นางปรุงยามาทา บรรเทาอาการคันไปได้เล็กน้อยจู่ ๆ ได้ยินเสียงเคาะประตูจากนอกเรือน ลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อย นางรีบใส่เสื้อให้เรียบร้อยเมื่อจือเฉาไปเปิดประตูเรือนนางเอ่ยขึ้นอย่างตะลึง “ท่านอ๋อง!”ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัวนางนั่งหันหลังให้ทางประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นนั้นส่งมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าเจือจาง“บาดแผลของเจ้าหายดีหรือยัง?” เบื้องหลังมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นลั่วชิงยวนรู้สึกถึงความห่วงใยจากในน้ำเสียงของเขา“ขอบคุณท่านที่ยังอุตส่าห์จดจำบาดแผลหม่อมฉัน หากท่านอ๋องมิหาเรื่อง บาดแผลของหม่อมฉันย่อมฟื้นฟู” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนมิพอใจฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วรู้ทั้งรู้ว่านางมักพูดจาเหน็บแนม แต่เขาเองก็มิรู้ว่าเหตุไฉนต้องมาหานาง!คิดถึงครั้งนี้ที่เขาเป็นฝ่ายเข้าใจนางผิดจริง ๆ หนำซ้ำยังข่มขู่ให้นางรักษาลั่วไห่ผิงอีก ในใจนางย่อมรู้กริ้วโกรธเป็นธรรมดา จึงมิได้ถือสากับนางเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “วันพรุ่งข้าให้หมอกู้มาจับชีพจรให้เจ้า”ทันทีที่สิ้นเสียง ลั่วชิงยวนหันไปพูดกับเขาด้วยคำพูดคมคาย “ท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันตายช้าไปงั้นหรือ?”ประโยคนี้ทำฟู่เฉินหวนเกิดโทสะ
“สิ่งนี้คือกระไร?”ซ่งเชียนฉู่ให้บ่าวยกเข้ามาในเรือน “ระวังหน่อย อย่าชนล่ะ”นางไปลองเทียบกับประตู พบว่าใส่ไม่เข้า นางจึงเอ่ยสั่ง “ถอดประตูทิ้งเสีย”ลั่วชิงยวนตะลึง “นี่เจ้า…”ซ่งเชียนฉู่ตบปลอบที่บ่านาง ให้นางมิต้องรีบร้อนจากนั้น พวกเขาก็ถอดประตูทิ้งจริง ๆ พวกเขายกถังไม้ยักษ์นั้นเข้าไปในห้อง และหาคนมาติดประตูกลับเช่นเดิมในห้องของลั่วชิงยวนจึงมีถังไม้ยักษ์เข้ามาเพิ่ม“เอาไว้ทำกระไรกัน? อาบหรือ? ต้องใช้ใหญ่เช่นนี้เชียว?” เมื่อบ่าวจากไปหมด ลั่วชิงยวนจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยซ่งเชียนฉู่ให้จือเฉาไปเฝ้าไว้ที่หน้าห้อง นางค่อยควงลั่วชิงยวนพร้อมกล่าว “ให้ท่านแช่ยาสมุนไพร”“อากาศร้อนเช่นนี้ อย่างไรท่านก็ต้องผอม มิสามารถใส่หนาเช่นนี้ไปได้ตลอด หากอากาศร้อนอบอ้าวจะทำเช่นไร?”“ท่านอ๋องเชิญข้าให้มารักษาโรคให้ท่านพอดี ข้าจึงใช้โอกาสนี้ ให้ท่านค่อย ๆ ผอมลง”“อีกอย่างท่านวางใจเถอะ สมุนไพรที่ข้าใช้ให้ท่านต้องเป็นยาสมุนไพรที่ดีที่สุดแน่ ดีต่อร่างกายของท่าน”“แต่ว่า สมุนไพรของเจ้าพอหรือ?”อาบยาสมุนไพรอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน สมุนไพรคงมิพอสำหรับการสิ้นเปลืองเช่นนี้“มิต้องห่วง ข้าส่งจดห
