัน “ไสหัวออกไป!”บุรุษเผยยิ้ม “เข้าใจผิด ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด อย่าจริงจังเสียเลยแม่นางฝูเสวี่ย”ลั่วชิงยวนยังมิทันเอ่ยปากร่างที่อยู่ข้างกายกลับเดินขึ้นหน้าก้าวยาว จากนั้นเขาจับคอเสื้อของบุรุษผู้นั้นและเตะออกนอกห้องในทันทีตามด้วยเสียงตู้ม บุ
ซิ่งอวี่ปิดประตูห้อง หวีผมให้นางลั่วชิงยวนจึงเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักใต้เท้าหลิวหรือไม่?”ซิ่งอวี่เอ่ยตอบ “เขาเป็นโรคจิตชื่อดังของหอนางโลมเลยเจ้าค่ะ แม่นางที่เขาเคยได้เขามิเอาเป็นรอบที่สอง เพื่อสนองความอยากรู้ก็เท่านั้น”“ฮูหยินตระกูลเขาเข้มงวดมาก เขาจึงปรากฏในหอนางโลมมิบ่อยนัก ส่วนมากจะแอบติดต่อให้แม่เล้าส่งนางโลมไปให้ที่จวนเขา”“อีกอย่างเขาเรื่องมากนักหนา ที่ขอไปมีแต่หน้าตาชั้นยอด”ลั่วชิงยวนได้ยินจึงเอ่ยถามอีก “เขาเป็นข้าหลวงใดหรือ”ซิ่งอวี่ไตร่ตรองและเอ่ยตอบ “เหมือนจะทำงานในกรมพระคลัง ตำแหน่งมิสูง แต่เหมือนเบื้องหลังเขาจักมิธรรมดา”“ข้าหลวงหลายท่านที่ตำแหน่งสูงกว่าเขายังเคารพเขาเลย”ลั่วชิงยวนพยักหน้าอย่างไตร่ตรอง“จริงด้วย ฟู่จิ่งหลียังอยู่ไหม?”“อยู่เจ้าค่ะ องค์ชายเจ็ดช่างใจป้ำนัก แค่เงินตกรางวัลก็ให้มาหลายร้อยตำลึงแล้ว”“หากเขามาบ่อยกว่านี้ล่ะก็ หอฝูเสวี่ยเราคงรุ่งโรจน์ขึ้นทุกวันเป็นแน่!”ซิ่งอวี่ดีใจเป็นที่สุด จนแทบอยากจะบูชาเทพแห่งโชคลาภท่านนี้ไว้ในกำมือเมื่อลั่วชิงยวนเปลี่ยนชุดเสร็จนางก็จากไปทางเรือนหลัง และอ้อมมาทางด้านหน้าอีกครั้ง เพื่อใช้ตัวตนของฉู่ลั่วเข้าหอฝูเส
ฟู่จิ่งหลียกจอกเหล้าขึ้น คำนับฟู่เฉินหวนลั่วชิงยวนหันหน้าไปหาฟู่เฉินหวน ดูการตอบสนองของเขาหลังจากรู้เรื่องนี้ฟู่เฉินหวนตะลึงไปครู่หนึ่งจริง ๆ แต่เขาก็ยังยกจอกดื่มกับฟู่จิ่งหลีด้วยสีหน้าเฉยเมย“มิเป็นไร เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว”ในใจลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุดอย่างที่คิดฟู่เฉินหวนมิสนใจว่าภาพนั้นมันจริงหรือปลอม เขาเพียงแค่อยากใช้สิ่งนี้ข่มขู่มิให้นางไปช่วยลั่วไห่ผิงทั้งหมดนี้เป็นเพียงวิธีของเขาท่านอ๋องสำเร็จราชการแห่งแคว้นเทียนเชวีย นางสู้มิไหวจริง ๆ “แม่นางฝูเสวี่ยเล่า?” ฟู่เฉินหวนเงยหน้ามองดูทีหนึ่งฟู่จิ่งหลีและฟู่จิ่งหานเองก็มองตามเช่นกันฟู่จิ่งหลียกจอกเหล้าขึ้นพร้อมเอ่ยพูดช้า ๆ “นางคงจะไปแล้ว ร่ายรำมาทั้งวันคงเหนื่อยล้าน่าดู”ฟู่จิ่งหานยิ้มแซว “ไหนว่าเสด็จพี่สามมิสนใจเสน่ห์หญิงไง? เหตุใดจึงหลงแม่นางฝูเสวี่ยเสียแล้ว?”“ข้าบอกแล้วว่าเสด็จพี่น่ะสนใจ เสด็จพี่ยังมิยอมรับอีก!”ฟู่จิ่งหานอยากให้ฟู่เฉินหวนสนใจเสียเหลือเกิน เช่นนี้เสด็จพี่สามจักได้ออกวังเป็นเพื่อนเขาบ่อย ๆ ได้ยินถึงตรงนี้ ฟู่จิ่งหลียักคิ้วพร้อมเอ่ยถาม “หรือว่าเสด็จพี่สามสนใจจริงน่ะ? ข้าช่วยเสด็จพี
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั
“ดังนั้น...”“เรื่องเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งหรือสองครั้ง”“นักบวชระดับสูงไว้วางใจนาง ข้าก็ทำได้เพียงทนรับมือ เมื่อก่อนยังพอขัดขืนได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็เลิกขัดขืนเพราะเสียแรงเปล่า”น้ำเสียงของอวี๋โหรวราบเรียบ ทว่าลั่วชิงยวนได้ฟังแล้วกลับรู้สึกหดหู่ใจ“เป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือ? กี่ปีแล้ว?”หรือว่าในตอนที่นางยังอยู่ อวี๋โหรวต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องเหล่านี้?อวี๋โหรวกลับส่ายหน้า “ข้าก็จำมิได้แล้วว่ากี่ปี”“อาจารย์ของข้าจากไปเสียนานแล้ว ไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือข้า”“ดังนั้นข้าจึงต้องใช้บัวถวายรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด เพียงแต่ช่วงนี้หาซื้อมิได้แล้ว ข้าจึงเหลือเพียงดอกสุดท้าย”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกปวดร้าวใจหลายปีมานี้ นางมิเคยสังเกตเห็นความทุกข์ทรมานของอวี๋โหรวเลยเพราะอวี๋โหรวมิเคยปริปากบอกผู้ใด ในสถานที่ที่คนอ่อนแอต้องพ่ายแพ้แก่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะรู้ดีว่าบอกผู้ใดไปก็ไร้ประโยชน์หลายปีมานี้นางอดทนมาได้อย่างไรก็มิอาจรู้ได้“จั๋วฉ่างตงบาดเจ็บอยู่แท้ ๆ ยังอุตส่าห์มาหาเรื่องเจ้าอีก ข้าว่านางคงเบื่อหน่ายการมีชีวิตเต็มทีแล้ว”แววตาของลั่
ชายหลายคนก้าวเข้ามารุมทำร้ายอวี๋โหรวในทันทีจั๋วฉ่างตงเปิดกล่องใบหนึ่งออก หมอกดำทมิฬพลันลอยออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้ายังกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของลั่วชิงยวนอีก เห็นทีจะยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ข้าคงทรมานเจ้ายังมิพอ”“วันนี้เจ้าจงลิ้มรสภูตผีร้ายแห่งหุบเขาฝังศพให้สาสม”จั๋วฉ่างตงใช้ยันต์แผ่นหนึ่งควบคุมหมอกดำทมิฬให้รวมตัวกันกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าโจมตีอวี๋โหรวอย่างรุนแรงอวี๋โหรวกำลังต้านทานการโจมตีของบุรุษเหล่านั้นอยู่ในชั่วขณะต่อมา หมอกดำทมิฬก็พุ่งเข้าใส่ กระแทกเข้าที่ท้องของนางราวกับจะฉีกร่างนางออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นปราดเข้าจู่โจมหมอกดำทมิฬนั้นทะลุผ่านร่างของนางไปอวี๋โหรวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บปวดจนร่างกายสั่นเทา มิอาจลุกขึ้นได้บุรุษเหล่านั้นจับแขนของนางแล้วกระชากให้นางลุกขึ้นหมอกดำทมิฬนั้นพุ่งเข้ากระแทกท้องของนางอีกครั้ง แล้วทะลุผ่านไปอย่างรุนแรงอวัยวะภายในสั่นสะท้านก่อให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง ทำให้อวี๋โหรวสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดนางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้เลยเป็นเช่นนี้ซ้
นางมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมิพอใจนางเป็นถึงองค์หญิง ความรักของนางนั้นสูงส่งยิ่งนัก เฉินชีควรจะคุกเข่ารับมันไว้ แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธนางอย่างเย็นชา! มิหนำซ้ำยังทำให้นางอับอายขายหน้าอีกด้วย!นางมิพอใจและมิเต็มใจอย่างยิ่งเฉินชียิ่งเป็นแบบนี้ นางก็ยิ่งอยากเอาชนะเขาให้ได้!เฉินชีมองนางด้วยความประหลาดใจ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจแต่เขาก็ยังคงแย่งกระบี่ในมือเกาเหมียวเหมี่ยวมา แล้วกดศีรษะของนางลง ก่อนจะจุมพิตลงบนริมฝีปากของนางอย่างมิลังเลหัวใจของเกาเหมียวเหมี่ยวเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมาจากอกของนางจูบของเฉินชีนั้นเร่าร้อนและรุนแรงอย่างมิอาจต้านทานได้เกาเหมียวเหมี่ยวถูกจูบจนหมดแรง แทบจะทรุดตัวลงแต่ในขณะที่นางคิดว่าเฉินชีจะทำอะไรต่อไป เฉินชีกลับผลักนางออกอย่างแรงไร้ซึ่งความปรานีก่อนเดินจากไปอย่างสง่างามโดยมิแม้แต่จะหันมามองนางด้วยซ้ำเกาเหมียวเหมี่ยวล้มลงนั่งกับพื้นพลางมองแผ่นหลังของเฉินชีด้วยความตกตะลึงเสียงเย็นชาของเฉินชีดังขึ้นว่า “สิ่งที่ท่านให้ข้าทำ ข้าทำแล้ว เรื่องนี้จบแค่นี้”“หากท่านยังคงใช้เรื่องนี้มาขู่ข้าอีก ข้าจะมิเกรงใจท่านแน่”เฉินชีเดิ
ลั่วชิงยวนมองอวี๋โหรวด้วยความประหลาดใจ อวี๋โหรวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คราวก่อนเจ้ามิได้ถามข้าหรอกหรือว่ามีสิ่งนี้หรือไม่ นี่เป็นดอกสุดท้ายที่ข้าเหลืออยู่”“คราวนี้เจ้าถูกฮองเฮาทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ข้าคิดว่าเจ้าย่อมต้องการสิ่งนี้เป็นแน่ จึงได้นำมาให้”ลั่วชิงยวนได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก นางมิคาดคิดว่าอวี๋โหรวจะมอบสิ่งนี้แก่นางด้วยว่ายามนี้ ต่อให้หาทั่วทั้งเมืองหลวงก็หาสิ่งนี้มิได้แล้ว“ขอบคุณ” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างซาบซึ้งใจยามนี้นางต้องการสิ่งนี้ยิ่งนัก“มิต้องเกรงใจ” อวี๋โหรวแย้มยิ้มจากนั้นทั้งสองก็เข้าวังไปด้วยกัน กลับไปยังที่พำนักของสำนักนักบวชของพวกนางการใช้บัวถวายนั้นจำต้องใช้สมุนไพรอื่นร่วมด้วย อวี๋โหรวจึงไปยังคลังโอสถเพื่อนำสมุนไพรมามากมายลั่วชิงยวนจึงก่อไฟต้มยาในลานหลังจากกินยาเข้าไป ลั่วชิงยวนก็รู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างสิ่งนี้มีสรรพคุณหลักในการรักษาบาดแผลภายในและฟื้นฟูลมปราณ แต่เมื่อบาดแผลภายในหายดีแล้วย่อมส่งผลดีต่อบาดแผลภายนอกด้วยเช่นกันอวี๋โหรวเห็นว่าหลังจากนางกินยาแล้วสีหน้าของนางก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ดูเหมือนว่ายานี้จะได้ผลดีกับเจ้าย