ลั่วชิงยวนเดินไปดูที่ริมทางเดิน พบว่าใต้เวทีกลมนั้นเต็มไปด้วยหีบไม้ซึ่งจัดวางกันไว้อย่างเป็นระเบียบฟู่จิ่งหลีไขว้ขาพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เห็นนางที่ทิศไกล เขาจึงยักคิ้วและยิ้มเอ่ย “ในที่สุดก็รอจนแม่นางฝูเสวี่ยมาเสียที”“เหล่านี้ เป็นของกำนัลที่ข้าเตรียมไว้ให้กับแม่นาง มิรู้ว่าแม่นางชอบหรือไม่”เพิ่งสิ้นเสียง กล่องหีบก็ถูกเปิดออกอย่างพร้อมเพรียงแสงทองแสบตาประกายจ้าแวววับเสียจนผู้คนต่างพากันหลับตาทองหมดเลย!รอบด้านกระหน่ำไปด้วยเสียงตะลึง พวกเขาต่างตกใจเป็นอย่างยิ่งเสียงของฟู่จิ่งหลีดังขึ้น “นี่คือเครื่องประดับทองหมื่นชิ้นที่ข้าหล่อหลอมเพื่อแม่นางฝูเสวี่ย”“มิทราบว่าแม่นางฝูเสวี่ยชอบสิ่งใด แต่มิว่าใบไม้บุปผาหรือนกปลาหงส์มังกร ข้าต่างหลอมไว้หมดแล้ว เชื่อว่าในเครื่องประดับหมื่นชิ้น ต้องมีสักชิ้นถูกใจแม่นาง”ในใจลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากเครื่องประดับทองหมื่นชิ้น!ใจป้ำสุด ๆ!หากพูดให้น่าฟังก็คือใจกว้างแต่พูดให้มิน่าฟังก็คือลูกล้างผลาญนางสงสัยมากจริง ๆ สรุปว่าตาของฟู่จิ่งหลีทิ้งทรัพย์สินไว้ให้เขาเท่าใดกันแน่ เขาจึงใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้อย่างไร้กังวลเช่นนี้“
ลั่วชิงยวนตะลึง นางควบรถม้ามุ่งไปที่นั่นทันทีแต่เมื่อถึงทางเลี้ยว มิรู้ทำไมด้านหน้าจึงกองไปด้วยสิ่งของ รถม้าผ่านไปมิได้ ลั่วชิงยวนจึงได้แต่หยุดรถม้าลงในทันทีนางพุ่งตัวเข้าไปในตรอกเบื้องหน้าอย่างรีบร้อนบนพื้น สตรีผู้นั้นอาภรณ์หลุดลุ่ย บุรุษเหล่านั้นเห็นลั่วชิงยวน จึงหยุดมือลง“หึ มาแล้วหรือ” บุรุษผู้นั้นส่งเสียงหึเย็น ๆ และลุกขึ้นยืนบัดนี้ บนหลังคาทั้งสองฝั่งของตรอกปรากฏคนชุดดำหลายสิบคน ล้อมลั่วชิงยวนไว้อย่างมิดชิดสตรีที่ร้องขอความช่วยเหลือกลับลุกขึ้นยืน บุรุษด้านข้างยื่นถึงเงินให้นาง นางจึงถือเงินและวิ่งหนีไปลั่วชิงยวนขมวดคิ้วอย่างอดมิได้ นี่คือขุดหลุมล่อให้นางเข้ามาสินะ“ผู้ใดส่งพวกเจ้ามากัน” ลั่วชิงยวนเอ่ยถามเสียงเย็นเพิ่งสิ้นเสียง เบื้องหน้าก็มีเสียงหัวเราะส่งมา“ฮ่า ๆ ๆ แม่นางฝูเสวี่ย มิได้เจอกันนาน”บุรุษผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างเชื่องช้าคิ้วของลั่วชิงยวนขมวดแน่น นี่มันใต้เท้าหลิวที่แอบเข้าห้องนางเมื่อครั้งที่แล้วมิใช่หรือ“ใต้เท้าหลิว กลางวันแสก ๆ ท่านคิดจะทำสิ่งใดกัน? มิเห็นกฎหมายทางการอยู่ในสายตาหรือไร?”ใต้เท้าหลิวไขว้มือไว้ด้านหลัง และเดินออกมาอย่างเชื่องช้
“แม่นางฝูเสวี่ยเป็นสหายขององค์ชายเจ็ด และเป็นสหายของข้าเช่นกัน หวังว่าใต้เท้าหลิวจักให้เกียรตินาง”แม้ประโยคของฟู่เฉินหวนจะง่าย แต่สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยไอสังหารคมคายนี่ทำให้หัวใจของใต้เท้าหลิวสั่นคลอน เขามิกล้าพูดสิ่งใดต่อฟู่เฉินหวนหันร่างจากไปใต้เท้าหลิวกัดฟัน ไฟโทสะในใจยากที่จะดับ อุตส่าห์จะได้มือแล้วเชียว!ผู้รับใช้ด้านหลังวิ่งขึ้นหน้า “ใต้เท้าหลิวสำเร็จยังหรือขอรับ? นายท่านส่งข้าน้อยมาตรวจสอบ”“ถูกอ๋องสำเร็จราชการทำลายแผน นางหนีไปแล้ว!”“บอกนายท่านเจ้า ข้าเสี่ยงดวงที่จะหาเรื่องท่านอ๋องสำเร็จราชการและองค์ชายเจ็ด ข้ามิได้จักเอาเพียงคน เงินก็ต้องเพิ่มให้ข้าห้าเท่า!”ใต้เท้าหลิวคิดถึงร่างชดช้อยของฝูเสวี่ย ในใจก็คันยุบยิบต่อให้เสี่ยงที่จะหาเรื่องผู้อื่น เขาก็ต้องชิงฝูเสวี่ยมาให้ได้!ผู้รับใช้ตอบด้วยรอยยิ้ม “นายท่านกล่าว สามารถเพิ่มให้ท่านสิบเท่า! เพียงแต่หวังว่าท่านกล้าเผชิญปัญหา และมิย่อท้อง่าย ๆ”ใต้เท้าหลิวหัวเราะเย็นทีหนึ่ง “มิต้องห่วง ข้าจักจับตัวนางมาให้ได้!”หลังลั่วชิงยวนหนีไปด้วยวิชาตัวเบา นางจ้างรถม้าอีกคัน แอบเข้าไปเปลี่ยนชุดในหอ และกลับตำหนักเงียบ ๆ หลั
นางรีบจับอาภรณ์บนราวมาคลุมก่อนที่ร่างเย็นนั้นจะเดินถึงหน้าฉากกั้น ลั่วชิงยวนหยิบหน้ากากขึ้นมาปิดหน้าของตนไว้ด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดพวกเขาสบตากัน ภายใต้ไอร้อนอบอวล นางถือหน้ากากบังหน้าไว้ อาภรณ์ถูกน้ำซึมจนเปียกชื้น แนบสนิทกับร่างนาง เผยให้เห็นร่างอรชรสายตาลึกซึ้งของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความตะลึง และยืนนิ่งตรงข้ามนางเช่นนี้เมื่อลั่วชิงยวนได้สติ นางผูกหน้ากาก หยิบชุดคลุมและจะหนีออกไปด้านนอกแต่กลับถูกฟู่เฉินหวนจับข้อมือไว้ และกระชากนางกลับมาทันใดลั่วชิวยวนเซถอยหลัง ล้มลงในอ้อมอกของเขาอย่างแรง“เจ้าเป็นใคร?” เสียงของฟู่เฉินหวนแหบพร่าเล็กน้อย ข่มความตกใจแรงกล้าในใจไว้กลิ่นสมุนไพรนี้ เหมือนกันกลิ่นของลิ่นฝูเสวี่ยวันนี้ไม่มีผิด!ลั่วชิงยวนมิตอบ นางเหยียบไปที่เท้าของเขาอย่างแรง คิดจะหักร่างหลบแต่ท่าทีของฟู่เฉินหวนกลับว่องไวเป็นอย่างมาก ควบคุมนางไว้ได้ในไม่กี่ท่วงท่า แขนของเขาตรึงนางไว้ในอ้อมกอด ยื่นมือเพื่อจะถอดหน้ากากของนางทิ้งวินาทีนั้นหัวใจของลั่วชิงยวนบีบรัด และรีบเอ่ยปาก “อย่ามาแตะ!”“ลั่วชิวยวน! เจ้าจริงด้วย!” ฟู่เฉินหวนตะลึง มองนางอย่างมิอยากจะเชื่อ หว่างคิ้วเขามีไอ