นางจ้องมองไปยังเฉินชีพลางเอ่ยว่า “โอสถนี้ก็แค่บำรุงรักษาร่างกายทั่วไป มิได้มีผลอะไรต่อข้าในยามนี้”เฉินชีกลับกล่าวตอบ “ร่างกายของเจ้าในยามนี้มิอาจกินยาแรงได้ ตำรับยานี้สามารถรักษาบาดแผลภายนอกของเจ้าได้”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมุ่นมองเขา “แต่ยามนี้ข้าต้องการโอสถรักษาบาดแผลภายใน”“โอสถของเจ้าเพียงรักษาที่ปลายเหตุ มิได้รักษาที่ต้นเหตุ!” เฉินชียังคงยืนกรานในความคิดของตน “วางใจเถิดอาเหลา โอสถที่ข้าให้เจ้ากินนั้นย่อมเหมาะสมแก่เจ้าที่สุด”“เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้ายังต้องเข้าวังไปอีกครั้ง”“เรื่องของเกาเหมียวเหมี่ยวยังมิได้สะสาง”“เจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเจ้าหรอก”กล่าวจบ เฉินชีก็จากไปอีกทั้งยังจัดแจงให้คนมาส่งโอสถแก่ลั่วชิงยวนด้วยลั่วชิงยวนพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนของเฉินชีสองวันแล้ว ทุกวันจะมีนางรับใช้มาเปลี่ยนผ้าพันแผลและเสื้อผ้าให้ตรงเวลาโอสถที่นำมาให้ก็ล้วนเป็นไปตามตำรับของเฉินชีทว่าลั่วชิงยวนรู้ซึ้งถึงอาการของตนดีว่า ร่างกายของตนนั้นจำต้องได้รับการรักษาด้วยโอสถใดตำรับยาของเฉินชีนั้นเป็นเพียงยาบำรุงร่างกายและให้สารอาหารแก่ร่างกายนี้ แต่การบำรุงเพียงอย่างเดีย
ขณะพูด เฉินชีก็รีบหยิบขวดโอสถขวดหนึ่งออกมา พลางเทโอสถลูกกลอนหนึ่งเม็ดส่งให้ลั่วชิงยวนกินมันสามารถปกป้องหัวใจของนางได้รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เร่งมุ่งหน้าไปยังจวนของเฉินซีอย่างรวดเร็วหลานจีได้ยินเสียงจึงเดินมาที่ลาน นางสงสัยมากว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องรีบร้อนออกไปอย่างกะทันหันทว่านางกลับเห็นเฉินชีลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มลั่วชิงยวนที่ได้รับบาดเจ็บ“ท่านแม่ทัพ… นางคือ...” หลานจีรีบสาวเท้าเข้ามาแต่นางกลับถูกเฉินชีผลักออกไปอย่างไร้ความเมตตา “อย่ามาขวางข้า!”หลานจีต้องถอยหลังไปสองก้าวถึงจะทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สติ เฉินชีก็เดินไปไกลพร้อมกับสตรีในอ้อมแขนแล้วหลานจีตกตะลึงเหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องเป็นห่วงสตรีนางนั้นถึงเพียงนี้?นางเป็นใครกัน?หลานจีเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างกะทันหันนางตามไปดูด้วยความมิพอใจเฉินชีอุ้มลั่วชิงยวนเข้ามาที่ห้องของตน เขาวางนางลงบนเตียงแล้วเรียกนางรับใช้มาเปลี่ยนอาภรณ์ให้ลั่วชิงยวนนางรับใช้พากันสาละวนเข้า ๆ ออก ๆ เรือนกันยกใหญ่ยามนี้หลั่วชิงยวนหลับไปแล้วจากนั้นเฉินชีก็ออกจากห้องไป และมิรู้ว่าเขาไปที่ใดหลังจากที่นางรับใช้เปลี่ยนอา
"ตอนนี้มิว่าท่านจะตรัสอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”“ไม่มีใครสนใจหรอกเพคะ”ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา สีหน้าของฉินอี้และฮองเฮาเกาก็เปลี่ยนไปฮองเฮาเกาจ้องนางด้วยสายตาดุร้ายนางยิ้มเยาะ “ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากแล้วรึ? อย่าลืมที่ข้าพูดไว้สิว่า หากเจ้าพูดข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย!”จากนั้นนางก็ส่งสายตาเป็นนัยให้องครักษ์องครักษ์สองคนก้าวไปข้างหน้า คนหนึ่งจับไหล่ของลั่วชิงยวน อีกคนหยิบมีดขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมลงมือฉินอี้ตกใจและครุ่นคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรดีลั่วชิงยวนยังมิยอมแพ้ รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นบนใบหน้าของนาง “องค์ชายใหญ่ทรงเคยคิดหรือไม่เพคะว่าเหตุใดวรยุทธ์ของท่านถึงหยุดนิ่งมิพัฒนาไปไหน?”“เหตุใดถึงเรียนรู้ได้ช้า แม้จะทุ่มเทความพยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า แต่ก็ยังมิสามารถเรียนรู้ได้เท่ากับที่คนอื่นทำได้”“นั่นมีเหตุผลอยู่เพคะ”“ที่จริงแล้ว ทั้งหมดมิใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ธรรมดาเพคะ”“แต่มีพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า…”เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ฉินอี้ก็ตกใจเป็นอย่างมากฮองเฮาเการีบกระชับเสื้อของนางด้วยความกังวล สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะพูดออกมาน
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้หลุดออกมาร่างกายของฟู่เฉินหวนก็แข็งทื่อดวงตาของฉินอี้เต็มไปด้วยความคาดหวังอันร้อนแรงตั้งแต่เล็กจนโต แม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ก็มีเพียงมิกี่คนที่ให้ความเคารพเขาแม้กระทั่งน้องสาวของเขาเองก็มักจะลงมือทำร้ายเขาบ่อย ๆ โดยมิไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อยส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออ๋องผู้เป็นเทพสงครามเทพแห่งแคว้นเทียนเชวียและผู้สำเร็จราชการผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเขาจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นฟู่เฉินหวนคุกเข่าด้วยความเคารพฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จริงเขาสามารถเจรจากับฉินอี้ได้ และมีเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ทว่าการเจรจาต้องอาศัยยุทธวิธีและที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมีจิตใจที่สงบมั่นคงแต่ในเวลานี้ ฟู่เฉินหวนมิสามารถทำเช่นนั้นได้เขาแทบจะรอมิไหวแล้วดวงตาของเขาขรึมลง พลางยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงเสียงดังตึงเมื่อเข่ากระทบพื้นนั้นเจือไปด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้ม แต่เป็นเสียงที่ฉินอี้ฟังแล้วรู้สึกสบายหูเป็นอย่างยิ่งมิอาจปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขาพอใจอย่างถึงที่สุดนี่เป็นความรู้สึกที่เขาพยายามเสาะหามาตลอดหลายปีแต่ก็มิเคยได้มันมาโดยเฉพา