นางเงยหน้ามองเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าว “สตรีต่ำช้าอย่างหม่อมฉันหาได้คู่ควรกับท่านอ๋องไม่! ไฉนท่านอ๋องจึงไม่หย่ากับหม่อมฉันเล่า?!” “เจ้า!” ฟู่เฉินหวนโกรธจัด ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยแววหนาวเหน็บเย็นชา ลั่วชิงยวนมิได้แปลกใจที่ฟู่เฉินหวนจะเดือดดาลถึงเพียงนั้น อ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นสถานะอันสูงศักดิ์ นางจะไปสถานที่อย่างหอนางโลมเพื่อร่ายรำ แล้วทำให้ตนต้องชื่อเสียงมัวหมองได้อย่างไรกัน? นางรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ขืนนางไปร่ายรำที่หอนางโลม หากมีผู้ใดพบเข้าก็จะเป็นความผิดร้ายแรง แต่เพื่อให้ได้เงื่อนงำเกี่ยวกับมารดาของตนจากลิ่นฝูเสวี่ย นางจึงไม่มีทางเลือก นางไม่คาดคิดเลยว่า ฟู่เฉินหวนจะจับได้เร็วถึงขนาดนั้น “ท่านอ๋องมิจำเป็นต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเพคะ ต่อให้ท่านหย่ากับหม่อมฉันแล้วอภิเษกสมรสกับลั่วเยวี่ยอิง พ่อตาของท่านก็ยังเป็นลั่วไห่ผิง หามีอันใดเปลี่ยนแปลงแต่ไม่” น้ำเสียงเรียบนิ่งของลั่วชิงยวนฉายแววเยียบเย็น “อย่างไรเสีย หม่อมฉันก็จะร่ายรำเช่นนี้ต่อไป ถ้าหากท่านอ๋องคิดจะป่าวประกาศออกไป ท่านก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของตนเองด้วยเพคะ” นางมองฟู่เฉินหวนด้วยท่าทีสงบนิ่ง วาจาของนาง
รอยยิ้มหยันผุดขึ้นตรงมุมปาก จากนั้นนางก็เงยหน้ามองฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋องเอาแต่กล่าวโทษว่าหม่อมฉันทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เช่นนั้นในฐานที่เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว การที่มอบพระชายาอย่างหม่อมฉันให้บุรุษอื่นหมายความว่าอันใดกัน?” ฟู่เฉินหวนแววตามืดมน เขาหันหลังเดินจากไปพลางเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าได้เตรียมตัวชั่วหนึ่งถ้วยชา” เมื่อฟู่เฉินหวนออกมาจากเรือนก็เดินมาที่หน้าเรือน ซูโหยวรีบเดินเข้ามาหา “ท่านอ๋อง ทุกอย่างพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เฉินหวนสายตาเย็นชาเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นมาว่า "หลังจากเข้าไปในจวนแล้วเจ้าจงรีบลงมือเสีย!" “พ่ะย่ะค่ะ!” ซูโหยวตอบตกลงพลางขมวดคิ้วแล้วถามด้วยท่าทีลังเลใจว่า “แต่ให้พระชายาไปถ่วงเวลาจะมิอันตรายเกินไปสักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “นั่นก็คือสาเหตุที่ต้องรีบลงมืออย่างไรเล่า! นอกเหนือไปจากนั้น ก็ยังมีองครักษ์เงาอีกห้าสิบนายที่ลอบเคลื่อนพลพร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ!” “พ่ะย่ะค่ะ!” ลั่วชิงยวนที่อยู่ในห้องผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว ที่แท้ก็เป็นอาภรณ์ที่สั่งให้ศาลารุ้งเมฆาตัดเย็บขึ้นมา นางสวมอาภรณ์สีแดงที่มีผ้าแพรแดงถักเป็นดอกโบตั๋นขนาดใหญ่อัน
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้